ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #16 : เอาคืน

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 61








    ตอนที่ ๑๕ : เอาคืน


        นังแย้มปีนเก็บมะม่วงอกร่องสีเหลืองสุกหอม ข้างล่างนังสาลี่และทองใบคอยรับใส่ตะกร้า ฝ่ายบ่าวหญิงอีกประมาณห้าคนก็ตั้งหน้าตั้งตาขูดมะพร้าวทึนทึกมาคั้นกะทิบนโรงครัว

         "วันนี้แม่นายอยากกินข้าวเหนียวมะม่วง นังสาลี่เอ็งไปเกียมมูนข้าวเหนียวใส่หัวกะทิ ประเดี๋ยวข้าจักไปเคี่ยวน้ำราดกะทิ" นังผินหอบใบเตยสดมาหลายมัดเดินเข้าครัว

         นังผินเริ่มเคี่ยวกะทิจนแตกมันก่อนมัดใบเตยที่ล้างแล้วเป็นปมโยนลงไป กลิ่นหอมดูหวานมันโชยอวลไปตามลมเตะจมูกแม่หญิงน้อยที่กำลังเดินระรื่นอยู่บนเรือน

         "อื้ม~หอมใบเตยจัง" เกศสุรางค์หลับตาสูดกลิ่นหอมแล้วน้ำลายสอ

         "แม่หญิงการะเกดเจ้าคะ!" นังจวงขึ้นเรือนมายืนหอบต่อหน้าเด็กสาว ดูรู้ว่าได้วิ่งมาตลอดทาง

         "มีอะไรหรือจ๊ะน้าจวง?"

         "แหม่มตองกีมาร์ มาหาแม่หญิงเจ้าค่ะ"

         "แม่มะลิมาเหรอ!?" เกศสุรางค์ยิ้มแป้นดีใจ หลังจากงานแต่งก็เป็นเดือนที่สองแล้วที่ไม่ได้เจอมารี พอได้ยินว่ามาหาถึงเรือนก็แทบจะกระโดดลงกระไดไปหาเสียให้ทันใจ

         มารีขึ้นมานั่งรอบนเรือนโดยคลาร่าและคลอเดียติดตามมา คุณหญิงจำปาทำหน้าที่เจ้าเรือนที่ดีคอยต้อนรับจัดหาขนมกวนและน้ำชาให้

          "แหม่มตองกีมาร์ มาหาแม่การะเกดมีธุระอันใดฤา?"

          "เจ้าค่ะ..ตั้งแต่ย้ายไปอยู่ละโว้ก็ไม่มีโอกาสได้ปะนางเลย ข้าคิดถึงนางจึ่งได้แวะมา" มารียิ้มหน่อยๆตามมารยาท ตาคมเฉี่ยวพลางเหลือบรอหาเกศสุรางค์

           ครึก ครึก!

          เสียงไม้พื้นเรือนสั่นกระทบกันก็เหมือนกับเพลงเปิดตัวของแม่หญิงจอมแก่น คุณหญิงจำปาจิปากด้วยเบื่อหน่ายที่บอกให้สำรวมกี่ครั้งกี่คราเกศสุรางค์ก็ไม่เคยจำ

          มารีหันไปทางต้นเสียงสั่นสะเทือนนั้น ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างมองร่างโปร่งที่เดินเร็วจนแทบวิ่งเข้ามาหานาง "แม่การะเกด"

         "แม่มะลิ! ดีใจจังที่ออเจ้ามา รู้มั้ยว่าข้าคิดถึงแทบแย่" เกศสุรางค์ลู่เข้าไปนั่งข้างๆมารี "มาหามีธุระอะไรเหรอ?"

         "ก็เหตุผลเดียวกับที่ออเจ้า รีบวิ่งมาหาข้าแลหนา" แววตายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสเน่หา ถึงจะออกเรือนแต่งงานไปแล้วใจของมารีก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

         "แหม~คิดถึงข้าก็บอกมาตรงๆเหอะน่า"

         "ฮึ่ม.." เสียงในลำคอของหญิงสูงวัย เป็นสัญญาณบอกว่านางกำลังไม่พอใจ คุณหญิงจำปาเชือนหางตามองสองสหายพลางกางพัดพับขึ้นมาโบกวี

        "เราไปคุยกันข้างล่างเถอะนะ" เกศสุรางค์ยังไม่รู้สึกตัวว่าถูกเขม่น ออกปากชวนมารีพร้อมจับไม้จูงมือพาลงไปที่ริมท่าน้ำ ฝ่ายบ่าวก็ช่วยกันยกน้ำยกขนมตามไปต้อยๆ

        "ดูซิเจ้าคะคุณหญิง กำลังจักออกเรือนอยู่แท้ๆก็มีหญิงอีกคน.."

        "หยุดนะนังปริก! กระเดี๋ยวเหอะ" เสียงมีอำนาจดุบ่าวที่จีบปากจีบคอไร้สาระ "แค่เรื่องหนูจันทร์วาดข้าก็ดมยาหอมแทบจะหมดเรือนอยู่แล้ว"

        "แหม..คุณหญิงบ่าวก็พูดอย่างที่เห็นนะเจ้าคะ สายตาแหม่มตองกีมาร์มองแม่หญิงปานจะกลืนกินกระนั้น" นังปริกพูดเสียงจ๋อย "ไม่รู้เขารักกันไปได้อย่างไร หญิงกับหญิงด้วยกัน ปลดผ้ามาก็เหมือนกัน หยึ๋ย~บ่าวคิดไม่ออกเลยเจ้าค่ะ"

        "เอ็งก็ลองไปดูของนังจวงมันสิวะ ประเดี๋ยวข้าจักจัดงานแต่งให้เอาฤา?" คุณหญิงจำปาพูดแหย่ทั้งแอบยิ้มเยาะเมื่อเห็นว่านังปริกทำหน้าเหวอ

        "ไม่เจ้าค่ะ! แค่คิดขนก็ตั้งทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ!"

        "งั้นก็อย่าพูดมากข้ารำคาญจะแย่"

       ริมท่าน้ำมีเรือพายผูกอยู่ข้างเสา ในศาลาเกศสุรางค์กระดี้กระด้านั่งบิดไปมาใหญ่ เพราะเห็นว่ามารีดูสวยและสง่ามากขึ้นในชุดสไบเฉียงสีม่วงคราม เครื่องทองต่างๆก็ดูเหมาะกับนางมากเสียกว่าชาวอโยธยาจริงๆเสียอีก

       "ข้าได้ยินข่าวว่าออเจ้าจักออกเรือน หากแต่มิรู้ว่าเป็นผู้ใด" มารียิ้มอ่อนๆ "ออเจ้าบอกข้าได้ฤา?"

        "เอ่อ.." ถามมาแบบนี้ถ้าจะตอบว่ากับผู้หญิงด้วยกันคงตกใจแย่ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจมารี แต่ออกญาโหราธิบดียังกำชับว่าห้ามบอกใครให้มาก เกศสุรางค์เลิกลักอยู่ครู่ใหญ่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อน "เอ่อ..กับแฟน..น่ะ"

        มารีขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับรู้ "อ้อ..แม่หญิงจันทร์วาด มิน่า.."

        "ท..ทำไมเหรอ?"

       "สินสอดของออเจ้าคงมากโข"

       "แม่มะลิไปรู้อะไรมางั้นเหรอ?" เกศสุรางค์หน้าตั้งหูผึ่งรอฟังคำตอบ

       "ข้าแค่คาดเดาเท่าเอานั้น เพราะข้าเห็นแม่หญิงจันทร์วาดไปอยู่ที่ละโว้ตั้งสองเดือน ตอนนี้ก็ยังมิกลับอยุธยาเลยหนา"

       "แค่นั้นจะรู้เรื่องค่าสินสอดได้อย่างไร แม่มะลิต้องรู้เยอะกว่านั้น" เธอพยายามคาดคั้นความจากเพื่อนสาว

        มารีแอบขำแม่สาวน้อยที่ดูจะลนลานเอามากๆ "ข้าได้ยินบ่าวในรั้ววังกล่าวกันถึงหลานสาวเจ้าแม่วัดดุสิตที่เดินทางจากพระนครไปละโว้เพื่อปรณิบัติท่าน หากอยู่ครบห้าเดือนเจ้าแม่ท่านจักตบรางวัลให้เป็นเงินแลทองมากโข"

        "ห๊า.." เกศสุรางค์เหยมุมปากอึ้งสนิท "ถึงกับต้องไปรับจ็อบกับย่าตัวเองเลยเหรอวะเนี่ย"

        ขณะนั้นเองนังสาลี่กับนังทองใบและนังผินนังแย้มก็ยกสำรับมาคนละชุด กลิ่นหอมข้าวเหนียวใหม่มูนกับใบเตยเคี่ยวกะทิคั้นสดปนงาคั่วและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงอกร่องสุกโชยลอดออกจากฝาชี ดึงความสนใจของแม่สาวสายกินให้หันไปมอง

       "ข้าวเหนียวมูนมะม่วงเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ" บ่าวทั้งหลายวางสำรับต่อหน้าแม่นายและแขกที่มาเยือนทั้งสามพร้อมเปิดฝาชีไม้สานทรงสูง

       "โห..น่ากินจังเลย..งื้ม~" เกศสุรางค์ไม่รอช้าใช้ช้อนไม้ที่สั่งทำมาตักขนมเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆให้รสชาติวัตถุดิบทั้งหมดแตกซ่านทั่วปาก "อร่อย~!"

        "โอเครึไม่เจ้าคะแม่นาย" นังแย้มจีบมือทำสัญลักษณ์พร้อมยิ้มเห็นฟัน

       "โอเคมากเลยพี่!..แม่มะลิกินสิรออะไร"

       "อืม..คลาร่า คลอเดีย พวกเจ้าก็ลองชิมดูหนา" มารีบอกแก่ผู้ติดตามก่อนหันกลับมากินข้าวเหนียวมะม่วงกันจนหมด

       "อิ่ม..เอ้อนี่แม่มะลิ หลังจากแต่งงานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?" เกศสุรางค์ใช้ผ้าเช็ดที่ปาก มองริคำตอบจากมารี

       "อืม..ก็ปกติแลหนา" หญิงลูกครึ่งถอนหายใจเบาๆ "แต่ข้ายังมิยอมให้เขาแตะต้องตัวข้า"

       "หา? ตั้งแต่ออกเรือนไปก็ยัง..เอ่อ.." พวงแก้มนวลมีสีแดงขึ้นมาปะปน เพราะดันนึกถึงเรื่องที่คู่บ่าวสาวจะต้องทำหลังเข้าหอ

        "ข้าเกลียดเขา ข้ามิอาจยินยอมให้เขาละเมิดร่างกายข้าแม้ปลายนิ้วก้อย" แววตาจริงจังมองออกไปทางแม่น้ำ พอคิดถึงฟอลคอนแล้วมันก็ทำให้นางหัวร้อนตลอด

        "ขอโทษนะ..ที่ถาม.." ริมฝีปากเรียวเผยอยิ้มแห้งๆ

        "เอาเถิด..ที่ข้ามานี่ข้ากะว่าจักชวนออเจ้าไปเที่ยวเล่นเรือนข้าที่ละโว้วันมะรืน เพลานี้ออกหลวงสุรสาครออกว่าราชการที่เมืองสองแคว ออเจ้าจะไปฤาไม่?"

        "ละโว้..ไปสิ! ข้าเที่ยวอยุธยาจนทั่ว..เบื่อจะแย่อยู่ละ"

        "ออเจ้าจงไปขออนุญาตคุณหญิงเถิดหนา ข้าจักต้องกลับแล้ว"

        "อ้าว เพิ่งมาได้แปบเดียวเองจะกลับละเหรอ" เกศสุรางค์ทำหน้าอ้อนพลางเอื้อมมือเกาะแขนอีกฝ่ายไว้ "ยังไม่หายคิดถึงเลย"

        มารีพรายยิ้มพร้อมลูบหัวเกศสุรางค์ที่เวลาออดอ้อนแล้วไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักในความน่าเอ็นดูนี้ "ข้าก็เช่นกันไม่มีสักเพลาที่ข้าจักไม่คะนึงถึงออเจ้า หากแต่ออเจ้ามีคู่หมายแลกำลังจะออกเรือน ข้าก็มิอาจ..จะกล่าวอันใดได้มากนัก"

       เกศสุรางค์ฟังคำพูดเป็นนัยๆของอีกคนแล้วยอมปล่อยมือให้มารีเดินลงท่าไป "เอ่อ..งั้นไว้เจอกันมะรืนนะ" ตาเรียวคมมองตามแขกทั้งสามกำลังลงนั่งบนเรือพร้อมโบกมือให้เบาๆ

        "จ่ะ.." มารีเอ่ย

        "แม่นายจักไปละโว้ฤาเจ้าคะ?" นังผินคลานเข่าเข้ามาถาม

        "อืม" เกศสุรางค์ตอบสั้นๆปนเสียงถอนหายใจแล้วเดินสะบัดหน้าหงอยขึ้นเรือนน้อยไป

       "เอ๊า! แม่นายเป็นกะไรไปอีกแล้ว" นังผินมองตามอย่างฉงน

        "ข้าก็มิรู้..นังสาลี่ นังทองใบพวกเอ็งเอาหม้อชามรามไหไปล้างเก็บเสีย ประเดี๋ยวข้ากับนังผินจักไปดูแม่นาย" สองบ่าวเร่งเดินตามนายขึ้นเรือนอย่างเป็นห่วง ทางด้านนังสาลี่กับบ่าวสหายก็ยกจานชามไปเก็บไว้ตามเดิม

       ในห้องเกศสุรางค์นั่งส่องคันฉ่องอยู่เงียบๆ ใจก็พลันคิดห่วงจันทร์วาดที่ต้องแรมรอนไปถึงละโว้เพื่อเธอ อีกใจก็คิดถึงมารีเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะคิดบางอย่างที่เกินกว่าเพื่อนด้วยเห็นใจ

       "ป่านนี้พี่จันทร์วาดจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้"

       "แม่นาย..เป็นอันใดอีกเจ้าคะ?" บ่าวร่างผอมคลานเข่าเข้ามานั่งข้าง "อีกไม่กี่เดือนแม่นายก็จักได้ออกเรือนแล้วหนาเจ้าคะ อย่าทำตัวให้เศร้านัก"

         "จ่ะ..พี่แย้ม"

      **เอาเหอะวะ..ยังไงพรุ่งนี้ไปละโว้ก็แวะหาพี่จันทร์วาดก่อนแล้วมะรืนค่อยเรือนแม่มะลิก็ได้**

    .......................................



        วันรุ่งขึ้น ณ เขตพระราชวังส่วนนอกตำหนักริมวัดดุสิดาราม บ่าวทั้งหลายที่สวมใส่แพรพรรณดูดีกว่าทาสทั่วไปพากันเดินขวักไขว่จัดแจงเตรียมสำรับและดอกไม้ไว้สำหรับกรองมาลัย

         หญิงงามสวยสะพรั่งในชุดสไบสีม่วงจักรพรรดิพิมพ์ลาย สวมสร้อยแหวนกำไลทองพร้อมด้วยรัดเกล้าครอบผมโซงโขดง เพียงแค่เดินย่ำเท้าลงบนพื้นโรงครัว บ่าวทาสทั้งหลายก็ก้มหมอบลงอย่างเคารพ

         "แม่หญิงจันทร์วาดมาแต่ยังเช้ามีกะไรฤาเจ้าคะ?"

         "ข้าเพียงมาตรวจตราตามปกติ" จันทร์วาดตอบเสียงเรียบ ดวงตากลมพลางกราดมองดูความเรียบร้อยรอบโรงครัว "วันนี้เจ้าคุณย่าโปรดจักรับแกงเขียวหวานไก่ พวกเอ็งจงเกียมใบมะกรูดต้นหลังวังน้อยแลพริกจากสวน ส่วนที่เหลือก็เอาของที่มีในโรงครัว ประเดี๋ยวเพลาสายข้าจักกลับมาช่วยดูอีกที"

         "เจ้าค่ะ"

         บริวารทั้งหลายต่างให้เกียรติเคารพแม่หญิงจันทร์วาด เพราะนอกจากเป็นหลานรักของเจ้าแม่วัดดุสิตแล้ว ก็ยังมีจิตใจเมตตาใช้งานบ่าวทาสตามสมควร ขยันขันแข็งเอาการเอางานจึงเป็นที่รักและนับถือของคนทั่วไป

        "หลานจักลงมือทำเองใยเล่า ให้พวกบ่าวมันทำไปซิจักได้มีเวลาไปทำสิ่งอื่น" เจ้าแม่วัดดุสิตถามหลานด้วยใบหน้าเปี่ยมความเมตตา

        "ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ พวกมันยังมีงานอีกมากมายจักต้องทำ เป็นนายคนจักชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว..มิสมควรเจ้าค่ะ" จันทร์วาดรักษากิริยาให้น่าดูได้เสมอ นางก้มหน้าทูลความแก่เจ้าคุณย่าอย่างนอบน้อม

         "งั้นฤา พ่อแลแม่ของหลานคงอบรมหลานมาอย่างดี จึ่งได้มีความคิดประเสริฐฉะนี้" เสียงแหบพร่าด้วยความชราเอ่ยอย่างเศร้าๆเมื่อคิดถึงลูกชายที่ถึงอาสัญกรรมไปด้วยฤทธิ์หวาย "เอาล่ะ..ย่าขอตัวไปพักผ่อนก่อน หากหลานจักไปเดินชมตลาดก็ให้นังเหมือนกับนังบุญมันตามไปด้วยหนา"

         "เจ้าค่ะ..เจ้าคุณย่า"

         วันนี้จันทร์วาดวางแผนจะไปเดินชมเครื่องทองที่ตลาดใหญ่ เพราะเจ้าแม่วัดดุสิตได้ให้สินน้ำใจเป็นรางวัลอยู่บ่อยๆ จึงมีเงินสะสมมากพอจักซื้อทองได้มากมาย

         นังเหมือนและนังบุญเดินถือตะกร้าพร้อมผ้าฝ้ายคลุมตามแม่หญิงออกจากรั้ววังนอก เดินไปไม่ไกลก็เจอกับตลาดเครื่องประดับที่มาตั้งแผงเตรียมกันแค่เช้ามืด ร่างน้อยระเหิดระหงค่อยๆเดินชมไปทีละร้านวนไปวนมาทั้งยังคงรักษากิริยาไว้เพื่อให้ดูสูงศักดิ์กว่าผู้คนทั้งหลาย เป็นที่จับตามองของพ่อค้าแม่ค้าที่อยากจะขายของให้

        "เลือกดูก่อนหนาเจ้าคะแม่หญิง"

        "กำไลนี้งามนักเจ้านำมาแต่ที่ใด?" จันทร์วาดหยิบกำไลทองสลักลายที่ไม่คุ้นตาขึ้นมาพลิกดูอย่างพึงใจ

        "ข้านำมาจากเมืองสองแควเจ้าค่ะแม่หญิง เป็นทองคำบริสุทธิ์ของล้านนาเลยหนาเจ้าคะ"

        "งั้นฤา..ขอข้าดูทั้งหมดนี่ก่อน หากข้าชอบใจข้าอาจจักเหมาหมดเลย"

        แม่ค้าดีใจมากนัก จันทร์วาดพิจารณาอยู่นานพอเจอร้านที่คิดว่าดีสุดแล้ว นางก็ไม่ลังเลที่จะซื้อกลับไปเก็บไว้สำหรับวันแต่งงาน

        เมื่อเลือกซื้อจนเงินแทบหมดถุง จันทร์วาดก็วกเดินกลับ แต่ยังไม่ทันได้เข้ารั้ววังก็เห็นแม่หญิงลักษณะคุ้นๆพร้อมกับบ่าวสองคนยืนชะเง้อด้อมๆมองๆเข้าไปข้างในตำหนักอย่างมีพิรุธ

        "ออเจ้า"

        "ว๊าย!!? " เกศสุรางค์กับบ่าวผู้ติดตามสะดุ้งโหยงถอยขยาดออกห่างอย่างตกใจ "ค..คุณพี่จันทร์วาด"

        "แม่หญิง!" นังผินและนังแย้มก้มหน้าทันที

        "เหมือน..บุญเอาของเข้าไปเก็บก่อน" จันทร์วาดเอ่ย "น้องการะเกด..ออเจ้ามาทำกะไรที่ละโว้ฤา?"

        "น..น้องมาหาคุณพี่เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์ยิ้มเจื่อนให้คนตรงหน้า "น้องคิดถึง"

        "พี่ก็คิดถึงออเจ้า..แต่ออเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพี่อยู่ที่นี่?"

        "เอ่อ..ข้าหิว..หิวข้าวจังเลยเจ้าค่ะ มีอะไรให้กินมั้ยคะ?" เกศสุรางค์ทำท่าเลิกลั่กก่อนหันกลับมายิ้มหวานกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่องคุย

        "พี่กำลังจะไปทำแกงเขียวหวานไก่..หากหิวก็ตามมาเถิด" จันทร์วาดยิ้มในหน้าพร้อมพยักหน้าแล้วเดินนำร่างโปร่งเข้ารั้ววังนอกไป



       เกศสุรางค์กราดตาคมมองรอบๆพื้นที่กว้างใหญ่โอ่โถงอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เข้ามาเหยียบและเห็นวังนอกใกล้วัดดุสิดาราม ตำหนักของเจ้าแม่วัดดุสิต สวนหญ้าเขียวชะอุ่มปลูกต้นดอกไม้ไว้หลากหลายพันธุ์ มีทั้งที่หอมแรงกลางวันและกลางคืน พูดได้ว่าคนที่อาศัยอยู่จะได้ดมกลิ่นดอกไม้ทั้งวันทั้งคืน

        พอถึงโรงครัวจันทร์วาดก็จัดแจงปรุงอาหารอย่างคล่องมือโดยมีเกศสุรางค์คอยหยิบเครื่องเทศเครื่องปรุงให้ เมื่อมีแม่หญิงสองคนคอยปรุง บ่าวทาสทั้งหลายจึงมีเวลาได้ไปทำงานอย่างอื่น

        "พี่จันทร์วาดเนี่ยทำกับข้าวเก่งเหมือนกันนะเนี่ย"  อดีตสาวอวบมองกระบวยไม้ที่ตักแกงใส่ถ้วยด้วยอยากกินจนจะอดใจไม่ไหว "ชักจะหิวจริงๆแล้วสิ"

        "แล้วเมื่อครู่ไม่ได้หิวจริงๆฤา?" จันทร์วาดจ้องจับผิดอย่างรู้ทัน

       "ห..หิวจริงสิเจ้าคะ..ท้องร้องโครกๆแล้ว" เกศสุรางค์เชือนตาหนีเมื่อถูกจับได้ "แล้วไปกินกันตรงไหนคะ?"

        "ข้างในตำหนักของเจ้าคุณย่า..บุญเหมือนยกสำรับเข้าตำหนัก"

        บ่าวทำตามคำสั่งยกสำรับและเครื่องเคียงต่างๆที่ครอบฝาชีไว้เข้าไปในส่วนของตำหนักกลาง เกศสุรางค์ได้ยินดังนั้นก็ขนลุกด้วยปลาบปลื้มว่านอกจากได้เห็นตำหนักแล้ว ยังจะได้เห็นเจ้าแม่วัดดุสิตที่ในประวัติศาสตร์มีเขียนถึงเพียงน้อยนิด

        จันทร์วาดเดินนำเด็กสาวที่ดีใจจนเนื้อเต้นเข้าตำหนักส่วนกลาง เมื่อประตูตำหนักเปิดออกเกศสุรางค์ก็ได้แต่มองตาค้างกับความวิจิตรงดงามของศิลปะโบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลายหัตถกรรมฝาผนังและโครงประตูที่ทำด้วยทองแท้ๆ โต๊ะกินข้าวทำจากไม้พะยูงประดับทองมีสำรับอาหารและดอกบัวประดับถูกวางเด่นไว้กลางห้อง โดยมีเบาะรองนั่งวางรอบๆ ข้างหลังมีฉากกั้นญี่ปุ่นตั้งประดับดูมีมนต์ขลัง

        "สวย..สวยมาก..ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้เห็นกับตาตัวเอง"

        "เอาล่ะ..ออเจ้านั่งลงกงนี้หนา รอเจ้าคุณย่ามาก่อนแล้วจึงค่อยกินข้าว" จันทร์วาดนั่งลงบนเบาะรองแล้วดึงมือเรียวของอีกคนนำให้นั่งตาม "ทนหิวสักประเดี๋ยวหนา"

        ยังไม่ทันไรประตูอีกฝั่งก็เปิดออก คุณหญิงนิ่มจับมือประคองหญิงสูงวัยที่แต่งตัวด้วยผ้าไหมด้ายทอง แลเครื่องประดับที่มีเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะใส่ได้ ตาเรียวคมเหลือบเห็นก็ชะงักงันมองตาเป็นประกายแล้วยิ้มย่องอย่างปลาบปลื้ม

         เจ้าแม่วัดดุสิตพระนมชั้นเอกในพระนารายณ์มหาราช มีศักดิ์เป็นถึงหม่อมเจ้าในราชวงศ์พระมหาธรรมราชา ซึ่งสืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยราชวงศ์พระร่วง ขุ่นพระ..ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แล้วจะได้เป็นหลานสะใภ้ด้วย..โอ้แม่เจ้า!

        "แม่การะเกด ข้ามิรู้มาก่อนว่าออเจ้าจักมา" คุณหญิงนิ่มเอ่ยทันทีที่พาเจ้าแม่วัดุสิตนั่งลงที่หัวโต๊ะ

        "เป็นเพื่อนแม่จันทร์วาดฤา?" เจ้าคุณย่าถาม "หน้าตาน่ารักดีนะ"

         "จ..เจ้าแม่วัดดุสิต..ข้า..ข้าไหว้เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์ประนมมือกราบลงบนโต๊ะกินข้าวด้วยปลื้มใจสุดๆ ทำเอาจันทร์วาดตกใจกับท่าไหว้โอเวอร์ของเธอ "ปลื้ม..ปลื้มมากเจ้าค่ะ"

        "แม่การะเกด!.." ผู้เป็นพี่เห็นก็เอื้อมมือไปสะกิดให้เกศสุรางค์ทำตัวปกติ "หลานขอประทานโทษแทนแม่การะเกดด้วยเจ้าค่ะ เจ้าคุณย่า"

        "เหอะๆจักขอโทษขอโพยไปใย ย่าว่านางดูซื่อตรงน่ารักน่าเอ็นดูดีหนา ย่าหิวแล้วกินข้าวกันเถอะนะ"

        หลังร่วมกินข้าวกันจนเสร็จเกศสุรางค์และจันทร์วาดก็กราบขออนุญาตจากเจ้าแม่สวนดุสิตเพื่อจะไปเดินชมเมืองละโว้ คุณย่าตอบตกลงทันทีในขณะที่คุณหญิงนิ่มกลับไม่ค่อยอยากให้ไปสักเท่าไหร่ เพราะเมืองละโว้มีคนมากหน้าหลายตารวมถึงชาวต่างชาติสัญจรไปมา เกรงจะเกิดอันตรายขึ้นกับทั้งคู่ จึงออกความเห็นให้นั่งเสลี่ยงจีนไป

        "อย่าไปไหนไกลนักเล่า" คุณหญิงนิ่มเอ่ย "แม่จันทร์วาดก็ระวังตัวเองแลน้องให้ดี ส่วนแม่การะเกดก็ต้องคอยดูแลพี่เขาด้วยหนา เมืองละโว้ฝะรังคีแลพวกแขกมีมากนัก"

         "ได้เลยเจ้าค่ะ! ใครกล้ามาแตะต้องพี่จันทร์วาด ข้าจะเตะให้ก้านคอหักเลยเจ้าค่ะ!" เกศสุรางค์ทำท่าแทงเข่างัดข้อต่อยมวยอวดคุณหญิงนิ่ม เพราะเธอเองก็มีสกิลคาราเต้อยู่บ้าง

         "ฮึ..ฮ่ะๆๆ" จันทร์วาดป้องปากหัวเราะใหญ่

         "อะไรคะคุณเพ่!?" ตาคมมองค้อนร่างน้อย

         "ให้จริงดังว่าเถอะแม่คนเก่ง บุญเหมือน..ผินแย้มพวกเอ็งต้องดูแลนายของพวกเอ็งให้จงดี หูตาต้องไวอย่าให้เกิดเหตุร้ายอันใด"

         "เจ้าค่ะคุณหญิงนิ่ม"

         หญิงผู้ดีขึ้นนั่งบนเสลี่ยงปิดมิดชิด มีเพียงช่องหน้าต่างเล็กๆปิดด้วยผ้าม่านที่พอจะมองเห็นข้างนอกได้ ชายร่างใหญ่สี่คนจับหามเสลี่ยงขึ้นทำให้เกศสุรางค์ที่ไม่เคยนั่งรู้สึกเสียววูบเมื่อมันโคลงเคลงไปมา

         "เหวอ!?" ร่างโปร่งกางแขนจับฉากเสลี่ยงทั้งสองข้างเพื่อพยุงตัวให้ไม่โอนเอนตาม "ทำไมมันโคลงเคลงเงี้ย?"

         "นี่ฤาที่ว่าจักเตะก้านคอคนหัก แค่นั่งเสลี่ยงก็หน้าซีดหน้าเซียว" ในความมืดสลัวข้างในเสลี่ยงนั้น กลีบปากงามยิ้มเยาะพร้อมเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ พลางมองจ้องวงหน้าเรียวมีสเน่ห์ซึ่งถูกแสงแดดที่ลอดผ่านม่านส่องจนเห็นชัด

         "แหม..คุณพี่ก็..ข้าไม่เคยนั่งนี่คะมันต้องปรับตัวกันหน่อยแหล่ะ" เกศสุรางค์หน้ามุ่ยใส่

         จันทร์วาดอดเอ็นดูแม่สาวน้อยไม่ได้จึงเอี้ยวตัวใช้อ้อมแขนโอบร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด หน้าของเกศสุรางค์ถูกทำให้ซบลงใกล้กับคอระหงที่หอมกลิ่นน้ำปรุงใบเตยอ่อนๆ เธอเหลือบดูใบหน้ารูปไข่ที่เชิดตรงมองไปข้างหน้า แม้นจันทร์วาดจะไม่ได้หันมามองเธอแต่เกศสุรางค์ก็สัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้

        "หากไม่ชินก็กอดพี่ไว้" หญิงสูงศักดิ์บอกพร้อมจูบหอมที่หน้าผากกลมมน

         เกศสุรางค์เบือนหน้าหนีอย่างอายๆ ก่อนลอบมองริมฝีปากได้รูปสวยของจันทร์วาดที่ยกมุมปากยิ้ม ช่างยั่วยวนใจเสียจนแม่หญิงน้อยอยากยื่นหน้าเข้าไปจูบเสียเดี๋ยวนั้น

        "น่าจูบจัง.."

         คำหวานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แสงตะวันที่สาดทอเข้ามาได้เพียงเล็กน้อย บรรยากาศข้างในมืดสลัวราวกับเพลาค่ำ เกศสุรางค์ปรับท่าขึ้นคร่อมร่างน้อยพร้อมเบียดให้พิงฉากเฉลียงแล้วยื่นวงหน้าเข้าใกล้  จังหวะการเต้นของหัวใจทั้งคู่เริ่มเต้นแรงและถี่ขึ้นจนได้ยิน

         "แม่การะเกด?" คนถูกคร่อมได้แต่อยู่นิ่งๆจับตามองการกระทำของคนรุก เพราะก็ไม่แน่ใจว่าเกศสุรางค์กำลังจะทำอะไร

         เกศสุรางค์ก้มลงจูบกลีบปากสวยนั้นเสียให้หายอยาก แต่ด้วยความอายลึกๆและอยู่ในเสลี่ยงที่เอนไปเอนมาก่อนจะวางลงบนพื้น ทำให้การจูบครั้งนี้ไม่ค่อยสมใจเธอเอาเสียเลย เรื่องพูดนี่เก่งเกินใคร แต่เรื่องทำนองนี้คงต้องฝึกกันอีกยาว คาดไม่ถึงว่าคนที่เป็นประหนึ่งผ้าพับไว้จะจูบได้เก่งกว่าเธอซะอีก

          "เอาล่ะ..ถึงแล้ว" จันทร์วาดจ้องเกศสุรางค์ตาเชื่อม เมื่อเห็นสาวน้อยอยากจะลองเริ่มรุกจู่โจม

         "เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์หน้าจ๋อยสนิท เพราะดันรุกจูบเขาแล้วทำออกมาได้แย่มากจนเธอต้องก้มหน้าหลบตาจันทร์วาดอยู่พักใหญ่

         "ไว้เที่ยวชมเมืองเดินตลาดเสร็จ พี่มีที่ที่หนึ่งอยากให้ออเจ้าไป" เห็นเกศสุรางค์อ่ยหนักจันทร์วาดจึงชวนคุยแก้ขัดเขิน

          เกศสุรางค์ผงกหัวน้อยๆ แล้วทั้งสองก็เดินชมละโว้จนทั่วจนถึงเวลาค่ำ บ่าวหญิงและบ่าวชายเร่งเข้าไปแจ้งแก่แม่หญิงทันที

         "เริ่มค่ำแล้ว..จักกลับเลยฤาไม่ขอรับ?"

         "กลับแต่มิกลับไปที่ตำหนัก" จันทร์วาดตอบ "พาข้าแลแม่หญิงการะเกดไปที่เรือนแม่น้ำน้อยเถิด"

         บ่าวหญิงผู้ติดตามลอบทำหน้าเหวอให้แก่กันแต่ก็ไม่กล้าขัดใจแม่หญิงจันทร์วาดที่พวกตนเองก็รู้ดีว่าดื้อเงียบ!

         ขบวนเสลี่ยงมาถึงหน้าเรือนแม่น้ำน้อยที่ขุนหลวงพระราชทานให้เจ้าแม่วัดดุสิต มีกำแพงสร้างขึ้นปิดมิดชิด จันทร์วาดจ่ายเบี้ยให้บ่าวหญิงแลชายทั้งแปดเพื่อให้นำไปจับจ่ายใช้ลอยในตลาดแถวๆเรือน ส่วนนางกับเกศสุรางค์จฝอยู่เรือนเพียงสองคน

         "คุณพี่นี่ใจดีนะคะ แจกเบี้ยให้พี่ผินพี่แย้มด้วย" เกศสุรางค์เดินชมรอบๆเรือนแล้วมาหยุดที่แม่น้ำน้อยในเรือนซึ่งมีเขื่อนไม้กั้นจากภายนอก ถ้าเป็นสมัยของเธอก็คงจะเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว

         "พี่ติดนิสัยนี้มาจากออเจ้าหนา..แล้วนี่เลิกอายพี่แล้ว?"

         "เหอะ..อย่ามาดูถูกกันนะเจ้าคะ มันเป็นเพราะเสลี่ยงของคุณพี่นั่นแหล่ะโคลงไปเคลงมา" ตาเรียวคมตวัดมองค้อนจันทร์วาดแล้วเชิดหนีไปอีกทาง "แล้วน้องก็ไม่ได้อายเสียหน่อย"

        "งั้นฤา?"

        "ใช่เจ้าค่ะ..จะว่าไปเรือนนี้น่าอยู่ดี..มีแม่น้ำส่วนตัวด้วย" ริมฝีปากเรียวขยับยิ้มเมื่อเห็นกลีบดอกจำปาลาวที่ร่วงลอยอยู่บนผิวน้ำ แล้วก็นึกสนุกขึ้นมา "ถ้าเป็นน้ำอุ่นคงเปิดเป็นสปาได้เลยนะเนี่ย"

        "สระปลา? นี่เป็นท่าอาบน้ำหนามิใช่บ่อปลา" คิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง

        "โอ๋ย คุณพี่มีปัญหาเรื่องหูเหรอคะ" เกศสุรางค์ส่ายหน้าเอือมปนเสียงหัวเราะ ก่อนถอดรองเท้าแล้วหย่อนขาลงไปเหยียบบนพื้นดินใต้น้ำตื้นใสสะอาดให้ความรู้สึกเย็นสบาย "เย็นสบายจังรู้สึกอยากอาบน้ำเลยนะเนี่ย"

        "หากจักอาบน้ำใยไม่ไปผลัดผ้าก่อนเล่า?" จันทร์วาดถอดเขียงเท้าตามลงไปยืนอยู่ต่อหน้าร่างโปร่ง "หรือต้องให้พี่ช่วยผลัดให้?"

         จันทร์วาดไม่รอคำตอบ ชิงใช้มือน้อยปลดสร้อยสังวาลย์ เข็มขัดและตุ้มหูทองพร้อมด้วยผ้าสไบไหมทอสีเหลือง เผยให้เห็นผิวกายเนียนขาวของสาวเชื้อสายล้านนามีเพียงผ้าแถบรัดอกสีนวลกับผ้าถุงนุ่งจีบหน้า

         "ข้าแค่จะเล่นน้ำ.." ถึงไม่มีผู้ใดอยู่แต่เกศสุรางค์ก็เหลือบมองซ้ายมองขวาด้วยกระอักกระอ่วนใจที่ถูกปลดผ้าเหลือน้อยชิ้นกลางแจ้งแบบนี้ ยิ่งเห็นคนตรงหน้ากำลังถอดเครื่องทรงต่างๆออกก็ยิ่งใจสั่นจนทำตัวไม่ถูก

        เกศสุรางค์คว้าเอาผ้าสไบจากมืออีกคน แต่ถูกยื้อแย่งคืนกลับไปแทบจะทันที จันทร์วาดโยนหอบผ้าแลเครื่องประดับทั้งหลายขึ้นบนฝั่ง แล้วเดินต้อนอีกฝ่ายถอยไปกลางสระน้ำที่สูงท่วมจนถึงอก

        "พี่จะเล่นด้วย" รัดเกล้าถูกถอดออก ผมโซงโขดงปล่อยตรงยาวไปถึงหลัง

        "แต่คุณพี่ว่ายน้ำไม่เป็นนี่เจ้าคะ" สาวน้อยมองอย่างหวาดๆ

        "น้ำตื้นแค่นี้มิเป็นไรดอก"

        พูดจบก็ไม่รอช้าที่จะโอบรัดเอวอรชรเข้าชิดกายพร้อมประกบจูบอย่างละมุนท่ามกลางดวงจันทร์ทอแสงสีน้ำเงินเด่นตระหง่านเหนือท้องฟ้า สาดส่องผืนน้ำที่กลายเป็นคลื่นอ่อนๆด้วยลมพัดผ่านให้ดูสวยงาม 

       แม้ว่าน้ำในแม่น้ำน้อยในยามค่ำจะค่อนข้างเย็น แต่สองร่างที่ติดพันดูดดื่มกันกลับร้อนรุ่ม ไม่ว่าสิ่งใดรอบข้างก็มิอาจกล้ำกราย ร่างระหงผลักเบียดกันตีน้ำกระเซ็นเปียกโชกไปทั้งตัว

       เกศสุรางค์เปิดความรู้สึกของจันทร์วาดเต็มที่ ก่อนจะเริ่มบดเคี้ยวริมฝีปากอิ่มนุ่มด้วยอารมณ์ที่ถลำลึกมากเกินจนแทบจะดูดกินร่างน้อยเข้าไปเสียให้สาแก่ใจที่บังอาจมาล้อเลียนเธอเรื่องในเสลี่ยง ทำเอาจันทร์วาดที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนหายใจไม่เป็นจังหวะจนต้องใช้มือน้อยผละตัวถอนจูบออก

        "โอ้..คุณพระ.." ร่างน้อยหอบแฮ่กมองเกศสุรางค์อย่างประหลาดใจในท่วงทีการจูบอันเผ็ดร้อน ที่ทิ้งความรู้สึกปวดไว้บนกลีบปากนาง "ออเจ้า..กัดปากพี่.."

        "คุณพี่มาสบประมาทข้าก่อน...นี่ยังถือว่าน้อยเจ้าค่ะ" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องจันทร์วาดไม่วางตาพลางขยับหน้าเข้าใกล้อย่างคุกคาม

        "มองพี่อยู่นั่นแล..คืนนี้พระจันทร์สวย..ออเจ้ามิอยากดูฤา?" เสียงหวานถามเชิงลองใจ

        "หญิงที่อยู่ตรงหน้าน้องออกจะงามขนาดนี้ น้องจะอยากมองสิ่งอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ"

       "พี่รู้อยู่แล้วว่าออเจ้าต้องพูดเช่นนี้"

       "คิดว่าเปลี่ยนเรื่อง แล้วจะพ้นเรื่องที่ดูถูกน้องเหรอคะ?" เกศสุรางค์จ้องดวงหน้าแดงด้วยเลือดฝาดอย่างพอใจ "หน้าแดงใหญ่แล้วน้า~"

        จันทร์วาดกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก รู้สึกถึงแรงผลักที่ทำให้ตัวลอยกลับไปยืนชิดขอบสระซึ่งเป็นส่วนน้ำตื้นท่วมถึงเพียงสะเอว ร่างน้อยบิดสะท้านด้วยเสียวซ่าน เมื่อซอกคอเรียวถูกลิ้มไล้ตามความปรารถนาอีกฝ่าย

       "อือ" เสียงครางพร้อมลมหายใจร้อนแหบพร่าอย่างมีอารมณ์ เกศสุรางค์แทะโลมร่างกายของผู้เป็นพี่พลางขยับมือเรียวแทรกผ่านผ้าถุงเปียก สร้างสัมผัสวาบหวามในจุดที่อ่อนไหวที่สุด

         "ออเจ้า..จะทำอะไรพี่?" จันทร์วาดหายใจหอบถี่ เสียววูบไปทั้งตัวจนต้องเกร็งหน้าท้องเพื่อบรรเทาความรู้สึก ขาเรียวพลันอ่อนแรงจนไม่สามารถแตะเท้ายืนอยู่ได้ แต่ด้วยกระแสน้ำช่วยพยุงร่างเบาหวิวให้ลอยขึ้นเพียงโอบกอดรอบคอของคนรุก นางไม่รู้แน่ว่าใต้ผืนน้ำเย็นมือเรียวอุ่นข้างนั้นกำลังทำอะไร รู้แต่ว่าต้องร้องครวญครางเสียงดังตอบรับเนื้อสัมผัสอย่างสังหรรษยินดี

        "ข้า..จะทำให้คุณพี่มีความสุขเจ้าค่ะ"

           ดรรชนีกรีดกรายละลายพริ้ม
           ดั่งผึ้งลิ้มเกสรดอกมะปรางหอม
           ภุมราเอื้อมถึงเพราะพึงยอม
           ปลายเรียวช้อนโลมไล้สังหรรษา
           บรรจงจับประโลมลูบอ่อนโอน
           จึ่งโลดโผนรีบรั้งให้ครั่นกระเส่า
           โลกาเลือนจิตฟุ้งสูงดั่งขุนเขา
            แลทุเลายอมสยบทรวงสบาย

        ท่ามกลางแสงจันทร์ บทกลอนรักบรรเลงจบในเวลาสั้นๆ จันทร์วาดโอบวงหน้าเรียวพลางขยับชนหน้าผากจ้องตากับอีกคน "..พี่มีความสุข" นางยิ้มพร้อมหายใจหอบจากความรู้สึกที่พุ่งถึงขีดสุดเมื่อครู่

        "วันหลังห้ามล้อน้องอีก" เกศสุรางค์สรวญยิ้มย่องใส่คนที่ทั้งชอบใจและอายกับการเปลี่ยนสถานที่แปลกใหม่ "คุณพี่ชอบ" เด็กสาวพูดแหย่

         "จริงดังออเจ้าว่า.." ร่างน้อยขยับพลางแอบหัวเราะแก้เขิน "ขึ้นเรือนเถิดหนา จักได้ไปผลัดผ้า"

         "แหม..จะรีบเปลี่ยนทำไมคะ ขึ้นเรือนไป...ก็ได้นี่นา~" เกศสุรางค์เหลือบมองต่ำไปในแม่น้ำพร้อมใช้มือจับจุดสงวนของอีกฝ่าย

         "ม..แม่การะเกด!" ดวงหน้ารูปไข่แดงฉ่า "พี่ต้องเร่งกลับวังนอกไปถวายงานแก่เจ้าคุณย่า"

         "ก็ได้ค่ะ แต่คราวหน้าน้องไม่ยอมนะเจ้าคะ"

         "ฮ่ะ..ฮ่ะ สุดแล้วแต่ออเจ้า" จันทร์วาดหน้าแดงจนเห็นชัด ก่อนปล่อยมือออกจากเกศสุรางค์

         ทั้งคู่ค่อยๆหอบร่างที่เปียกซ่กขึ้นฝั่งเกศสุรางค์ช่วยแม่หญิงสูงศักดิ์ก้มเก็บผ้าผ่อนท่อนสไบและเครื่องทองพร้อมเหลือบมองแล้วขมวดคิ้ว "เมื่อกี้คุณพี่ว่าแล้วแต่น้อง..หมายความว่าไงคะ?"

        "ออเจ้านี่หนา.."

        "บอกมาเถอะค่ะ ไม่งั้นน้องจะ.."

        "เอาล่ะๆ" จันทร์วาดเห็นอีกคนกำลังจะงอแงจึงเอ่ยขัดขึ้นมา "จักทำกะไรกับพี่ก็สุดแต่ออเจ้า เพราะทั้งกายพี่แลใจพี่เป็นของออเจ้าหมดแล้ว เข้าใจฤา?"

        "แหม~เชื่อเค้าเลย" เกศสุรางค์บิดหน้ายิ้มย่อง

        "เชื่อก็ดีแล้วหนา"

        "โฮะ..เอาเหอะ ขึ้นเรือนกันเถอะค่ะ แล้วคุณพี่ไม่สนจะย่ำยีน้องสักหน่อยรึเจ้าคะ" ร่างโปร่งเบียดเข้าหาจันทร์วาด

        "พูดอะไรเช่นนั้น มิสมควร" จันทร์วาดทำเสียงดุ

        "ตอนนี้ไม่มีอะไรไม่ควรแล้วล่ะค่ะ!"

        "ตอนนี้ไม่ได้ พี่ต้องเร่งกลับวังนอก"

        "แล้วได้ตอนไหนล่ะคะ?"

        "วันที่พี่ไปตบแต่งออเจ้า"

        "โห๊ย! ขุ่นพี่ง๊า!"

        "ฤาจักไม่เอา?"

        "ก็ได้เจ้าค่ะ.."

       **ยัยคุณจันทร์วาดเอาเปรียบ ฝากไว้ก่อนเถอะ..**

    ((จบตอนที่ ๑๕))

    --------------------------------
    ขุ่นพรี่ -//////- ไรท์ไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ไรท์แต่งแล้วหน้าแดง 555555 ตบแต่งกันเมื่อไหร่คุณพี่ตายแน่ 
    ยังไงขอฝากฟิคไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ รักรีดทุกผู้...ขอบน้ำใจนะเจ้าคะ //กราบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×