ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บุพเพสันนิวาส (สินสอด ทองหมั้น)
ตอนที่ ๑๔ : บุพเพสันนิวาส (สินสอด ทองหมั้น)
หลังการทำบุญขนทรายที่วัด เรือแจวพายเลี้ยวเข้าจอดเทียบท่าเรือนไม้ใหญ่ คุณหญิงนิ่มที่ยืนรอรับลูกสาวอยู่ที่ท่าอย่างกังวลเห็นก็รีบเดินลี่เข้าหาพร้อมกับร่มใบใหญ่กางป้องน้ำค้างที่เริ่มลงในเวลากลางคืน
"แม่จันทร์วาดฉไนจึ่งกลับเรือนดึกดื่นกระนี้ แม่เป็นห่วงแทบแย่ รู้ฤา?"
ยังไม่ทันขึ้นท่าคำติติงก็ดังลอยมาเสียแล้ว เกศสุรางค์เห็นก็ทำหน้าจ๋อยเหมือนรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้จันทร์วาดต้องกลับดึกจนถูกดุ
"ลูกขอประทานโทษเจ้าค่ะ..เผอิญลูกเดินชมตลาดเพลินไปหน่อย" เรือจอดสนิทจันทร์วาดก็รีบกล่าวทูลความแก่ผู้เป็นแม่ที่ยืนหน้านิ่ว
นังเหมือนและนังบุญเร่งขึ้นบนท่าเพื่อช่วยพยุงแม่หญิงลุกจากเรือที่โคลงเคลงด้วยกระแสน้ำ เมื่อจันทร์วาดขึ้นฝั่งแล้วก็หันกลับไปกล่าวลาคนที่อุตส่าห์มาส่งถึงเรือน
"ขอบพระคุณคุณพี่เดชมากเจ้าค่ะ ที่อุตส่าห์มาส่งข้าถึงเรือน" มือน้อยประนมไหว้ชายหนุ่มพร้อมยิ้มพรายน่ารัก
ขุนศรีวิสารวาจาเผยยิ้มที่มุมปากพร้อมพยักหน้าตอบรับคำขอบคุณด้วยใจใคร่เอ็นดูแม่หญิงสูงศักดิ์ที่เขารักเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
เห็นสองคนส่งสายตาใส่กันแบบนี้ เกศสุรางค์ก็รู้สึกหมั่นไส้ยังไงไม่รู้ แต่ก็พยายามข่มจิตข่มใจให้ร่มๆเข้าไว้ เพราะอยู่ต่อหน้าคุณหญิงนิ่ม ทำได้ก็แค่เพียงส่งกระแอมเล็กๆน้อยๆพร้อมเหล่หางตามองเป็นนัยๆ "แค่ก..แค่ก! อะแฮ่มๆ"
"เป็นกะไรแม่การะเกด..หากไอเพราะน้ำค้างลงก็กางร่มเสีย" เสียงเข้มเอ่ยสร้างความไม่พอใจให้แม่สาวจอมแก่นอย่างแรง เกศสุรางค์ถลึงมองค้อนชายหนุ่มตาแทบถลน
**ชิ..อีตาขุนส่งสายตาหวานเยิ้มใส่แฟนคนอื่น นิสัยเสียที่สุด..พี่จันทร์วาดนี่ก็จริงๆ ไปยิ้มหวานใส่เขาก่อน**
หัวเรือก็เริ่มหันเบี่ยงข้างเกศสุรางค์ได้นั่งหน้าเรือปะทะลมเย็น ส่วนจันทร์วาดก็มองตามร่างโปร่งบนเรือที่ค่อยๆพายห่างออกจากท่าจนสุดระยะสายตา
"น้ำค้างลงแล้วขึ้นเรือนเถิดหนาลูก"
"เจ้าค่ะ"
จันทร์วาดและคุณหญิงนิ่มหยุดเดินที่กระไดเรือน นังเหมือนและนังบุญช่วยกันเปิดฝาโอ่งใช้กระบวยกะลามะพร้าวตักน้ำล้างเท้าให้เจ้านายที่กำลังจะขึ้นเรือนพักผ่อน
ด้านเรือนออกญาโหราธิบดี เรือที่เพิ่งจอดถูกผูกไว้ที่เสาริมท่า เกศสุรางค์เดินตามขุนศรีวิสารวาจาขึ้นเรือนด้วยใบหน้างอหงิก
ปึก!
"โอ๊ย!?" เด็กสาวที่เดินกะเร่อกะร่าคิดเรื่องอื่นชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่จู่ๆก็หยุดเดิน "จะหยุดก็บอกกันหน่อยสิคะ?"
"คิดว่าข้ามิรู้ฤา?" คิ้วเข้มยาวเฉียงลับกับใบหน้าคมขมวดเข้าหากัน
"เรื่องอะไรคะ?" เกศสุรางค์มองท่าทีขึงขังของอีกฝ่ายอย่างหวาดๆ
"ออเจ้ารักแม่หญิงจันทร์วาดใช่ฤา?"
ทั้งเรือนตกอยู่ในความเงียบ ทาสบริวารทั้งหลายเห็นนายกำลังเคร่งเครียดก็รีบหลีกหนีหัวหดไปคนละทิศละทาง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจใคร่รู้ พวกบ่าวบางส่วนยังแอบอยู่ตามหลังเสาหลังกำแพงเพื่อรอฟัง
"ทำไมคุณพี่ถามแบบนี้ล่ะคะ?" เกศสุรางค์หน้าถอดสีกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก็สิ่งที่ขุนศรีวิสารวาจาพูดมันเป็นความจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบออกไปอย่างไรถึงจะดี
"ออเจ้าพาแม่จันทร์วาดขี่ม้ารอบเมืองเสียปานนั้น เหตุใดข้าจักมิรู้" เสียงเข้มถูกปรับให้เบาลง เพราะเขากลัวใครจะมาได้ยินเข้า แต่ก็ไม่พ้นหูพวกบ่าวที่ตั้งอกตั้งใจแอบฟัง
ปกติถ้าถูกกล่าวหาในเรื่องไม่จริง แม่สาวคนนี้ก็ต้องเถียงไม่ยอมหยุดปาก แต่คราวนี้กลับปิดปากเงียบชวนให้สงสัยยิ่ง ร่างสูงค่อยๆขยับเข้าใกล้เด็กสาวซึ่งถอยขยาดออกเพื่อรักษาระยะห่าง
"ล..แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณพี่ด้วยล่ะคะ?" เกศสุรางค์พูดกระตุกกระตักแต่ก็พยายามตีหน้าเฉยกลบเกลื่อน "ข้าจะขี่ม้ากับพี่จัน..เอ่อ..แม่หญิงจันทร์วาดแล้วคุณพี่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ?" ปากเถียงแต่ก็กลัวโดนดุ เกศสุรางค์ไม่กล้าแม้จะสบตาชายหนุ่มตรงๆ ได้แต่เหลือบมองเป็นครั้งคราวเพื่อดูเชิงเท่านั้น
"มันอาจจะมิเกี่ยวกับข้าดอกหนาแม่การะเกด" ขุนศรีวิสารวาจาหยุดเดินต้อน หน้าคมเข้มและเสียงดุเมื่อตะกี้ แสดงความอ่อนโยนผิดจากเมื่อครู่ "ข้าเพียงอยากได้ยินความจริงจากปากของออเจ้า..หากออเจ้ารักผู้อื่นที่มิใช่ข้า..ข้าจักได้เร่งทำใจไว้เสียแต่บัดนี้ ก่อนที่หัวใจข้าจักหลงรักออเจ้ามากเกินรั้งกลับ"
คิดไม่ถึงว่าคนที่ดุเช้าด่าเย็นจะพูดอะไรที่อ่อนโยนแบบนี้ เธอได้แต่ยืนนิ่งกลอกตาไปมาเพื่อหลบแววตาอ้อนวอนนั้น "ข..ข้าขอตัวนะเจ้าคะ" เกศสุรางค์ค้อมตัวเล็กน้อยยามเดินผ่านชายผู้ชื่อว่าเป็นคู่หมาย ก่อนเชิดร่างระหงให้เดินท่าปกติตรงเข้าหอนอนไปเงียบๆปล่อยให้ขุนศรีวิสารวาจายืนครุ่นคิดอยู่เช่นนั้น
ร่างโปร่งเดินเร็วจนชายสไบสีทองปลิวสะบัดไปโดนสองบ่าวที่นั่งรออยู่หน้าห้อง ก่อนมือเรียวจะดึงปิดประตูลงกลอนโดยไม่สนใจอะไร สร้างความงุนงงให้นังผินและนังแย้ม
"แม่นายเป็นกะไรอีกวะ?" นังแย้มถามเสียงเบาปานกระซิบ
"ข้าก็รู้พอๆกับที่เอ็งรู้นั่นแหล่ะวะอีแย้ม" ร่างอวบตอบสายตายังคงเหลือบดูประตูปิดสนิทเป็นระยะ
"อย่างไรวะ?"
"ก็มิรู้ไง..เอ็งนี่ก็ถามประหลาด"
"เอ้า! อีนี่มิรู้ก็บอกว่ามิรู้สิวะ จักพูดให้เข้าใจยากไปใย"
ภายในห้องร่างระหงล้มตัวลงนอนทอดกายยาวบนเตียง พลางพลิกไปพลิกมาไม่อยู่สุข ใจยังกระวนกระวายแอบด่าตัวเองในใจที่ไม่กล้ายอมรับไปตรงๆ "จู่ๆมาถามอะไรแบบนี้ ใครมันจะไปตอบได้วะ"
............................................................
ณ เรือนไม้ใหญ่ที่เคยเป็นของออกญาโกษาธิบดี คุณหญิงนิ่มเข้าไปหาลูกสาวถึงหอนอนพร้อมยิ้มให้ด้วยเมตตาก่อนนั่งลงที่พลับพลาข้างเตียงนอน
"คุณแม่เจ้าคะ? มาหาลูกเพลานี้มีเรื่องอันใดฤาเจ้าคะ?" จันทร์วาดรีบลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง
"จันทร์วาด..แม่กรึกรองดูแล้ว.."
"? เรื่องอันใดเจ้าคะ?"
"ลูกกับแม่การะเกด..ได้ร่วมเตียงเคียงหมอนกันแล้ว วันพรุ่งแม่จักไปหารือกับท่านออกญาแลคุณหญิงจำปาเรื่องนี้"
"ว่าอย่างไรหนาเจ้าคะ!?" จันทร์วาดลุกพรวดขึ้นยืนจนนังเหมือนและนังบุญคลานถอยออกแทบไม่ทัน จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ตกใจก็ไม่เชิงเพราะลึกๆก็แอบดีใจที่คุณหญิงนิ่มไม่มีทีท่าขัดขวาง แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องที่จะหารือกันวันพรุ่งเป็นเรื่องร้ายดีอย่างไร
"แม่จันทร์วาด?" คุณหญิงนิ่มยิ้มแหยๆปนหัวเราะเสียงเจื่อน พลางไล่ตามองร่างน้อยแต่หัวจรดเท้าด้วยไม่เคยเห็นลูกสาวทำกิริยาเช่นนี้
"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ" พอตั้งสติรู้ตัวจันทร์วาดยิ้มแห้งตอบก่อนค่อยๆนั่งลงอย่างเดิม "แล้ว..คุณแม่จักคุยกับออกญาท่านเรื่องอันใดฤาเจ้าคะ?"
หญิงที่แม้จะสูงวัยแต่ก็ยังคงรูปงามไม่เปลี่ยน คุณหญิงนิ่มหลุบตาลงต่ำพร้อมถอนหายใจแผ่วๆ "ลูกอยากออกเรือนกับแม่การะเกดฤา?"
"ออกเรือนฤาเจ้าคะ!?" หญิงสูงศักดิ์แสดงความดีใจออกนอกหน้า แต่พอคิดถึงว่าหากออกเรือนกับหญิงด้วยกันมิวายโดนติฉินนินทากันทั่วพระนคร
"บัดนี้ข่าวลือเรื่องออเจ้าคงดังไปถึงเมืองสองแควแล้วกระมัง" คุณหญิงนิ่มส่ายหน้าเอือมระอา เพราะรู้ชะตาว่าลูกสาวคงต้องเทื้อคาเรือนด้วยข่าวลือ "หากตบแต่งให้เอิกเกริกมีหวังลามไปยันเมืองล้านนา"
"แล้วจักต้องทำเช่นไรเจ้าคะ?"
"ไว้วันพรุ่งค่อยคุยกันที่เรือนท่านออกญาเถิดหนา"
.........
เวลาสายหลังกินข้าวเสร็จขุนศรีวิสารวาจาได้ขอให้ออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปาให้ไปรวมกันที่ศาลาน้อยกลางเรือน เขามองไปรอบๆหาเด็กสาวที่วันนี้น่าจะกลัวความผิดจนไม่กล้าออกมารับข้าว ก่อนหันกลับมาเพื่อทูลความ
"มีกะไรฤาพ่อเดช? จึงได้เรียกพ่อกับแม่มาประชุมฉะนี้?" ออกญาโหราธิบดีถาม
"เรื่องแม่การะเกดขอรับ" สีหน้าแววตาของขุนศรีวิสารวาจาแสดงออกถึงความกลัดกลุ้มชัดเจน "นางคงกลัวถูกคาดคั้นจึ่งมิยอมออกจากหอนอน"
"เกิดกะไรขึ้นฤา? เหตุใดจักต้องคาดคั้นเอาความจากนาง?" ได้ยินดังนั้นคุณหญิงจำปาก็ไม่สบายใจรีบเอ่ยปากถามอย่างกังวล ก็รู้อยู่แล้วว่าหลานสาวคนนี้นั้นเป็นจอมก่อเรื่อง สงสัยคงจะไปทำอะไรผิดให้ปวดกระบาลอีกเป็นแน่
"เรื่องนางกับแม่หญิงจันทร์วาดขอรับ"
"เรื่องนั้นแม่ก็พอรู้ คนเขาลือเสียให้ทั่วป่านนี้ข่าวยังไม่ซาลงเลย" หญิงสูงอายุถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
"แต่ครานี้ลูกเห็นกับตาเลยขอรับคุณแม่ นางแลแม่หญิงจันทร์วาดนั่งขี่ม้าไปด้วยกันขอรับ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม
"ขี่ม้า? ผู้หญิงทุกคนก็ต้องขี่ม้ามิใช่ฤา"
"มิใช่ขอรับนางขี่ม้าเทศสีขาวพลันกอดพลอดรักกับแม่หญิงจันทร์วาดขอรับ ลูกจึงคิดว่า.."
"กะไรหนา!?" คุณหญิงจำปาเกิดอาการลมจับแทบจะล้มเป็นลม มืออวบอูมถูกเอามากุมไว้ที่อกอย่างใจหาย "โอ้ย..ข้าจะเป็นลม"
นังปริกและนังจวงรีบคลานเอายาหอมและยาดมมาให้ร่างอวบที่ทำท่าโงนเงนหายใจลำบาก "คุณหญิงเจ้าขา!!?"
"ข้าไม่เป็นไร..ว่าต่อเถิดพ่อเดช แล้วจักลงโทษนางอย่างไร"
"กระผมมิได้คิดจักลงโทษนางขอรับ..แต่"
"ท่านขุนขอรับ!" หนุ่มน้อยวิ่งเข้ามาขัดจังหวะการคุยพร้อมประนมมือไหว้ "คุณหญิงนิ่มกับแม่หญิงจันทร์วาดมาขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจคิดไว้ในใจว่าจะไปเชิญทั้งคู่มาร่วมสนทนาด้วยอยู่เดิมแล้ว จึงรีบเอ่ยปากให้บ่าวชายไปต้อนรับแล้วพาขึ้นเรือน
"ข้าไหว้จ่ะท่านออกญา..คุณหญิงจำปา" คุณหญิงนิ่มที่เพิ่งจะออกทุกข์หลังสามีสิ้นเดินเข้านั่งที่พลับพลาว่างพร้อมด้วยลูกสาวที่กล่าวไหว้ทักทายผู้ใหญ่
"เรากำลังคุยกันเรื่องหนูจันทร์วาด มาก็ดีแล้วแลหนา" คุณหญิงจำปาบอกทั้งยังตื่นตะลึงไม่อยากเชื่อว่าแม่หนูที่เรียบร้อยประดุจผ้าพับไว้จะทำเรื่องผิดผีวิปลาสแบบนี้
"เอ่อ..แล้วมานี่มีเรื่องอันใดฤาแม่นิ่ม?" ออกญาโหราธิบดีซึ่งเป็นผู้ฟังที่ดีและนั่งเขียนกระดานชนวนมาครู่ใหญ่เริ่มมีเสียงพูดขึ้นมาครั้งแรก
"เรื่องแม่การะเกดเจ้าค่ะ" คุณหญิงนิ่มตอบพลางหันไปมองลูกสาว "แม่จันทร์วาด.."
"เจ้าค่ะ..คือข้าก็พอจักได้ยินอยู่บ้างเรื่องข่าวลือระหว่างข้ากับแม่การะเกด แลข่าวนั้นอาจเป็นเหตุให้ข้าแลแม่การะเกดถึงกับขายมิออก" นัยน์ตาสีนิลเข้มมองคุณหญิงจำปาเป็นหลัก เพราะมีทีท่าผ่อนคลายกว่าคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกกดดันน้อยสุดและง่ายต่อการพูด "ข้าจึงคิดจักแก้ไขข้ออันเป็นเหตุเกิดในเรื่องนี้เจ้าค่ะ"
"พูดมากรงๆเถิด..แม่จันทร์วาด หากออเจ้าเอาแต่กล่าวอ้อมค้อมเช่นนี้ พวกเราก็มิเข้าใจความที่ออเจ้าหมายจักบอกดอกหนา" เป็นจังหวะเดียวกันที่ออกญาโหราธิบดีเขียนกระดานชนวนเสร็จ เสียงแหบด้วยอายุมากของขุนนางระดับสูงเอ่ยบอกแม่สาวตรงหน้าอย่างอาดูร
ทุกสายตาจับจ้องจันทร์วาดเป็นตาเดียว จนร่างน้อยนั่งเกร็งแต่ด้วยตั้งใจจะพูดแล้วก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนตัดสินใจพูด "ข้าคิดจักออกเรือนกับแม่การะเกดเจ้าค่ะ"
เคร้ง~
เสียงตลับทองเหลืองตกกระทบพื้นทำให้ยาหอมและยาดมหกเกลื่อน คุณหญิงจำปายกมือขึ้นกุมอกพร้อมทิ้งกายเอนลงบนหมอนอิงแล้วหายใจถี่
ขุนศรีวิสารวาจาและออกญาโหราธิบดีหันทำหน้าตื่นใส่กัน ก่อนชายสูงอายุจะถอนหายใจพร้อมเอื้อมมือมาจับคางครุ่นคิด "แล้วเหตุใดออเจ้าจึงอยากออกเรือน..ก..กับนางเล่า?"
"คือ..ข้ากับนาง..." จันทร์วาดนั่งพับเพียบก้มหน้า มือน้อยจับกำผ้าถุงไหมมัดหมี่ย้อมครามตรงจุดสงวน ก็ถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับชายหนุ่มและคนที่เคยมีลูกแล้วอย่างออกญาท่านและคุณหญิงจำปา
"โอย.." คุณหญิงจำปาอุทานเสียงแผ่ว
"หลายคราแล้วฤา?" พอขุนศรีวิสารวาจาถาม ออกญาโหราธิบดีก็ทุบดินสอหินลงบนกระดานชนวนเสียงดังปัง
"พ่อเดช!" เห็นจันทร์วาดก้มหน้างุดเอียงอาย ออกญาโหราธิบดีก็ฉุนลูกชายหนัก "ลูกเป็นพี่ หาควรถามน้องที่เป็นหญิงเช่นนั้นไม่!?"
"ข..ขอประทานโทษขอรับ"
"ขอโทษด้วยนะหนูจันทร์วาด ออเจ้าออกไปก่อน เรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่คุยกันเองเถิดหนา"
"เจ้าค่ะ..คุณลุง" มือน้อยประนมไหว้ก่อนเดินเข่าถอยหลังออกจากวงสนทนาแล้วเดินหลีกไป
พอเห็นว่าจันทร์วาดเดินหลีกไปไกลมากพอแล้ว ออกญาโหราธิบดีก็ยกกระดานชนวนขึ้นตั้งฉากให้พอดีกับระดับสายตา พร้อมเม้มบดริมฝีปากครุ่นคิดหนัก
"มีกะไรฤาเจ้าคะท่านออกญา?" คุณหญิงนิ่มถาม
"นั่นซิเจ้าคะคุณพี่"
"ข้าได้ตรวจดูดวงชะตาของแม่หนูจันทร์วาดกับแม่การะเกดแล้วหนา.."
"แล้วได้ความว่าอย่างไรขอรับ?" ขุนศรีวิสารวาจาถามหน้าขรึมเคร่ง
"นางสองคนเป็นคู่บุพเพสันนิวาสกัน"
ทั้งวงสนทนาตกอยู่ในความเงียบ คนที่ดูจะอาการหนักสุดก็คือคุณหญิงจำปาที่เอาแต่ดมยาหอมแก้อาการวิงเวียน
"ต่อให้เราขัดขวางอย่างไร พวกนางก็จักได้ครองคู่กันในที่สุดอยู่ดี"
"แล้วเราควรทำเช่นไรเล่า?" คุณหญิงจำปาถาม
"ก็ต้องทำให้มันถูกต้องแลหนา.."
.....................................................................................
ร่างระหงนอนนิ่งเอนหันหลัง
น้ำเนตรหลั่งพรั่งไหลนองพักตร์สวย
ไร้ชีวาไป่สดใสแรงระรวย
จิตตรมป่วยคิดถึงเธอผู้เดียว
"แม่นาย..ลุกขึ้นมารับข้าวสักหน่อยเถิดหนาเจ้าคะ" นังแย้มยกสำรับใส่ขันโตกมาวางไว้ข้างเตียงแล้วอ้อนวอนคนที่เอาแต่นอนนิ่ง
"เอาไปเหอะพี่ ข้าไม่อยากกิน"
"กินสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" มือหยาบกร้านงานจับแขนเนียนเขย่าเบาๆ
"ข้าจะกินลงได้ไงพี่ ข้าโดนจับได้แล้วนะว่าแอบกิ๊กกับพี่จันทร์วาด" เกศสุรางค์พูดเสียงเอื่อยพร้อมถอนหายใจอย่างรินโรยและกลัวความผิด "ถ้าเรื่องนี่แดง..พี่จันทร์วาดก็มีหวัง..เห้อ"
"แต่ว่า..อ๊ะ?"
นังแย้มเหลียวหลังก็เห็นหญิงสูงศักดิ์ห่มสไบม่วงเข้ากับผ้าถุงสีครามจีบหน้ารีดเข็มขัดทองสุก ยืนง่าเงยอยู่ใกล้ๆ ด้วยเป็นบ่าวจึงรีบถอยขยาดออกมานั่งก้มหัวให้
จันทร์วาดพยักหน้ารับความเคารพนั้น แล้วปัดมือบอกให้นังแย้มออกจากหอนอน ถึงประตูห้องจะเปิดอยู่แต่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่นอกจากนางกับเจ้าของห้อง ร่างบางค่อยๆนั่งลงบนพื้นที่มีขันโตกวางสำรับข้างเตียงนอน พลางเอื้อมจับแขนเกศสุรางค์พร้อมมองด้วยเอ็นดู
"ข้าไม่หิวพี่แย้ม..ยกสำรับออกไปเหอะ" เกศสุรางค์บิดแขนออกจากอีกคนด้วยคิดว่าเป็นบ่าว ก่อนฉุกคิดได้ว่ามือของนังแย้มไม่น่าจะนุ่มแบบนี้ หากจะเป็นใครก็คงจะต้องเป็น.."คุณพี่!?"
ร่างโปร่งพลิกตัวมาก็เห็นดวงหน้ารูปไข่ของจันทร์วาด ที่ตั้งใจยื่นเข้ามาจ่อมองอยู่ห่างกับหน้าเธอแค่คืบ พวงแก้มเนียนค่อยๆแดงระเรื่อจนสุกปลั่งเป็นลูกตำลึงด้วยสั่นไหวกับนัยน์ตาสีนิลที่ดึงดูดจิตและสำนึกทั้งหมดให้หลงใหล
"เป็นอันใดอีกฤาออเจ้า?" กลีบปากสวยขยับเปล่งเสียงถามแผ่วเบา ตาหวานยังคงสบประสานชวนให้คิดรัก หากขยับสักนิดก็คงได้จูบกันแน่
เกศสุรางค์ดวงตาสั่นไหวหูอื้อหน้าชาไปด้วยความอาย พลางกัดเคี้ยวริมฝีปากเพื่อข่มความรู้สึก
เห็นแม่แสนซนยอมสยบจันทร์วาดก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยย่ามใจ ปากว่าแน่แต่เจอคนเอาจริงก็ไม่กล้า คิดดังนั้นแล้วหญิงสูงศักดิ์ก็ขยับเรียวหน้าเข้าชิดมอบจุมพิตรสหวานหอมประหนึ่งเกสรดอกไม้ที่ผลิบานเต็มที่ ไม่ว่าจะได้ลิ้มลองสักกี่ครั้งกี่คราก็ทำให้รู้สึกหวามอกได้เสมอ
สองร่างพลันลุกขึ้นนั่งเทียมกันบนเตียงนอน อารมณ์นำพาให้เกศสุรางค์ยอมรับลิ้นอุ่นๆที่ใคร่ปรารถนาจะลองลิ้มชิมรสเสียให้ทั่ว จูบครั้งนี้ช่างเนิ่นนานและดูดดื่มมากขึ้นทุกที ทั้งคู่ต้องคอยกลืนน้ำผึ้งหวานลงคอด้วยกลัวจะเลอะเปรอะออหมาข้างนอก จนทุกครั้งที่หายใจอย่างยากลำบากก็จะมีเสียงครางอึงอื้อในลำคอปนออกมา แต่ก็คุ้มค่าที่ได้กลืนกินอยู่กับความชุ่มฉ่ำที่ใจโหยหารอคอย
"..ค..คุณพี่" เสียงแผ่วเอ่ยขึ้นทันทีที่ริมฝีปากฉ่ำเรื่อถูกถอนออก เกศสุรางค์อายมากจนหน้าแดงหนักลามไปถึงหู กิริยาดีดกะโหลกไม่เหลือให้เห็นอีก เพราะวินาทีนี้เหลือเพียงภาพของแมวน้อยเชื่องๆตัวหนึ่งที่สยบอยู่ในบ่วงกอด
"พี่คิดถึงออเจ้าหนา" แขนเรียวดึงกระชับให้อีกฝ่ายเข้าแนบชิดกายพร้อมกระซิบเบาบางด้วยน้ำเสียงยั่วยวน
"เวอร์น่า เพิ่งเจอกันเมื่อวานเองนะเจ้าคะ" คนเสียเปรียบบิดตัวไปมาอย่างเอียงอาย พลางเหลือบมองสายตาหวานเชื่อมฉายแววคุกคาม
"พี่ขอสักครั้งได้ฤา?" จันทร์วาดไม่อดทนรอคำตอบ พลันซอกไซร้ปลายจมูกหอมชมกลิ่นคอระหงที่บิดขัดขืน แต่เกศสุรางค์ก็ไม่กล้าดิ้นแรงเพราะเกรงจะพลาดไปทำร้ายอีกคน
"ไม่เอาเจ้าค่ะ!" มือเรียวผลักไหล่ดันคนที่ดูจะหิวกระหายให้ออกห่าง "ไว้ทีหลังนะเจ้าคะ"
"ทำไมเล่า..?" ดวงตากลมมองอ้อนถามอย่างเสียดาย แต่เพราะสังเกตออกว่าเกศสุรางค์ดูจริงจัง จึงไม่ดื้อดึงที่จะคุกคามต่อ
"ประตูก็ไม่ได้ปิดแถมคนก็อยู่เต็มเรือนยังจะมีอารมณ์อีก" เกศสุรางค์ตีแก้มจันทร์วาดอย่างหมั่นไส้ก่อนบิดตัวออกจากอ้อมแขน "บ้า.."
"หากมิยอมให้พี่..ก็หอมแก้มพี่สักทีเถิดหนา" จันทร์วาดพูดพลางเอียงแก้มเข้าหาเกศสุรางค์
"ชิ.." เกศสุรางค์ลอบเบ้ปากใส่คนขี้อ้อน ก่อนยื่นหน้าเข้าหอมแก้มนวลนิ่มที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วยแป้งร่ำ "แค่นี่ก็เอาเนอะ ไว้คราวหน้าข้าจะเอาคืนให้เข็ดเลย"
"หากลัวไม่" จันทร์วาดกระตุกยิ้มแล้วแอบหน้าแดงนิดๆ
"ข้าไม่ได้พูดเล่นนะคะ เดี๋ยวเหอะ..คอยดูก็แล้วกัน"
"แม่การะเกด..แม่จันทร์วาด" ขุนศรีวิสารวาจาที่ยืนมองสองหญิงมาพักหนึ่งแล้วตัดสินใจเอ่ยเรียก "คุณพ่อเรียกหาออเจ้าทั้งสอง"
จันทร์วาดกับเกศสุรางค์หันทำหน้าจืดเจื่อนแก่กัน ก่อนทอดตาลงต่ำเดินผ่านชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูไป
"หากมีคนที่รักออเจ้ามากเพียงนี้ ข้าก็สุดจักฉุดรั้งออเจ้าแล้วแล แม่การะเกด.." หน้าคมเข้มฉายแววเศร้าหมองมองตามแผ่นหลังที่เขามักจะแอบมองอยู่บ่อยๆด้วยจิตคิดอาลัย
ฝั่งออกญาโหราธิบดียังคงนั่งรอหลานสาวทั้งสองอย่างขรึมเงียบ
"คุณลุงเจ้าคะ เรียกข้าฤาเจ้าคะ" เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เกศสุรางค์เดินนำจันทร์วาดไปนั่งบนพลับพลาไม้ตัวเดียวกัน ตาคมพลางกราดมองแต่ละผู้ที่จ้องเธอกับคนข้างๆราวกับเป็นตัวประหลาด
"เข้าเรื่องกันเลยหนา วันนี้แม่จันทร์วาดมาคุยกับลุง ว่าด้วยจักมาสู่ขอออเจ้า"
"ห๊ะ!! สู่ขอ!?" เกศสุรางค์อึ้งสนิทหันมองจันทร์วาดทั้งอ้าปากค้าง "ค..คุณพี่เล่นใหญ่มากเลยนะเจ้าคะ"
คุณหญิงจำปาได้ยินคำที่เกศสุรางค์ใช้เรียกจันทร์วาดก็ยิ่งมั่นใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ "ดังนั้นแลแม่การะเกด" นางเอ่ยพร้อมส่ายหน้าระอา
"ก่อนหน้า..พ่อเดชได้เกียมเงินสินสอดไว้ร้อยชั่งให้แม่การะเกด..แต่หากตอนนี้เงินพวกนั้นคงเป็นหมันไปเสียแล้วหนา" โหรชายเอ่ยเชิงลองใจคนที่มาสู่ขอหลานสาวว่าจะกล้าเกทับค่าสินสอดที่แพงมากขนาดนี้รึเปล่า เพราะเงินร้อยชั่งนี้สำหรับคนที่ถูกริบราชบาทว์ไปเกือบสิ้นก็ถือว่ามากโข
"เอ่อ..ท่าน.." คุณหญิงนิ่มหน้าเสียเหลือบมองลูกสาว
"สำหรับแม่การะเกด ข้าจักใช้เงินสองร้อยชั่งแลสร้อยแหวนกำไลอีกสองหาบเป็นสินสอดทองหมั้นเจ้าค่ะ"
คนที่ได้ยินก็ถึงกับตะลึงงันกับค่าสินสอดมากมายที่จันทร์วาดเสนอ แต่คนที่จะคิดหนักสุดคงเป็นคุณหญิงนิ่มเพราะนางรู้ดีว่าสมบัติของมีค่าในเรือนทั้งหมดรวมกันยังมีค่าไม่ถึงร้อยชั่ง หากจะหาสินสอดมากเพียงนี้ก็มีแต่ต้องขายเรือนทิ้ง
"คุณพี่!.." เกศสุรางค์คิดไม่ต่างกับคุณหญิงนิ่ม เธอเข้าใจดีว่าจันทร์วาดไม่ได้มีสมบัติมากมายขนาดนั้น แต่คนอย่างนางไม่ใช่คนพูดอะไรไม่มีมูล ถ้าออกปากขนาดนี้ก็คงจะมีทางออกที่คิดไว้แล้วแน่ๆ
"ว่าอย่างไรแม่นิ่ม?" ออกญาโหราธิบดีแอบยิ้มนิดๆแล้วหันไปยิงคำถามใส่คนที่นั่งเหงื่อตกหน้าถอดสี "แต่งานแต่งอย่าทำให้เอิกเกริกมากเกินหนา ให้แต่งกันเงียยๆ..มิเช่นนั้นอาจถูกกร่นด่าเอาซึ่งมิเป็นการดี"
"เจ้าค่ะ"
"เอาล่ะ..ไว้ข้าจักหาฤกษ์วันดีให้ พวกหลานก็ปรึกษากันเรื่องเรือนหอเถิดหนา"
คุณพระช่วย..ถึงจะดีใจที่ได้แต่งงานกับคนที่รัก แต่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่ผู้หญิงจะแต่งงานกันในสมัยอยุธยาแบบนี้ แล้วทำไมจู่ๆทุกคนที่ดูต่อต้านกลับมีทีท่าสนับสนุนแบบนี้ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
"อย่าสงสัยเลยแม่การะเกด..ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุแลปัจจัย มิมีผู้ใดผิดฤาถูกดอกหนา" ออกญาโหราธิบดีพูดราวกับว่าอ่านใจแม่สาวน้อยออก จนเกศสุรางค์ไม่กล้าคิดอะไรต่อ
"จ..เจ้าค่ะ"
"เอาล่ะ..แยกย้ายกันกลับเถิด"
จันทร์วาดและเกศสุรางค์ลงจากเรือนใหญ่ไปที่เฉลียง เป็นเวลาสายแดดก็เริ่มจะแก่มากแล้ว ทั้งสองจึงออกปากชวนกันไปนั่งคุยต่อที่ศาลาไม้ริมน้ำ
"คุณพี่..ทำไมจะต้องไปเกทับค่าสินสอดแพงๆแบบนั้นด้วยล่ะคะ? น้องไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้นซะหน่อย"
"เงินสองร้อยชั่งแลทองพวกนั้น หาควรนำมาเปรียบเทียบกับออเจ้าไม่"
เกศสุรางค์ยืนมองท่าทางจริงจังของคนตรงหน้าเงียบๆ
"ออเจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก"
"แต่การที่คุณพี่จะตบแต่งกับข้า..มันอาจจะทำให้คุณพี่ต้องถูกครหาและเป็นการเสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลชั้นสูงนะเจ้าคะ" เกศสุรางค์เข้าใจสถานะของคนตรงหน้าดีจึงถามด้วยเป็นห่วง
"หากถูกนินทาว่าร้าย พี่ก็มิเคยหวั่นดอกหนา" จันทร์วาดจ้องลึกเข้าไปที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก่อนเอ่ยถ้อยวาจาเสียงหวานปนเศร้า "แต่ครั้นเมื่อคิดว่าจักต้องพรากไกลจากออเจ้า หัวใจพี่ก็สั่นสะท้าน..ราวกับคนตาบอด หูหนวก เป็นใบ้แลไร้ซึ่งแขนขาไม่มีทางไปฉะนั้น"
'ถ้าไม่รักนี่..อ้วกไปนานแล้วนะเนี่ย..'
"โว้ว.." เกศสุรางค์อึ้งสนิทกับคำพูดสุดซึ้งนั้น เธอค่อยๆตีความหมายที่จันทร์วาดหมายจะสื่อแล้วอมยิ้มอ่อนๆที่มุมปาก "คุณพี่กำลังจะบอกว่า..คุณพี่ขาดข้าไม่ได้ใช่มั้ยคะ?"
"เป็นดังนั้น" จันทร์วาดยิ้มตอบ "พี่มิอาจยอมให้จารีตทั้งหลายมาบดบังความรักที่มีต่อออเจ้าได้"
"ข้าเองก็เช่นกันค่ะ.." ถึงจะรู้ว่าข้างหน้ายังมีอุปสรรคขวากหนามรออยู่อีกมาก แต่เกศสุรางค์ก็เลือกที่จะเก็บเกี่ยวความสุขจากช่วงเวลานี้ โดยลืมสิ้นซึ่งความถูกผิดที่ผู้คนต่างพากันขีดสีตีกรอบกัรเอาไว้ เกศสุรางค์สวมกอดร่างน้อยพร้อมซบวงหน้าเรียวลงบนบ่า
"จันทร์วาด..กลับเรือนได้แล้วลูก" คุณหญิงนิ่มมีท่าทีอ่อนลงมากจากแต่ก่อนเดินเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"เจ้าค่ะ..พี่..กลับแล้วหนาแม่การะเกด"
"เจ้าค่ะ..ไว้เจอกันวันแต่งนะคะ" เกศสุรางค์ทำท่ากระดี้กระด้าตามประสา
"ออเจ้านี่หนา..เพิ่งเศร้าอยู่หลัดๆก็กลับมาดีดกระโหลกได้ดังเดิม"
"นี่แหล่ะค่ะคือตัวข้า..ชอบมั้ยล่ะคะ?"
"ฮึๆ รักเลยล่ะ.." คนพูดอมยิ้มนิดๆก่อนเหยียบเรือแล้วหย่อนตัวลงนั่ง เรือหันหัวออกจากท่าโดยมีเกศสุรางค์คอยยืนส่งบนท่าจอด
"แหม..ขยันหยอดจริงๆเลยนะเจ้าคะ" ร่างโปร่งยืนพึมพำอยู่คนเดียวทั้งรอยยิ้ม ตาคมมองตามเรือพายอยู่ครู่หนึ่งก่อนกลับหลังเดินเข้าเรือน
**แหม..จะไม่ให้ดีใจได้ไง จะได้ออกเรือนกับคุณพี่..จะว่าไปก็หิวแฮะ..ไปกินข้าวดีกว่า**
--((จอบตอนที่ ๑๔))--
ขุ่นพี่สู่ขอน้อง สายเปย์ใจป้ำ ป๋ามากกกกกก -///-
ตอนต่อไปมาลุ้นกันว่าจะหาสินสอดมาได้จากไหน
.......
กลับมาพระนครแล้วเจ้าค่ะ -////- ตอนนี้ฟิคใกล้ถึงตอนจบกันแล้ว สองคนจะออกเรือนกันแล้วเจ้าค่ะ จะอย่างไรช่วยเป็นกำลังใจให้สองนางด้วยหนาเจ้าคะ ไรท์เพลียมาก 555 ขอนอน
คิดถึงรีดมากสบายดีกันรึเปล่าคะ ไรท์หายต๋อมไปนาน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น