ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : คำมั่นสัญญา (ชมรำมะนาด)
คำเตือน : ตอนนี้มีเนื้อหาค่อนข้างยาว ๕๕๕๕๕
ตอนที่ ๑๓ : คำมั่นสัญญา (ชมรำมะนาด)
+--------------------------+
ถึง 'พี่จันทร์วาด'
ไพลพี่ฝนเยียวยาแผลกายน้อง
ประดุจป้องพิษภัยไปพ้นห่าง
สายแม่น้ำเปรียบประหนึ่งเป็นเส้นทาง
แยกเราห่างแผลใจรอพี่มา
ข้าโอเคแล้วค่ะพี่จันทร์วาด โอเคหมายถึงดีแล้ว แผลที่หลังหายดี แต่แผลใจไม่อยากจะเซด คิดถึงคุณพี่เจ้าค่ะ คุณพี่เป็นอย่างไรบ้างน้องก็ไม่รู้ เป็นห่วงนะคะ เทคแคร์ หมายถึงดูแลตัวเองดีๆค่ะ ข้านั่ง นอน ยืน เดิน นับวันรอพบคุณพี่จนเวียนหัวไปหมด คิดถึงนะคะ ด้วยรัก 'การะเกด'
+--------------------------+
เสียงขำปนกลั้นหัวเราะดังคิกคักหลังหญิงงามได้พิจารณาตัวอักษรบนจดหมายจนจบ มือเรียวเล็กยกขึ้นป้องปากมิให้เสียงขำขันดังจนเกินงาม ท่านั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าเรียบร้อย มองโดยรวมแล้วก็เป็นหญิงผู้ดีคนหนึ่งที่ไม่เคยต้องทำงานหนัก
ตลอดเวลาเกือบเดือนมานี้จันทร์วาดไหว้วานให้ไอ้จ้อยบ่าวเรือนออกญาโหราธิบดีมารับจดหมายและยาไปให้เกศสุรางค์พร้อมมอบสินน้ำใจให้ แล้วทุกเช้าก็จะมีจดหมายตอบกลับมาทุกวันด้วยสำนวนการเขียนชวนหัวร่อ
"แม้แต่เขียนยังอ่านมิค่อยรู้ความ" จันทร์วาดยิ้มแป้นด้วยเอ็นดู เพียงแค่อ่านลายมือใจก็จินตนาการถึงเสียงพูดของผู้เขียน "คิดถึงเหลือเกินแม่สาววาจาประหลาดของข้า"
"ฮัดชิ้ว! ใครนินทาเนี่ย..แต่ช่างเหอะไปเดินกินลมเล่นดีกว่า"
หลังจากถูกโบยเกือบเป็นเดือนแผลก็หายดีแล้ว เกศสุรางค์ก็กลับมาดีดกระโหลกร่าเริงเช่นเดิมราวกับเรื่องถูกโบยไม่ได้มีผลอะไรต่อเธอเลย วันนี้อากาศดีค่อนข้างเย็น เด็กสาวเดินกระโดดหน้าระรื่นวนไปวนมาบนเฉลียง ตาเรียวคมมองนกพลางใบไม้พลาง ก็สมัยอยุธยาไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว เน็ตกับสมาร์ทโฟนก็ไม่มี ก็ทำได้แต่เดินกินลมชมวิวเที่ยวตลาดไปวันๆ
"แม่การะเกด" ขุนศรีวิสารวาจาเรียกด้วยเสียงทุ้ม
"คุณพี่ขุนมีอะไรคะ?" เกศสุรางค์เลิกคิ้วยียวนตามประสา
"วันนี้จักมีงานแต่งที่วัดพระคริสตประจักษ์ออเจ้าอยากไปรือ?"
เกศสุรางค์ปรับหน้าตาเบิกโพลงด้วยอยากรู้ยากเห็น ถ้าเรื่องไปข้างนอกมีหรือเธอจะไม่อยากไป ยิ่งได้ยินว่าเป็นงานแต่งที่วัดคริสต์เด็กสาวก็กระโดดโลดเต้นใหญ่ "ไปสิคะ! งานแต่งงานของใครเหรอคะ?"
"ออกหลวงสุรสาครกับแม่มะลิสหายออเจ้า" ชายหนุ่มตอบ
"ห๊ะ! แม่มะลิเนี่ยนะ!?" ใครจะไปเชื่อลงก็เห็นแม่มะลิออกจากเกลียดเจ้าออกหลวงนั่นเสียมากๆ แต่ก็พอเดาออกว่าแม่มะลิคงจะถูกบังคับ "เอ่อ..แล้วมีใครไปบ้างเหรอคะ?"
"ไปกันเกือบทุกคน..ข้า ขุนเรือง หลวงศรียศ และก็..แม่หญิงจันทร์วาด" รายชื่อสุดท้ายถูกบอกด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปจากชื่ออื่น ขุนศรีวิสารวาจาหลุบตาลงต่ำเหมือนครุ่นคิดอะไร "จักไปรือ?"
"เจ้าค่ะ! อึ้ย! ดีใจ"
**แม่มะลิจะแต่งงาน..คงสวยน่าดู แถมจะได้เจอพี่จันทร์วาดด้วยคิดถึงสุดๆไปเลย**
.............................................................................
ณ วัดพระคริสตประจักษ์มีเสียงคุยดังจ็อกแจ็กจอแจ ผู้คนมากมายทั้งชาวอยุธยาและชาวต่างชาติต่างมารวมตัวกันเพื่อรอเข้าร่วมพิธีแต่งงาน
ร่างโปร่งเดินตามหลังกลุ่มชายหนุ่มพร้อมกราดตามองรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ "หูย..ฝรั่งเต็มเลย" ตอนกำลังตื่นเต้นอยู่นั้น ความสนใจของเธอก็ถูกดึงไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งแถวที่สองของโบสถ์ "คุณพี่จันทร์วาด"
"ออเจ้าเรียกแม่หญิงจันทร์วาดว่ากะไรหนา?" ขุนเรืองอภัยภักดีถามคิ้วขมวด เพราะได้ยินคำว่า 'คุณพี่' ไม่ผิดแน่
"เอ่อ...อุ้ย..แม่หญิงจันทร์วาด~" เกศสุรางค์ตีเนียนทำทีเดินเข้าไปทักทายจันทร์วาดที่นั่งอยู่
"แม่การะเกด" คนพูดยิ้มอย่างดีใจที่ได้เห็นหน้าคนรัก ใจอยากจะเรียกน้องแล้วเข้าสวมกอดไตร่ถาม แต่หากจะแสดงความห่วงหาต่อผู้คนมากมายไม่ได้ เพราะเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ต้องรักษากิริยาให้เหมาะสม "เชิญออเจ้านั่ง" เอวบางขยับถอยไปนั่งติดริมขอบก่อนใช้มือน้อยตบที่ม้านั่งข้างตัวเบาๆ
"เจ้าค่ะ คิกๆ" พอได้เจอหญิงที่คิดถึงมานานก็ระริกระรี้ใหญ่ รีบนั่งลงข้างๆพร้อมเอนกายแนบสนิทออดอ้อนโดยไม่สนใจคนรอบข้าง "ข้าคิดถึงแม่หญิงจันทร์วาดมากเลยเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจายืนดูพฤติกรรมของสองสาวอยู่นิ่งๆพักหนึ่ง ก่อนเดินเรียงกันนั่งที่แถวหน้าสุด เขารู้ดีมาตลอดว่าแม่หญิงสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธมันเพราะใจเขานั้นแอบหลงรักเกศสุรางค์อยู่
"ออเจ้าหายดีแล้วรือ?" จันทร์วาดถามด้วยห่วงใย
"อื้ม..ได้คนดูแลดีเจ้าค่ะ" สองมือแอบซ่อนประสานกุมกันแน่น พร้อมสบตากันสื่อความหมายอย่างรู้ใจ "คิดถึงนะคะ"
"ออเจ้าคุยกับข้าแบบปกติเถิดหนา" เสียงหวานเอ่ยปราม "หากผู้อื่นได้ยินมันจักมิงาม"
"เห้อ หัวโบราณเหมือนเดิม.." เกศสุรางค์เหลือบตามองบนพร้อมลอบเบ้ปากใส่คนข้างๆ
"อย่าไปสนใจนางเลยหนาแม่จันทร์วาด นางแค่พูดตามประสาคนวิปลาส" ขุนศรีวิสารวาจาแอบฟังสองสาวสนทนากันมาแต่เริ่ม อดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยขัดเสียให้แม่สาววาจาพิกลหยุดพูดเสีย
"ข้าไม่ได้บ้านะคะคุณพี่ขุน!" โดนกล่าวหาว่าบ้าใครจะไปทนฟังอยู่เฉยๆได้ เกศสุรางค์พูดเสียงขุ่นมองค้อนชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
"ข้าว่าหากนางบ้า นางก็เป็นคนบ้าที่งามที่สุดในพระนคร" หลวงศรียศออกปากพูดหลังนั่งเงียบอยู่นาน
"ฮ่ะๆ นั่นสิขุนศรีวิสารวาจา นางไม่ได้บ้า คนบ้าที่ไหนกันจักงามเช่นนี้" ขุนเรืองอภัยภักดีเหล่มองเด็กสาวหน้าบูดสลับกับสหายที่นั่งขมวดคิ้วเข้ม "ใช่รือ?แม่การะเกด"
"เจ้าค่ะ! ขุนเรืองนี่น่ารักจัง~" เด็กสาวม้วนตัวมองขุนเรืองอย่างดีใจเพราะพูดออกตัวปกป้องเธอ แต่ไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มส่งสายตากึ่งเกี้ยวพาใส่ "ขอบคุณนะคะ"
ฟรึบ!
เกศสุรางค์สะดุ้งโหยง หลังเสียงพัดพับรวบตีกระทบฝ่ามือนุ่มแสดงถึงความขุ่นข้องหมองใจของผู้ที่ถือมัน จันทร์วาดถอนหายใจฮึดฮัดด้วยดวงหน้างามเง้างอ ถึงพยายามเก็บอาการแต่ด้วยกิริยาโดยรวมมองแค่แวบเดียวก็ดูออกว่าแม่หญิงสูงศักดิ์กำลังไม่พอใจเอาเสียมากๆ
"อูย..เป็นอะไรไปเหรอ?" เกศสุรางค์ยิ้มแหยถามหยั่งเชิง
"หาเป็นอันใดไม่" จันทร์วาดเบือนหน้าหนีอีกคน พร้อมสะบัดคลี่พัดขึ้นมาขยับพัดวีช้าๆ ดูจากท่าพัดที่อ่อนช้อยเชื่องช้านั้นแล้วเกศสุรางค์ไม่เข้าใจว่ามันจะช่วยให้เย็นตรงไหน
"เอ๊า..อีกและ.." แน่นอนว่าถ้าอาการแบบนี้แม่หญิงต้องโกรธ เกศสุรางค์คนเซ่อนั่งหน้าจืด พร้อมคิ้วเรียวงามที่ขมวดชนกัน มองจันทร์วาดอย่างไม่เข้าใจ
"เป็นหญิงผู้ดีชะม้อยชะม้ายชายตาให้ชายไปทั่วเป็นกิริยาอันมิงาม" จันทร์วาดพูดเสียงประชดประชันเรียบๆอย่างกุลสตรีศรีอยุธยา พร้อมเหล่มองแม่จอมแก่นด้วยหางตา
"อ๊อ~หึง อาการแบบนี้เรียกหึงค่ะ สั้นๆได้ใจความ" ร่างโปร่งขยับเข้าใกล้คนงอนอย่างรู้ทัน ก่อนทำทีหยอกเย้าหยิกจับตามแขน "หายงอนนะค๊า"
จันทร์วาดเหลือบมองสาธารณะชนรอบด้านก่อนหันกลับมากัดฟันเค้นเสียงขู่พร้อมจ้องตาเขม็งใส่เด็กสาวด้วยโมโห "แม่การะเกด!" แม้นจะสอนว่าให้สงวนกิริยาแต่เกศสุรางค์ก็ดื้อดึงไม่เคยฟังหรือคิดจะทำตาม คนบอกก็หมดความอดทน
"ไม่เห็นต้องดุเลย.." เมื่อเห็นว่าอีกคนเลือกที่จะเมินเฉยเกศสุรางค์ก็คิดได้ว่าถ้าไปหาแม่มะลิ(มารี)สักหน่อยก็คงดี "เดี๋ยวมานะคะ หายโกรธเมื่อไหร่บอกด้วย"
ว่าแล้วร่างโปร่งก็เดินตรงเข้าไปในห้องเตรียมตัวของเจ้าสาว ก็เห็นมารียืนหน้าหมองกุมสร้อยกางเขนห้อยคออยู่เหมือนกังวลอะไรบางอย่าง โดยมีหญิงสาวสองคนคอยจัดแจงแต่งตัวให้ "แม่มะลิ.."
"แม่การะเกด!? ข้าคิดว่าออเจ้าจักมาไม่ได้เสียแล้ว" มารีดีใจเมื่อเห็นคนที่นางหลงรักมาหา ถึงแม้วันนี้นางจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับออกหลวงสุรสาครก็ตาม "ข้าได้ยินว่าออเจ้าถูกลงโทษเสียจนเจ็บไข้ ออเจ้าหายดีแล้วรือ?"
"ข้าสบายดีแล้ว เพื่อนแต่งงานทั้งทีข้าจะไม่มาได้อย่างไร" เกศสุรางค์ดูปลื้มมากที่เห็นเพื่อนรักจะได้แต่งงาน ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยชอบหน้าเจ้าบ่าวก็เถอะ
"เพื่อน..งั้นรือ?" คำพูดซื่อตรงทำเอาสาวลูกครึ่งหน้าเปลี่ยนเป็นซึมเซา แม้นเธอจะรักเกศสุรางค์มากเพียงใดก็ดูเหมือนจะส่งไม่ถึงกล่องดวงใจน้อยๆนั้นแม้แต่เส้นส่วนเสี้ยว
"แม่มะลิ..เป็นอะไร หืม?"
"ไม่เป็นอันใดดอก..คลาร่า..คลอเดียออกไปก่อน" มารีแสร้งยิ้มจืดเจื่อน สองมือพลางเอื้อมจับมือเรียวของเกศสุรางค์ "ออเจ้ามิโกรธข้ารือ? ที่แต่งงานกับออกหลวงสุรสาคร"
"โกรธ..." เกศสุรางค์ทำหน้ามุ่ยก่อนปรับหน้าอมยิ้ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าถอดสี "ซะที่ไหนเล่า ถึงข้าจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ข้ารู้ว่าแม่มะลิคิดดีแล้ว"
"อืม" มารียิ้มแห้งด้วยใจอาลัย นางสิ้นหวังที่จะประกาศความในใจให้คนตรงหน้าได้รู้ ร่างสูงระหงถอนหายใจเบาๆ "แม่การะเกด..ข้า"
เกศสุรางค์หยืดตารอรับฟังอย่างสนใจใคร่รู้ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงมือของอีกคนกำลังเชยคางเธอขึ้น และดวงตาเข้มคมคู่นั้นที่จ้องเธออย่างคุกคาม "ม..แม่มะลิ?"
"ข้าคงคิดถึงออเจ้านัก.." มารียิ้มน้อยๆก่อนหันควับไปมองอีกทางซึ่งคาล์ร่ากำลังเดินเข้ามา
"ต้องเตรียมตัวแล้วเจ้าค่ะ" คาล์ร่าเดินเข้ามาในห้องแจงความให้ฟัง
เกศสุรางค์ยิ้มแห้งๆ เร่งสาวเท้าเดินออกจากห้องตรงไปยังที่นั่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารีมีท่าทีแบบนี้ เธอก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามารียังมองเธอเป็นเพียงเพื่อนอยู่หรือเปล่า
"ไปไหนมา?" จันทร์วาดถามเสียงนิ่งแต่ก็ฟังดูผ่อนคลายลงจากเดิม
"หายโกรธข้าแล้วเหรอคะคุณพี่?" เกศสุรางค์เปลี่ยนโหมดยิ้มแป้นทันที ก่อนขยับเข้าเบียดร่างน้อยพร้อมมองอย่างออดอ้อน
คิ้วโค้งสวยขมวดยู่ชนกัน แล้วถอนหายใจยาวเอือมระอาก่อนยิ้มที่มุมปากด้วยอดเอ็นดูไม่ได้ "ออเจ้านี่หนา.." รู้ว่าห้ามไปก็เท่านั้นแล้วยังจะเสียแรงเปล่า จันทร์วาดจึงเลือกจะเก็บกลืนเอาคำดุด่าทั้งหมดทั้งมวลลงคอไป "พิธีการจักเริ่มแล้ว..อย่าระริกระรี้ให้มากนัก"
"ค่าๆๆ..นี่แฟนหรือแม่วะ" แม่ตัวแสบแอบลอบเบะปากใส่ แล้วเหลือบมองบานประตูใหญ่ที่เปิดออก ก่อนปรากฏภาพเจ้าสาวสวมเวลคลุมหน้าเดินสง่าเกาะแขนชายผิวเข้มเข้ามาในโบสถ์ เกศสุรางค์เผลออ้าปากค้างกับภาพอันงดงามอยู่ต่อหน้า ทำให้เก็บอาการสะดีดสะดิ้งไม่อยู่ "แม่มะลิ..สวยจัง!"
"ฮึ่ม.." เสียงกร่นขู่เบรกแม่สาวแก่นให้หยุดกระดี้กระด้าไม่เลือกสถานที่
"ก็ดีใจที่เพื่อนแต่งงานนี่" คนเถียงทำหน้ายู่ไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายกลับเมินหน้าหนีไปจดจ่อกับเจ้าสาวแทน "เหอะ..โคตรฟอร์ม"
พิธีการเริ่มต้นขึ้นบาทหลวงอ่านคัมภีร์คู่ชีวิตก่อนให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวปฏิญณาณต่อกัน ฟอลคอนสวมแหวนให้มารี ก่อนเขาจะค่อยๆก้มลงจูบถึงแม้มารีเองจะไม่ค่อยเต็มใจนัก เกศสุรางค์ดีใจใหญ่เพราะภาพเหตุการณ์ตรงหน้าคือพิธีแต่งงานระหว่าง คอนสแตนติน ฟอลคอน กับ มารี (ตอง)กีมาร์ ที่ถูกบันทึกไว้ในเล่มฉบับเรียน
"ข้าขอประกาศแก่คนทุกผู้ อย่าได้เรียกเมียข้าว่าแม่มะลิอีก เพราะนางมิใช่แม้ค้าเรือนแพเฉดเช่นเดิม..ให้เรียกนางว่า 'ทองกีมาร์' "ฟอลคอนประกาศด้วยฮึกเหิม
เกศสุรางค์กับจันทร์วาดหันมองกันทั้งหน้าเสีย ก่อนร่างโปร่งจะเดินเบียดตัวแทรกออกมายืนต่อหน้าเจ้าสาวที่ยืนงันงกทำตัวไม่ถูกอยู่
"แม่มะลิ..เอ่อ...ทองกีมาร์"
"แม่การะเกด..ออเจ้าจักมาหาข้าอีกรือไม่" ทองกีมาร์จับมือเกศสุรางค์พร้อมถามด้วยความอาลัยลึกๆในอก
"แน่นอน! ข้ามีเรื่องจะคุยกับออเจ้าอีกตั้งหลายเรื่อง" สาวน้อยยิ้มแป้นตอบ พลันทำให้ดวงหน้าที่สวยอยู่แล้วยิ่งเปล่งประกายงดงาม สะกดให้เจ้าสาวหลงใหลจนลืมสิ้นซึ่งเจ้าบ่าวที่ต้องอยู่ร่วมเตียงเคียงหมอน
"แม่การะเกด.." มารียิ้มทั้งน้ำตาก่อนทั้งคู่จะโผเข้ากอดกันแสดงถึงไมตรี
ดวงตากลมเห็นภาพตรงหน้าก็ไม่ค่อยพอใจนัก ถึงปากแข็งแต่ก็ขี้หึงขี้หวง แต่จันทร์วาดก็เข้าใจว่าเกศสุรางค์ก็เพียงแสดงความรักตามประสาเพื่อนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แล้วก็ได้เวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องเข้าเรือนหอก็ถือเป็นอันเสร็จพิธี แขกผู้ร่วมงานต่างแยกย้ายกันกลับเรือน ทางด้านกลุ่มของขุนศรีวิสารวาจาก็เช่นกัน
"แม่จันทร์วาด ออเจ้าจักมาขนทรายเข้าวัดวันพรุ่งได้รือ?" ขุนศรีวิสารวาจาถาม
"นั่นสิๆ! เค้าอยากให้ตัวเองไปด้วยจัง" เกศสุรางค์ม้วนตัวอ้อนแม่หญิงตรงหน้าด้วยกิริยาแปลกประหลาด จนชายหนุ่มทั้งหลายพร้อมใจกันหันมามองแม่ตัวแสบเป็นตาเดียว
หากจะลากตัวลูกสาวกลับได้ตอนนี้ก็คงทำไปแล้ว คุณหญิงนิ่มรู้ความจริงก็เสียอกเสียใจเป็นเอามาก แต่ด้วยมารยาทและเกรงใจเหล่าชายหนุ่มขุนนางจึงได้แต่ยืนมองเกศสุรางค์ทำท่าออดอ้อนแม่จันทร์วาดอย่างเคืองใจ
จันทร์วาดยืนนิ่งหน้าเหยเก พร้อมเหลือบมองคุณหญิงนิ่มที่บดเคี้ยวริมฝีปากส่งสายตาไม่พึงใจเป็นคำตอบว่าไม่อนุญาต ก่อนหันกลับมายิ้มแห้งๆให้ชายหนุ่มที่ออกปากชวน "ข้าคงไปมิได้เจ้าค่ะ ช่วงนี่คุณแม่มิใคร่จักสบาย ข้าจึ่งอดห่วงมิได้หากให้ท่านอยู่แต่เรือนผู้เดียว"
เป็นหญิงสูงศักดิ์แม้นไม่มีทรัพย์สมบัติแต่ก็อยู่กินสุขสบายด้วยเงินส่วนที่เหลือ ยังคงมีหน้ามีตาในสังคมเหมือนเดิมทุกอย่าง ภาพชีวิตภายนอกที่คนทุกผู้เห็นก็ยังคงดูสวยงามสำหรับแม่หญิงจันทร์วาดผู้เลอโฉม แต่หากเบื้องลึกกลับมีคนคอยบงการอยู่ตลอด จึงไม่สามารถตัดสินใจหรือมีชีวิตที่เลือกเองได้เลย
"เอ๊า.." เกศสุรางค์โอดครวญด้วยเสียดาย อารมณ์ก็พลันเหี่ยวเฉาลงตามไปด้วย แต่เธอก็รู้ว่าใจจริงจันทร์วาดก็อยากมาด้วยเหมือนกัน หากแต่ถูกผู้เป็นแม่ปรามไว้
เด็กสาวเติบโตมาในยุคสมัยใหม่ มีแม่และยายรวมถึงแม่บ้านคอยรับใช้เอาใจ อย่างมากก็แค่ถูกปลุกแต่เช้าให้มาทำบุญตักบาตร แม้ว่าจะหลงยุคมาอยู่กับคุณหญิงจำปา ที่ถึงจะมีกฏเกณฑ์บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขีดเส้นตีกรอบ กิริยาก็ปล่อยตามสบายไม่ต้องรักษาให้ยุ่งยาก พอมาเจอความเข้มงวดของคุณหญิงนิ่มเข้า ก็รู้สึกเห็นใจจันทร์วาดขึ้นมาอย่างแรง
**คุณพี่จันทร์วาด..ทำไมชีวิตถึงไม่ค่อยมีความสุขเลยแฮะ เฮ้อ ทำไงดี**
.........................................................
เย็นวันนั้นที่เรือนหลังใหญ่แลดูเงียบเหงา มีเพียงเสียงกิ่งใบเสียดสีกันตามแรงลมหนาวพัดหวนชวนใจหาย ตรงพลับพลาไม้หน้าหอนอนใหญ่ร่างบางของแม่จันทร์วาดกำลังนั่งเอนกายอิงหมอนข้าวต้ม ในมือน้อยข้างหนึ่งกำปิ่นทองสุกไว้แน่น พลางเปิดจดหมายเก่าๆดูลายมือข้อคำพูดของคนรักซ้ำไปซ้ำมาเพียงเพื่อเยียวยาความคิดถึง ก่อนดวงหน้าสวยจะเริ่มอมยิ้มอ่อนๆที่มุมปาก
นังเหมือนและนังบุญหันยิ้มให้แก่กันด้วยดีใจที่แม่หญิงมีรอยยิ้ม ตั้งแต่ช่วงที่ถูกห้ามเจอะกับแม่หญิงการะเกด จันทร์วาดก็เอาแต่นั่งเหม่อ อุบากก็ไม่กรอง มาลัยก็ไม่ร้อย งานฝีมือที่เคยทำก็ไม่แตะ จะเห็นยิ้มได้ก็แค่ตอนได้อ่านจดหมายเท่านั้น
"ข้าคะนึงหาออเจ้าทุกคืนวัน ออเจ้าจักรับรู้รือไม่หนอ" จดหมายปึกใหญ่ถูกนำมากอดแนบอกที่สั่นสะท้านเพื่อคลายความห่วงหาอาทร ดวงหน้ารูปไข่ฉายแววเศร้าอาลัยแทบใจขาด
ผู้เป็นแม่แอบมองภาพนั้นด้วยเป็นห่วง คุณหญิงนิ่มประจักษ์แก่อกว่าหัวใจลูกสาวนั้นไม่ได้อยู่กับตัวเลย หากแต่หลุดลอยไปหาแต่สาวเมืองสองแคว ก่อนจะเดินเข้าไปหาด้วยเห็นใจ
"แม่จันทร์วาด.." คุณหญิงนิ่มเดินตรงเข้าหาคนกำลังเศร้า แล้วยิ้มให้ด้วยใจเมตตา "ออเจ้าอยากไปขนทรายเข้าวัดรือ?"
"จ..เจ้าคะ?" ร่างน้อยขยับตัวผุดลุกขึ้นนั่งมองแม่แล้วเอ่ยเชิงย้ำถามเพื่อให้แน่ใจ ว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ใข่ว่านางหูเพี้ยนไปเอง
"หากอยากไปขนทรายเข้าวัดก็ไปเถิดหนา...แม่อนุญาต" แม้จะกล้ำกลืนฝืนพูดแต่พอเห็นลูกสาวมีความสุข..แม่ก็มีความสุข
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณแม่!"
.....
ค่ำวันต่อมาแม้นไม่มีสุริยาส่อง แต่แสงจันทร์แสงจุดไต้คบเพลิงก็ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณวัดที่ชาวอยุธยาต่างแห่แหนกันมาร่วมขนทรายเข้าวัดกันแน่นหนาขนัดตา เกศสุรางค์เดินร่อนหน้าระรื่นหันซ้ายแลขวาด้วยกิริยาดีดกระโหลกเช่นเดิม
"แม่นายเจ้าคะ! ไม่เอาเจ้าค่ะ ที่นี่วัดหนาเจ้าคะ!" นังผินและนังแย้มวิ่งขาไขว่ตามแม่นายน้อยแสนซน พลางเอ่ยปากปรามอยู่ไม่ขาด
"คนเยอะแฮะ" ในขณะที่ตาเรียวคมกราดมองทุกสิ่งด้วยอยากรู้อยากเห็นอยู่นั้น จิตก็พลันคิดถึงคนที่บอกว่าไม่อาจมาได้ หน้าสดใสก็กลับกลายเป็นหงอยซึม "ถ้าพี่จันทร์วาดมาได้ก็ดีสิ.."
"ยืนนิ่งอยู่ใย มิช่วยกันขนทรายเล่า"
ในขณะที่กำลังยืนละห้อยอยู่ เสียงเรียกใสหวานอันคุ้นเคยดึงให้เกศสุรางค์ต้องรีบหันควับไปมองต้นเสียงเร็วพลัน "พี่จันทร์วาด!?"
"ออเจ้าเห็นว่าเป็นผู้อื่นรือ?" กลีบปากงามพรายยิ้ม พร้อมมองเด็กสาวอย่างเอ็นดูด้วยนัยน์ตาสีนิลหวานเชื่อม
"เปล่าหรอก" เกศสุรางค์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนรีบกุลีกุจอเข้าช่วยจันทร์วาดขนทรายด้วยหน้าเรียวเปื้อนรอยยิ้ม
หญิงผู้ดีและบ่าวรับใช้ช่วยกันขนทรายเข้าวัดอย่างแข็งขัน ก่อนร่างบางจะนั่งลงตามด้วยสาวเมืองสองแควที่นั่งแหมะลงข้างๆ
"พี่จันทร์วาดจะปั้นรูปอะไรเหรอ?" เกศสุรางค์ยิ้มแป้นถามคนที่เอาแต่มองเธอไม่วางตา "มองอะไรคะ?"
"ฮึ.." จันทร์วาดกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนเบือนหน้ากลับไปตั้งใจปั้นกองทรายต่อ
"ฟอร์ม!" ร่างโปร่งเบ้ปากใส่สาวจอมวางมาด มือเรียวช่วยกันก่อกองทราย ช่างเป็นภาพที่น่ารักสำหรับบ่าวสี่คนที่นั่งมองแม่หญิงทั้งสองนั่งปั้นดินปั้นทราย กระหนุงกระหนิงอย่างเกษมใจ
"ตอนแรกข้าก็ไม่เห็นด้วยนะเว้ย แต่เห็นแม่นายมีความสุข ข้าก็ดีใจว่ะ" นังแย้มชะเง้อมองคนปั้นทราย
"ตลอดเพลาที่ข้าคอยรับใช้แม่หญิงจันทร์วาดมาตั้งแต่ยังเล็ก ข้าเพิ่งจักเคยเห็นแม่หญิงท่านยิ้มอย่างมีความสุขตอนที่ได้ปะกับแม่หญิงการะเกดแลหนา" นังเหมือนเป็นบ่าวที่อยู่กับจันทร์วาดมานานจึงรู้ดี
ราตรีนี้ดาวประดับระยับฟ้า
ดวงดาราระยิบแสงประกายสี
ดั่งดวงหน้าดวงจิตสุดยินดี
ค่ำคืนนี้ขอมองมิวางตา
"คงต้องกลับแล้วล่ะ" ผู้คนแยกย้ายกันกลับ บางคนก็อยู่เดินเที่ยวตลาดค่ำหลังทำบุญเสร็จ ฝ่ายบ่าวก็ไปคอยเตรียมเรือกันที่ท่ากับขุนศรีวิสารวาจา เกศสุรางค์อิดออดพูด ทั้งที่อยากจะอยู่ต่อแต่ด้วยเวลาและคุณพี่เดชที่เร่งบังคับให้เธอกลับ "ไว้ข้าจะหาโอกาสไปหาที่เรือนนะ"
"ประเดี๋ยว.."
"หืม?"
"คืนนี้อยู่กับข้าได้รือ?" จันทร์วาดถาม
คุณพระ..เกศสุรางค์จำเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนได้ คำพูดนี้จันทร์วาดเคยพูดขึ้นก่อนจะลวนลามแล้วลากเธอเข้าห้อง แก้มนวลก็พลันแดงฉ่าขึ้นด้วยความอายจนพูดอะไรไม่ออก
"ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น" คนมองขำเด็กสาวที่คิดลึกคิดทะลึ่งไปไหนต่อไหน "ข้าเพียงอยากอยู่กับออเจ้าเท่านั้น เราไปเดินชมบรรยากาศรอบๆกันเถิดหนา"
"อ..อืม"
จันทร์วาดทำหน้าที่เจ้าถิ่นอโยธยาอย่างดี นางเดินเคียงพาหญิงเมืองสองแควเดินชมร้านตลาดค่ำที่ตั้งแผงเรียงรายละลานตา พอเห็นร้านขนมแม่สาวสายกินอย่างเกศสุรางค์ก็ไม่พลาดที่จะลู่เข้าไปถามไถ่ขอซื้อ
ขนมก้อนกลมเกลี้ยงสีเทาอ่อนมีไส้คล้ายขนมต้มไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไหร่ ข้างๆแม่ค้าจัดแจงมะพร้าวขูดไว้สำหรับโรยขนมให้ลูกค้า ดึงความสนใจอดีตสาวอวบอย่างเกศสุรางค์ให้น้ำลายสอด้วยอยากกิน
"แม่ค้าจ๊ะ อันนี้ขนมอะไรเหรอ?" ร่างโปร่งกระโดดไปยืนหน้าร้านจนแม้แต่คนขายยังสะดุ้งด้วยตกใจ
"นั่นขนมโค ทำจากแป้งข้าวเหนียวแลเผือกบดทำเป็นตัวห่อ ส่วนไส้ข้างในเป็นน้ำตาลแว่น มีมะพร้าวขูดโรยหน้ากินอร่อยเข้ากันนัก" จันทร์วาดตามมายืนข้างๆแล้วใช้วิชายอดแม่ศรีเรือนที่เรียนมาชี้แจงรายละเอียดให้แม่สาวอยากรู้อยากเห็นฟัง
"เก่งจัง..แฟนเราเนี่ยสุดยอด!" เจ้าม้าดีดกระโหลกยกโป้งให้ความรอบรู้ของอีกฝ่าย ก่อนหันไปสั่งขนม "เอาอันนี้สามชุดจ่ะ"
"ออเจ้าจักเอาไปทำกะไรเยอะแยะ?" เมื่อได้ยินจำนวนที่สั่งจันทร์วาดรีบออกปากถามทันที เพราะสมัยนี้เขาไม่มีถึงหิ้ว ขนมก็จะใส่กระทงใบตองให้ หากสั่งมาถึงสามชุดก็คงถือกันพะรุงพะรัง
"เอาไปเผื่อพี่ผิน..พี่แย้ม พี่เหมือนพี่บุญด้วยไงคะ ส่วนอีกชุดเรากินด้วยกัน" แม่จอมแก่นตอบพลางรับกระทงขนมที่ซ้อนกันอย่างระวัง
"เห้อ..นี่จ่ะแม่ค้า" คนยืนมองถอนหายใจเอื่อย แล้วเปิดถุงเงินหยิบเบี้ย ๖ อันจ่ายให้แม่ค้า ก่อนยื่นมือเข้าช่วยถือกระทงขนม "สองกระทงนี้ข้าจักถือให้ ยามออเจ้าเดินชมตลาดจักได้หยิบกินสะดวก"
"หูย..สายเปย์แถมการเทคแคร์ชั้นเลิศ..ขอบคุณนะคะ"
เกศสุรางค์เดินนำดิ่งชมตลาดพลางหยิบกินขนมหวานอย่างเพลินใจ ปล่อยให้หญิงสูงศักดิ์ที่ฟังคำเธอไม่รู้เรื่องเดินถือกระทงขนมตามต้อยๆอยู่ข้างหลัง
แอบยลโฉมออเจ้าอยู่แลหลัง
สุดจะรั้งตาเหลียวดูทางไหน
แม้นดื้อดึงดีดกระโหลกจนเกินใคร
งามที่ใจใช่กริยาก็น่าชม
จันทร์วาดแอบมองดูกิริยาท่าทางแสนทะเล้นนั้นแล้วแอบพรายยิ้มตาเชื่อม การที่ได้มองแม่สาวเมืองสองแควกระโดดไปทางโน้นที วิ่งมาทางนี้บ้างช่างสดใสจรรโลงใจให้ลืมทุกข์หายเศร้าได้ทุกครา เหตุผลที่ช่วยถือกระทงขนมก็เพราะอยากให้เกศสุรางค์เที่ยวชมตลาดได้เต็มที่
ตาเรียวคมเหลือบเห็นคอกม้าตั้งตลอดแนวยาวกินพื้นที่ประมาณห้าแผง ข้างในมีม้าเทศสีขาวตัวใหญ่หลายตัวมีทั้งอานม้าและบังเหียนพร้อมขี่ ด้านหน้ามีชายร่างกำยำกร้านงานกร้านแดดคอยป้อนน้ำป้อนหญ้าแห้ง
"โห..คุณพี่จันทร์วาดเจ้าคะ นั่นเค้าเอาม้าไว้ทำอะไรเหรอคะ?" มือข้างที่เปรอะขนมโคชี้ไปทางคอกม้า พร้อมหันมามองคนข้างหลัง
"นั่นเขาให้เช่าม้าสำหรับขี่ชมเมือง"
"เช่าม้ารึเจ้าคะ!?" สมัยเป็นสาวอวบกีฬาที่โปรดปรานอีกหนึ่งอย่างก็คือขี่ม้านี่แหล่ะ วันนี้เครื่องแต่งกายก็ช่างเป็นใจ วันนี้เธอนุ่งโจงกระเบนดูทะมัดทะแมงต่างจากอีกคนที่นุ่งผ้าไหมซิ่นดูผู้หญิ๊งผู้หญิง
จันทร์วาดเห็นแม่สาวน้อยสนใจใคร่รู้ในตัวม้าพวกนั้นก็เสียวสันหลังวูบขึ้นมาทันที เพราะรู้ดีว่าแม่สาวห้าวคนนี้นอกจากจะแก่นแล้ว ยังทำอะไรตามแต่ใจตนเองไม่กลัวหน้ากลัวหลัง
"อยากขี่!!" เป็นอย่างที่จันทร์วาดสังหรณ์ใจว่าเกศสุรางค์ต้องอยากเช่าม้ามาขี่ ร่างโปร่งระริกระรี้เหมือนจะอ้อนขอคนที่ตามมาไปในตัว
"ไม่ได้.."
"งื้อ..ขุ่นพี่..."
แม้ปากจะบอกไม่แต่พอเจอลูกอ้อนเข้าไปเยอะๆก็เผลอตัวถือถุงเงินพดด้วงไปจ่ายค่าเช่าม้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ "เฮ้อ~" จันทร์วาดแอบด่าตัวเองในใจที่เผลอยอมปล่อยให้แม่จอมแก่นได้ม้าไปขี่
"พี่จันทร์วาดขึ้นไปก่อน.."
"ว่ากะไรนะ!?"
"เออน่า..ถือขนมไว้ให้ดีๆแล้วกัน"
"ว..ว๊าย!?" เสียงหวานร้องตกใจมือน้อยพลันปล่อยกระทงขนมโคหล่นลงพื้น เมื่อเกศสุรางค์จับช้อนเอวบางขึ้นนั่งคาบบนอานม้า ก็เพราะเป็นแม่หญิงเอวเอสน้ำหนักเบาหวิวไม่เป็นอุปสรรคในการอุ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งแล้วร่างโปร่งก็ตวัดโยนตัวจับบังเหียนขึ้นซ้อนหลัง
"นี่ไง..ไม่เห็นจะยากเลย เกาะแน่นๆนะเจ้าคะ" เพราะอยู่ใกล้กันมาก เพียงพูดเบาๆก็ได้ยินชัดเจน เกศสุรางค์เริ่มควบม้าให้เดินไปในความเร็วปานกลาง ดวงตากลมโตแสดงความตระหนก คนไม่เคยขี่ม้าโอบมือกอดเอวร่างอรชรไว้แน่นด้วยกลัวจะไหลร่วงลงไป
ร่างน้อยนั่งเกร็งไม่กล้าขยับ พลางเหลือบมองพื้นสลับกับหน้าของคนควบม้า เรียวแขนที่จับบังเหียนเสียดสีกับตัวนางจนแทบจะโอบกอด จนได้กลิ่นน้ำอบชั้นดีหอมรัญจวน แม้แต่ลมหายใจอุ่นๆของคนข้างหลังยังไหลรดข้างหูและแก้มนวล ชวนให้หวั่นไหวกับสัมผัสอันแนบชิด
"อย่าเกร็งสิคะคุณพี่..ดูนั่น" ตาเรียวคมเงยมองกลุ่มดวงดาวสุกสกาวประดับฟ้า ดึงความสนใจของคนข้างหน้าให้หันมองตาม "คืนนี้เห็นพระจันทร์แค่เสี้ยวเล็กๆ แต่ก็มีดาวมาประดับทดแทน สวยดีนะคะ ไม่เหมือน.."
จันทร์วาดที่เหม่อมองฟ้าอยู่นานก็หันกลับมาจ้องวงหน้าเรียวอย่างสนใจ "ไม่เหมือนที่ที่ออเจ้ามารือ?"
"เจ้าค่ะ..ที่ที่น้องมาดาวไม่สวยแบบนี้"
"ฟ้าก็ฟ้าเดียวกัน..ไฉนจึ่งมิเหมือนกันเล่า"
"หาเป็นเช่นนั้นไม่เจ้าค่ะ..แต่ดาวที่นี่มีคุณพี่มองอยู่เคียงข้างจึงสวยกว่าเจ้าค่ะ"
"ออเจ้าช่างปากหวานนัก คงเที่ยวบอกคนทั่วพระนครแล้วกระมัง"
"น้องบอกแต่คุณพี่คนเดียวค่ะ ไม่ได้โป้ปดมุสาพูดเลยนะคะ"
"ออเจ้ารักพี่จริงดังคำว่ารือน้องการะเกด?"
"จริงสิเจ้าคะ ใจน้องคิดถึงแต่คุณพี่ทุกวันและทุกคืนเลยเจ้าค่ะ" ม้าเดินผ่านสวนดอกไม้หอมอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณ ชวนให้เกศสุรางค์ต้องสูดลมหายใจดมกลิ่นหอมประหลาดที่ไม่เคยเจอมาก่อนในยุคสมัยใหม่ จะว่าใบเตยก็ไม่ใช่เพราะก็คล้ายๆกับน้ำข้าวที่ได้จากข้าวสวยหุงใหม่ "กลิ่นอะไรคะหอมจัง"
"นั่นดอกชำมะนาด..จักหอมเป็นพิเศษยามค่ำ" แขนน้อยโอบรัดเอวแล้วซบหน้าลงบนไหล่อีกคนอย่างผ่อนคลาย แล้วขยับปลายจมูกแตะซอกคอขาวสูดดมกลิ่นกายที่หอมเข้ากับกลิ่นชมนาด(ชำมะนาด)ในสวน
"มันจั๊กจี้นะคะ.." แก้มนวลพลันแดงระเรื่อ คอระหงเอียงหลบด้วยรู้สึกวาบหวามจากปลายจมูกอุ่นๆกับลมหายใจร้อนรุ่ม เพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาก็ทำเอาเกศสุรางค์ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
"พี่ฟังภาษาเมืองสองแควมิรู้ความดอกหนา" เสียงแผ่วหวานเอ่ยปนหัวร่อหึๆในคอ ฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แค่ปฏิกิริยาโต้ตอบก็รู้ว่าแม่สาวน้อยรู้สึกขนลุกเสียวหวามไปทั้งตัว
เกศสุรางค์เริ่มปรับความรู้สึกให้ลืมเรื่องลามกในหัว แล้วมองดูดาวแซมยอดดอกชมนาด พลันให้เธอคิดไปถึงเพลง 'ราตรีประดับดาว' ที่เคยเรียนสมัยประถม "คุณพี่เจ้าคะ..น้องอยากร้องเพลง" เด็กสาวถือโอกาสหาเรื่องเบนความสนใจของคนนั่งหน้าที่กอดรัดซบไซร้เธอ
มันได้ผล! จันทร์วาดปรับท่าขึ้นมามองหน้าแม่หญิงน้อยที่กำลังจะขับร้องบทเพลง เพราะนางจำเสียงใสหวานละมุนนั้นได้ดี "งั้นจงร้องให้พี่ฟังเถิด"
เกศสุรางค์หยิบยกเฉพาะท่อนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดอกชมนาดที่คนสมัยโบราณเรียกว่าดอกชำมะนาด
'หอมเอย หอมดอกชำมะนาด สีไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ เหมือนน้ำใจดี ปราณีปราศัย ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย'
แว่วเสียงหวานขับร้องบทเพลง พร้อมตาหวานสบกันไม่ยอมวางราวกับอยู่ในห้วงภวังค์ ความเกร็งเมื่อกี้ถูกทำให้คลายหายไปหมด จังหวะควบม้าทำให้สองร่างเบียดเสียดสีกันไปมา ผูกติดความรู้สึกให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
"เสียงออเจ้า..ยังคงน่าฟังมิเคยเปลี่ยน"
ความเร็วของม้าชะลอตัวลงเมื่อมาใกล้แม่น้ำใหญ่ก่อนจะหยุดนิ่งที่ริมฝั่ง ลมเอื่อยหอบไอเย็นเข้ากระทบทั้งคู่ที่อิงแอบแนบชิดกัน เกศสุรางค์เหลือบตาขึ้นมองฟ้าระยับดาว แล้วรู้สึกถึงแรงกอดแน่นขึ้นที่เอวเธอ
"คุณพี่?"
เพียงก้มลงมองดวงหน้ารูปไข่ก็ยื่นเข้าชิดกับวงพักตร์เรียวสวยและพวงแก้มนวลที่แนบติดเข้าหากัน พร้อมกลีบปากหวานสอดประสานรสสัมผัสลุ่มลึกดุจห้วงวารีหมุนเกลียวกลืนกินดิ่งดำ สองจิตลืมสิ้นซึ่งจารีตประเพณีทั้งมวล
"อย่าจากพี่ไปไหนอีกหนา..ทุกคราที่ห่างออเจ้าใจพี่อ้างว้างแรมรอนยิ่งนัก ให้คำมั่นกับพี่ได้รือ?"
"เจ้าค่ะ..น้องสัญญา"
((จบตอนที่ ๑๓))
อ่า จริงๆแล้วไรท์ก็ไม่ค่อยมีเวลาหรอกค่ะ แต่พอโมเมนต์ผุดเยอะเรือมันแล่นไวมาก 5555. โอ้ย ใจจิวาย พิมพ์แต่งฟิครัวๆค่า
อะแฮ่ม ตอนนี้ก็จะเป็นสะพานทอดสู่ความสมหวังของคู่นี้ค่ะ แต่ยังไม่พ้นจะต้องมีดราม่าแซมนิดๆหน่อยๆ คุณหญิงนิ่มเริ่มใจอ่อนแล้วนะคะ ความรักของสองคนก็ใกล้จะถูกเปิดออกแล้ว ยังไงให้กำลังใจตัวละครและไรท์ด้วยนะคะ จุ้บ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น