ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #13 : ห่วงหวง

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 61





    ตอนที่ ๑๒ : ห่วงหวง

         เรือนใหญ่ติดริมน้ำบรรยากาศเงียบเหงายามเช้าตรู่ วันนี้ลมพัดเอื่อยหอบลมหนาวพัดเย็นไปทั่ว เวลานี้มีเพียงทาสหญิงประมาณสิบคนคอยช่วยกันตระเตรียมสำรับและทำความสะอาดเรือนไว้รอเจ้านายที่ตอนนี้ยังไม่ลุกจากหอนอน

        ไต้ตะเกียงเส้นสุดท้ายส่องแสงริบหรี่ในห้องที่ปิดมืด กายเปล่ามีเพียงผ้าสไบห่มปิดท่อนล่าง ยังอิงแอบซ้อนร่างแลกไออุ่น ผิวเนียนชุ่มเหงื่อขยับเบียดทับกัน ก่อนร่างโปร่งอรชรค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างเหนื่อยล้า

          นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองร่างน้อยนอนทอดกายนอนแซ่วซบเพราะอ่อนแรงจากเมื่อคืน ริมฝีปากเรียวยิ้มละไมพลางเอื้อมมือเรียวลูบไรผมที่ปรกปิดดวงหน้านวล "หลับปุ๋ยเชียวนะ.." เกศสุรางค์ก้มลงมอบจุมพิตอ่อนหวานให้คนหลับ ก่อนค่อยขยับลุกจากเตียงเบาๆด้วยกลัวทำให้อีกฝ่ายตื่น

          เกศสุรางค์หยิบผ้าต่วนผ้าซิ่นขึ้นห่มร่างเพราะนุ่งผ้าโบราณไม่เป็น ตาคมแลซ้ายแลขวาคิดเห็นสองบ่าวที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้วตอนนี้ "พี่ผิน..พี่แย้ม ลืมไปสนิทเลยแฮะ แถมยังนุ่งไอ้ผ้านี่ไม่เป็นอีกเอาไงดีวะ" เด็กสาวพยายามนุ่งสุดความสามารถแต่ก็ไม่ถูกต้องตามแบบ ขอเพียงแค่นุ่งปกปิดไม่ให้โป๊เปลือยก็ถือว่าใช้ได้

        ร่างโปร่งเดินย่องแย่งไปเปิดหน้าต่างแล้วนั่งแหมะลง ตาเรียวคมเหลือบแลเห็นต้นมณฑาทองชูยอดสูงก็พลันคิดหวนถึงวันแรกที่ได้พบกับแม่จันทร์วาด "ต้นมณฑาทอง...คิดถึงวันนั้นจัง" เพลง 'ลาวคำหอม' ที่เกศสุรางค์เคยร้องให้แม่หญิงสูงศักดิ์ฟังดังก้องขึ้นในใจ ทำเธออมยิ้มไม่หุบ

        "คิดเรื่องอันใดอยู่รือ น้องการะเกด?" จันทร์วาดนุ่งซิ่นไหมและผ้าต่วนกระโจมอกเดินไปหาเกศสุรางค์ที่นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่าง ก่อนสวมกอดหลังซบไหล่พร้อมกระซิบถาม

         "คิดถึงคนอยู่ค่ะ" คนโดนกอดนั่งนิ่งตอบพร้อมยิ้มในหน้า

         "คน?..ออเจ้าคิดถึงผู้ใด?" คิ้วงามขมวดชนกันอย่างขุ่นใจ

         "ลองส่องคันฉ่องดูสิเจ้าคะ" เกศสุรางค์หันยิ้มให้คนหน้าบูด พลางเย้าหยอกหยิกคางมนอย่างหมั่นเขี้ยว

         "คงมิต้องส่องคันฉ่องกระมัง" จันทร์วาดก้มจูบมือที่จับคางนางเสียทีหนึ่งก่อนสบตาเรียวคมด้วยยิ้มหวาน

         "ไม่ส่อง...แล้วจะรู้เหรอคะว่าเป็นใคร?"

         "พี่เห็นเงาพี่สะท้อนอยู่ในตาออเจ้า มิต้องพึ่งคันฉ่องดอกหนา" คนพูดทำหน้ายวนเย้า

          เกศสุรางค์อึ้งกับคารมของอีกฝ่าย ก่อนดวงแก้มขาวจะเริ่มแดงระเรื่อ แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ถลำลึกมากแล้ว แต่เธอก็ยังมีความเอียงอายไม่ต่างจากตอนพบกันแรกๆเลย "โห..ปากหวานซะ"

            **ร้าย..ร้ายมาก นี่แหล่ะนะเค้าว่ากันว่า พวกเงียบๆนี่อันตราย**

          "ปากพี่จักหวานแต่เพลามีออเจ้าอยู่เคียงข้าง" เสียงหวานกระซิบพร้อมกอดรัดออดอ้อนร่างโปร่งไม่ยอมปล่อย แล้วขยับหน้าเข้าหอมแก้มนวล "แก้มออเจ้าช่างหอมนัก"

          "ก็หอมมาทั้งคืนแล้วเพิ่งจะมาบอกอะไรตอนนี้คะ?" เกศสุรางค์โอบแขนที่กอดเธอพลางเหลือบมองคนที่เหมือนจะเก็บกดเรื่องแบบนี้มานาน "เห็นเรียบร้อยๆไม่คิดว่าจะ..มือโปร"

         "พูดจาฟังมิรู้ความอีกแล้ว" นัยน์เนตรสีนิลเหล่มองเด็กสาวอย่างเอ็นดู "เช่นนี้ต้องให้พี่หอมแก้มลงโทษละหนา"

          เมื่อเห็นอีกคนยื่นหน้าเข้าจะหอม เกศสุรางค์ก็เอียงแก้มหลบพร้อมยกมือป้องใช้นิ้วแตะกลีบปากงามที่คุกคามเธอ พลันทำให้คิดถึงจุมพิตที่ริมฝีปากคู่นี้ประทับมอบให้ทั้งคืนอย่างเร่าร้อน "พอค่ะพอ...หอมมากเดี๋ยวแก้มน้องก็ช้ำหมด"

          "พี่สัญญาจะหอมเบาๆหนาออเจ้า"

          "ว๊าย!"

          จันทร์วาดยังหยอกล้อกับเกศสุรางค์โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว มีความสุขระเริงอุราราวกับว่าในโลกใบนี้มีเพียงพวกนางสองคนฉะนั้น

     .....................................................................................

                 พึบ!

         เสียงพัดตีใส่มือเพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้บ่าวทาสก้มหมอบลงพื้นอย่างหวาดกลัว ช่วงนี้ออกญาโหราธิบดีออกว่าราชการที่ละโว้นานหลายเดือน เห็นว่าพอผู้ใหญ่ไม่อยู่ว่าที่ลูกสะใภ้ก็ก่อเรื่องวุ่นวายให้ขายหน้า คุณหญิงจำปานอนอิงหมอนด้วยอารมณ์โกรธจนหน้าเขียว

        "เขาลือกันให้ทั่วเรื่องแม่การะเกดกับแม่จันทร์วาด นี่ก็หายไปเรือนคุณหญิงนิ่มจนเช้ายังมิเห็นหัว! กลับมาข้าจักจับโบยทั้งนายทั้งบ่าว!"

       "ดีเจ้าค่ะ! บ่าวนี่คันไม้คันมือจะแย่" นังปริกพูดกระแทกเสียงอย่างสมใจ

        "เอ๊ะ! นังปริก!" หญิงสูงวัยดูสง่าเอ็ดบ่าวจอมสาระแนด้วยหงุดหงิด "ถ้าไม่เงียบปาก ข้าจักโบยเอ็งด้วย!"

         "จ..เจ้าค่ะ.." นังปริกก้มหน้าก่อนคว้าหม้อมาถ่มน้ำหมาก

         "เฮ้อ ข้ารู้ว่าหนูจันทร์วาดไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้...แต่ตอนนี้ข้าชักจะไม่แน่ใจแล้วนังปริก" คุณหญิงจำปาถอนหายใจเฮือกใหญ่ "คราก่อนก็นอนคืนเรือนเราในหอนอนแม่การะเกด คราวนี้แม่การะเกด.."

        "มิใช่ดอกหนาคุณแม่" ขุนศรีวิสารวาจาเอ่ยขัดพร้อมเดินมือไขว้หลังเข้ามานั่งสนทนา "พวกนางอาจแค่สนิทกัน"

         "มิใช่ได้อย่างไร? มีอย่างที่ไหนชวนกันเข้าหอนอน มิหนำซ้ำยังนอนด้วยกันสองครั้งสองครา" ร่างอวบส่ายหน้าเอือมระอา "เขาลือกันทั่วเรื่องบัดสี"

         "หากจริงดังว่าคุณแม่จักทำอย่างไรรือขอรับ?" ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม

         "แม่ก็คงต้องรอนางกลับมาก่อนแลหนา"

         "ลูกมีกิจต้องไป อีกสองวันจึงค่อยกลับ ลูกไม่อยู่คุณแม่อย่าลงโทษนางเลยหนาขอรับ"

         "แม่ไม่รับปากดอกหนา"

    .........................................................................................................

        พวกบ่าวยังนั่งคอยนายอยู่หน้าหอนอนที่ปิดเงียบมาตั้งแต่บ่ายคล้อยเมื่อวาน สีหน้าพวกมันดูกังวลมากนัก เนื่องจากเคยรู้เคยเห็นว่าแม่หญิงของพวกตนเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง

         "แม่นาย!" ประตูเปิดออกพร้อมกับเกศสุรางค์และจันทร์วาด นังผินและนังแย้มก็รีบเข้าไปนั่งใกล้แม่นายทันที "แม่นายเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหญิงนิ่มท่าน..."

        "เกิดกะไรขึ้นรือ?" จันทร์วาดเหลือบมองนังผินนังแย้มสลับกับบ่าวของตน

         "นั่นสิเกิดอะไรขึ้น?"

        "แม่การะเกด...รีบกลับเรือนเถิดส่วนจันทร์วาดตามแม่ไปที่เรือนน้อย" คุณหญิงนิ่มเดินมาด้วยท่าทีขึงขัง แววตาฉายแววเคืองขุ่นจิกจ้องเกศสุรางค์กับลูกสาวอย่างเอาเรื่อง

        ดวงหน้าเรียวถอดสีหันไปมองแม่จันทร์วาดอย่างกังวล เพราะกลัวว่าเรื่องเมื่อคืนจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โต "จันทร์วาด..?"

        "มิเป็นอันใดดอกหนา ออเจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด" ผู้เป็นพี่แสร้งยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ ทั้งที่นางเองก็กังวลจนร้อนอกไปหมด แต่เพราะจันทร์วาดถูกฝึกมาให้เก็บกิริยาอารมณ์ เนื่องด้วยว่าเป็นหญิงตระกูลสูงจะต้องควบคุมบริวารและออกสังคม จึงไม่สามารถแสดงความรู้สึกต่อหน้าบ่าวไพร่ให้เสียความน่าเชื่อถือ

         "ต..แต่ว่า..." เกศสุรางค์คนสมัยใหม่ นิสัยซื่อตรงแสดงสีหน้าคื่นตระหนกชัดเจน ห่วงตัวไม่เท่าไหร่แต่ใจห่วงคนที่รักจะเดือดร้อนมากกว่า

        "ไปเถิด.." จันทร์วาดคว้ามือเรียวมาจับพร้อมลูบที่หลังมือเนียนนั้นเบาๆ ก่อนพูดเสียงแผ่วกระซิบให้มีเพียงเกศสุรางค์ที่ได้ยิน "พี่ผิดเองที่รั้งออเจ้าไว้เมื่อวาน เรื่องทางนี้ให้พี่จัดการเถิดหนา ฝั่งเรือนออเจ้าก็คงรอออเจ้าอยู่"

         ถึงไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็พยักหน้าแล้วทำตามแต่โดยดี เกศสุรางค์เป็นคนยุคใหม่ไม่รู้ธรรมเนียมของชาวอโยธยาจึงไม่มีทางเลือก เพราะถ้าพูดอะไรออกไปก็อาจทำให้เรื่องบานปลายไปมากกว่าเดิม คิดดังนั้นร่างโปร่งแลตามมองจันทร์วาดทีหนึ่งก่อนเรียกบ่าวทั้งสองพากันเร่งเดินลงจากเรือนไปที่ท่าจอดเรือ

        "แม่จันทร์วาด" ผู้เป็นแม่จ้องลูกสาวด้วยโกรธจัดแล้วเดินนำไปยังเรือนน้อยโดยสั่งให้บ่าวทาสอยู่คอยดูแลเรือนใหญ่ เพราะเรื่องที่จะคุยกันมิอาจให้ใครล่วงรู้ได้

         พอถึงเรือนน้อยสองแม่ลูกนั่งลงบนพลับพลาฝั่งละคน จันทร์วาดมองสีหน้าขุ่นเคืองของมารดาก็รู้ว่าเรื่องที่จะพูดไม่ใคร่จักดี จึงยิ้มเจื่อนๆพร้อมถามหยั่งเชิง "คุณแม่เจ้าคะ คือว่า.."

        "มิต้องพูดกะไรอีกแล้วแม่จันทร์วาด!" เสียงแผดกร้าวดุจนหญิงสาวต้องก้มหน้าหลุบด้วยตกใจ "ถึงเพลานี้เราจักไร้ทรัพย์สมบัติ แต่เราก็หาได้ถูกปลดจากการเป็นตระกูลสูงศักดิ์ไม่ มิใช่คิดจักทำกะไรก็ทำตามใจได้!"

        จันทร์วาดนั่งเงียบฟังผู้ใหญ่สั่งสอนอย่างสงบปากเจียมตัว เพราะเรื่องนี้นางเป็นคนผิดจริง

         "แม่จักถามกรงๆนะ เมื่อคืน..." แค่คิดถึงคำถามตัวผู้ถามเองยังถึงกับชะงักปาก ก่อนสูดหายใจเข้าตั้งสติพูดด้วยน่ำเสียงอ่อนลง "เมื่อคืนลูกเสพสังวาสกับแม่การะเกดใช่รือไม่?"

         ร่างน้อยนั่งอึ้งกิมกี่กับคำถาม ตากลมพลางเหลือบลอกแลกสับสนว่าจะตอบอย่างไรดี "เอ่อ.."

        "ใช่รือไม่?" คุณหญิงนิ่มกัดฟันถามเสียงสั่นเครือทั้งน้ำตา

          ด้วยจิตใจที่บอบช้ำเรื้อรังมานาน พอเห็นมารดาร้องไห้ดวงตากลมก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้พลางใช้มือน้อยปาดเช็ดน้ำตา ก่อนเอ่ยตอบเสียงจืดเจื่อน "เจ้าค่ะ.." สิ้นเสียงคำตอบคุณหญิงนิ่มก็ซึมเซ่อหน้าจืด จันทร์วาดเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจคลานเข่าพร้อมประนมมือเข้าไปหมายจะกราบขอขมา "ลูกขอกราบ.."

         คุณหญิงนิ่มยกมือปรามไว้ นางได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาไม่กล้าแม้จะมองลูกสาวด้วยกลัวจะสะเทือนใจจนกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่อยู่ "แม่..แม่ขอตัว"

           จันทร์วาดนั่งมองคุณหญิงนิ่มปิดประตูหอนอนด้วยนัยน์ตาสีนิลคลอน้ำตา แล้วก้มลงกราบแทบพื้นหน้าห้องนั้นอย่างนอบน้อมสำนึก "ลูกขอประทานโทษเจ้าค่ะ"

          คนเป็นแม่หาเคยคิดโกรธเคืองเคียดแค้นลูกไม่  ที่ดุด่าว่ากล่าวติติงก็ล้วนเป็นคำพูดแห่งความหวังดี คุณหญิงนิ่มนั่งร้องไห้ระทมอกเงียบๆเพียงคนเดียวในห้องนั้น "โถ..ลูกแม่ เหตุใดจึ่งเป็นฉะนี้หนอ ชะตาข้าช่างเลวร้ายเหลือเกิน"

     .......................................................................................

          ด้านเรือนออกญาโหราธิบดี หญิงสูงวัยร่างอวบแลสง่ายังนั่งหน้าเคร่งเขียวรอว่าที่ลูกสะใภ้ แล้วในตอนนั้นเองหนุ่มน้อยบ่าวรับใช้ขุนศรีวิสารวาจาก็วิ่งขึ้นเรือนมาคุกเข่าประนมมือเพื่อทูลความ

         "มีกะไรรึไอ้จ้อย?"

         "แม่หญิงการะเกดกลับมาแล้วขอรับคุณหญิง" 

         ร่างโปร่งเดินย่องขึ้นกระไดเรือนพลางกราดตามองคุณหญิงจำปาที่นั่งหน้าเข้มกับพวกทาสหญิงชายที่นั่งก้มหน้าก้มตา เกศสุรางค์รู้ได้เลยว่าเรื่องเมื่อวานนี้มันคงไม่จบลงง่ายๆแน่ "คุณหญิงป้า"

         "แม่การะเกด ออเจ้าชักจะเหลวไหลมากไปแล้วหนา หายหน้าหายตาไปนอนค้างเรือนคุณหญิงนิ่ม ทั้งที่เขายังลือกันเรื่องออเจ้าจนทั่วคุ้งน้ำ!" มาถึงคุณหญิงจำปาก็ไม่ร้องรำทำเพลงใส่คำด่ารัวเป็นชุด

          "เอ่อ..ข้า..." เกศสุรางค์หน้าเซ่อจืดเจื่อนเหลือบมองหญิงสูงวัยตรงหน้าพลางหลุบตาหลบพลาง "ข้าขอ.."

          "มิต้องพูดกะไรแล้ว! นังผินนังแย้ม พวกเอ็งสองคนดูแลนายอย่างไร ให้เที่ยวเหลวไหลมิกลับบ้านกลับช่อง หา!?" เสียงดุกระแทกกระทั้นพร้อมมืออวบอูมที่ชี้ตรงไปยังบ่าวสองคนที่ก้มหน้ากลัวความผิด "พวกเอ็งมีความผิดจักต้องถูกโบย! นังปริก!"

          บ่าวทาสที่อยู่ในเหตุการณ์หันมองหน้ากันด้วยตกใจ แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวคำใด เพราะหากปริปากก็มิวายต้องโดนหวายด้วย คงมีแต่นังปริกที่ถือไม้หวายเดินย่ำเท้าพร้อมกับรอยยิ้มสมใจ

          "บ่าวนี่คันไม้คันมือมานานแล้วเจ้าค่ะ!"

          "คุณหญิงป้าเจ้าคะ..พี่ผินกับพี่แย้มพวกเขาไม่ผิดอะไร หากจะโบยก็โบยข้าเถอะค่ะ" เกศสุรางค์พูดฉะฉานทั้งที่ใจก็หวาดหวั่นในฤทธิ์ของหวาย

          "เหอะ! พวกมันจักต้องถูกโบยคนละห้าที ออเจ้าก็รับโทษแทนพวกมันสิบทีปะไร!?"

          "เจ้าค่ะ.." ร่างโปร่งเสียวสันหลังวูบหลังได้ยินจำนวนครั้งที่ต้องถูกโบย เพราะเคยเห็นรอยเนื้อแตกของออกญาโกษาเหล็กก็พอจะเดาได้ว่าฤทธิ์หวายนั้นรุนแรงมากแค่ไหน เกศสุรางค์ยืนกอดอกรอรับโทษอยู่นิ่งๆ

          "จองหอง! นังปริกโบยแม่การะเกด" เป็นผู้ใหญ่แต่ถูกเด็กพูดท้าทายก็โกรธจัดจึงสั่งโบยเสียให้หลาบจำ ทั้งที่ในใจก็สงสารหลานไม่น้อย

          "ได้เจ้าค่ะ!" ทุกคนรู้ดีว่าแม่ปริกเกลียดแม่หญิงผู้นี้เสียมากๆ แถมฝีหวายยังหนักไม่มีบ่าวหญิงคนใดปาน คราวนี้ได้โอกาสลงหวายคงมิออมมือเหมือนโบยบ่าวด้วยกัน

          "คุณหญิงเจ้าขา! แม่นายของบ่าวมิเคยต้องหวาย แม่นายตัวน้อยแค่นี้หากถูกโบยคงเจ็บเจียนขาดใจ" นังแย้มประนมมือกราบวิงวอนตัวสั่น ตลอดเวลาทตั้งแต่อยู่เมืองสองแควแม้แต่มดไต่ไรตอมแม่นายก็ไม่เคยต้อง

          "คุณหญิงโบยบ่าวเถิดเจ้าค่ะ! แม่นายไม่ผิดกะไร" บ่าวร่างผอมขอร้องทั้งน้ำตา

          "พวกบ่าวชายมาเอาตัวอีบ่าวสองคนนี้ออกไป!"

          นังผินและนังแย้มถูกบ่าวชายกักตัวไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่งย่ามอะไรได้ คราวนี้ก็สมใจนังปริกที่กำลถือหวายรอประทับรอยลงบนหลังเนียนที่โผล่พ้นผ้าสไบ

          เสียงไม้หวายหวดทวนลมก่อนฟาดลงดังเพี๊ยะจนบ่าวทุกคนสะดุ้งโหยง หวายอันใหญ่เท่านิ้วก้อยทิ้งรอยแดงเลือดซิบไว้บนแผ่นหลังขาว แต่กลับไม่มีเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของคนโดนโบยเลย

          "แม่นาย!" สองบ่าวใจภักดีกระเสือกกระสนดิ้นพร้อมร้องไห้หนัก แต่ก็ไม่อาจสู้แรงบ่าวชายที่กักรั้งตน ทำได้ก็แต่มองนายถูกโบยอย่างเจ็บใจ

          หวายถูกเฆี่ยนลงหลังขาวซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นครั้งที่หก คราวนี้ก็คงสุดจะอดทนพิษความเจ็บปวด เกศสุรางค์ทรุดลงคุกเข่าหมดเรี่ยวแรงลงกับพื้น สร้างความสะเทือนใจให้กับคุณหญิงจำปาและบ่าวทาสทั้งเรือน

          "แม่ปริกหยุดเถอะ!" นังจวงเห็นว่าคนโบยกำลังเงื้อหวายจะโบยร่างแม่หญิงใจกล้า ก็อดรนทนไม่ไหวมาดึงร่างของนังปริก ก่อนบ่าวหญิงส่วนหนึ่งจะช่วยกันยื้อแย่งไม้หวายออกจากมือ

          "แม่นาย..แม่นายเจ้าขา!" บ่าวชายทั้งหลายพากันใจอ่อน ยอมปล่อยให้นังผินและนังแย้มเข้าไปช่วยพยุงร่างบอบบางที่ถูกหวายจนเจ็บปวดแทบหมดสติ

          "ปล่อยกูนะโว้ย!!" นังปริกตะโกนพร้อมดิ้นพล่าน

        คุณหญิงจำปาเห็นภาพความภักดีของบ่าวที่มีต่อนายก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ด้วยต้องควบคุมคนมากมายให้เกรงขาม ร่างอวบดูสง่าพลันลุกเดินมุ่งเข้าหอนอนอย่างรีบเร่ง ผ้าสไบไหมพาดบ่าถูกจับมาเช็ดน้ำตาที่ไหลด้วยสงสารหลาน แต่หากมิลงโทษก็จักสร้างเรื่องสร้างราว คราวหน้าอาจเกิดอันตรายขึ้นก็เป็นได้

          "นังผิน..นังแย้ม พานายของพวกเอ็งเข้าหอนอนไปเสีย ส่วนนังจวง..เอ็งไปฝนไพลให้แม่หญิง" เสียงที่ฟังดูอ่อนโยนลงมากเอ่ยสั่งบ่าวไพร่ ก่อนเดินดุ่มเข้าห้องไป

           เกศสุรางค์ที่ไม่มีแรงแม้จะพูดหรือร้องไห้ ถูกพยุงหิ้วปีกเข้าหอนอน แผ่นหลังขาวทำให้เห็นรอยเลือดชัดช่างสะเทือนสะท้านใจสองบ่าวที่เทิดทูลนายด้วยเกล้าอย่างนังผินนังแย้ม

            "โถ..แม่นายของบ่าว" สายตาแห่งความภักดีมองเกศสุรางค์ที่นอนซมตัวสั่นจากฤทธิ์หวาย ก่อนนังจวงจะถือไพลที่ฝนแล้วมาให้ "ขอบน้ำใจเอ็งนัก"

           "เออน่า ข้าก็ทนอยู่เฉยไม่ได้ดอกวะ" นังจวงเห็นแผลที่แผ่นหลังแล้วก็ขยาด "ข้าขอตัว หากเอ็งขาดเหลืออันใดก็มาบอกข้า หรือบอกพวกบ่าวหญิงในโรงครัวได้หนา"

           นังผินนังแย้มยิ้มเจื่อนๆก่อนช่วยกันซับเลือดและประคบไพลฝนลงบนแผลเนื้อแตก

           "อะ..โอ้ย!" เกศสุรางค์สะดุ้งด้วยแสบแผล

            "แม่นายอดทนหน่อยหนาเจ้าคะ ไพลนี้จักช่วยให้แผลหายระบมเจ้าค่ะ" นังแย้มบอก

            "อ..อืม..จัดมาเลยพี่ ข้ายังโอเค" เสียงแหบแห้งเอ่ยพลางทำสัญลักษณ์มือที่เคยทำแสดงให้บ่าวสองคนรับรู้ว่ายังไหว

        **ป่านนี้พี่จันทร์วาดจะเป็นไงบ้างแล้วนะ เป็นห่วงจัง**

    ......................................................................................................

           "ว่าอย่างไรหนา!?"

           เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวเรื่องแม่หญิงการะเกด(เกศสุรางค์)ถูกโบยก็มาถึงเรือนคุณหญิงนิ่ม จันทร์วาดได้ยินเข้าก็ร้อนอกร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข

             "บ่าวได้ยินมาว่าถูกโบยถึงหกที ปานนี้ยังลุกไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ" นังบุญเล่าทั้งหน้าเสีย "ได้ยินว่าอาจมีไข้"

             "เหมือน..บุญ พวกเอ็งช่วยกันเกียมยาต้มแก้ไข้ แลข้าจักไปฝนไพลเอง ข้าจักนำไปให้แม่การะเกด" เสียงตื่นตระหนกปนความห่วงใยของจันทร์วาดกล่าวสั่งบ่าวด้วยสีหน้าร้อนรน 

            "แต่...แม่หญิงถูกสั่งห้ามมิให้เจอกับแม่หญิงการะเกด..แล้วหากแม่หญิงจักไปบ่าวเกรงว่า.."

           "เอาเถิด รีบทำตามที่ข้าบอก" สาวหน้าหวานขมวดคิ้วดุ นังเหมือนและบุญรู้ดีว่าแม่หญิงถึงไม่ค่อยโกรธและเป็นคนจิตใจเมตตา แต่หากเกรี้ยวกราดมาก็ร้ายไม่เบา พอเจอแววตาเข้มเขม็งก็รีบทำตามคำสั่งทันที

          จันทร์วาดตามบ่าวไปยังโรงครัวแล้วนั่งฝนไพลอย่างตั้งอกตั้งใจ พลันให้คิดหวนถึงวันที่คนรักเคยหมั่นฝนไพลมาให้มิเคยขาด ตอนนี้ดวงหน้ารูปไข่ฉายแววเครียดขรึมเริ่มปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุขขึ้นบ้างแล้ว

          "แม่หญิงยาต้มแก้ไข้ได้แล้วเจ้าค่ะ จักให้บ่าวทำลูกประคบเลยรือไม่?" นังบุญวางถาดไม้ใส่ห่อยาแก้ไข้ประมาณห้าห่อลงข้างๆร่างน้อย

          "อืม..ต้องฝากเอ็งด้วย ส่วนเหมือนเอ็งไปเกียมกระดาษและฝนหมึกให้ข้า"

          นังเหมือนรับคำบัญชา แม้จะสงสัยว่าทำไปทำไมแต่ดูจากอารมณ์ หากถามมากอาจได้โดนฤทธิ์แม่หญิงเข้าได้

          'ออเจ้าจักเป็นอย่างไรบ้างแล้วหนอ พี่คะนึงห่วงออเจ้ายิ่งนัก..'

     .....................................................................................................

           "ฮ่า ฮ่า ! ไอ้เหลืองลูกพ่อ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" เวลาสายชายหนุ่มหัวเราะร่าแจวเรือผ่านกำลังจะกลับเรือนออกญาโหราธิบดี สองวันนี้ขุนศรีวิสารวาจาออกว่าราชการ ไอ้จ้อยก็เหลือเวลาว่างโข "วันพรุ่งพ่อจะพาเอ็งมาอีกหนาไอ้เหลือง"

          "เอ็ง! เอ็งที่อยู่กงนั้น!" แว่วเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกหนุ่มน้อยที่กำลังระเริงอยู่กับไก่ชน "ใช่บ่าวเรือนออกญาโหราธิบดีรือไม่!?"

           "ม..แม่หญิงจันทร์วาด?" ไอ้จ้อยหรี่ตามองแม่หญิงสูงศักดิ์ชะเง้อคอมองตน "ใช่ขอรับ!" เขาตอบพร้อมหันหัวเรือเร่งฝีพายเข้าไปจอดเทียบท่าเรือนคุณหญิงนิ่ม

          "เอ็งชื่อกะไร?" จันทร์วาดเอ่ยถามอย่างรักษาท่าที

          "กระผมชื่อจ้อยขอรับ แม่หญิงมีกะไรให้บ่าวรับใช้หรือขอรับ?"

          "ข้าได้ยินข่าวแม่การะเกดมิใคร่จักสบาย" จันทร์วาดกวักมือเรียกให้บ่าวยกถาดไม้ที่มีทั้งยาต้ม ยาทา ลูกประคบและจดหมายมาวางที่ริมท่า ก่อนหันพรายยิ้มอ่อนๆให้ไอ้จ้อย "เอ็งช่วยนำของเล่านี้ไปให้แม่การะเกดด้วยหนา มียาต้มบอกให้นางต้มกินด้วย"

          "เอ่อ..บ่าวเกรงว่า.." หนุ่มน้อยยักแย่ยักยันอ้ำอึ้ง จะปฏิเสธตรงๆก็ไม่กล้า เพราะยังติดตากับภาพแม่หญิงการะเกด(เกศสุรางค์)ถูกโบย หากมาแอบรับส่งของก็อาจลงโดนโทษได้

            แกร่ก..

          มือน้อยหยิบถุงใส่เบี้ยห่อโตยื่นไปต่อตรงหน้าหนุ่มน้อย ดูจากขนาดถุงแล้วคงเป็นเงินมากโขสำหรับชนชั้นทาส "นี่คือสินน้ำใจจากข้า ฝากได้รือ?" เพราะอยู่กับขุนนางชั้นสูง การให้เงินให้เบี้ยถือเป็นเรื่องปกติ

           "บ..บ่าวคงรับไว้มิได้...."

           "ได้..รือ..ไม่?" จันทร์วาดยิ้มพรายอ่อนโยนให้เด็กหนุ่มก่อนปรับหน้าใช้นัยน์ตาดำขลับจิกจ้องเป็นการขู่บังคับอยู่ในที

           "ฮือ...ขอรับแม่หญิง ได้ขอรับ" ไอ้จ้อยหน้าเจื่อนจำใจรับพัสดุกับห่อเงินเบี้ย "งั้น..บ่าวขอตัวหนาขอรับ"

          "ลำบากเอ็งนัก" หญิงสูงศักดิ์ยิ้มอย่างพอใจ มองตามเรือแจวของบ่าวชายพร้อมคะนึงคิดห่วงเกศสุรางค์ "หายเจ็บเถิดหนา..ออเจ้า"

          ณ เรือนออกญาโหราธิบดี ในฝั่งเรือนน้อยเกศสุรางค์ยังนอนคว่ำซมเซาไม่รู้สติอยู่แต่หอนอนด้วยอาการไข้และเจ็บแผล นังผินและนังแย้มอดหลับอดนอนผลัดกันคอยเช็ดตัวให้ร่างโรยแรงสั่นเทาตัวร้อน

          "ม..แม่หญิง..คุณพี่.." คำพูดเพ้อแหบพร่าเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาดังขึ้นพร้อมเสียงหายใจหอบจากไข้สูง

           "โถ..แม่นายของบ่าว" นังแย้มปั้นผ้าชุบน้ำฝนซับเหงื่อพร้อมเช็ดเนื้อตัวให้ร่างโปร่งนอนแอ้วแซ่ว

           "น้าผินจ๊ะ!"

           "มึงไปดูซินังแย้ม" นังผินที่โศกเศร้าด้วยสงสารแม่นายบอก

            นังแย้มเปิดประตูก็เห็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อนยืนถือถาดไม้พร้อมหยูกยา ทำท่าลับๆล่อๆชวนสงสัย "มีกะไรไอ้จ้อย?" ร่างผอมก้มมองถาดยา

            "แม่หญิงจันทร์วาดฝากยามาให้จ่ะ มีทั้งยาทายาประคบ แล้วอย่าลืมเอายาต้มไปต้มให้แม่หญิงการะเกดด้วยหนาจ๊ะ"

           "แล้วเหตุใดเอ็งจึ่งต้องทำลับๆล่อๆด้วยวะไอ้จ้อย?" นังแย้มถามพลางเอื้อมรับถาดยา

           "เอาเถิดน่า..ข้าขอตัว พี่แย้มก็อย่าไปบอกผู้ใดเล่าว่าข้ารับของมาจากแม่หญิงจันทร์วาด"

           "เออๆๆ ข้ามิใช่ฆ้องปากแตก จักปากสว่างไปบอกใตรดอกหนา"

           ว่าแล้วนังแย้มก็ยกถาดไม้ไปวางไว้ในหอนอนพร้อมแจงความให้บ่าวสหายฟัง ก่อนหยิบเอาเฉพาะห่อยาสมุนไพรไปต้มที่โรงครัว

            "แม่นาย..ลุกขึ้นมากินยาสักหน่อยหนาเจ้าคะ" นังผินรับยาต้มอุ่นๆจากบ่าวร่างผอมแล้วเรียกปลุกเกศสุรางค์ที่อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น

             "อะ..อืม" เกศสุรางค์ดึงสติรวบรวมกำลังฝืนลุกทั้งยังเจ็บแผลแทบใจขาด ก่อนค่อยๆรับดื่มยาที่บ่าวร่างอวบป้อนอย่างฝืนๆ เพราะรสชาติยาต้มนั้นทั้งขมทั้งฝาด

             "นี่เป็นยาที่แม่หญิงจันทร์วาดฝากมาให้เลยหนาเจ้าคะ" นังแย้มนั่งมองด้วยสงสาร และมันรู้หากเกศสุรางค์ได้ยินว่าเป็นยาของแม่หญิงผู้เป็นที่รักก็คงดีใจไม่น้อย "ต้องกินให้หมดเจ้าค่ะ"

            เกศสุรางค์อมยิ้มแห้งๆแล้วขณะที่รับดื่มยาอึกสุดท้าย ตาเรียวคมดูโรยแรงก็เหลือบเห็นพับกระดาษคล้ายจดหมายวางอยู่บนถาดจึงเอ่ยถาม "แล้วกระดาษนั่นคืออะไรเหรอพี่?"

            "บ่าวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ เกรงว่าจะเป็นจดหมายจึงมิกล้าเปิดดู" แม้นจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่ด้วยเป็นบ่าวก็ไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องของนาย ว่าแล้วนังแย้มก็หยิบกระดาษจดหมายให้

            เกศสุรางค์รับแล้วเปิดอ่านอย่างไม่รอช้า ทันใดที่นัยน์ตาสีน้ำตาลได้เห็นข้อความในกระดาษ กลีบปากเรียวก็พลันยิ้มทั้งน้ำตาคลอ

      +--------------------------------------+
       พี่ได้ยินว่าออเจ้าถูกโบยใจพี่นี้ร้าวระบมหนักหนา พี่มิอาจไปเยี่ยมเยียน ใจพี่นี้อยากอยู่เคียงคอยดูแลออเจ้า หากแต่ไร้ความสามารถจึ่งได้เพียงส่งยาและรักไปให้ อภัยพี่เถิดหนา ขอจงหายเจ็บหายไข้เร็ววัน พี่แต่งกลอนนี้ให้แก่น้อง หากมิอยากอ่านด้วยรำคาญ ก็โปรดรับรู้ว่าพี่ยังคะนึงห่วงหา

            ปิ่นทองเรืองยังเก็บรอน้องรัก
            กลิ่นเจ้าปักตราตรึงพี่หนักหนา
            ระทมอกคิดถึงเจ้าเศร้าอุรา
            ป่านนี้หนางามตาเป็นเช่นไร
            วันนี้พี่บรรจงฝนไพลให้
            หวังฝากไปบรรเทารอยแผลน้อง
            สะอึกคิดเจ็บพี่มิอาจป้อง
            ขอนวลน้องจงหายในเร็ววัน
     +-----------------------------------------+

          "พี่ผิน..พี่แย้ม.." เกศสุรางค์ที่หน้ายังแสดงความเจ็บปวดเนืองๆเริ่มยิ้มทั้งร้องไห้มองสองบ่าวที่ขอบตาดำคล้ำด้วยอดนอนมาดูแลเธอ "ขอข้ากอดหน่อย.."

           "ม..แม่นาย" นังผินและนังแย้มน้ำตาไหลตามพร้อมขยับตัวเข้าหา แต่ไม่กล้าโอบแขนกอดตอบด้วยกลัวว่าจะถูกแผลที่ยังสดของร่างโปร่ง

           สามนายบ่าวกอดกันร้องไห้ เป็นภาพที่แม้จะดูหดหู่แต่ก็น่าประทับใจเช่นเดียวกัน เพราะได้แสดงให้เห็นความรักและเมตตาของนายที่มีให้บ่าว และความจงรักภักดีของบ่าวที่มอบตอบแทนแก่นายที่มีจิตใจประเสริฐเที่ยงธรรม

        **ฉันคิดถึงพี่จันทร์วาด..คิดถึงแม่..คิดถึงยาย...**

    ((จบตอนที่ ๑๒))

    ก็อัพก่อนกำหนดนิดนึงค่ะ พอเจอสถานที่ใหม่ๆสมองมันแล่นแบบ...พิมพ์ไวมาก สนุกไม่สนุกติชมกันได้นะจ๊ะ ไรท์อัพในโทรศัพท์หากผิดพลาดประการใดขออภัยหนาออเจ้า

    เป็นอย่างไรกันบ้าง ไรท์คิดถึงสยามประเทศยิ่งนัก คิดถึงรีดทุกผู้ ช่วงนี้หนาวเหลือเกิน ขอกอดรีดหน่อยนะคะ ถถถถถ
    ยังไงก็ขอฝากฟิคไว้ในอ้อมอกอ้อมใจดังเดิม ไรท์ว่างจะมาอ่านและตอบเม้นต์นะจ๊ะ! จุ้บๆ 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×