ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #10 : จันทร์เต็มดวง

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 61


        







         ตอนที่ ๑๐ :  จันทร์เต็มดวง

          ดาราบถเทาขรึ้มขะข่ำหลัว
          ควันมืดมัวปิดปกน่าเกรงขาม
          คอยหมองอกกลัดหายหลายชั่วยาม
          เห็นบิดาถูกหามระทมใจ

              เดือนเลื่อนลับขอบฟ้าแต่สริยายังไม่ส่องแสง รอบๆเรือนไม้หลังใหญ่เงียบงันราวถูกทิ้งร้าง มีเพียงไฟสลัวๆจากในเรือนส่องเห็นทาง นัยน์ตาสีนิลสั่นระริกมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยเนื้อแตก ของขุนนางชายซึ่งนอนคว่ำกายร้องระทมอย่างทรมาน บ่าวทาสต่างช่วยกันฝนไพลและต้มยาด้วยน้ำตานองหน้า ส่วนหนึ่งช่วยเตรียมผ้าชุบน้ำฝนใส่ขันทองเหลือง ลูกสาวซับประโลมหวังบรรเทาความปวดแสบของแผลฉกรรจ์

                "อะ! โอย..." เสียงครวญครางแหบพร่าดังขึ้นทุกครั้งที่ผ้าชุบน้ำฝนสัมผัสลงบนแผลเนื้อแตก จันทร์วาดสะอึกสะอื้นด้วยเวทนาบิดาตน มือน้อยค่อยจรรโลงลูกประคบอย่างอาดูร

                "พุทโถ่ คุณพี่เหล็ก ฉไนจึ่งเป็นกระนี้หนอ" คุณหญิงนิ่มที่กินไม่ได้นอนไม่หลับมาทั้งวันทั้งคืน เห็นสภาพสามีก็สุดจะเวทนา ผ้าสไบไหมทอมือถูกใช้ซับน้ำตา

                 "พ..พี่เหล็ก" โกษาปานขมวดคิ้วหน้าถอดสีมองพี่ชาย เขาไม่คิดว่าออกญาโกษาเหล็กจะถูกลงโทษสาหัสฉะนี้

                 "พ่อปาน...ใยไม่ช่วยคุณพี่...เหตุใดจึงไม่ช่วยคุณพี่!?" คุณหญิงนิ่มถามร่ำไรรำพันด้วยปวดใจ

                สาวน้อยบรรจงเยียวยาอาการออกญาโกษาเหล็ก ตากลมคลอน้ำเนตรมองบ่าวไพร่ที่ก้มหน้าก้มตาร้องห่มร้องไห้ด้วยสงสาร เมื่อรู้ชะตากรรมว่าอีกไม่ช้า สมบัติแลของมีค่าจักถูกหลวงริบไปทั้งหมด ถึงเวลานั้นบ่าวทาสทั้งหลายก็มิอาจถูกดูแลเลี้ยงดูได้

                 จิตใจบอบช้ำพลันคะนึงถึงแม่สาวเมืองสองแคว ตรึกคิดว่าหากมีนางอยู่ข้างๆคอยปลอบใจคงจะดีไม่น้อย บทกลอนมากมายจันทร์วาดยังคงจำได้แม่นยำ เพราะด้วยใส่ใจในทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา



     .........................................................

                 เพลาสายแสงตะวันทอสดใสตกกระทบพื้นหญ้าเขียวขจี บ่าวหญิงทาสชายต่างทำหน้าที่ของตนตามปกติ บนเรือนน้อยสาวร่างโปร่งยืนด้อมๆมองๆแถวบันไดเรือนอย่างร้อนใจ

                 "พี่ผิน พี่แย้มหายไปไหนกันแต่เช้านะ?" เกศสุรางค์บ่นพึมพำพลางชะเง้อหา "เอ..หรือจะอยู่ที่โรงครัวเล็ก"

                  "แม่การะเกด" 

                  "อะจ๊าก!!!? คุณพี่หมื่น เอ้ย พี่ขุน!" เด็กสาวใจหล่นไปถึงตาต่มเมื่อชายหนุ่มโผล่มาจากด้านหลังไม่ให้ซุ่มให้เสียง ก่อนตวัดตามองค้อนร่างสูง "มีอะไรคะ..ถึงมาบุกรุกเรือนข้า?"

                  "นี่มิใช่เรือนออเจ้าหนา" ขุนศรีวิสารวาจาก้มมองเกศสุรางค์ใกล้ๆแล้วยิ้มให้ "แล้วออเจ้ามองหาผู้ใดรือ?"

                 "เฮ้อ ก็พี่ผินพี่แย้มไงคะ ได้ยินว่าคุณลุงเหล็กถูกส่งกลับมาที่เรือนแล้ว ตอนนี้อาการไม่สู้ดีอยากไปเยี่ยมค่ะ" หญิงเอวบางประสานมือไว้ข้างหน้าพลางถอนหายใจ

                 "มิใช่กงการอันใดของออเจ้าหนา" 

                "ใช่สิคะ ข้ากับแม่หญิงจันทร์วาดเป็นแฟนกัน ข้าก็ต้องคอยช่วยเหลือค่ะ..ขอตัวนะคะคุณเพ่ บาย~" เกศสุรางค์เหล่ตามองชายคู่หมายก่อนสะบัดผมยาวใส่แล้วโบกไม้โบกมือยียวน

                  "แฟน??งั้นรือ" ขุนศรีวิสารวาจาฟังคำไม่รู้ความ แต่เขาเองไม่ใช่คนโง่ ลึกๆในใจเขาภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่เขาคิด

                  ด้านเกศสุรางค์เดินมาจนถึงโรงครัวน้อยก็เห็นบ่าวของตนนั่งเตรียมเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหารอยู่กับบ่าวคนอื่นๆ ฝ่ายนังผินกับนังแย้ม พอเห็นแม่นายเดินมาก็วางงานตรงหน้า แล้วรีบเดินเร็วมานั่งคุกเข่าข้างๆรอรับคำสั่ง

                 "แม่นายมีกะไรเจ้าคะ?" นังผินนังแย้มเอ่ยถามพร้อมกัน

                  "พี่ผินพี่แย้ม ไปเตรียมไพลมาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะนั่งฝน"

                 "อ๋อ~เอาไปเรือนออกญาโกษาธิบดี" สองบ่าวหันหน้ายิ้มให้กันอย่างเขินอาย

                 "เออนั่นแหล่ะ รีบไปเตรียมมา..ให้ไวด้วย" เกศสุรางค์อมยิ้มเขิน แล้วทำทีไล่สองบ่าวด้วยแก้มแดง

                 นังผินนังแย้มรับคำสั่งหาสมุนไพรมาให้แม่นายน้อยเร็วพลัน ร่างอรชรนั่งพับเพียบประจงมือเรียวจับไพลฝนอย่างขะมักเขม้น ก่อนนำเกลือกับการบูรผสมเข้าเล็กน้อยตามสูตร แลสองบ่าวช่วยกันใช้ผ้าขาวดิบมัดทำลูกประคบ

                 "เย้! เสร็จแล้ว ป่ะพี่ผินพี่แย้มไปหาแม่จันทร์วาดกัน! เอ่อ..เอาสมุนไพรไปให้ลุงเหล็ก" เกศสุรางค์รู้ตัวว่าสายเกินจะแก้คำผิด แค่ก็พูดออกไปพอเป็นพิธี

                 "แหม~ แม่นาย" สองบ่าวเอียงตามองสาวน้อยอย่างจับผิด

                 "เออน่า! ป่ะเร็ว ถ้ามัวแต่ชักช้าข้าจะพายไปเองแล้วนะ" เกศสุรางค์ทนความเขินไม่ได้ เดินลิ่วลงจากเรือนไปโดยไม่รอ สองบ่าวจึงรีบหิ้วข้าวของแลลูกประคบวิ่งตามกันขาไขว่

                "รอด้วยเจ้าค่ะแม่นาย!"

    ........................................................

               "แม่หญิงจันทร์วาดเจ้าคะ" 

               "มีอันใดรือเหมือน?" จันทร์วาดถามมือพลางประคบลูกสมุนไพรลงบนรอยหวายของชายที่นอนโอดโอยร่างสั่นเทาแลดูไม่ค่อยรู้สติ เห็นแบบนั้นดวงตากลมก็มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก "ค..คุณพ่ออดทนหน่อยหนาเจ้าคะ" มืออีกข้างปาดน้ำตาไม่ให้ไหลหยด

                "แม่หญิงการะ.."

                "แม่หญิงจันทร์วาด!" ร่างปราดเปรียวเดินกะเร่อกะร่าเข้ามาในห้องออกญาเหล็กโดยยังไม่ได้รับการอนุญาต แต่ทุกคนยังอยู่ในอารมณ์เศร้าหม่นจึงไม่มีผู้ใดปริปากว่าเธอ พอเห็นแผ่นหลังแผลเหวอะหวะเกศสุรางค์ก็วิ่งเข้าไปถามอาการทันที "คุณลุงเหล็กเป็นอย่างไรบ้างแล้วคะ?"

                แว่วเสียงสดใสปนความห่วงใยเรียกสติของขุนนางผู้ต้องโทษกลับมา เขาจำสำเนียงน่ารักน่าเอ็นดูนี้ได้ ออกญาโกษาธิบดีแม้นเจ็บเจียนใจขาดก็ยังฝืนขยับนอนตะแคงแล้วยิ้มเนือยๆให้เด็กสาวแสนรู้ที่นั่งหน้าเสียมองเขาอยู่

                  "ลุงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ..แม่การะเกด" มือหนาอ่อนแรงยื่นออกลูบหัวเกศสุรางค์ด้วยเอ็นดู พลางเอ่ยตอบด้วยเสียงแหบพร่า "ขอบน้ำใจออเจ้าที่มาเยี่ยม"

                   "หูย ไม่เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงคุณลุงเหล็กแทบแย่ วันนี้ข้าฝนไพลมาให้ด้วยนะคะ" เกศสุรางค์หันยักหน้าให้บ่าวถือลูกประคบที่เธอผสมมาเองกับมือมาให้ "คุณลุงเหล็กหายเร็วๆนะคะ"

               จันทร์วาดกับคุณหญิงนิ่มมองแม่สาวตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ออกญาโกษาธิบดีที่เอาแต่ร้องโอดครวญด้วยเจ็บแสบจากบาดแผล กลับยอมฝืนขยับกายเพื่อทักทายแม่หญิงคนนี้ ในใจของขุนเหล็กคงจะรักและเอ็นดูเกศสุรางค์อยู่มาก

               "ผิน..แย้ม ยกลูกประคบมาให้ข้าเถิด ประเดี๋ยวข้าจะประคบให้คุณพ่อ" เสียงเครือเอ่ยขึ้นเบาๆ นัยน์ตาสีดำขลับยังคงมองเกศสุรางค์ด้วยอุ่นใจ

               "แม่หญิงจันทร์วาดไม่ต้อง เดี๋ยวข้าทำให้"  เกศสุรางค์แย่งถาดจากมือนังผินมาถือไว้เอง แต่ในขณะที่กำลังจะประคบสมุนไพรก็ถูกยั้งไว้ก่อน

               "ออเจ้ามิต้องลำบากดอกหนา ให้ข้าทำเถิด" จันทร์วาดเห็นว่าแค่ฝนไพลมาให้ก็ดีโขแล้ว หากจะให้ประคบให้ด้วยก็จะเป็นการรบกวนมากไป

                "แม่จันทร์วาด..ออเจ้าคอยดูคุณลุงเหล็กมาตั้งแต่กี่โมง?" ร่างโปร่งขยับไปเบ้ปากถามอย่างหน่ายๆ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ "บอกมาเหอะ!"

                  "ประมาณยาม ๓ ยาม ๔ ได้" ริมฝีปากบางขยับตอบอย่างรักษากิริยา จนแม้จะจ้องเพียงใดก็ไม่มีทางได้เห็นฟันคนพูดแม้สักซี่

                 "ยาม ๓ ยาม ๔.. ก็ตั้งแต่ประมาณตี ๓ เลยน่ะสิ!" แม่จอมแก่นทำหน้าเหวอ พลางเหลือบตาเรียวคมมองร่างน้อยสลับกับออกญาโกษาธิบดี "ไปพักผ่อนกินข้าวก่อนเถอะ..ข้าดูแลคุณลุงเหล็กได้"

                 "แต่ว่า.." จันทร์วาดทำเก้กังไม่ยอมทำตาม

                 "ลูกไปเถอะ ไว้ใจแม่การะเกดเถิดหนา" เสียงแหบแผ่วของชายสูงวัยเอ่ยบอกแก่ลูกสาวด้วยรอยยิ้ม 

                 "เจ้าค่ะ" ลูกสาวรับฟังคำบอก ร่างน้อยค่อยๆลุกขึ้นด้วยกิริยาเรียบร้อย จันทร์วาดเหลือบมองสาวผมยาวทรงมหาดไทยที่ตั้งอกตั้งใจเบามือประคบแผลแตกของบิดาอย่างปลาบปลื้ม นางดีใจที่การะเกด(เกศสุรางค์)ซึ่งอุปนิสัยร่าเริง อ่อนหวานกลับมา

                เกศสุรางค์คอยดูแลออกญาโกษาเหล็ก พลางเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังเป็นที่สำราญใจ จนลืมความแสบร้อนของแผลไปได้ชั่วเวลาหนึ่ง จันทร์วาดกับเกศสุรางค์ช่วยกันผลัดมือคอยประคบแผล บ้างก็พัดวีให้แผลแห้งและป้องกันพวกแมลงมาเกาะแผล จนเวลาล่วงเลยนานจนตะวันลับตกดิน ด้วยรู้สึกขอบคุณ คุณหญิงนิ่มแลลูกสาวจึงเดินมาส่งแขกถึงท่าจอดเรือ
     
                 "ลำบากออเจ้านัก ขอบน้ำใจหนาหนูการะเกด" คุณหญิงนิ่มเดิมเคยไม่ชอบเกศสุรางค์ แต่เมื่อเห็นถึงน้ำใจอันดีงามก็พลันเปลี่ยนความคิดทันทีถึงแม้จะยังไม่ค่อยเต็มที่สักเท่าไรนัก "ออเจ้าคอยเล่าเรื่องต่างๆ จนคุณพี่เหล็กหลับไปได้ ช่างดียิ่งนัก"

                 "ยินดีค่ะ ไว้ข้ามาทุกวันเลยได้มั้ยคะ?" เกศสุรางค์ถามหน้าซื่อ

                 "เรือนนี้เปิดรับออเจ้าเสมอ" 

                 ดวงหน้ารูปไข่ปรากฏรอยยิ้มรื่นละไมเป็นครั้งแรกหลังเหตุการณ์ที่ออกญาโกษาธิบดีถูกคุมตัวไป จันทร์วาดจับจ้องเกศสุรางค์ด้วยแววตาที่แม้จะดูเศร้าสร้อย แต่ก็มีสายใยความรักความอบอุ่นอารีส่งผ่านออกมา  เมื่อตาคมสบเข้ากับนัยน์เนตรสีนิล ทั้งสองก็ถูกดึงเข้าสู่ภวังค์พิสมัยด้วยใจเปี่ยมเปรมลึกซึ้ง ราวกับว่าทั้งพระนครแลท้องนภามีเพียงนางแค่สองคน

    สบ-    'มองเหลียวแลจับจ้อง  จรรจริต
    ตา-     นัยน์สบเนตรเนืองนิจ   ไป่ทิ้ง
    หวาน- เอี่ยมอ่องผ่องหยาดจิต  รึงสวาท เรียมเอย
    ชื่น-    รงค์แอร่มแจ่มแช่มช้อย  สุดรั้ง ออกแล'

    {{ถอดความ : ไรท์ใช้ฐาน 'สบ-ตา-หวาน-ชื่น' มาขยายความเป็นโคลงสี่สุภาพ ได้ความหมายดังนี้ : ได้เห็นก็หวานชื่นหัวใจจนออกอาการ ตาสบตามิยอมวาง ช่างงดงามอร่ามติดตรึงใจเหลือเกินโฉมงาม ติดตาสดใสอ่อนหวานสุดจะวางตาเอย}}

                ตะวันลับขอบฟ้าเป็นโอกาสให้ดวงจันทราได้ลอยเด่นส่องแสงนวลผ่องสะท้อนผืนวารี ลมเอื่อยพัดผ่านผิวน้ำเป็นคลื่นอ่อน เรือน้อยค่อยๆลอยออกจากท่า ตาคมยังแลมองท่าหาอย่างอาวรณ์ ด้วยใจยังไม่คิดจะจรจาก เรือก็ถูกพายออกมาไกลเกินแล้ว จักเห็นก็แค่เพียงแสงตะเกียงสว่างที่แม่หญิงผู้นั้นถืออยู่บนท่าจอด

                 สองบ่าวโบกไม้พายอย่างขะมักเขม้นหวังให้ถึงเรือนเร็วไว ฟ้ามืดผู้คนต่างเร่งจุดไต้ริมฝั่งคลองแลสะท้อนแสงสะท้อนตามคลื่นน้ำ เด็กสาวห่มผ้าต่วนสไบสีชมพูนั่งถือตะเกียงเหม่อมองพระจันทร์ที่มีเพียงครึ่งดวง แต่ยังมีดาวสุกสกาวคอยอ้อมล้อม จิตยังคงพะวงคิดหาดวงดาราประจำใจ

               'ถ้าเธออยู่ตรงนี้กับฉันก็คงดีนะจันทร์วาด ถึงจันทร์จะมีเพียงครึ่งดวง ถ้าเราสองคนมองด้วยกัน จันทร์..ก็คงจะเต็มดวง'

                 "แม่นายน้ำค้างลงกางร่มเถิดหนาเจ้าคะ" บ่าวร่างอวบเอ่ย

                 "อื้ม" 

               ดวงตากลมจับจ้องเงยมองจันทร์แลมีต้นมณฑาทองผลิดอกงามอยู่ข้างๆ ลมหวนพัดไอหนาวกระทบผิวกายเนียน เท้าเปล่ายืนเหยียบพื้นเรือนที่เย็นเฉียบ แต่เมื่อจิตคะนึงคิดหาใจก็พลันอบอุ่นและกล้าหาญ หาได้หวั่นเกรงต่อโชคชะตาและอุปสรรคไม่ 

               'ออเจ้าจักเหม่อมองจันทร์เหมือนข้าอยู่รือไม่? คืนนี้จันทร์มีเพียงครึ่งดวงแต่ก็งามนัก หากเราร่วมมองจันทร์เพียงครึ่งนี้ด้วยกัน จันทร์เจ้าเอย..เจ้าก็คงจักเต็มดวง'

              กลีบปากบางพรายยิ้มด้วยสุขใจ มือน้อยสองข้างจับด้ามตะเกียงส่องนำทางเดินเข้าหอนอนบิดา เพื่อดูแลรักษาท่านต่อไป

              ด้านเกศสุรางค์พอกลับถึงเรือนก็เหนื่อยล้าเต็มที ร่างโปร่งเดินขึ้นเรือนก่อนเตรียมตัวลงท่าไปอาบน้ำ ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

              "แม่นายเหม่อกะไรวะอีผิน?" นังแย้มศอกใส่สหายร่างอวบ "ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แลชอบกลนะมึง"

              "จะอะไรอีกล่ะมึ๊ง! ก็แม่หญิงจันทร์วาดน่ะซิมึงไม่เห็นรือ ตอนอยู่ที่ท่าสบกันตาหวานหยด จนคุณหญิงนิ่มท่านไม่พึงใจจิปากจิคอใหญ่" นังผินพูดทั้งเขินแทนแม่นายตน

               "เออว่ะ..แต่อย่างไรแม่นายกับแม่หญิงก็เหมือนเป็นผัวเป็นเมียกันแล้วนิ"

              "อีแย้ม! มึงอย่าเอ็ดไป ผู้ใดมาได้ยินเข้าจักมิงาม หนำซ้ำจะโดนลงหวายกันทั้งนายทั้งบ่าว"

              "เออ..เออๆ กูรู้แล้ว"

              สองบ่าวเจรจาความต่อกันเสร็จก็รีบไปเตรียมมะขามเปียกแลผงขมิ้นกับดินสอพอง เดินตามแม่นายลงไปที่ท่าอาบน้ำ บ่าวผู้จงรักม้วนเก็บผมยาวและเปลี่ยนชุดอาบน้ำให้นาย แล้วค่อยตักน้ำจากท่าขึ้นราด

                      ซ่า~

              "บรึ๋ย~! หนาว" พอโดนน้ำเย็นเข้าไปก็ถึงกับสะดุ้ง ในใจคิดว่าถ้าได้เครื่องทำน้ำอุ่นสักเครื่อง หรือไม่ก็ตีตั๋วไปแช่ออนเซนที่ญี่ปุ่นซะก็คงดี

               "ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะแม่นาย" นังผินเอ่ยพลางใช้สมุนไพรที่เตรียมมาใหม่ๆขัดลงบนผิวกายเนียนอย่างละเมียด

               "ก็ข้าหนาวนี่นา" เกศสุรางค์พูดหน้ามุ่ยเอาแต่ใจ

             "หนาวกายแต่ถ้าอุ่นใจ หนาวก็พลันหายหนาเจ้าคะ" นังแย้มแซว

              "พี่แย้ม..เดี๋ยวเหอะ!" มือเรียวกำเอามะขามเปียกแล้วฟาดใส่หลังบ่าวร่างผอม

               "ว๊าย!? แม่นายทำกะไรเจ้าคะ!?" นังแย้มเหลือบเห็นบ่าวสหายนั่งหัวเราะตน "มึงหัวร่อกะไรอีผิน!?"

               "พี่แย้มมาแซวข้า!" เรียวหน้าสวยเปื้อนรอยแดง บิดร่างสะบัดแก้อาการเคอะเขิน "รีบอาบน้ำแล้วไปนอนกัน"

               "เจ้าค่ะ.."

               เรือนออกญาโกษาธิบดี บ่าวทั้งหลายช่วยกันมาเปลี่ยนมือดูแลเจ้านาย โดยมีหญิงสาวร่างอ้อนแอ้นนั่งช่วยอยู่อีกคน

                "แม่หญิงจันทร์วาด เข้าหอนอนเถิดหนาเจ้าคะ" นังบุญบ่าวคนใหม่ที่มาแทนนังแดงเอ่ย "ประเดี๋ยวพวกบ่าวจักดูแลออกญาท่านต่อคืนนี้เองเจ้าค่ะ"

                "อืม ฝากพวกเจ้าด้วยหนา" จันทร์วาดพยักหน้าหน่อยๆ ตากลมพลางเหลือบมองบิดาที่หลับไหลอยู่ "ฝันดีหนาเจ้าคะคุณพ่อ ขอให้ท่านหายจากความเจ็บปวดเร็วพลัน" พูดจบร่างน้อยก็ลุกจากข้างเตียงเดินจะเข้าหอนอนเพื่อเก็บเอาแรงมาดูแลโกษาเหล็กต่อในเพลาเช้า

                ประตูหอนอนถูกปิดลง มือน้อยขยับถอดรัดเกล้าปล่อยผมดำขลับโซงโขดงมัดสูงให้ยาวสลวยปรกทั้งแผ่นหลัง แล้วนั่งลงหน้าคันฉ่อง พลางไล้ลูบนิ้วมือบนแผ่นไม้พลับพลา คำนึงถึงช่วงเวลาอันดูดดื่มที่เคยดำดิ่งเผลอไผลกายเร่าร้อน

                "เหตุใดใจข้าจึ่งคะนึงหาแต่ออเจ้า" ร่างบางกอดกายหนาวเดียวดายนอนลงบนพลับพลา แววตาเศร้าคำนึงมองกระจกเงาจินตภาพหาทรามสวาท

                 "แม่หญิง..ไม่ไปนอนบนเตียงรือเจ้าคะ?" นังเหมือนเอ่ยถามด้วยเป็นห่วง

                 "ให้ข้านอนกงนี้เถิดเหมือน.." เสียงหม่นหมองตอบทั้งยังมองคันฉ่องอยู่เช่นเดิม แม้นการนอนบนแผ่นไม้แข็งจะไม่สบายแต่ก็ช่วยบรรเทาความโศกในใจได้

                 ....................................................

                หลายวันผ่านพ้น ที่ตลาดชุมชนโปรตุเกส มีฟะรังคีหนุ่มร่างใหญ่สองคนยืนเฝ้าหน้าร้านเรือนแพขายผ้า โดยข้างในนั้นบรรยากาศช่างดูตึงเครียด

                  "มารี ข้าประสงค์จักให้เจ้าแต่งงานกับข้า"  ขุนนางฝรั่งยศออกหลวงเอ่ยด้วยแววตาแข็งขมึง

                  "มิได้ดอกเจ้าค่ะ ข้ายังต้องขายผ้าช่วยพ่อ พ่อข้าก็แก่มากแล้ว" คนถูกบีบบังคับพยายามเจรจาแจงความอย่างละม่อม "หวังว่าท่านออกหลวงจักเข้าใจ ข้าเป็นเพียงแม่ค้าเรือนแพ มิอาจเทียมตนให้เหมาะสมกับท่านได้"

                 "แต่ข้ารักเจ้า! เป็นเมียขุนนางมันไม่ดีตรงไหน!?" ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนบีบเรียวหน้าคมแล้วมองจ้องด้วยโกรธา

                 "ท่านออกหลวงสุรสาครเจ้าคะ..ข้ามีคนที่ข้าพึงใจอยู่แล้ว" มารีหลบตาก่อนเอ่ยบอกเสียงแผ่ว

                 "ฮึ! คอยดูแล้วกัน ข้าจักเอาเจ้ามาเป็นเมียให้จงได้!" ออกหลวงสุรสาครผลักร่างมารีกระเด็นก่อนเดินหันหลังกระทืบเท้าออกจากร้านไปอย่างไม่พอใจ

                  "มารี!" ฟานิกที่เมื่อกี้ได้แต่ยืนแข็งกลัวรีบวิ่งเข้าไปประคองลูกสาวหน้าตื่น "เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่!?"

                  "ข้าไม่เป็นไรพ่อท่าน" ตาคมจ้องเรียบเฉยตามหลังออกหลวงสุรสาคร พลางพยุงร่างตัวเองลุกขึ้น "อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอมแต่งงานกับเขา"

                 "ความรักที่เจ้ามี มันเป็นรักต้องห้ามของที่นี่ แลเจ้าก็มิอาจคัดค้านออกหลวงผู้นี้ได้หรอกหนา"

                 "ข้าหากลัวไม่...ใจข้ามีเพียงนางเท่านั้น ลูกมิอาจตบแต่งกับชายผู้นี้ได้...ท่านพ่อ"

     ...............................................................



                   ปอก..ป๊อก!

                 เสียงครกสากกระทบกันดังทั่วโรงครัวน้อย แม่หญิงของบ้านค่อยๆเทเครื่องปรุงลงในกระทะน้ำมันเดือด ก่อนเทหัวไชเท้าแห้งเค็มผสมถั่วลิสงบดหยาบลงผัดคลุกจนแห้งเหนียว แล้วยกไปพักรอให้เย็น ฝ่ายบ่าวก็ช่วยกันนวดแป้งสาคูจนได้ที่แล้วคลุมผ้าขาวบางพักไว้เช่นกัน

                 "ตลอดสอง-สามเดือนมานี้ นอกจากจะทำบุญตักบาตร แม่นายก็ทำขนมแลฝนไพลไปเรือนออกญาโกษาธิบดีมิเคยขาดเลยหนาเจ้าคะ" นังผินพูดพร้อมยิ้มฟันดำ

                  "นั่นซิเจ้าคะ แม่นายช่างใส่อกใส่ใจแม่หญิงจันทร์วาดเสียจริง" นังแย้มช่วยพูดเสริม "แถมแต่ละวันอาหารมิเคยซ้ำอย่าง เพิ่งเห็นทำสาคูถั่วซ้ำก็วันนี้แลเจ้าค่ะ"

                  "แหม คนเป็นแฟนกันต้องดูแลกันมันแน่อยู่แล้ว แม่หญิงจันทร์วาดชอบกินสาคูไส้ถั่ว ข้าก็ต้องทำสาคูไส้ถั่ว โอเคร๊?" เกศสุรางค์เหล่มองสองบ่าว แล้วจีบมือทำสัญลักษณ์ที่ทั้งสามเข้าใจกันดี

                  "โอเคเจ้าค่ะแม่นาย" นังผินนังแย้มจีบมือตามแต่ก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่

                 เกศสุรางค์เบือนหน้าถอนหายใจ พอคิดถึงเรื่องของออกญาโกษาธิบดี เพราะตามประวัติศาสตร์ ขุนเหล็กเสียชีวิตลงหลังถูกโบยเพียง ๖ เดือน นี่ก็ผ่านมา ๓ เดือนแล้ว เวลามันช่างเหลือน้อยลงทุกที หากจะพูดความจริงไปก็จะถูกหาว่าวิปลาส แถมยังจะทำร้ายจิตใจคนทางนั้นอีก

              **ไม่เป็นไรนะแม่จันทร์วาด ยังไงซะฉันก็จะอยู่ข้างเธอจนถึงวันนั้น..**

                สาวน้อยใจเปี่ยมด้วยรักหมั่นหอบหิ้วอาหารและสมุนไพรไปให้คนที่รัก เกศสุรางค์นั่งกางร่มชะเง้อคอจากในเรือ มองหาจันทร์วาดที่จะมาคอยรับเธออยู่ที่ท่าเวลาสายทุกวัน

                "แม่หญิงจันทร์วาด~" เกศสุรางค์โบกมือพลางยิ้มดีใจใหญ่ เมื่อเห็นร่างน้อยยืนง่าเงยรออยู่ที่ท่าจอด

                จันทร์วาดวางท่าประสานมือเรียบร้อย พรายยิ้มให้แขกคนพิเศษอย่างจริงใจ ก่อนเดินลงไปที่ริมขอบท่าเมื่อเรือจอดเทียบแล้ว "ยินดีต้อนรับออเจ้า" 

                มือน้อยผายไปทางเกศสุรางค์เพื่อช่วยพยุงร่างโปร่งขึ้นจากเรือ สาวน้อยตอบรับน้ำใจ มือเรียวจับเข้ากับมือของคนด้านบน สัมผัสนุ่มละมุนทำให้ดวงหน้าเรียวแดงระเรื่อ แลตาคมมองจันทร์วาดด้วยพิศมัย

                "ลำบากออเจ้านัก" จันทร์วาดเอ่ยเสียงค่อย ช้อนตาแลอีกคนก่อนหลุบลงมองต่ำอย่างรักษามารยาท

                 "โนพรอมแพลม ข้า..เต็มใจ แถมลูกสาวเรือนนี้สวยข้าก็อยากมาเจอทุกวัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหว่านเสน่ห์คำหวานพิรากล

                 "วาจายังคงคมคายและฟังมิค่อยรู้ความเช่นเดิมหนา" กลีบปากบางแทบจะฉีกออกยิ้มกว้างแต่ด้วยต้องรักษากิริยาของหญิงผู้ดีมีสกุล ก็ทำได้เพียงหลุบตาอมยิ้มเล็กๆ

                 "แม่หญิงจันทร์วาด..ก็วางท่าเหมือนเดิม" เกศสุรางค์เหยปากยอกย้อน

                จันทร์วาดกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนพาแขกขึ้นเรือน และเหมือนทุกๆครั้งเกศสุรางค์จะช่วยดูแลออกญาโกษธิบดีแลเล่าเรื่องราวต่างๆ บางทีก็เรื่องจริง บางทีก็เรื่องแต่ง และหลายๆครั้งที่เธอต้องขุดความจำเกี่ยวกับนวนิยายเก่าๆมาเล่า วันนี้เหมือนจะคุยเพลินเสียจนเวลาล่วงเลยจากเดิมมากโข

                "คุณพ่อข้ามิเคยทุเลาเลย แต่เวลาออเจ้ามาหาก็พลันยิ้มได้ ข้าแปลกใจเสียจริง"

                "เรื่องนี้ข้าถนัด"

                "ขอบน้ำใจออเจ้าอีกครา ที่เล่าเรื่องเสียคุณพ่อข้าหลับไปเลย" จันทร์วาดพูดปนหัวเราะ พลางเดินพาเกศสุรางค์ออกมาถึงท่าจอด "นังผิน..นังแย้ม ข้ามีเรื่องจักคุยกับนายเอ็ง" มือน้อยทำมือปัดเป็นสัญญาณบอกให้สองบ่าวจากบ้านโหราธิบดีหลีกไปทางอื่นก่อน

                  "เจ้าค่ะ" ถึงจะงงๆว่าแค่คุยจะต้องไล่พวกตนไปด้วย แต่ก็หลีกออกอย่างไม่มีทางเลือก

                  "มีอะไรเหรอแม่หญิงจันทร์วาด?" เกศสุรางค์มองซ้ายแลขวาแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าด้วยแววตาใสซื่อ

                   "ออเจ้าเคยบอกแก่ข้า..ให้เรียกออเจ้าว่า.."

                    "เอ๋??" 

                   "ลืมสิ้นแล้วรือ?" หน้ารูปไข่ขยับเข้าใกล้คนตรงหน้าพร้อมจิกนัยน์เนตรสีนิลเชื่อมฉ่ำไปยังดวงตาซื่อตรงคู่นั้น หมายสื่อความในใจที่กรึกถองท่วมท้นล้นเกินจะเก็บงำไว้ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงนวลอร่ามตา ชักพาให้สองจิตผูกติดกันเร็วพลัน

                   "ม..แม่จันทร์วาด..?" วงหน้าสวยแดงฉ่าเห็นชัด เกศสุรางค์เหมือนถูกสะกดจนมิอาจเบือนหน้าเชือนตาหนี ได้แต่ขยับเอนตัวนิดๆบ่งบอกให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำเสีย

                   "ฮื่อ.." คิ้วงามขมวดเข้าชิดกันพร้อมกร่นเสียงขู่ในลำคอ ข่มเด็กสาวที่ทำท่างกเงิ่นเขินอายให้อยู่นิ่งๆ "คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงามยิ่งนัก" ด้วยส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันเพียงยื่นหน้าเข้าใกล้ริมฝีปากงามทั้งคู่ก็สามารถขยับเข้าสัมผัสกันเมื่อใดก็ได้

                  "อะ..อืม สวย" เอวบางอรชรแอ่นหลบจนรู้สึกเหมือนจะเซล้ม สองมือเรียวพลันคว้าจับดึงผ้าสไบสีม่วงจักรพรรดิของอีกคนโดยอัตโนมัติเพื่อช่วยให้ทรงตัวอยู่ได้ ก่อนรู้สึกถึงแขนเรียวที่โอบช้อนเอวเธอ "ป..ปล่อยข้าก่อนสิ" เกศสุรางค์พูดพร้อมเบือนหน้าหลบแล้วขยับตัวค่อยๆด้วยกลัวล้ม

                  "หากไร้ซึ่งออเจ้าจันทร์เต็มดวงก็มิต่างกับจันทร์คืนแรมหนา...น้องเกศสุรางค์" คางเรียวถูกเชยกลับมาชมชื่น แว่วเสียงกระซิบแผ่วเบาเรียกขาลชื่อหญิงงามอรอนงค์ สร้างความประหลาดจิตให้แก่เจ้าของชื่อเป็นยวดยิ่ง

                 "แม่จันทร์วาดเรียกชื่อ...!!?"

                 ลมแม่น้ำเย็นพัดปลายสไบปลิวไสว กลีบปากบางประกบมอบสัมผัสอุ่นละไม ลมหายใจกรุ่นไหลผ่านแก้มจนร้อนผ่าว ก่อนจุมพิตจะเริ่มโลมเล้าดูดดื่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางจันทร์เต็มดวงสีนวลสว่างที่สาดส่องสองร่างยืนแนบอิงแอบชิด

                 กลีบบางวางประทับดื่มด่ำ
                 กลางฟ้าค่ำเดือนหงายสายสมร
                 กลิ่นมนฑาดอกแก้วอรชร
                 กลีบงามงอนแซ่ซ้องบรรเลง

              ริมฝีปากชุ่มฉ่ำถอนออกจากกันหลังลุ่มหลงอยู่กับความดูดดื่มจนลืมทุกสรรพสิ่ง เกศสุรางค์เหม่อมองคนตรงหน้าอย่างเซ่อซ่าแลอาย

               "ร..เรียกข้าการะเกดเหมือนเดิมเถอะค่ะ.." ปากเรียวขยับสั่นพูดรัวๆ 

               "อย่างนั้นรือ?" จันทร์วาดยิ้มกรุ้มกริ่มใส่เด็กสาวตรงหน้า ตาหวานจิกจ้องเกศสุรางค์อย่างสมใจ "ประเดี๋ยวข้าจักไปเรียกบ่าวของออเจ้าให้" 

               "บ..บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ!!" นังผินนังแย้มก้มหน้าก้มตาเดินไวขาแทบไขว่กันล้มออกมาจากใต้กะไดเรือน "มีกะไรให้บ่าวรับใช้เจ้าคะ!?"

                "ไม่มีอันใดดอก นายเอ็งเหนื่อยล้านักเร่งพากลับเรือนไปพักผ่อนเถิดหนา"

                "จ..จะ..เจ้าค่ะ! ไปเจ้าค่ะแม่นาย.." สองบ่าวจูงปีกเกศสุรางค์ลงเรือเร็วไว

                ทุกการเคลื่อนไหวของเกศสุรางค์ถูกเจ้าของเรือนจับตามองอยู่ตลอด แม้นลงเรือตากลมก็ยังไม่ยอมละออกจากเธอ

                "แม่หญิงจันทร์วาด..บ๊ายบาย" เรือน้อยถูกแจวออกจากท่า เกศสุรางค์โบกมือค่อยๆพลางพรายยิ้มหวาน

                 "..บ่าย..บ่าย" ภาษาอังกฤษสำเนียงอโยธยาแท้แม้จะเพี้ยนไปบ้างแต่ก็พอฟังรู้เรื่อง จันทร์วาดเลียนแบบการทำมือของเกศสุรางค์ แล้วยิ้มตอบด้วยไมตรี

                 ร่างโปร่งรีบกางร่มหันหลังให้ทันทีเพื่อซ่อนความเขินอาย ที่แสดงออกมาทางสีเลือดฝาดบนแก้มนวล ริมฝีปากเรียวยังคงรู้สึกร้อนผ่าวไม่หายแม้เรือจะถูกพายออกมาไกลจากจุดที่ถูกจูบมากแล้วก็ตาม

                    'ออเจ้าเป็นใครกันแน่หนา...เกศสุรางค์?'



    ((จบตอนที่ ๑๐))

    รีดอย่าเพิ่งเบื่อความเจ้าบทเจ้ากลอนของไรท์เลยนะคะ! 5555 ไรท์จะสอดแทรกไปทุกตอนเพราะไรท์ชอบกลอนโคลงมาก ยังไงก็ขอฝากฟิคไว้ในกล่องดวงใจทุกๆผู้นะจ๊ะ มีอะไรติชมได้เน่อ ไรท์ว่างจะมาตามอ่านแลตอบ รักรีดทุกคนนะคะ สนุกไม่สนุกเม้นต์บอกด้วยน๊า >< จะนำไปพัฒนาต่อไปจ่ะ
    ((ไรท์มีข้อสังเกตบางอย่างให้รีดด้วยลองอ่านละเอียดๆนะจ้ะ อิอิ ใบ้ให้ว่าเป็นบทพูดของแม่หญิงจันทร์วาด))


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×