UnKnow ไร้ซึ่งที่มา [Shounen Ai] - UnKnow ไร้ซึ่งที่มา [Shounen Ai] นิยาย UnKnow ไร้ซึ่งที่มา [Shounen Ai] : Dek-D.com - Writer

    UnKnow ไร้ซึ่งที่มา [Shounen Ai]

    เรื่องสั้นๆของเด็กชายสองคน ที่จู่ๆโลกก็โคจรมาให้พวกเขาได้เจอกัน...จากกัน...และมันก็ลงเอยด้วย...?

    ผู้เข้าชมรวม

    134

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    134

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 พ.ค. 56 / 16:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ก่อนอื่นก็ต้องขอทักทายก่อนค่ะ 
    สำหรับคนที่หลงเข้ามาอ่าน ก็ต้องทำใจนิดนึง
    เพราะเรื่องนี้ไรท์ไม่ได้เขียวไล่จากหนึ่งถึงห้า...
    แต่เป็นอะไรที่ไรท์เขียนข้ามไปข้ามมาเพื่อความสนองนีท 55+

    ส่วนเรท...ไม่น่าเกินPGนะ มีคีสซีนพอหอมปากหอมคอบ้าง
    แต่ไม่มีฉากโคมไฟสั่นไหวแต่อย่างใด

    ส่วนนิยามของเรื่องนี้...
    สำหรับไรท์แล้ว เรื่องนี้เป็นช่วงสั้นๆของความรักในอุดมคติที่ไรท์อยากเจอ (ไรท์โสดค่ะ!)
    ไม่ได้ต้องการรั้งเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามีอีกคนอยู่ข้างๆเสมอ
    ไม่ใช่รักที่หวือหวาหวานวิ้ง แต่เป็นรักที่เรื่อยๆสบายๆมากกว่า

    เวิ่นมานานละ...เรื่องสั้นเรื่องนี้อาจจะค่อนข้างยาว(เรอะ?)
    ก็ถ้าฟอนต์14ก็44หน้าเอสี่น่ะค่ะ อาจจะออกทะเลไปนิด 
    ก็ทนๆกันหน่อยนะคะ //หัวเราะ

    ปล.ไรท์แต่งในมือถือนะคะ อาจมีคำผิดมากมาย สะกิดได้ค่ะ
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

         PAT Part

       
                  (ภัทรครับ เดี๋ยววันนี้ถ้าภัทรเลิกแล้วช่วยไปรอพี่พรที่โรงเรียนด้วยนะครับ) เสียงคุณพ่อของผมดังขึ้นจากปลายสายโทรศัพท์

                  "เอ๋ ทำไมหรอครับ" ผมเอ่ยถามคุณพ่อไปพลางดูดโกโก้จากแก้วน้ำที่เพิ่งซื้อมาไปพลาง

                  (พ่อจะไปรับพร้อมกัน ภัทรจะได้ไม่ต้องกลับเองไงครับ)

                  แล้วใครอยากให้พ่อมารับกันครับ...

                  ถึงผมจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่อาจจะพูดออกไปได้เพราะทราบดีว่าผู้เป็นบิดาไม่มีทางชอบการกระทำตัวเช่นนี้ "โอเคครับคุณพ่อ.." ดังนั้น ผมจึงได้แต่ตอบคำตอบที่ผู้เป็นบิดาต้องการพี่จะฟังไปเท่านั้น

                  โชคร้ายที่หลังจากนั้นไม่นานโรงเรียนก็ปล่อยเพราะงานกิจกรรมประกวดร้องเพลงไร้สาระที่จัดขึ้นล่มลงไม่เป็นท่าเพราะมีผู้ลงประกวดไม่ถึงสิบคน สรุปว่าวันนี้โรงเรียนเลิกบ่ายโมง...แต่ต้องรอพี่พรจนถึงหกโมงกว่า

                  ส่วนเพื่อนๆในโรงเรียนของผมที่เป็นเด็กดีสุดๆก็ทยอยกลับบ้านไปทีละคนๆ จนไม่เกินบ่ายโมงครึ่งก็เหลือผมอยู่เพียงคนเดียวของห้อง

                  "นักเรียน ยังไม่กลับบ้านอีกหรอคะ" คุณครูประจำชั้นของผมที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเอ่ยถาม พร้อมกับทำหน้าตาตกใจจนเกินเหตุเมื่อเห็นผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องคนเดียว

                  "อ่า...ถ้าอย่างนั้นผมกลับเลยก็ได้ครับครู" ผมมองคุณครูที่อยากกลับบ้านเต็มที...ถ้าให้เธอมานั่งเฝ้าเด็กนักเรียนคนเดียวนั่นก็ใจร้ายไปหน่อยนะครับ

                  ผมจึงตัดสินใจย้ายไปนั่งรอพี่พรที่โรงเรียนของพี่ที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งนั่นก็แค่นั่งมอเตอร์ไซไปยี่สิบบาทก็ถึง...แต่พอไปถึงแล้วเด็กมอสองอย่างผมจะโดนเจ้าถิ่นเล่นมั้ยนะ แม้ว้าโรงเรียนของพี่พรจะได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในละแวกนี้ แต่นั่นก็หมายความว่าพวกที่ยัดหรือเส้นเข้ามาก็จะมีเยอะเสียกว่าพวกที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถเสียอีก

                  ผมเดินไป คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆจนถึงวินมอเตอร์ไซที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน พอนกมือโบกน้อยเป็นสัญญาณ วินมอเตอร์ไซเสื้อส้มก็สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับมาทางผมทันที

                  "โรงเรียนxxxxครับพี่" ผมก้าวขาขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์อย่างเชี่ยวชาญพร้อมกับบอกสถานที่ที่ต้องการจะไป

                  ไม่นานนัก รถจักรยานยนต์รับจ้างก็พาผมมาส่งถึงที่หมาย ผมยื่นธนบัตรสีเขียวให้วินมอไซ จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงเรียนที่พี่สาวศึกษาอยู่

                  "มาทำอะไรหรอหนู" เสียงต่ำๆของผู้ชายดังขึ้น เมื่อผมหันไปมองที่มาของเสียงก็พบว่าคนที่เอ่ยเรียกนั้นคือยามอายุสามสิบกว่าๆที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโรงเรียน

                  "มาหาพี่สาวฮะ" ผมตอบ ยามคนนั้นพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะปล่อยให้ผมเดินเข้ามาในโรงเรียน

                  เมื่อผมเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้ ที่ประจำสำหรับรอพี่สาวก็คงจะเป็นห้องสมุด ถึงแม้ห้องสมุดของที่นี่จะไม่ได้มีหนังสือมากมาย แต่มันก็มากพอที่จะให้ผมอ่านค่าเวลาไปได้ระยะหนึ่ง

                  แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายของผมหรืออย่างไร...เมื่อผมเดินไปถึงห้องสมุดที่เคยมาประจำ กลับมีป้ายกระดาษแปะอยู่หน้าประตูกระจก

                  'ปิด แอร์เสีย'

                  ขอบคุณพระเจ้า...แล้วทีนี้ผมจะใช้เวลาห้าชั่วโมงของผมทำอะไรดี

                  ผมเลยจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานไปนั่งใต้ตึกเรียนข้างๆสระน้ำพุแล้วหยิบการย้านขึ้นมาทำ แต่นั่นก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยังเหลืออีกสี่ชั่วโมงครึ่งกว่าพี่พรจะเลิก

                  ครั้นจะฟังเพลง ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบหูฟังมาจากบ้าน ส่วนแบตมือถือก็เหลืออยู่แค่สิบเปอร์เซนต์ จะเล่นเกมก็ไม่ได้...ทางเดียวในตอนนี้ก็คงจะเป็นการงีบสักเดี๋ยว

                  ว่าแล้วผมก็วางแขนลงบนโต๊ะ ก่อนจะกดหัวลงไปบนนั้น แล้วปิดตาลง...ไม่นาน สติของผมก็ขาดห้วงไป

       

                  "สัสติน มานี่!"

                  จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาขัดขวางการงีบของผม

                  "ไอ้เอ็ม กูเจ็บ"

                  ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมองหาที่มาของเสียง และก็พบว่าเสียงนั่นมาจากกลุ่มเด็กชานที่คาดว่าอายุพอๆกับผมที่กำลังกระชากร่างบางๆของบุคคลที่ผมไม่รู้จักไปยังทิศที่ตนต้องการ

                  "มึงจะตามมาดีๆหรือจะให้กูใช้กำลัง" ร่างของคนที่สูงที่สุดเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันหลังไปบีบกรามของร่างบางที่ดูเหมือนเป็นผู้เสียหาย

                  ใบหน้าเรียวที่ถูกบีบบังคับพยักหน้าขึ้นลงอย่างหวาดๆ แล้วคนกลุ่มนั้นก็หายเข้าไปที่ด้านหลังตึก

                  ผมควรจะหลับต่อ...หรือว่าจะเข้าไปช่วยคนๆนั้นดีนะ

                  แม้ว่าสมองของผมจะสั่งว่าให้อยู่นิ่งๆอย่าไปยุ่งเดี๋ยวจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย แต่ไม่รู้ว่ามีแรงผลักดันจากส่วนไหนของร่างกายทำให้ผมวางกระเป๋าเป้ไว้ตรงนั้น แล้วเดินตามทางที่ชายกลุ่มนั้นเดินไป

        

                  "มึงจงใจแกล้งกูใช้มั้ย" คนที่สูงที่สุดที่ดูเหมือนกับหัวหน้ากลุ่มดระชากคนเสื้อร่างบางขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา "ทำไมกูถึงตกแต่มึงผ่าน"

                  "กูไม่รู้ กูก็ส่งให้มึงเหมือนวิชาอื่น"

                  "สัดติน มึงอย่ามั่ว" คนอื่นๆที่ล้อมรอบคู่กรณี...ไม่สิ ควรจะเรียกว่าผู้เสียหายมากกว่า คนพวกนั้นต่างยิ้มเยาะอย่างสะใจพร้อมกับพูดก่นคำด่าอย่างไม่หยุดปาก ปล่อยให้ร่างเล็กยืนสั่นอยู่กลางวง

                  ผมหยิบมือถือมากดบันทึกวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน...ยัง รออีกสักพัก อดทนไว้ก่อนนะ คนๆนั้น

                  "กูหมดความอดทนกับมันละ" ร่างสูงกล่าว แล้วขว้างร่างบางไปกระแทกกับกำแพงโรงเรียนราวกับเป็นสิ่งของ "คราวนี้กูยกให้พวกมึง จะทำอะไรก็เชิญ"

                  "พวกกูขายหมอนี่ให้พวกพี่โน๊ตได้ปะ"

                  "เอ็ม...กูขอโทษ มึงจะกระทืบกูก็ได้ แต่อย่าขายกูให้พี่พวกนั้นเลย กูเป็นเพื่อนมึงนะ" ร่างบางเอ่ยขอร้องร่างสูงทั้งน้ำตา "เอ็ม..."

                  "มึงเป็นเพื่อนกู เฉพาะตอนที่มึงยังมีประโยชน์อยู่เท่านั้น"ร่างสูงตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไป

                  เขาเดินมาทางผมซึ่งเป็นทางออกเพียงทางเดียว ทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปหลบที่ถังใบใหญ่ๆด้านข้าง ซึ่งก็โชคดีที่คนๆนั้นไม่ทันสังเกต...หัวโจกไปแล้ว ถึงเวลาแล้ว ผมต้องรีบไปช่วยคนนั่นก่อนที่รุ่นพี่จะมา ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ต้องยุ่งยากขึ้นแน่

                  ผมเดินไปดูที่คนกลุ่มนั้นอีกครั้ง โชคดี...คนกลุ่มนั้นกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ และปล่อยให้ร่างบางนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียว

                  โอกาสนี้แหละ!

                  ผมวิ่งผ่านคนกลุ่มนั้นไปคว้าแขนของร่างบาง ก่อนจะบังคับให้คนๆนั้นลุกขึ้นวิ่งตามผมมา ซึ่งเขาก็วิ่งตามผมมาโดยไม่ได้ขัดขืนอะไร

                  "รีบๆตามไปสิวะไอ้พวกโง่!" คนแรกในกลุ่มคนพวกนั้นที่รู้ตัวว่าผมเดินเข้ามาตะโกนเสียงดัง และทันใดนั้นชายห้าคนก็วิ่งตามพวกผมมาทันที

                  เอาไงดี หลบที่ไหนดี คิดสิภัทร...

                  นั่นไง! ห้องปกครอง

                  ไวเท่าความคิด ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องปกครองแล้วพาร่างของตัวเองแลัอีกคนเข้ามาทันที

                   ทันใดที่เปิดประตูเข้ามา สายตาของอาจารย์ทุกคนจับจ้องมาที่ผม...เอาล่ะ ทำยังไงต่อดี

                  "ผมพาเพื่อนมาขอใบสมัครสอบเข้ามอสี่ฮะจารย์" ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

                  "นายตินภัทร...ไม่ใช่ว่าก่อเรื่องมาอีกนะ" อาจารย์สาวที่อายุน้อยที่สุดในห้องนี้กล่าวขึ้น

                  "คือผมวานเขาให้พามาห้องปกครองเองครับ" ผมพยายามตามน้ำ "ผมอยากรู้รายละเอียดพรีเทสน่ะครับ"

                  "เชื่อก็ได้จ๊ะ" อาจารย์สาวกล่าว "งั้นเธอ ตามครูมานี่เลย ส่วนนายตินภัทร...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเชิญออกไปเลย"

                  "โธ่จารย์ ผมขอตากแอร์หน่อยสิ ร้อนจะตายอยู่แล้ว" ร่างบางที่ถูกเรียกว่าตินภัทรพูดพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาของห้องปกครอง ส่วนผมก็เดินตามอาจารย์ที่ไม่คุ้นหน้าไปที่โต๊ะเกือบสุดห้อง

                  "อยู่มอสามแล้วยังทำตัวไร้สาระอย่างนี้อีก ระวังไม่ได้เรียนต่อนะ" อาจารย์สาวที่เดินนำผมอยู่กล่าวขึ้น

                   มอสาม...ชื่อตินภัทร เป็นรุ่นพี่ผมหนึ่งปี แถมยังมีชื่อเล่นผมอยู่ในชื่ออีก น่าประทับใจจัง

                  ไม่นานนัก ผมก็ได้รายละเอียดการสอบเจ้ามอปลายของโรงเรียนนี้อยู่ในมือ และโชคดีที่คนพวกนั้นไม่อยู่แล้ว

                  พวกผมเดินออกมาจากห้องปกครองอย่างปลอดภัย ผมเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไว้ที่เดิมโดยมีร่างบางเดินตามมาติดๆ

                  เดินตามมาทำไมกันนะ...เขาก็ปลอดภัยแล้วนี่นา

                  "นายช่วยกู...ผม เอ่อ...นายช่วยเราไว้ทำไม" คนนั้นถามอายๆ สรรพนามที่มันใช้แทนตัวเองก็น่ารักเชียว

                  "ใช้มึงกูก็ได้ ผมไม่ถือ" ผมเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นบ่า "ก็ไม่รู้สิ...อยากทำตัวเป็นพระเอกสักครั้งในชีวิตมั้ง"

                  "อย่างกับกูเป็นนางเอก" ร่างบางตอบงอนๆ "แต่ก็ขอบใจนะ"

                  "อืม ไม่เป็นไร" ผมตอบพลางหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา เพิ่งบ่ายสามเอง ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามชั่วโมงกว่าๆ แถมตอนนี้ก็ไม่ค่อยปลอดภัยนักด้วยสิ

                  "ไอ้เอ็ม พวกมันอยู่นั่นไง" เสียงตะโกนชื่อคุ้นๆดังขึ้น และเมื่อกันไปมองก็รู้ว่าพวกนี้คือไอ้พวกเลวเมื่ิอครู่

                  "ตามึงตามกูมาบ้างล่ะ" ร่างบางพูด แล้วกระชากผมให้วิ่งตามเขาไปด้านหลังตึกอีกรอบ แต่แทนที่จะวิ่งไปตรงๆ เขากลับกระโดดขึ้นไปบนถังไม้ ต่อด้วยถีบตัวขึ้นไปบนตู้วางของที่มีสนิมเกาะ แล้วกระโดดข้ามกำแพงโรงเรียนไป "ตามกูมาสิ เร็วๆ" คนๆนั้นตะโกนบอกผม

                  จะร่วงมั้ยเนี่ย...

                  ผมเงยมองกองสิ่งของที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงพวกนั้น แต่ก็ต้องตัดสินใจปีนขึ้นไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ตามหลังมา

                  "จับมือกูไว้ เร็ว" ร่างบางที่ข้ามออกไปก่อนยื่นมือมาให้ผมจับ

                  "ตามไป เร็วสิวะไอ้โง่" เสียงของพวกนั้นตามมาติดๆ ผมจึงตัดสินใจถีบกล่องไม้และตู้ขึ้นสนิมนั้นให้ล้มลงเพื่อตัดทางไอ้พวกนั้น ก่อนจะคว้ามือของอีกคน แล้วกระโดดลงจากกำแพง

                  "เก่งนี่" ร่างบางเอ่ยชมผมพลางก้มลงไปปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงสีดำไปพลาง

                  "แล้วทีนี้จะกลับเข้าไปยังไงละเนี่ย" ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ

                  ถ้ากลับเข้าไปตอนนี้ก็มีหวังโดนซ้อมเละแน่ ยิ่งกางเกงสีน้ำเงินที่แสนเตะตาตัวนี้อีก แล้วจากนี้อีกสามชั่วโมงผมจะไปอยู่ที่ไหนดี...?

                  "มึงกลับไง" ร่างบางเอ่ยถามผม

                  "ต้องรอพี่สาว ถึงประมาณหกโมงน่ะ" ผมตอบไปตามความเป็นจริง

                  "มานั่งรอที่คอนโดกูก่อนปะ" คนๆนั้นเอ่ยชวน

                  "คอนโดนาย?"

                  "ตึกนี้แหละ" มือของคนที่อยู้ข้างหน้ายกขึ้นขี้นึกสูงด้านหน้า "มาหาอะไรกินเป็นการตอบแทนก่อนแล้วกัน"

                  "ขอบใจ..." ผมพยักหน้าตอบ แล้วเดินตามร่างบางที่เดินเข้าไปยังตึกด้านหน้าด้วยท่าทีร่าเริงผิดกับเมื่อตอนก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

                  ร่างบางหยิบบัตรทาบลงบนตัวรับสัญญาณข้างประตู แล้วก็ผลักประตูเจ้าไปด้านในอย่างเชี่ยวชาญ...ก็แหงละครับ นี่เป็นบ้านของเจ้าตัวนี่นา

                  "มันค่อนข้างรกหน่อยนะ" เขาพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ พร้อมกับกดลิฟต์ขึ้น ผมพยักหน้าเบาๆเชิงรับรู้ จากนั้นไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิด

                  เขาเดินนำผมเข้าไปในลิฟต์ตัวนั้นแล้วกดเลือกชั้นหก ลิฟต์ที่นี่ก็ไม่ได้หรูหราหรือว่าโทรมมาก...จัดอยู่ในประเภทที่พอใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวบว่าสายเคเบิลมันจะขาดลงมาเมื่อไหร่ ก็ถือว่าดีใช้ได้แล้วละครับ

                  "นายอยู่คนเดียวหรอ" ผมถามขึ้น ถ้าหากผมเข้าไปแล้วมีผู้ปกครองอยู่ก็ดูไม่ค่อยดีนี่ครับ เหมือนมารบกวนเลย

                  "ก็...ถ้าตอนนี้คงเป็นอย่างนั้นแหละ"

                  ถ้าตอนนี้...? คำตอบของเขามันดูคลุมเครือแปลกๆ พูดราวกับเหมือนเด็กที่เพิ่งโดนทิ้งอย่างไรชอบกล แต่ปมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกับคำตอบของคนๆนั้น

                  พวกเราคุยกันได้สองสามประโยค ประตูลิฟต์ก็เปิดขึ้นในชั้นที่เราต้องการ ร่างบางเดินนำผมไปยังห้องของเขา ก่อนจะเสียบคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู

                  "รกหน่อยนะ ก้องคนโสดก็เงี้ย" คนตรงหน้าพูดติดตลกก่อนจะผลักประตูเข้าไปเผยให้เห็นห้องของเจ้าตัว

                  "นี่มันไม่หน่อยแล้วมั้ง..." ผมตกใจกับนิ่งที่เห็นพอสมควร ผ้ากองใหญ่ที่วางอยู่เกือบทุกที่ในห้อง หนังสือการ์ตูนที่วางเละเทะ ต่างกับหนังสือเรียนที่ถูกเก็บไว้ในตู้กระจกอย่างดีราวกับไม่เคยหยิบออกมาใช้ หรือมันไม่เคยโดนใช้เลยจริงๆนะ

                  "เอาน่าๆ เขี่ยๆปัดๆหน่อยก็พอดูได้แล้วน่า" ไม่พูดเปล่า คนๆนั้นก็เขี่ยๆโยนๆกองเสื้อผ้าที่อยู่บนโซฟาออกให้เป็นที่พอให้คนสองคนนั่ง "นั่งๆ"

                  "นี่" ผมส่งเสียงเรียกเขา

                  "หืม" คนๆนั้นส่งเสียงตอบรับในลำคอโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม

                  "ไม่คิดว่าผมจะขโมยของๆนายบ้างเลยรึไง ให้เข้ามาในคอนโดหน้าตาเฉย เรายังไม่รู้จักกันเลยนะ"

                  "เอาจริงๆเลยนะ..." คนๆนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากกองของอะไรสักอย่าง เขามองมาที่ผมพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง "กูรูัสึกถูกชะตากับมึง!"

                  "ถูกชะตา...?"

                  "ใช่เลย" เขายิ้ม "ร้อยวันพันปีไม่เคยรู้จัก แต่จู่ๆก็โผล่มาช่วยราวกับปาฎิหาริย์"

                  "พูดเหมือนนายเป็นนางเอกละคร..."

                  "ใจร้าย หน้าตาหล่อๆอย่างกูงี้ต้องเป็นพระเอกสิ" มันหัวเราะ แล้วลงมือเก็บของต่อ "ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ"

                  "ภัทร"

                  "นั่นไง! ขนาดชื่อจริงกูยังมีมึงอยู่ในชื่อเลย" คนนั้นฉีกยิ้มกว้าง "กูชื่อตินนะไอ้ภัทร ส่วนชื่อจริงชื่อว่าตินภัทร อ่านว่าติน-นะ-พัด นะภัทรนะ" มันพูดตินๆภัทรๆล้อชื่อผมกับชื่อมันไปมา เมื่อครู่มันยิ้มด้วยครับ...แต่ดูเป็นยิ้มที่สดใสมากกว่าเมื่ิอครั้งอื่นๆเยอะเลย

                  "มุขหรอนั่นน่ะ" ผมหลุดขำกับพฤติกรรมที่ใสซื่อเกินคาดของชายที่ชื่อตินคนนี้

                  "แต่มึงก็ขำนะ" มันหันมาค้อนผม

                   "ขำหน้าพี่ต่างหาก"

                  "พี่?"

                  "อืม ผมอยู่มอสอง นายอยู่มอสามก็ต้องเป็นพี่ผมสิ" ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่ตอนนี้ไม่มีกองเสื้อผ้าอยู่แล้ว พร้อมกับปลดกระเป๋าเป้ออกจากบ่า

                  "โห...อยู่แค่มอสองแต่หน้าล้ำกูไปกี่ปีแล้วเนี่ย" ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมแล้วเอาศอกทุ้งเอวเบาๆ

                  "ถ้าหมายถึงความหล่อก็ล้ำไปชาติเศษๆอ่ะพี่" ผมตบมุขกลับ เล่นเอาคนข้างๆทำหน้าเหวอไปเลย ตลกดีครับ

                  "กูไปต่อไม่ถูกเลยแฮะ" พี่ตินยกมือขึ้นมาเกาหัวแกรกๆ หลังจากนั้นห้องนี้ก็ตกอยู่ในความเงียบ จนร่างบางหลับผลอยไป คาดว่าจาดความเหนื่อยและอะไรๆที่เขาเจอมาในวันนี้

                  ผมกะว่าจะลุกไปเก็บของให้คนๆนีี้ต่อ ตามสุภาษิตอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย แต่จู่ๆหัวที่เคยตั้งตรงของคนข้างๆก็เอนมาพิงไหล่ของผมเฉย

                  "นี่ พี่ติน ไม่ดีนะครับ" ผมเอ่ยเรียกคนที่มีศักดิ์เป็นพี่เพื่อปลุกเขาให้ตื่น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะหลับลึกไปแล้ว เขย่ายังไงก็ไม่ตื่น

         ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะปล่อยให้อีกคนใช้ไหลผมแทนหมอนหนุนแต่โดยดี แต่มันจะดีมาก...ถ้าเขาหยุดอยู่เพียงแค่นั้น

                  "อือ..." ร่างบางส่งเสียงในลำคอเบาๆก่อนจะโถมตัวเข้ามาหาผมราวกับผมเป็นหมอนข้าง จนผมเสียหลักลงไปนอนบนโซฟา โดยมีร่างเล็กๆนอนทับอยู่พร้อมกับโอบผมแน่นราวกับจะไม่ให้หนีไปไหน

                  ดวงตาที่ปิดอยู่ทำให้เห็นขนตาที่ได้รูป ไม่ยาวจนเวอร์เกินไป แต่ก็ถือว่าดูดีเกินกว่าผู้ชายปกติ เรียวปากสีแดงที่เผยออยู่นิดๆถูกขับให้ดูน่าค้นหายิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนเรียวหน้าสีอ่อน แก้มติดสีเลือดฝาดกำลังดียิ่งเสริมให้ใบหน้าของคนตรงหน้าน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก

                  ดีแล้วที่ตอนนี้คนๆนี้หลับอยู่...ไม่อย่างนั่นเขาอาจจะรู้ว่าตอนนี้ก้อนเนื้อขนาดประมาณกำปั้นในอกข้างซ้ายของผมเต้นดังเพียงใด

                  นี่ผมเป็นอะไร...

                  มันคือความรู้สึกอะไร...? อึดอัด ทรมาณ แต่ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รักหรอ?

                  แต่จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าถ้ามันยังอยู่ในสภาพนี้อยู่...มันอาจจะมีอะไรแย่ๆเกิดขึ้นก็เป็นได้

                  "พี่ติน ลุกออกไป" ผมตะโกนใส่หูของคนที่นอนอยู่ข้างบนร่างกายสุดเสียง

                  "ของีบเดี๋ยวน่า...เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าโวยวาย"

                  "นี่ พี่ติน" ผมเอ่ยเรียกคนที่นอนอยู่บนร่างของตัวเอง

                  "หืม" ร่างเล็กส่งเสียงเชิงรับรู้ในลำคอเบาๆพอให้ผมได้ยิน ก่อนจะเลื่อนเข้ามาซุกหน้าแถวๆคอผม

                  "ไอ้พวกนั้นมันเพื่อนพี่หรอ"

                  "ก็...ต้องบอกว่าเคยเป็นมากกว่า" คนๆนั้นตอยเสียงค่อย ความรู้สึกของผมสั่งว่าเรื่องนี้เขาไม่พอใจ...อย่าไปยุ่ง

                  "อ่อ...ครับ" ผมตอบ "แล้วพี่ไม่เหงาหรอ"

                  "เหงาสิ...แต่ตอนนี้ไม่แล้ว" พี่ตินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม "เพราะตอนนี้กูมีมึง"

                  "พะ...พี่พูดอะไรเนี่ย" ผมเอียงคอหลบสายตาของคนตรงหน้า เพื่อไม่ให้คนนั้นสังเกตเห็นถึงหน้าของผมที่เริ่มร้อนขึ้น และถึงแม้ว่ามองไม่เห็นก็แน่ใจได้แน่ๆว่าตอนนี้ต้องเริ่มขึ้นสีจนสังเกตได้แน่ๆ

                  "กูเพิ่งรู้นะ...ว่าคนๆนึงมันจะอุ่นได้ขนาดนี้" คนตรงหน้าก้มลงไปนอนตะแคงบนตัวผม ซึ่งหูมันแนบลงกับหน้าอกผมพอดี แถมไอ้ก้อนเนื้อก้อนนั้นก็ยังเต้นแรงไม่หยุด

                  "ภัทร มึงเขินกูหรอ?" ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มือสองข้างของคนตรงหน้ายันโซฟาเอาไว้แล้วดันตัวขึ้นมา

                  "เปล่าครับ..." ผมตอบไปตามความจริง

                  "อ่าว แล้วมึงเป็นไรวะ โรคหัวใจกำเริบเรอะ" ร่างบางยกยิ้มเยาะผมราวกับจับผิดผมได้...ซึ่งมันก็เกือบถูกล่ะนะ

                  "เอาจริงๆปะพี่" ผมหันหน้ากลับมาสบตากับดวงตากลมโตนั่น

                  "เอาดิ กูอยากรู้"

                  "เอ่อ...ผม..." ผมกลืนน้ำลายะร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วตัดสินใจบอกความจริงออกไป "ผม...อยากได้พี่อ่ะ"

                  "อยากได้...กู?" คนตรงหน้าพูดย้ำ ผมพยักหน้าแล้วเอียงหน้าหลบแทบจะทันที

                  "ไอ้เด็กหื่นเอ้ยยยย" คนตรงหน้าบ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลงไปจากร่างผม

                  แต่พี่เขาจะคิดว่าผมเป็นเกย์รึเปล่านะ...?

                  "พี่ติน...แต่ผมไม่ใช่เกย์นะ" ผมพูดเสียงค่อย "ผมเพิ่งเป็นอย่างงี้ กับพี่คนเดียว"

                  เดี๋ยวนะ? มันเหมือนกับสารภาพรักเลยไม่ใช่รึไง!?

                  "อ่าฮะ...เจออย่างงี้ไปไม่ถูกเลยแฮะ" ร่างบางหัวเราะแห้งๆ

                  "ขอโทษครับ"

                  "อืม...เอางี้แล้วกัน" ร่างบางหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะก้มลงมาฝังจมูกนุ่มๆลงบนแก้มของผม "รางวัล"

                  ทันใดนั้น เส้นบางๆที่เรียกว่าความอดทนก็ขาดลง "พี่ ผมอยากได้มากกว่านี้"

                  ผมพลิกร่างบางที่อยู่ข้างบนลงไปด้านล่างแล้วกดจูบลงไปโดยไม่รอคำอนุญาติเจ้าของเรียวปากนั้น ก่อนจะละมันออกมา

                  "ภัทร..." ร่างบางหอบหายใจถี่พร้อมเอ่ยเรียกชื่อผม ริมฝีปากแดงที่เผยอออกนิดๆรวมกับหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความตกใจ อับอาย หรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆความคิดที่จะหยุดของผม มันได้ถูกลบหายไปเพราะการกระทำของคนๆนี้เสียแล้ว

                  ผมโน้มตัวลงไปกดจูบคนตรงหน้าอีกรอบ และอาศัยจังหวะที่ร่างบางอ้าปากเพราะหายใจไม่ทันแทรกบางส่วนของตัวเองเข้าไปลิ้มรสชาติของอีกฝ่าย

                  หวาน...

                  รสชาติที่ได้รับทำเอาผมลุ่มหลงจนยากที่จะหยุด พอได้ลิ้มลองครั้งหนึ่งแล้ว ก็อยากจะมีครั้งต่อไปอีก

                  ผมถอนจุมพิตออกมา และประทับลงไปใหม่ และทุกครั้งที่เรียวปากสีแดงระเรื่อเผยอรับ ก็จะกวาดเอาความหวานจากคนๆนี้อย่างละเอียดอ่อน ทุกๆมุม ทุกๆที่ ทุกๆสัมผัสของคนๆนี้...คือสิ่งที่ผมต้องการ

                  "อื้อ!?" อีกคนส่งเสียงค้านจากลำคอสุดความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หยุดการกระทำของผมไม่ได้

                  "ภัทร...พอเถอะ" ร่างบางเอ่ยพลางยกมือเล็กๆขึ้นมาดันอกผมไว้

                  ผมกัดปากตัวเองเพื่อเรียกสติก่อนจะผละตัวออกจากคนๆนั้น "พี่มายั่วผมก่อน"

                  "หา...อะไร กูยั่วอะไรมึง" ร่างเล็กดีดตัวขึ้นนั่ง แถมไม่วายแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองอีก

                  "พี่งี่เง่า ผมยืมห้องน้ำหน่อยนะ" ผมพูดและรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เพราะกลัวคนตรงหน้าจะทำอะไรให้เส้นด้ายแห่งความอดทนของผมขาดลงไปอีกรอบ

                  "อย่าใช้ทิชชู่เปลืองนะโว้ย" เสียงใสๆตะโกนไล่หลังผมมาติดๆ ผมพยายามข่มความคิดแย่ๆของตัวเองแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระของตัวเองที่ค้างไว้เมื่อครู่ และไม่นานนักผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

                  "ชักช้านักนะ" ร่างเล็กบ่นผม ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใช้ห้องน้ำต่อ ก็คงน่าจะเข้าไปจัดการธุระของเขาที่ผมก่อไว้เมื่อครู่ละมั้ง

                  คิดแล้วก็แปลก ในช่องปากของคนเราก็มีอะไรอยู่คล้ายๆกัน แต่ทำไมตอนจูบนั่น...ในปากของพี่เขาถึงได้หวานนักนะ

                  จูบแรกของผม...เสียให้กับผู้ชายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ก็โชคดีที่เขาเป็นคนที่ผมชอบ แต่จะเรียกว่าชอบได้มั้ยผมก็ไม่รู้ เพราะถ้าหากความรักในอุดมคติคือการพร้อมมอบทุกอย่างให้ แต่ความรู้สึกของผมกลับตรงกันข้ามกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง ผม...ต้องการทุกอย่างที่เป็นตัวเขา

                  "มึงขโมยจูบแรกกู" ร่างเล็กออกมาจากห้องน้ำไม่ทันไรก็โวยวายเสียงดัง ใบหน้าเรียวเบ้ลงอย่างเห็นได้ชัด คิ้วขมวดติดกัน ดวงตาก็ฉายแววไม่พอใจเป็นอย่างมาก

                  "ก็พี่ยั่วผมก่อน"

                  "อืม...งั้นติดไว้ก่อนแล้วกัน ไว้โตๆก่อนแล้วกันเนอะ"

                  นั่นเขาพูดอะไร...มันชวนเข้าใจผิดมากเลยรู้มั้ย

                  "หลังจากนี้มึงต้องมาหากูด้วยนะ ไม่งั้นกูงอน"

                  เอ...

                  "มึงต้องรับผิดชอบ...เอ่อ จูบแรกกู"

                  ผมยืนงงกับคำพูดที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า ไม่โกรธผมเลยสักนิด? แถมยังยอมรับผมอีก? แล้วไอ้ที่ว่าติดไว้ก่อนหมายความว่าไง?

                  "ยืนงงอีกไอ้เด็กเวร" พี่ตินถอนหายใจออกมาแรงๆ "มึงต้องรับผิดชอบที่ทำให้กูเผลอหลงชอบมึง เคลียร์?"

                  "พี่ชอบผม...ไวขนาดนั้นเชียว"

                  "มึงอยากได้กู...ส่วนกูก็อยากให้มึงได้" ร่างบางพูดเสียงค่อย ใบหน้าขาวๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับลูกมะเขือเทศ "โอ้ยยยย กูพูดอะไรออกไปวะ"

                  ผมอมยิ้มให้กับการกระทำที่เกือบจะไร้เดียงสาของพี่ติน "พี่ว่าผมหื่น ตัวเองก็หื่นพอกันล่ะ"

                  "ก็...ก็มึงเริ่มก่อน!"

                  "ครับพี่ติน~ รอผม สัญญานะ"

                  "อะ...อื้ม กูสัญญา"

       

                  จากนั้น เราก็คุยเล่นกันไปเรื่อยๆกระทั่งหกโมงเย็น...ผมบอกลาพี่ติน แล้วเดินลงมาจากคอยโดของเขาแล้วอ้อมเข้ามานั่งรอพี่พรในโรงเรียน นับว่าโชคดีที่พวกเลวที่ผมเคยยุ่งไม่อยู่แล้ว แถมพี่พรก็เลิกตรงเวลาแบบหาได้ยาก

                  วันรุ่งขึ้น ผมอาสามารอพี่พรอีกครั้ง...ไม่ใช่อะไร ผมอยากเจอเขา แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่ารอในที่ๆเคยนัดกันไง้เท่าไหร่เขาก็ไม่ปรากฏกายออกมาให้เห็น เขาลืมผมไปแล้วอย่างนั้นหรือ

                  โทรเข้าเบอร์มือถือที่เคยแลกกันไว้หลายสิบครั้งก็ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆจากปลายสาย...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หรือว่าพี่ตินอาจจะโดนพวกนั้นจัดการไปแล้ว!? แต่คิดอีกทีก็อาจจะเป็นหวัดก็ได้

                  และแล้ว เขาก็ไม่มา

                  แต่ถึงอย่างนั้น วันรุ่งขึ้นผมก็มารอที่เดิมอีก วันที่สาม วันที่สี่...หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของคนที่ผมเผลอไปรักเข้า

                  "ทำไมช่วงนี้มารับพี่ทุกวันเลยล่ะภัทร เมื่อก่อนเห็นบ่นว่าเบื่อแทบแย่" ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยขึ้นทันทีที่ลงมาจากตึกเรียนแล้วเห็นผมนั่งรอเธออยู่

                  "ไม่ได้รอเจ้ ภัทรรอเพื่อน"

                  "แล้วไหนละเพื่อน" พี่สาวหย่อนตัวลงนั่งข้างๆผม "อย่ามาอำกันให้ยากน่า"

                  "ผมไม่เจอเขานานแล้ว..."

                  "พี่เพิ่งเคยเจอน้องติดใครขนาดนี้นะเนี่ย" พี่สาวกล่าวเชิงล้อๆ แต่นั่นก็เป็นความจริงที่ผมยอมรับ

                  "ยุ่งน่า"

                  "มานี่ เดี๋ยวเจ้จัดการให้" เธอลุกขึ้น แล้วจับมือผมลากไปยังห้องปกครองที่ค่อนข้างคุ้นเคย

                  "อ่าว...หนูพร มีอะไรหรอจ๊ะ" อาจารย์สาวคนเดียวที่ดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เป็นใบ้

                  "น้องของพรจะมาหาคนน่ะค่ะ"

                  ไม่รอให้พี่สาวพูดจบ ผมก็รีบพูดแทรกขึ้นทันที "อาจารย์ ช่วงนี้พี่ติน...เอ่อ พี่ตินภัทรไม่มาโรงเรียนหรอครับ"

                  "อ๋อ นายตินภัทรที่อยู่มอสามสินะ เด็กคนนั้นเพิ่งได้ทุนไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ออกเดินทางไปเมื่อสองวันก่อนเองจ๊ะ" อาจารย์สาวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

                  ไม่จริงน่า...ทำไมเขาไม่ยอมบอกผม

                  "แล้ว...นานมั้ยครับ"

                  "สักสองปีจ๊ะ ทำไมหรอ"

                  "คือ...พี่เขาลืมของไว้ที่ผมน่ะครับ"

                  "อ่อ อย่างนั้นหนูยึดไปเลยแล้วกัน คงนานแหละกว่านายตินภัทรจะกลับมา"

                   ถ้าอย่างนั้นหัวใจของพี่ที่ลืมไว้ที่ผม ผมก็ยึดมันไว้กับตัวเองจนกว่าพี่จะกลับมาได้มั้ย?

                  "ขอบคุณครับ" ผมยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์แล้วเดินออกมาโดยไม่รอพี่สาว

                  พี่ใจร้าย...มาทำให้ผมชอบแล้วหนีไปดื้อๆอย่างนี้เนี่ยนะ

                  สองปี...ผมนั่งรอพี่แค่หนึ่งอาทิตย์ก็เหงาแทบแย่แล้ว สองปี...แต่ผมก็จะรอพี่ สัญญา ว่าจะรักตลอดไปครับ

       

                  สุดท้ายแล้ว คนโง่ๆอย่างผมก็ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อที่จะเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่พรและพี่ติน แต่ถึงอย่างนั้นนิสัยแย่ๆของผมก็ทำให้หาเพื่อนใหม่ได้ยากพอสมควร

                  "แฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเรา ถ้าไม่เอาก็น่าเกลียดนะเว่ย" จู่ๆตรรกบ้าๆของใครบางคนก็เข้ามากระทบหู ขณะที่กำลังเดินไปซื้อข้าวเที่ยง

                  ผมหันไปมองร่างคุ้นๆที่เดินไปวางบัตรรถไฟฟ้าจองโต๊ะกินข้าว

                  "ภัทร...เราจะนั่งไหนดี" กลุ่มเพื่อนใหม่ของผมเอ่ยถาม คนที่ใส่แว่นหนาเตอะคนนี้ชื่อว่าพาร์ท เป็นเด็กเรียนพอสมควร แถมเป็นเหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ได้ รู้ไปซะทุกเรื่อง

                  "นั่งนี่แหละ" ผมวางจานข้าวแกงลงบนโต๊ะที่มีบัตรรถไฟฟ้าวางโชว์อยู่

                  "จะดีหรอภัทร คนๆนี้ก่อเรื่องไว้เยอะนะ"

                  "รู้จัก?"

                  "ไม่เชิง..." พาร์ทเอียงคอเชิงใช้ความคิดเล็กน้อย "ชื่อนายตินภัทร จำนามสกุลไม่ได้ อยู่มอห้าห้องสอง เพิ่งกลับมาจากอเมริกา ทำเรื่องผิดระเบียบจนได้ชื่อว่าเป็นเด็กเลวอันดับหนึ่ง แถมก่อนจะไปแลกเปลี่ยนดันไปก่อเรื่องกับมอหกสองรุ่นก่อนจนเกือบถูกถอนทุน"

                   พี่ติน...!?

                  "งั้นนั่งนี่แหละ" ผมเหวี่ยงตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะนั้น ไม่นาน...พี่คนที่วางบัตรจองโต๊ะก็เดินมาจ้องหน้าผม

                  "ลุกไป!" ร่างคุ้นตาที่หายไปสองปีตวาดพวกผมเสียงดัง ในมือถือชามบะหมี่เกี๊ยวแห้งที่เคยบอกว่าเป็นอาหารที่ชอบมากที่สุด

                  แต่เขาจำผมไม่ได้...

                  บางที...ผมก็เจ็บนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากปล่อยไป ถ้าเขาจำผมไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะสร้างความทรงจำใหม่กับเขาไม่ได้

                   ถ้าเกิดพี่ถูกทำร้าย ผมก็จะเป็นคนที่ไปช่วยอย่างไม่ลังเล ถ้าเกิดพี่เศร้า ผมก็จะเข้าไปปลอบ ถ้าพี่ลืม ผมก็จะสร้างความทรงจำดีๆขึ้นมาใหม่

                  "นั่งด้วยกันก็ได้พี่ ที่เหลือเยอะแยะ"

                  โดยเฉพาะข้างในหัวใจผม ที่มันยังเว้นที่ว่างไว้ให้พี่เสมอ

       

       

      TIN Part

       

                  วันนี้เป็นวันหนึ่งในช่วงกลางเทอมแรก ตอนนี้ผมกำลังแอบอ่านนิยายอยู่ในห้องเรียนท่ามกลางเพื่อนๆที่กำลังตั้งใจเรียนวิชาเคมีอย่างขมักเขม้น ถ้าถามว่าผมแคร์มั้ย? ก็จะต้องสนใจอะไรมากล่ะ เนื้อหาพวกนี้ผมก็เรียนมาแล้วตอนปิดเทอม ถึงครูจะให้ทำข้อสอบในอีกห้านาทีผมก็เชื่อว่าตัวเองต้องทำได้เต็มอย่างไม่ต้องสงสัย ก็คนมันเก่งซะอย่างจะทำไม

                  "เฮ้ยไอ้ติน ครูปล่อยแล้วนะเว่ย ไปหาอะไรแดกกัน" เพื่อนตะโกนเรียกชื่อผมจากมุมห้องอีกด้าน ใช่แล้ว นามของสุดหล่อคนนี้คือตินนั่นเอง อะไรนะ ชื่อแบ๊วไม่เข้ากับหน้า ก็แน่ล่่ะ ผมมันหล่อเกินไปนี่นา วะฮะฮ่า~

                  "เออๆ แต่ขอกูหลับแปปนึง เพิ่งอ่านนิยายจบเอง" ผมป้องปากหาววอดหนึ่งก่อนที่จะฟุบลงบนโต๊ะ แต่ทันใดนั้นความรู้สึกที่ประคองตัวของผมอยู่ก็หายไป

                  โดนเล่นแล้วไง...

                  "ฟรัชโลด้าาาาาา" เสียงตะโกนของเพื่อนสุดที่รักดังขึ้นพร้อมกับเสียงก้นของผมทึ่กระแทกลงพื้นอย่างไม่ค่อยสง่างามเท่าไหร่

                  "สัส เล่นบ้าอะไรเป็นเด็กอนุบาล" ผมตะโกนด่ามันเสียงดัง โอยยย ระบบตูดจะตายอยู่แล้ว ผมโดนมันเล่นอย่างนี้มาสามครั้งแล้ว มันจะอะไรกันนักหนากับไอ้การดึงเก้าอี้ออกแล้วตะโกนคำพูดไร้ความหมายเลียนแบบในสกายริม ผมล่ะไม่เข้าใจพวกนั้นเลยจริงๆไอ้การละเล่นเจ็บตูดแบบนี้มันสนุกตรงไหนกัน

                  "ก็มึงชักช้าไม่ยอมไปแดกข้าวซักที กูเลยต้องลงโทษมึงไง" ไอ้หัวเกรียนตรงหน้าพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสะใจสุดๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด...

                  "เออๆ ไปก็ได้วะ" ผมยันตัวลุกขึ้นก่อนที่จะเดินไปกับพวกมัน "อย่าเล่นอย่างนี้อีกนะเว่ย เจ็บตูด"

                  "สำออย มึงไม่ได้ไปโดนเจาะประตูหลังมานะเว่ย" ไอ้กรเพื่อนผมยื่นมือมาตบหัวผมอีกที ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีผมไปแลกชิพกินข้าวล่วงหน้า

                  "สัส" ผมสถบออกมาเสียงดัง จนอาจารย์ประจำระดับที่เพิ่งเดินสวนไปหันมามอง แค่ก็ช่างเถอะ ไอ้ผมนี่ก็เข้าออกห้องปกครองไม่ต่างอะไรจากห้องเรียนอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไรหรอกนะ แค่โรงเรียนแห่งนี้มันเรื่องมากกับกฎระเบียบมากเกินไปต่างหาก

                  "มึง อย่าเหม่อ จะแดกข้าวหรือเหล่สาว"

                  ไอ้เพื่อนสุดที่รัก...แค่ผมเหม่อคิดเรื่องไร้สาระนิดเดียวก็หาว่าเหล่สาว อย่าเอานิสัยของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่นได้มั้ยฟะ แต่เด็กม.ต้นที่เพิ่งเดินผ่านไปน่ารักชะมัด...

                  "แดกข้าวสิวะ มองสาวถึงอิ่มใจแต่มันก็ไม่ช่วยให้อิ่มท้องนะเว่ย"

                  "เออ รู้ นั่นมันมุขสมัยปู่กู" ไอ้กรหัวเกรียนๆพูดกัดผมเสร็จก็เดินตรงไปที่ร้านขายเข้าแกงเจ้าประจำ

                  "มึงไม่แลกชิพรึไง"

                  "เด็กกูแลกใหัเมื่อกี้" มันชูถุงชิพที่มาจากไหนก็ไม่รู้แกว่งไปมายั่วผม เมื่อกึ้มันพูดว่าอะไรนะ...เด็กมัน?

                  "มึงมึเด็กตั้งแต่เมื่อไหร่วะสัส ไม่ยอมบอกเพื่อนฝูง" ผมตรงปรี่เข้าไปโอบคอมัน "กูว่านะ เด็กเพื่อนกูก็เหมือนเด็กกู ไม่แย่งจีบก็น่าเกลียด"

                  ไอ้กรถอนหายใจแรงๆก่อนที่จะยื่นชิพที่มันเพิ่งแลกมาเมื่อครู่ให้ผม แล้วผมก็รับชิพมาด้วยสีหน้างงๆ

                  "เอามาให้กูไมวะ ชาตินี้ไม่นึกว่าจะมีวันที่มึงเลี้ยงข้าว แต่ก็ขอบใจว่ะ" 

                  "มัดจำ ขออย่างเดียว มึงอย่ามายุ่งกับเด็กกู" ไอ้กรถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ผม "เดี๋ยวมันหนีกูไปกรี๊ดมึง กูไม่ยอม"

                  "ก็ใครใช้ใหักูหล่อซะขนาดนี้" ผมยักไหล่ล้อมัน ก่อนจะคว้าชิพแล้วเดินไปซื้อข้าวแกง แต่เมื่อเห็นแถวที่ยาวเวอร์ขนาดนี้ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวที่อยู่อีกด้าน

                  "บะหมี่เกี๊ยวแห้งสามสิบครับ" ผมเอ่ยสั่งก๋วยเตี๋ยวเมนูโปรดพร้อมกับวางชิพสามสิบบาทที่ได้มาจากเพื่อนคนเมื่อครู่ลงบนตะกร้าใส่ชิพของทางร้าน รอไม่นานนักผมก็ได้ก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยมาครอบครอง

                  ผมเดินไปยังโต๊ะที่จองไว้ก่อนจะเดินมาซื้อข้าว แต่เมื่อไปถึงก็เจอชายแปลกหน้่ากลุ่มใหญ่นั่งทานข้าวอย่างสบายใจเฉิบบนโต๊ะที่ผมจองไว้ นั่นไง...บัตรรถไฟฟ้าที่ผมวางจองไว้ยังโชว์หราอยู่บนโต๊ะอยู่เลย

                  "ไอ้น้อง" ผมเอ่ยเรียกคนบนโต๊ะนั้นที่ดูแล้วน่าจะเป็นรุ่นน้อง ก็แหม...มีแค่รด.ปีแรกเท่านั้นล่ะครับที่ต้องไถเกรียนขนาดนี้ "โต๊ะนี้พี่จองอยู่ ลุกไป"

                  น้องๆทุกคนในโต๊ะหน้าเหวอกับเสียงเข้มๆของผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เว้นเสียแต่เจ้าคนที่กำลังกวาดเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบเดียวกับที่ผมสั่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว "กูบอกให้พวกมึงไสหัวไป กูจะนั่ง"

                  เด็กคนอื่นๆเก็บจานเตรียมลุกออกไป แต่ไอ้เด็กคนเดิมกลับมองมาทางผมยิ้มๆ "ที่เหลืออีกเยอะ มานั่งด้วยกันก็ได้พี่"

                  "นี่มึงไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองเลยรึไง..." ผมขึ้นเสียงเตรียมพร้อมจะหาเรื่อง แต่แล้วคำพูดของเพื่อนสนิทก็เข้ามาขัดไว้เสียก่อน "เฮ้ยมึง ใจเย็น"

                  "ก็ไอ้เด็กพวกนี้มันกวนตีนกูอ่ะกร"

                  แต่คุณเพื่ิอนสนิทก็หาได้สนใจผมแต่อย่างใด มันเดินเข้าไปยิ้มให้น้องๆแล้วเข้าไปนั่งด้วย "พี่นั่งด้วยนะครับน้อง” ผมส่งเสียงจิ๊ไม่พอใจในลำคอ "ขนาดผู้ชายแม่งยังม่อ..."

                  "สัสติน อย่าคิดว่ากูไม่ได้ยินนะมึง"

                  "ก็กูตั้งใจให้ได้ยินอ่ะ"

                  "สัส กวนตีนนะมึง"

                  "เออ กูรู้" ผมตัดจบบทสนทนาไว้แค่นี้ ก่อนที่จะลงมือคีบเกี๊ยวในชามกิน แหม...เกี๊ยวกุ้งตัวโตๆนี่ของโปรดผมเลยครับ แต่จู่ๆ เกี๊ยวกุ้งเพียงตัวเดียวในชามก็อันตธานหายไปต่อหน้าต่อตา

                  ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้า แต่ก็ไร้วี่แววของเกี๊ยวกุ้งตัวเมื่อกี๊ ไอ้กรยกช้อนขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางขวา ผมหันหน้าไปตามทิศที่มันบอก ก่อนจะพบเกี๊ยวสุดรักลอยเข้าปากไอ้เด็กกวนตีนคนนั้น "สัส เอาเกี๊ยวกูคืนมา"

                  "โหพี่ แค่นี้ทำงกไปได้"

                  "พูดอย่างกับกูเป็นคนรู้จักมึง..." ฟิวส์ขาดเลยครับงานนี้ จะมาแย่งอะไรกูก็ไม่ว่า เว้นแต่เรื่องของกินกับแฟนโว้ยยยย

                  "ก็ผมรู้จักพี่นี่นา"

                  "แต่กูไม่รู้จักมึง"

                  "เฮ่ย...อย่าเพิ่งมีเรื่องสิวะติน" ไอ้กรเพื่อนสนิทผมเอ่ยห้าม แต่ตอนนี้ผมไม่ฟังใครทั้งนั้นแหละครับ

                  "พี่ติน อายุสิบเจ็ด ม.5ห้อง2 เกิดวันที่17กุมภา เด็กนิสัยแย่อันดับสองในโรงเรียน" มันเอ่ยประวัติของผมออกมา แต่ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่หรอกครับ เรื่องพวกนี้ถ้าอยากรู้จะไปถามหาที่ห้องทะเบียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่แปลกใจคือ...

                  "กูไม่ใช่เด็กเลวอันดับหนึ่งเรอะ?"

                  "สถิติพี่น่ะ ผมเพิ่งโค่นมันลงเมื่อสองวันก่อนเอง" เด็กนั่นยิ้มแป้น

                  "เหอะ...มึงภูมิใจขนาดนั้นเลย"

                  "ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากดวลกับพี่ซักครั้งเหมือนกัน"

                  ผมสำลักเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วไอออกมาอย่างหนัก แม้ว่าผมจะเข้าห้องปกครองแทบทุกอาทิตย์แต่ผมก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ถ้าถามว่าทำไมถึงเข้าห้องปกครอง...เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าผมไม่เคยทำตามทีี่ใครๆเขาบอกนักละมั้ง เครื่องแต่งกายเอย ทรงผมเอย การกระทำ และทุกๆอย่าง ผมไม่เคยทำตามกฎระเบียบซักครั้ง แต่ว่าผมก็นับเป็นเด็กที่จัดว่าใช้ได้คนหนึ่งเหมือนกัน

                  "โห...หน้าเหวอเลย ผมล้อเล่นน่ะพี่" เด็กนั่นฉีกยิ้มกว้างราวกับรู้สึกสะใจกับปฎิกิริยาที่ผมได้ทำลงไป

                  "หุบปากแล้วแดกข้าวไป"

                  "คร้าบๆ"

                  เด็กบ้าอะไรวะ ไม่เคารพรุ่นพี่เลย...

                  ผมเค่นด่ามันในใจพร้อมกับยัดข้าวเที่ยงเข้าปากไปพลาง ส่วนปลายสายตาก็ชำเลืองมองไอ้เด็กนั่นไปด้วย เอาจริงๆหนังหน้าอย่างมันก็ไม่ได้จัดว่าน่าเกลียด อาจจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีพอได้เลย หน้ากลมๆเรียวๆ สันจมูกที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ริมฝีปากสีส้มออกแดงนิดๆตัดกับผิวหน้าสีอ่อน แต่ก็ไม่ขาวเวอร์เหมือนลูกคุณหนูแต่ก็ไม่ดำเกินไปอย่างพวกนักกีฬา

                  "สัดติน แดกเสร็จแล้ว ไปกัน"

                  บทพรรณนาความงามของไอ้เด็กกวนตีนหยุดแต่เพียงเท่านั้นเมื่อเสียงเรียกของคุณเพื่อนสุดที่รักดังขึ้นมาเสียก่อน

                  "เออๆ โอเคครับคุณพ่อ" ผมยกชามข้าวขึ้นมาเตรียมเอาไปเก็บ แต่ระหว่างนั้นก็โดนมือหนาๆของคุณเพื่อนสุดที่รักตบลงมากลางกบาล "ใครพ่อมึง"

                  หลังจากนั้นเราก็เดินเอาชามไปเก็บ และก็เดินขึ้นห้องเรียนเหมือนปกติ แต่ไม่รู้ว่าผมแก่จนความจำเลอะเลือนหรือว่าโดนไอ้เด็กนั่นปั่นหัวกันแน่...ผมลืมบัตรรถไฟฟ้าครับ ป่านนี้มันคงนอนเล่นอย่างโดดเดี่ยวบนโต๊ะเน่าๆในโรงอาหารแล้วแหงเลย

                  "ไอ้กร กูลืมบัตรรถไฟฟ้าว่ะ ขอกลับไปเอาเดี๋ยวนะ"

                  "อืม แต่แต่งตัวอย่างงั้นระวังจารย์ลากเข้าห้องปกครองด้วยแล้วกัน"

                  "นี่กูแต่งตัวแย่ขนาดนั้นเชียว" ผมก้มลงมองสารรูปของตัวเอง ก็ไม่ได้แย่อะไรมากนะ...เสื้อออกนอกกางเกงเหมือนปกติ เข็มกลัดตราโรงเรียนที่หายไปตั้งแต่สามชาติเศษๆ ถุงเท้าก็แค่ลืมใส่มา รองเท้านักเรียนสีเทาๆป้ายแถบสีแดง ฟังไม่ผิดหรอกครับ วันนี้ผมใส่รองเท้าเทนนิสมาเรียน อย่าว่าผมเชียว ก็แบบนี้มันสบายกว่านี่นา

                  "ไม่ต้องห้วงหรอกน่า กูเก่ง"

                  "ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน" มันคุยกับผมเสร็จก็หันกลับไปกดสมาร์ทโฟนในมือ ก็คงคุยกับแฟนมันอีกนั่นแหละ อิจฉาคนมีคู่ชะมัด...

                  ว่าแล้วผมก็เดินออกจากห้องโดยมีเป้าหมายคือโรงอาหารที่ผมงี่เง่าลืมบัตรรถไฟฟ้าที่เพิ่งไปเติมตังมา ถ้าหายนี่ผมแย่แน่

                  แต่เดินไปได้ไม่นานก็เจอหมาตัวที่เพิ่งเห่าใส่ผมเมื่อตอนเที่ยง ไม่ใช่ใครครับ ไอ้เด็กเวรกวนส้นเท้าคนนั้นนั่นเอง ตอนแรกผมก็ไม่คิดจะทักหรอกนะ แต่เมื่อเห็นบัตรที่แสนคุ้นตาในมือมันเท่านั้นแหละครับ "ไอ้เด็กเวร!? บัตรรถไฟฟ้ากูนี่หว่า"

                  "เพิ่งรู้ตัวหรอพี่"

                  "เออ ทีนี้ก็เอาคืนมา" ผมยื่นมือไปหมายจะคว้าบัตรรถไฟฟ้ากลับมา แต่ไอ้เด็กนั่นก็ชักมือกลับไปอย่างรวดเร็ว

                  "ของอย่างนี้มันต้องมีการแลกเปลี่ยนสิ" มันยกยิ้มราวกับว่าผมติดกับดักที่มันวางเอาไว้อย่างจัง

                  "ค่าแลกเปลี่ยนก็เกี๊ยวกุ้งกูที่มันกินไปไง"

                  "นั่นมันค่าที่พี่ทำหน้ากวนตีนใส่ผมนะ"

                  ผมส่ายหัวเบาๆ "แล้วมึงต้องการอะไร"

                  "ผมอยากได้เบอร์พี่" มันพูดหน้าตาย แล้วมันจะเอาเบอร์ผมไปทำแมวอะไรวะ

                  "มึงจะเอาไปทำอะไร"

                  "เอามาประดับมือถือมั้งพี่"

                  "ดีๆ" ผมพยักหน้าเบาๆ "ของสูง เก็บไว้ให้ดีๆด้วย"

                  "แล้วเดี๋ยวโทรไปหานะ"

                  "โทรเพื่อ?"

                  "ก็อยากรู้จักพี่อ่ะ" มันยิ้มกว้าง มันก็ดูดีนะครับ แต่ไหงผมถึงรู้สึกคลื่นไส้แปลกๆละเนี่ย "เอาเบอร์มาๆ"

                  ว่าแล้วมันก็ควักสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดออกมาเตรียมกดเบอร์ตามที่ผมบอก แล้วจากนั้นก็ยื่นบัตรรถไฟฟ้ามาให้ตามคำสัญญา "ขอบใจมากพี่ติน"

                  "ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ"

                  "ภัทรครับพี่ แต่เรียกว่าสุดหล่อก็ได้ ไม่ถือ" คิ้วผมกระตุกเล็กน้อยกับความหลงตัวเองของมัน "โอเค ไอ้ภัทร กูไปล่ะ"

                  ผมกลับหลังเดินกลับห้องไปพร้อมกับหวังว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆครั้งนี้ในชีวิตประจำวันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับวันอื่นๆของผมหรอกนะ

       

                  "ช้าชะมัด ไปทำไรมาวะ" ไอ้กรมองหน้าผมเครียดๆ สงสัยกลัวผมชิ่งโดดเหมือนเมื่อวันก่อน เพื่อนดีก็งี้แหละครับ...เปล่าหรอก ผมมันเลวต่างหาก

                  "เจอหมาน่ะ"

                  "หมา?"

                  "ไอ้เด็กกวนตีนคนนั้นน่ะ มันหยิบบัตรมาคืนกู" ผมตอบมันไปโดยไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก ก็ถ้าพ่อคนที่สองอย่างไอ้กรมันรู้ว่าผมโดนรุ่นน้องข่มขู่(?)มาก็แย่สิครับ

                  "เออมึง เมื่อกี๊สุเทพมาบอกว่าคาบบ่ายว่าง ไปเที่ยวกันปะ?"

                  "มึงชวนกูเที่ยว? หายากนะเนี่ย" สุเทพที่มันว่านั่นคืออาจารย์ประจำชั้นผมเองครับ ซึ่งมันก็เป็นปกติที่จารย์แกจะไม่เข้าสอนอยู่แล้ว ยิ่งช่วงกลางๆเทอมที่มีค่ายเยอะแยะ ต้องเข้าใจว่าจารย์เขาเป็นพวกแอคทีฟ ไม่ว่าโรงเรียนจัดค่ายอะไรก็ไปกับเขาด้วยตลอด พวกผมก็เลยมีคาบว่างเหลือกินเหลือใช้อย่างนี้ไง

                  "กูชวนเที่ยวแล้วมันผิดเรอะ?"

                  "เปล่าๆ ก็แค่แปลกใจน่ะ ปกติมึงต้องแบบ...กลับบ้านไปทบทวนบทเรียนซะ"

                  "งั้นก็เชิญมึงกลับบ้านไปคนเดียวเถอะ เดี๋ยวกูจะไป...เอ่อ ดูหนัง" ไอ้กรพูดติดๆขัดๆ มือไม้ไม่อยู่นิ่ง แถมยังมีนิสัยแปลกๆที่เพิ่มขึ้นมาอีก แสดงว่าตอนนี้มันต้องมีความลับอะไรกับผมอยู่แน่นอน

                  "งั้นมึงก็ไปดูหนังละกัน ช่วงนี้งบกูขาดแคลน เดี๋ยวกลับบ้านไปตีดอทดีกว่า..."

                  "อ่า...โอเค งั้นกูไปก่อนนะ" มันพูดจบแล้วก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกไปทันที...แต่คิดว่าไอ้คุณตินผู้นี้จะปล่อยเพื่อนสนิทไปง่ายๆหรอครับ แต่ดูก็รู้ว่า ณ ตอนนี้ไอ้กรมันต้องกกสาวไว้โดยไม่บอกเพื่อนฝูงแหงๆ เรื่องน่าสนุกอย่างนี้ใครจะไปพลาดล่ะ

                  เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทเดินออกไปได้ซักพัก ผมก็คว้าปากกาคู่ใจยัดใส่กระเป๋ากางเกง

                  เริ่มปฎิบัติการสะกดรอยตามได้!

       

                  ไอ้กรเดินมาตรงแถวๆตึกของนักเรียนมอสี่ มันมองซ้ายขวาแล้วก็ตัดสินใจเดินลงไปนั่งรอที่ใต้ตึก สงสัยมันรีบไปหน่อย...ถึงวันนี้มอสี่มันเลิกเร็ว แต่ก็ช้ากว่าเราตั้งหนึ่งคาบ เพื่อนผมคนนี้นี่ช่างไร้เดียงสาซะจริง

                  ระหว่างที่ไอ้กรกำลังนั่งอืดรอสาว ไอ้ผมก็ทนความร้อนจากอากาศด้านนอกที่ไร้พัดลมไม่ไหวเลยเดินไปซื้อน้ำในโรงอาหารมานั่งดูด

                  เก็กฮวยเย็นๆนี่ชื่นใจที่สุดเล้ย~!

                  แต่ระหว่างที่ผมกำลังละเมิดกฎอันแสนไร้สาระของโรงเรียนที่ว่าห้ามเอาน้ำออกมากินนอกโรงอาหาร จู่ๆเสียงเป็ดร้องก๊าบๆก็ดังขึ้น...ริงโทนมือถือผมเองครับ

                  ผมควักมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง มือถือโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นตาพร้อมกับส่งเสียงก๊าบๆดังจนผมเองเริ่มรำคาญจนต้องสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย

                  "ใครวะ?"

                  (ภัทรเองครับ) เสียงใสดังขึ้นจากปลายสาย เมื่อผมได้ยินื่อนั้นก็ทำเอาหางคิ้วตกลงไปเล็กน้อย

                  "มีไรวะมึง"

                  (ผมเลิกแล้ว)

                  "แล้วไง"

                  (ไปเดทกัน)

                  พรวดดดดดดด

                  เล่นเอาสำลักเก๊กฮวยเลยครับ...พูดอะไรของมึงห๊า ไอ้เด็กบ้า!?

                  (เผลอเชื่อไปนิดนึงเลยอ่ะดิ) เด็กนั่นหัวเราะคิกๆ มึงกล้ามากนะที่ทำให้กูสำลักเก๊กฮวย...

                  "เชื่อก็โง่แล้วสัด"

                  (งั้นพี่ก็ยอมรับว่าเชื่อน่ะสิ)

                  "ด่ากูโง่เรอะไอ้เด็กหมา"

                  (เปล๊า~)

                  "เอาจริงๆ มึงโทรมาไม"

                  (หาเพื่อนไปดูหนังอยู่ ไปด้วยกันปะ?)

                  "ถ้าเลี้ยงกูไป เอาที่วีไอพีด้วยนะ" ที่นั่งวีไอพีก็คู่ละห้าร้อยกว่า...ถ้ารวมป๊อบคอร์นและของจิปาถะด้วยก็คงเฉียดเจ็ดร้อย ไม่มีทางที่เด็กนั่นจะเลี้ยงผมไหวหรอก

                  (กำลังจะบอกว่ามีบัตรฟรี... ) เด็กนั่นฮัมเพลงไปพูดกับผมไป...พลาดแล้วครับไอ้ติน มึงพลาดหนักแล้ว

                  "เหี้ย..." ผมสถบเบาๆ แต่นั่นก็คงดังพอที่ปลายสายจะได้ยิน

                  (อ้าวๆ พลาดแล้วโวยวายหรอพี่ นิสัยไม่ดีเลยน้า)

                  ผมเงียบ แล้วยกมือขึ้นมาขยี้ผมยาวๆ(กว่าไอ้กรนิดนึง)ของตัวเอง

                  (งั้นเดี๋ยวผมไปหาที่ห้องนะครับ)

                  "ไม่ต้อง กูอยู่ใต้ตึกมึง"

                  (พี่ตินนี่ปากไม่ตรงกับใจเลยแฮะ) มันทิ้งเสียงคิกไว้ก่อนจะกดตัดสายไป

                  ว่าแต่...ผมโง่บอกมันไปทำไมเนี่ยยยยย ยิ่งคิดก็ยิ่งโง่ครับ...ไอ้ผมเนี่ย

                  พอไอ้เด็กนั่นมันวางสายไปผมก็หันกลับไปส่องไอ้กรต่อ...โป๊ะเชะ เด็กมันมาแล้ว

                  เด็กผู้หญิงผมประบ่าหน้าใสๆขาวๆตาชั้นเดียวเดินเข้ามาหาไอ้กรพร้อมโบกมือทักอย่างร่าเริง...เด็กคนนี้เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนแวบๆอยู่นะ

                  "รอนานมั้ยคะพี่กร ขอโทษค่ะ วันนี้จารย์ปล่อยห้องยูช้า" เสียงหวานพูดกับเพื่อนสนิทผมพร้อมเจ้าของร่างที่โค้งตัวขึ้นลงปะหลกๆ

                  "ไม่เป็นไรครับน้องยูมิ พี่ก็เพิ่งลงมาไม่นานเอง" ไอ้กรยิ้ม

                  แหมๆ ผมไม่อยากจะพูดนะ ตอแหลมากอ่ะมึง! มานั่งรอเป็นชาติแล้วบอกว่าเพิ่งมา น้องยูมิอะไรนั่นอีก...หมั่นไส้โว้ย!! อยากตะโกนให้โลกรู้ว่าผมอิจฉาคนมีแฟน ถึงผมจะหล่อก็เถอะแต่ทำไม...ไม่มีใครเคยสารภาพรักกับผมเลย แต่ไอ้ผมเองก็ไม่เคยชอบใครจริงๆจังๆ

                  แต่พอมาเจออย่างนี้ก็อิจฉาเหมือนกันนะ ฮึ่ย...

                  "พี่ติน...ทำอะไรอยู่น่ะ" เสียงใสๆดังขึ้นจากด้านหลังของผม ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงก่อนจะพบว่าร่างที่เอ่ยเรียกผมคือไอ้เด็กเวรนั่น

                  "ซักผ้าอยู่มั้ง?" ผมตอบไปกวนๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอ่ยเรียกผมเมื่อครู่ แต่เดี๋ยวก่อนนะ...ผมต้องเงยหน้ามองมันหรอ ผมเป็นรุ่นพี่มันนะ ไม่จริงน่า...ไอ้เด็กเวรนี่จะสูงกว่าผมเกือบสิบเซนต์ได้ยังไงกัน ตอนนั่งมันก็ยังดูเตี้ยๆอยู่เลยนะ

                  "อ่อ ซักเสร็จแล้วบอกด้วยนะพี่" เด็กนั่นบอกพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆผม แถมไม่วายดึงแก้วน้ำเก๊กฮวยที่ผมเพิ่งซื้อมาไปนั่งดูดหน้าตาเฉยอีก แต่ผมรู้สึกว่าด่ามันก็เหมือนด่าอากาศดีๆนี่เอง...

                  "นี่ๆไอ้ภัทร มึงรู้จักเด็กนั่นปะ" ผมชี้ไปที่น้องยูมิของไอ้กรพร้อมผันไปถามไอ้เด็กบ้านั่น

                  "รู้จักดิ ก็นั่นเพื่อนผม"

                  "มันเป็นแฟนกับไอ้กรหรอ"

                  "ถ้าหมายถึงพี่นิสัยน่าคลื่นไส้คนนั้นก็ใช่" มันมองตามมือผมไปก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงหงึกๆ

                  "น่าคลื่นไส้?"

                  "เป็นคนดีเกินไป พูดคำหวานๆ สวีตกันไม่แคร์สื่อ...พูดแล้วอิจฉาพวกมีแฟนชะมัด" เด็กที่ชื่อภัทรนั่นนิ่วหน้าขมวดคิ้ว มือมันบีบแก้วเก๊กฮวยนั่นจนแทบแตก ราวกับไอ้น้องยูมินั่นเป็นแฟนเก่ามันอย่างนั้นแหละ

                  "น้องยูมินั่นเป็นแฟนเก่ามึงหรอ" ผมถามมันเชิงล้อๆ แต่หน้าเด็กนั่นกลับเริ่มขึ้นสีแดงๆพร้อมกับส่ายหน้าถี่ๆ "เอ...หรือว่าแอบชอบเขาอยู่ข้างเดียวหว่า"

                  "ไม่ใช่ยัยนั่นหรอกพี่..." เด็กนั่นพูดเสียงค่อย ก้มหน้างุด แถมหน้าแดงระเรื่อ มือนี่จิ้มๆกันไปมาจนแทบจะเป็นรูอยู่แล้ว

                  ไอ้เด็กนี่มันน่ารักว่ะ!?

                  เฮ้ย...นี่ผมเผลอคิดอะไรไปวะครับ

                  "โธ่ๆรุ่นน้องที่น่าสงสาร" ผมยื่นมืิอไปแตะไหล่มันเบาๆ "ไปแรดย้อมใจกันเถอะ! มึงเลี้ยงหนัง เดี๋ยวกูเลี้ยงเกะเอง"

                  "พูดแล้วอย่าคืนคำนะพี่" มันเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ จะตอกย้ำกันอีกใช่มั้ยว่ากูมันเตี้ย...

                  "เออๆ แต่แค่ครึ่งชั่วโมงแรกนะ"

                  "โห...พูดเหมือนรวย"

                  "ก็บอกแล้วว่าช่วงนี้ตังกูขาดแคลน"

                  "ครับๆ" เด็กนั่นถอนหายใจ และจากนั้นกก็รวบข้อมือของผมเอาไว้ "ปะ ไปกัน"

                  มันไม่รอคำตอบจากผม ก็รีบเดินไปแถวๆลานจอดรถของอาจารย์ แล้วหยิบกุญแจสตาร์ทรถมอไซสีดำที่เห็นได้ทั่วไป แต่คันนี้มันกลับดูเท่แปลกๆเหมือนไปแต่งมา

                  "รถมึง?"

                  "มอไซต่างหากพี่"

                  "ครับไอ้น้อง..."

                  "แล้วยืนบื้ออยู่ทำไมพี่ ขึ้นมาดิ เดี๋ยวไม่เลี้ยงหนังนะ" ไอ้เด็กนั่นดุผม แต่เพื่อหนังและตังที่ขาดแคลนแล้ว...ไอ้ตินยอมเสียศักดิ์ศรีหน่อยก็ได้ ป๊อปคอร์นมันอร่อยกว่าศักดิ์ศรีบ้าอะไรนั่นตั้งเยอะ

                  "ครับๆเฮียภัทร" ผมพูดล้อมันก่อนจะขึ้นคร่อม...คร่อมมอไซของมันครับ ไม่ได้คร่อมมัน กรุณาอย่าคิดลึก

                  "เกาะแน่นๆนะพี่" มันพูด ไม่ทันขาดคำมอไซสีดำก็ทะยานไปด้านหน้าโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว

                  "ช้าหน่อยดิมึง กูจะร่วงแล้ว หมวกก็ไม่ได้ใส่นะโว้ย" ผมตะโกนบอกมันสู้กับเสียงลม

                  "ขออะไรใครต้องพูดเพราะๆนะพี่ ไม่มีใครสอนหรอครับ" มันก็ตะโกนผ่านเสียงลมตอบผมเหมือนกัน ดูมัน...ด่าผมอีก ชิ!

                  "ภัทรครับ ลดความเร็วหน่อยครับ..." กัดฟันพูดครับ แม่ง...ไอ้เด็กเวร

                  "โอเคครับ" มันพูดพลางหันหน้ามาหาผมพร้อมกระชากเบรคทำให้ตัวผมโน้มไปด้านหน้าตามกฎของแรงเฉี่อย แต่ปัญหาคือตัวของไอ้เด็กเวรนั่นมันยังอยู่ที่เดิม

                  แล้วเกิดอะไรขึ้น...หน้าของผมก็ไปกระแทกกับหน้าของมันไงครับ และจะไม่เป็นไรเลยถ้าส่วนที่กระทบกันมันไม่ใช่ปากกับปาก!?

                  จูบแรกกูครับ...กูต้องเสียจูบแรกให้ผู้ชาย ผมเป็นเจ้าบ่าวให้ใครไม่ได้แล้ว เศร้าครับ

                  ผมมองไปข้างหน้า ดูท่าไอ้เด็กนั่นก็จะตกใจเหมือนกัน รีบหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อทันทีเลย...เอาเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกันเนอะ

                  แต่ว่า...ทำไมมึงต้องเอามือแตะปากแล้วอมยิ้มด้วยห๊ะไอ้เด็กบ้า!!

       

                  ไม่นานนัก เราก็มาถึงโรงหนังในห้างที่เป็นที่รู้จักในบริเวณนั้น...

                  "จะดูเรื่องไหนดีอ่ะพี่" มันเงยหน้าท้าวเอวมองจอที่กำลังฉายตารางหนังอยู่

                  "อะไรก็ได้ที่มีรอบ" ผมตอบไปส่งๆ ก็ช่วงนี้มันไม่มีเรื่องไหนน่าดูเลยนี่นา เรื่องที่ผมอยากดูก็เพิ่งจะออกไปเมื่อวานแถมต้องเสียจูบแรกให้ไอ้เด็กเวรนี่อีก ตอนนี้คืออารมณ์เสียครับ

                  "ที่มีรอบก็แค่หนังเกย์กับหนังผีอ่ะพี่"

                  "สัด! กูไม่ดูหนังเกย์!"

                  "งั้นก็หนีงผีเนอะ" มันมองผมยิ้มๆก่อนจะยื่นคูปองอะไรบางอย่างให้พนักงาน "เอาเรื่องนี้ที่วีไอพีครับ"

                  "ซักครู่นะคะ" พนักงานยื่นมือมารับคูปองก่อนจะกดเลือกที่นั่งตามที่เจ้าเด็กนั่นชี้

                  "สำหรับที่วีไอพี ถ้ามากับคู่รักมีโปรโมชั่นแถมป๊อปคอร์นฟรีนะคะ"

                  ป๊อปคอร์น!? ฟรี!?

                  คีย์เวิร์ดของฟรีเข้ามาสะกิดเส้นประสาทการรับรู้ของผม ทำให้ผมรีบเดินเข้าไปหาไอ้เด็กนั่นทันที

                  "คือพวกผม..." เด็กนั่นทำท่าจะปฎิเสธ...แต่เพื่อของฟรี ไอ้ตินยอมพลีกายโว้ย!!

                  "ที่รัก ใกล้เสร็จรึยังครับ" ผมเดินเข้าไปหามันพร้อมหยิบแขนมันมากอดแน่น พร้อมกับบีบเสียงทำหน้าอ้อนๆที่รู้สึกว่าน่าถีบที่สุดในชีวิต ส่วนไอ้เด็กนั่น...ใช่ว่ามันจะตกใจครับ กลับรับมุขของผมได้โปรกว่าคนส่งมุขอีก

                  มันยกมือขึ้นมาโอบไหล่ผม แถมย่อตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาของผมอีก "ผมบอกว่าให้รออยู่ด้านโน้นไงครับ เดินมาทำไม"

                  "ก็ผมคิดถึงที่รักนี่นา"

                  "แฟนน่ารักดีนะคะ" พนักงานขายบัตรคนนั้นพูดพร้อมกับยื่นตั๋วหนังกับบัตรป๊อปคอร์นฟรีมาให้พวกผม

                  เยส! มิชชั่นคอมพลีต!

                  "คือ...ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ?" พนักงานคนนั้นถามพวกผมพร้อมหยิบมือถือของคุณเธอออกมา

                  ได้ของฟรีแล้ว...ไปกันเถอะ กูอายครับ

                  "ได้สิครับ" ไอ้เด็กเวร มึงจะตกลงหาพระแสงอะไรห๊ะ!?

                  มันรวบตัวผมเข้าไปใกล้มันยิ่งกว่าเดิม แถมโน้มหน้าเข้ามาฝังจมูกลงบนแก้มผมอีก

                  "ไอ้บ้า!" ผมผลักมันออก โค้งตัวให้พนักงานสาว แล้วรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันที "มึงทำอะไร..."

                  "ก็แสดงให้สมบทบาทไงครับ" มันยิ้ม "รีบๆเอาไปแลกขนมดีกว่านะครับพี่"

                  ผมคว้าบัตรสองใบมาจากมือของมันไปยื่นที่เคาท์เตอร์ขายของจุกจิกสำหรับเอาเข้าไปกินในโรงหนัง เมื่อได้ป๊อปคอร์นแบะน้ำแป๊ปซี่มาไว้ในครอบครองแล้วก็เดินเข้าโรงหนังตามที่พนักงานคนนั้นบอก

                  "เก้าอี้วีไอพีนี่มันนุ่มสบายดีจริงๆเลยน้า~" ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาคู่สีแดงแถวหลังสุดของโรงหนังแล้ววางป๊อปคอร์นและแก้วน้ำลงข้างที่นั่งของตัวเอง

                  "ไม่เคยมาหรอครับ?" ไอ้เด็กนั่นเลิกตาขึ้นมองผม สงสัยแปลกใจที่คนหล่อๆอย่างผมขาดแคลนเงินทองละมั้งครับ...หรือพูดอีกนัยนึงก็คือขาดแคลนเนื้อคู่นั่นแหละ ถ้ามานั่งดูหนังคนเดียวที่เก้าอี้แพงๆอย่างนี้สู้โหลดบิทมายั่งดูที่บ้านยังจะดีซะกว่า

                  "อือ ก็ที่นั่งตรงนี้มันแพงจะตายนี่นา" ผมพยักหน้าตอบมันก่อนจะลงไปกลิ้งๆบนโซฟาสีแดงนั่นเพื่อรอเวลาหนังฉาย "ว่าแต่...ทำไมมึงไม่มากับเพื่อนมึงล่ะ ชวนกูมาทำไม"

                  "เพื่อนผมมันไม่ว่่างน่ะ เห็นพี่น่าจะว่างก็เลยลองชวนมา...แล้วที่สำคัญนะ พี่ก็น่ารักดีด้วย" ผมเกือบสำลักป๊อปคอร์นจากคำพูดของมัน "แล้วชื่อจริงพี่ก็ยังมีชื่อผมอยู่ในชื่อด้วยนี่นา"

                  "ไอ้เด็กสโตรกเกอร์..." ผมส่งเสียงจิ๊ในลำคอเบาๆก่อนจะขยับที่ให้เด็กเวรที่ยืนอยู่ลงมานั่งข้างๆ "มึงนั่งแล้วมันดูแคบลงทันทีเลยว่ะ"

                  "พี่นั่นแหละ อ้วน" มันจิ้มพุงผมจึ้กๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปหยิบป๊อปคอร์นแสนรักที่ผมวางไว้ข้างตัวไปทั้งกระป๋อง "เพราะงั้นไอ้นี่ผมจัดการเอง"

                  "นั่นแลกมาด้วยร่างกายของกูเชียวนะ เอาคืนมาโว้ย" ผมโวยวายแล้วพยายามคว้ากระป๋องป๊อปคอร์นคืนมา รู้มั้ยว่าผมต้องเสียสละแค่ไหนถึงจะได้มันมา...

                  "แกๆ หกนาฬิกา โคตรเคะโคตรคิวท์" เสียงใสๆของผู้เด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบห้าปีคนหนึ่งในกลุ่มใหญ่ๆที่นั่งเรียงอยู่เบาะเดี่ยวด้านหน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้สกิลเสือกของผมทำงาน

                  "แกว่าเรียลป่ะวะ?"

                   "ดูเรื่องนี้ แถมนั่งที่สวีต เรียลชัวร์"

                  เอ๋ หนังเรื่องนี้ทำไม ดูหนังผีแล้วมันผิดหรอ...เรียลเรออะไรของพวกเธอกัน...นี่มันชักจะตะหงิดๆแล้วนะ

                  "มึง นี่เราเข้ามาดูหนังผีใช่ปะ?" ผมหันไปถามคนข้างๆที่กำลังกินป๊อปคอร์นอย่างกับกินข้าวเที่ยงอยู่

                  "เปล่าอ่ะ เปลี่ยนใจแล้ว"

                  "แสดงว่าไอ้ที่กำลังจะฉายนี่...?"

                  "ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้างอ่ะพี่" มันพูดจบเพลงสรรเสริญก็ดังพอดี

                  ไอ้เด็กบ้า! มึงล่อลวงกูมาดูหนังเกย์เรอะ!?

                  พอเพลงสรรเสริญฯจบหนังก็เริ่มฉาย...รูปแบบมันก็คล้ายหนังรักทั่วๆไป แค่นางเอกมันเป็นผู้ชายเท่านั้น

                  ดูไปเรื่อยๆ ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องมันก็สารภาพรักกันแล้ว กลางสายฝนซะด้วยโรแมนติกซะไม่มีอ่ะ แต่พระเอกดันโดนปฎิเสธ วะฮะฮ่า สมน้ำหน้า ไวไฟกันเกินไปก็มีแต้เสียกับเสียล่ะน้า

                  ไปๆมาๆผู้ชายนี่ก็ดีเนอะ...ไม่เยอะไม่เรื่องมากเหมือนกับผู้หญิงบางคน คิดถึงคนที่ผมเคยจีบก็เศร้า เฮ้อ..

                  กลับมาที่หนังกันต่อ...ผมว่ามันสนุกดีนะ โอ๊ะๆ พระเอกตามตื้อนางเอกใหญ่เลย แต่นางเอกนี่ก็ไม่ยอมแฮะ ใจแข็งจริงๆ อย่าไปยอมมันลูก พ่อเชียร์อยู่!

                  อ่าวเฮ้ย...นางเอกโดนหาเรื่อง!? ไอ้พระเอกทำไมไม่มาช่วยตามฟอร์มวะ? นั่นไงไม่ทันขาดคำพระเอกมาแล้ว แต่โดนตีทีเดียวสลบ...อ่อนไปนะบางที

                  พระเอกเข้าโรงพยาบาล สมองกระทบกระเทือน เวรๆ แล้วไอ้นางเอกนี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าชอบพระเอกเหมือนกัน...ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็สมหวังไปนานแล้วลูก

                  นางเอกมาเฝ้าพระเอกทุกๆวันตลอดหนึ่งปี...ถ้าผมมีแฟนอย่างนี้รักตายเลยนะเนี่ย

                  ห่ะ!? พระเอกตายแล้ว!?? ปล่อยให้กันยา(ชื่อนางเอกครับ)รอมาเกือบสองปีแล้วมาม่องง่ายๆเนี่ยนะ บ้าที่สุด! พล๊อตหักหลังจนอยากจะไปฆ่าคนเขียบบท

                  แต่ทำไม...น้ำตาของผมถึงไหลออกมาเป็นสายขนาดนี้ล่ะ น่าสงสารนางเอกที่สุดเลย...

                  หนังจะจบแล้ว...ผมหันไปมองไอ้เด็กเวรที่นั่งอยู่ข้างๆ น้ำตามันก็ไหลลงมาเป็นสายเหมือนกัน แถมรู้สึกจะหนักกว่าผมเสียอีก

                  เหมือนมันรู้ว่าผมมองมัน ไอ้เด็กนั่นก็หันมาสบตากับผมเช่นเดียวกัน ผมมองมันยิ้มๆก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาของมันที่ไหลออกมาเป็นสาย "ขี้แงนะมึง"

                  มันเงียบ เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเป็นฝ่ายที่หันหน้าหลบมันเอง แต่ยังไม่ทันที่จะเบี่ยงหน้าออกมันก็กระชากคอเสื้อของผมเข้าไปใกล้ๆมันก่อนจะประทับจูบลงมา!? ไม่ใช่จูบเล่นๆครับ คราวนี่มันจูบจริงจัง

                  ฟันของไอ้เด็กนั่นขบลงที่ริมฝีปากผมเต็มแรงจนต้องหลุดร้องโอ้ยออกมา และจังหวะที่ผมอ้าปากร้องไอ้บ้าที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้โอกาสตวัดลิ้นเข้ามาในปากของผมทันที

                  ผมทั้งดันทั้งผลักมันออกไป แต่จู่ๆเรี่ยวแรงที่เคยมีก็หายไปเสียดื้อๆ...ไม่ใช่เพราะเคลิ้ม แต่เพราะกูหายใจไม่ทันครับ

                  ไม่นานไอ้เด็กบ้าก็รู้สึกตัวว่าผมหายใจไม่ทันแล้วละริมฝีปากออกไป ทันทีที่ปากผมเป็นอิสระก็พร้อมด่ามันทันที "มึงทำอะระ..." แต่ก็ต้องสะดุดกับสายตาคนแถวหน้าผมที่เหมือนกับตั้งใจดูหนัง แต่ก็เหลือบๆมามองพวกผมตลอด คิดว่ากูโง่นักหรอครับ

                  "พี่ติน ผมขอโทษนะ..." ไอ้เด็กนั่นก้มหน้าสำนึกผิด ผมต้องยอมรับว่าโกรธมัน ไอ้การล้อเล่นกับความรู้สึกคนเนี่ยมันไม่ขำนะครับ ถ้ามันไปทำอย่างนี้กับผู้หญิง จะรู้มั้ยว่าเธอจะเสียหายขนาดไหนน่ะ

                  "อินกับหนังมากไปรึไง" ผมถามคนตรงหน้าด้วยสำเนียงขำๆเหมือนกับปกติ

                  "ฟังผมหน่อยนะพี่...ผมอาจจะอินกับหนังมากไปก็จริง" มันยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด "แต่พี่ติน ผมน่ะ...ชอบพี่นะ"

                  ช๊อคแดกครับ "ฮะๆ...ล้อเล่นอะไรน่ะ กูไม่ขำนะเว่ย"

                  "ผมจริงจังนะพี่ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตั้งตอนนั้นที่ผมเจอพี่ครั้งแรก ถึงผมไม่รู้ว่านี่เรียกว่ารักรึเปล่าแต่ผมเจ็บทุกครั้งที่เห็นพี่เสียใจ ทุกครั้งที่พี่ยิ้มแต่มันกลับดูว่างเปล่า...ให้เป็นผมได้มั้ยที่จะเติมเต็มรอยยิ้มนั่น"

                  "โห...มาเป็นเซ็ตเลย" ผมอ้าปากค้างอึ้งๆ ความโกรธที่เคยมีเมื่อครู่หายไปเกือบทั้งหมด เสียงหัวใจตัวเองก็ดังตุบๆจนได้ยินชัดยิ่งกว่าซาวน์แทรคตอนจบของหนังเสียอีก

                  "ผมก็ไม่อยากบอกพี่ ผมกลัวพี่รังเกียจที่ผมเป็นอย่างนี้..." มันยกมือขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง "แต่ผมกลัวพี่ตายไปแบบในหนังอ่ะ"

                  "ไอ้เด็กงี่เง่าเอ้ย" เมื่อผมได้ยินคำพูดสุดท้ายที่ไอ้เด็กภัทรนั่นมันบอกก็ทำให้ผมเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ "คนมันไม่ตายง่ายอย่างนั้นหรอกน่า"

                  "แต่มันก็ไม่แน่นะพี่ พอกลับไปปุ๊ปพี่อาจจะโดนรถชนตายก็ได้" มันพูดทั้งๆที่ยังร้องไห้ไม่หยุด นี่คือมึงแช่งกูใช่มั้ยครับ?

                  "ถ้ากูจะโง่ขนาดนั้นละก็นะ"

                  "แล้วคำตอบผมอ่ะพี่...ผมชอบพี่นะ แล้วพี่ล่ะ" มันปาดน้ำตาแล้วหันหน้ามามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

                   "ก็..."

       

                  "เฮ้ยไอ้ติน ไอ้เด็กเปรตมาหามึงน่ะ" ไอ้กรตะโกนเรียกผมที่กำลังนั่นอ่านนิยายอยู่ในห้องเรียนตอนพักสิบ

                  ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องเมื่อวาน ก็หลังจากที่เราออกจากโรงหนังแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะตอนนั้นก็ประมาณหกโมงกว่าแล้วจะให้ไปร้องคาราโอเกะก็ยังไงๆอยู่ แล้วพอมาวันนี้ ผมกับไอ้น้องภัทรนั่นก็สนิทกันยิ่งกว่าเดิมแล้วล่ะครับ...

                  ส่วนความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้...ก็ขอละไว้ในฐานที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ที่รู้อย่างเดียวตอนนี้

                  'ก็มึงทำให้กูยิ้มได้จริงๆตั้งแต่ครั้งแรกแล้วไอ้เด็กเวรเอ้ยยยย' นั่นแหละครับคำตอบที่ผมบอกมันไปตอนนั้น

                   "มาหาทำไมวะ เดี๋ยวตอนเที่ยงก็เจอกันอยู่ดี" ผมพึมพำกับตัวเองพร้อมกับเดินไปหาไอ้เด็กเวรที่ยืนแก็กท่าที่มันคิดว่าหล่ออยู่หน้าห้องเรียนของผม เท่ตายแหละไอ้เด็กบ้า

                  "ดีครับพี่ติน"

                  "ไง"

                  "ตอนเที่ยงเดี๋ยวผมมาหานะ"

                  "เดี๋ยวกูไปหามึงดีกว่า เพราะยังไงไอ้กรก็ไปหาน้องยูมิของมันเหมือนกัน" ผมพูดเชิงล้อๆ

                  "เชี่ยติน..." ไอ้กรมองมาที่ผมพร้อมส่งเสียงขู่ โอ้ยๆน้องตินกลัวแล้วครับ

                  "เดี๋ยวผมมารับดีกว่า ไม่อยากให้ภรรยาตัวเองไปเป็นก้างชาวบ้านเขา" มันพูดล้อๆ

                  ว่าแต่ใครเมียมึงห๊ะไอ้เด็กเวร "กูไม่ใช่เมียมึงโว้ยยย"

                  "โธ่ๆ บอกกันดีก็ได้ว่าพี่อยากเป็นสามี ผมยอมก็ได้ แต่แบบพี่ก็คงเป็นไปได้ยากอยู่นา..."

                  "ไอ้เด็กเวร!!"

                  "ถึงจะเวร แต่ก็รักพี่ที่สุดเลยนะครับ"

                  ถึงบางทีเรื่องราวในชีวิตของผมมันจะคลุมเครือไปบ้าง แต่ผมก็ยอมรับว่า...ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดเลยครับ

       

       

      TIN Part

       

                  'พรุ่งนี้ไปเดทกัน รอที่โรงเรียนนะ'

                  'ไม่เอา กูอยากนอนอยู่บ้านอ่ะ'

                  'พี่อยู่คอนโดข้างโรงเรียนใช่ปะ'

                  'รู้ได้ไงวะ'

                  'เดี๋ยวไปหาตอนสิบโมง'

                  ผมนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงนอนเดี่ยวเล็กในคอนโดของตัวเอง พลางกับอ่านทวนข้อความที่ส่งมาจากไอ้เด็กเวรที่เมื่อวานเพิ่งสารภาพรักกับผมในโรงหนัง แถมยังเป็นตอนดูหนังเกย์อยู่ซะด้วย โรแมนติกเป็นบ้า!

                  ผมประชดนะครับ...

                  ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเศษๆ และผมเพิ่งจะนึกได้ว่าเด็กนั่นไม่รู้ที่อยู่ผม นอกเสียจากว่าเป็นคอนโดข้างโรงเรีบนอย่างที่มันเคยบอก ถึงคอนโดที่ผมอยู่จะเป็นคอนโดเดียวที่อยู่ข้างโรงเรียน แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นตึกเล็กๆตึกเดียวที่ไหนกัน?

                  คอนโดนี้เป็นคอนโดระดับกลาง มีอยู่ประมาณห้าตึกวางเป็นแพ็คเรียงต่อกันอย่างกับกล่องนม แถมแต่ละตึกก็มีเกือบสิบชั้น แต่ละชั้นก็มีอยู่ประมาณสิบห้องได้

                  เรามาคำนวนความน่าจะเป็นอย่างสุ่มที่มันจะเปิดมาเจอห้องผมพอดีกันดีกว่า...มีห้าตึก ตึกหนึ่งมีสิบชั้น แต่ละชั้นมีสิบห้อง เพราะงั้นคอนโดผมมี เอ่อ...ประมาณห้าร้อยห้อง ความน่าจะเป็นคือหนึ่งในห้าร้อยแถมยังไม่คิดความคลาดเคลื่อนจากความงี่เง่าของไอ้เด็กเวรนั่นอีกนะ

                  อย่าหวังว่ามันจะหาห้องผมเจอภายในวันนี้เลยครับ...

                  พอคิดได้อย่างนั้นแล้วผมก็เดินไปอาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัว กินข้าว ด้วยความเร็วที่ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์เข้าไปทุกที...หมายความว่ามีความหน่วงยังไงละครับ แถมทิศทางตรงกันข้ามกับความเร่งอีก!! ถ้าเอาเป็นภาษาคนปกติก็คือช้ากว่าปกติแบบสุดๆ

                  เมื่อผมเปิดตู้เย็นจะหาข้าวกิน น่าเสียดายที่ขนมปังที่ผมกินเป็นประจำมันหมดวันนี้พอดี ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมต้องเปิดตู้ฉุกเฉินเบิกอาหารยามจำเป็นออกมากิน

                  วิธีทำอาหารนั่นก็ง่ายๆครับ แค่ฉีกซองพอลิเมอร์ ใส่โมโนโซเดียมกลูตาเมตและสารแต่งกลิ่นลงในคาร์โบไฮเดรตหลายล้านล้านโมเลกุลที่เกาะกันอยู่ พอใส่ไดไฮโดรเจนมอนออกไซด์ในอุณหภูมิเกือบถึงจุดเดือดแล้วนั่งรอสักพัก...

                  แท่เด้น! ได้แล้วมาม่าแสนอร่อย

                  ในระหว่างที่ผมนั่งโซ้ยมาม่ารสโปรดอยู่ก็หันไปดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงห้าสิบนาที ป่านนี้ไม่รู้ไอ้เด็กเวรนั่นจะไปตายอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ สมน้ำหน้า...ไม่รู้จักถามอะไรให้ดีก่อน

                  ~kawashita yakusoku watsure na yome~  เสียงเรียกเข้าเป็นเพลงอนิเมชั่นสาวน้อยเวทมนต์อันแสนสดใสดังขึ้นมา เสียงอย่างนี้ผมตั้งไว้สำหรับคนๆเดียวเท่านั้นแหละ...

                  "ว่าไงครับ คุณโอตาคุ" ผมสไลด์หน้่าจอเพื่อรับสายก่อนจะกรอกเสียงเข้าในสมาร์ทโฟนตกรุ่น

                  (กูไม่ได้ชื่อโอตาคุนะเว่ยไอ้โนเวลฟีเวอร์) เสียงต่ำๆดังลอดกลับมา

                  "ผมก็ไม่ได้ชื่อโนเวลฟีเวอร์อะไรนั่นซะหน่อย"

                  (เออๆ ไอ้คุณท่านไทนี่ วันนี้จะให้กระผมไปหาได้มั้ยขอรับ)

                  "ดีๆ มาเลยๆ วันนี้ผมยิ่งเบื่อๆด้วย"

                  (คือถ้ามึงไม่เบื่อกูก็ไปหาไม่ได้ใช่ปะ)

                  "เซนเซย์มาได้ตลอดแหละครับ กระผมมิบังอาจ"

                  (กูอยู่หน้าห้องมึงละ เดินมาเปิดให้กูหน่อย)

                  "บางทีก็ไวไปนะเซนเซย์..." ผมพึมพำพร้อมกับกดตัดสายของคนๆนั้น

                  เซนเซย์เป็นคนที่ผมรู้จักผ่านโลกออนไลน์ครับ เกิดเล่นบอร์ดอยู่แล้วคุยกันถูกคอ ถามไปถามมาก็ดันอยู่คอนโดเดียวกันซะอย่างนั้น โลกมันกลมกว่าที่เราคิดไว้้เยอะ...

                  "ไอ้จิ๋ว! เร็วสิวะ! รากกูจะงอกแล้วเนี่ย"

                  "คร้าบๆ" ว่าแล้วผมก็เดินไปเปิดประตูให้ร่างที่ยืนอยู่หน้าห้องเดินเข้ามา เซนเซย์เป็นผู้ชายวัยทำงาน สูงประมาณร้อยเก้าสิบ หนวดเคราเต็มหน้าแลดูราวกับโจรป่า...แต่ถึงอย่างนั้นเซนเซย์ก็เป็นคนดี ละมั้งครับ?

                  "ห้องยังรกเหมือนเดิมเลยนะ" ร่างสูงเดินสำรวจรอบห้อง ก่อนจะทิ้งตัวตั่งบนพื้นหน้าทีวี

                  "เซนเซย์ก็หาแฟนให้ผมสิ เดี๋ยวอีกหน่อยก็เรียบร้อยเอง"

                  "หาแม่บ้านให้มึงจะง่ายกว่ามั้ง?" ร่างสูกยกยิ้มกวนๆก่อนจะคว้ารีโมทมากดเปิดทีวี

                  "โหดร้ายว่ะ"

                  "แล้วไอ้เฟิร์สเลิฟแอทเฟิร์สไซต์ที่มึงเคยเล่าล่ะวะ ไม่ใช่แฟนมึงรึไงครับ"

                  "เรื่องมันโคตรโหดร้ายว่ะเซนเซย์...พอผมพบกับเขาปุ๊ป วันต่อมาก็ถูกส่งไปอเมริกาเลย สองปี...เขาคงลืมผมไปแล้วละมั้ง?" ผมถอนหายใจพร้อมกับยกซดน้ำในถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนหมด

                  "ทำให้มึงหลงได้ขนาดนี้คนๆนั้นคงน่ารักน่าดู" เซนเซย์พูดขึ้นมาลอยๆ แต่มันดันกระทบกับสิ่งที่ผมคิดถึงอยู่พอดี

                  "อือ...น่ารักมาก เท่ด้วย เหมือนพระเอกในนิยายเลยแหละ" ผมพึมพำกับตัวเองแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ คนๆนั้นในความทรงจำเป็นเด็กชายตัวเล็กๆออกจะเตี้ยกว่าผมเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความมั่นใจแต่ลึกๆแล้วนัยน์ตาคู่นั้นก็แอบสั่นไหวอยู่ มือเล็กๆที่พร้อมมอบความอบอุ่นให้คนอื่นแต่ในขณะเดียวกันก็สั่นเทาอย่างไม่น่าเชื่อ เรียวปากสีส้มอมชมพูที่ทำให้ลืมหายใจนั่นก็ด้วย...โอ้ย! นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!!

                  "บิดไปมาอย่างกับตุ๊ดเลยนะไอ้จิ๋ว" ร่างสูงนอนลงกับพื้นแล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอ "แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง ไปหาเค้ารึยังล่ะ?"

                  "ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหนน่ะสิ..." ผมถอนหายใจ ก่อนจะโยนถ้วยกระดาษในมือลงในถังขยะ

                  "เวร" คนที่มีอายุมากกว่าถอนหายใจเสียงดัง "แล้วมึงรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้างล่ะ"

                  "ชื่อว่่าภัทร...ส่วนหน้าก็จำได้แค่ลางๆ" ผมตอบเสียงค่อย "แต่ถ้าได้เจอต้องจำได้แน่ๆ"

                  "แล้วถ้าไม่เจอ?"

                  นั่นแหละที่ผมกลัว...ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอคอย และภวานาให้โลกกลมๆนี้พาผมกับเขาคนนั้นมาเจอกันอีกครั้ง ว่าแล้วก็นึกถึงหนังเมื่อสองวันก่อน สองปีที่ไม่ได้พูดคุย...แต่สำหรับผมและเขาคนนั้น เราทั้งไม่ได้พูดคุยกันและยังไม่ได้เห็นหน้า มิหนำซ้ำก่อนหน้านั้นก็ยังเจอกันแค่วันเดียว แม้มันดูเหลือเชื่อ แต่ผมอยากเจอเขามาโดยตลอด

                  และไอ้เด็กหมานั่น...มันดันชื่อเดียวกับคนๆนั้นอีก แต่มันไม่มีทางใช่คนๆนั้นอย่างแน่นอน เพราะเขาน่ารักกว่านี้เยอะ แต่จุดที่เหมือนกันก็คงจะเป็นรสจูบหวานจางๆนั่นล่ะมั้ง...?

                  เฮ้ย!? นี่ตูคิดอะไรอยู่ฟระ!?

                  "ไอ้จิ๋ว มีคนเคาะประตู" เสียงของร่างสูงดังขึ้นมาขัดความเพ้อเจ้อในหัวสมอง

                  "เซนเซย์เปิดให้หน่อยสิ ผมขี้เกียจ"

                  "ใช้กูซะคุ้มเลยนะ" คนๆนั้นบ่นอิดออด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมเดินไปเปิดประตูให้

                  "เอ่อ...นี่ใช่ห้องพี่ตินมั้ยครับ" เสียงคุ้นๆที่ฟังดูน่าหมั่นไส้ดังขึ้นจากหน้าประตู

                  ไอ้เด็กนั่นหาห้องผมเจอ...แถมตอนนี้ก็ยังเป็นเวลาสิบโมงเป๊ะๆแบบไม่ขาดไม่เกิน เก่งว่ะ

                  "อืม มึงมีไร"

                  "เอ้า...มาห้องพี่ตินก็มาหาพี่ตินสิครับ หรืออยากให้ผมบอกว่ามาหาคุณ"

                  ผมเงี่ยหูฟังการสนทนาอยู่เรื่อยๆ ก็ขี้เกียจลุกนี่นา ไอ้เด็กนี่ก็กวนตีนอยู่ด้วย กระทืบมันเลยเซนเซย์!!

                  "ไอ้เด็กเวร..."

                  "ผมชื่อภัทรครับ ไม่ได้ชื่อเวร" ไอ้เด็กหมายกยิ้มสะใจ "แล้วนี่ใช่ห้องพี่ตินใช่มั้ยครับเฮียเบิ้ม"

                  "กูไม่ได้ชื่อเบิ้ม"

                  "แล้วเฮียชื่ออะไรล่ะ?"

                  "เรียกกูว่าผัวไอ้ตินแล้วกัน" เซนเซย์ยกยิ้มราวกับผู้ชนะ ไอ้เด็กนั่นหน้าเหวอไปเลย สะใจชะมัด แต่เมื้อกี้เซนเซย์พูดอะไรวะ...ศักดิ์ศรีกู ไม่เหลือแล้ว

                  "จะ...จริงหรอ"

                  แต่ไหนๆแล้ว ผมก็ขอรับมุขเซนเซย์หน่อยแล้วกัน "ที่รัก ใครมาหรอครับ?" ผมตะโกนออกไปพอให้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยิน

                  "เอ่อ...ผมแค่ฝากของไปให้พี่ติน ไม่กวนแล้วครับ ขอบคุณมาก" สิ้นเสียงนั้น ประตูก็ถูกปิดลงทันที

                  "ใช่คนนั้นรึเปล่าวะ...น้องภัทรรักแรกมึง"

                  "น่าจะคนละภัทร ไอ้เด็กหมานั่นกวนตีนจะตาย"

                  "เออ แล้วนี่...มันฝากมาให้มึง" ร่างสูงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นซองสีขาวขนาดใหญ่ดุจซองผ้าป่ามาให้

                  "รู้สึกเหมือนแกล้งมันหนักไปนิดแฮะ..." ผมพึมพำ พลางแกะซองสีขาวนั่นอย่างระมัดระวัง และเมื่อแกะเสร็จก็พอว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือจดหมายเก่าๆฉบับหนึ่งที่มีความหนาพอสมควร

       

                  ถึงพี่ติน

       

                   ผมค่อยๆคลี่กระดาษอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มอ่าน...

       

                  ถึงพี่ติน คนที่มีผมอยู่ในชื่อ..

         พี่ติน นี่ผมภัทรเองนะครับ...จดหมายพวกนี้ผมเขียนขึ้นตอนอยู่มอสองหลังจากที่พี่ไปแลกเปลี่ยน ตอนนั้นที่พวกเราหนีจากไอ้พวกทีี่แกล้งพี่ จนสุดท้ายพี่พาผมขึ้นมาที่ห้องๆนี้ แต่ดูเหมือนพี่จะจำผมไม่ได้ ขนาดช่วยเตือนความทรงจำตอนอยู่ในโรงหนังขนาดนั้นแล้วเชียว... อ่า ช่างเถอะครับ ตอนนี้ พี่คงชอบผมในอดีตมากกว่าสินะ

         เพราะอย่างนั้น ขอให้พี่เก็บพวกนี้แทนของที่ระลึกจากตัวผมเมื่อสองปีก่อนแล้วกันครับ

       

                  ในกระดาษขาวใบใหม่ มีข้อความที่เขียนด้วยลายมือไม่กี่บรรทัด ก่อนที่หน้ากระดาษที่เก่ากว่าหน้าแรกอย่างสังเกตได้ มีอักษรที่ถูกเขียนด้วยปากกาลูกลื่นอยู่เต็มหน้ากระดาษ

       

                  วันนี้ผมเจอคนๆนึงตอนไปหาพี่พรที่โรงเรียน...เขาเป็นคนแปลกๆ แต่กลับน่าเข้าใกล้อย่างไม่น่าเชื่อ หรือเป็นเพราะว่าผมเองก็แปลกพอกัน

                เขาเป็นคนที่ดูเหมือนจะเก็บอะไรไว้ข้างในใจมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถกลั่นรอยยิ้มออกมาได้ ถึงแม้ว่านั่นดูไม่ค่อยเหมือนรอยยิ้มจากใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ใช่ว่าเขายิ้มไม่ได้ พอได้เห็นรอยยิ้มจากใจของเขาแล้ว ผมรู้สึกราวกับลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง...ทำไมกันนะ?

                ผมอยากรู้จักเขา อยากเป็นเพื่อนกับพี่คนนั้น...เพื่อนหรอ? แล้วทำไมผมถึงทำอย่างนั้นกับพี่เขาไปล่ะ?

       

                  ไอ้เด็กหมาภัทรนี่...กับน้องภัทรที่แสนน่ารักคนนั้นเป็นคนเดียวกัน!?

                  ผมตั้งสติ ก่อนจะไล่อ่านข้อความในจดหมายนั่นต่อ

       

                  ราวกับว่าผมเจอใครสักคนทึ่ผมรู้สึกว่าอยากปกป้องดูแล จากตัวผมเองที่ว่างเปล่าก็กลายเป็นคนๆหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต อยากที่จะเดินไปเคียงข้างคนๆนั้น อยากจะทำตัวให้มีความสามารถพอให้เดินข้างเขาได้

                ถึงว่าจะไม่แน่ใจว่านี่เป็นความรู้สึกเพียงชั่วครู่หรือไม่ แต่ว่า...อยากเจออีกครั้ง อยากจะสนิทยิ่งกว่านี้ อาจจะเป็นแบบที่พี่ตินบอกไว้ โชคชะตา...นั่นสินะ?

        

                วันต่อมา...ผมก็ไปรอพี่เขาที่เดิมอีก แต่เขาไม่มา วันที่สาม วันที่สี่...จนสุดท้ายแล้วก็รู้ว่าพี่เขาไปแลกเปลี่ยน

         พี่ใจร้าย ทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้เลย?

       

                  ผมกวาดสายตาอ่านข้อความบนกระดาษอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้...

       

                 ...ผมก็ได้แค่หวังว่าสักวันจะได้เจออีกครั้ง...

       

                          ...ผมพยายามทำทุกทางเพื่อให้อยู่ใกล้เขามากขึ้น...

       

                ...นี่เป็นความรู้สึกที่เพื่อนจะมีให้กันจริงๆหรอ...

       

                         ...รัก...? ไม่น่า...พี่เขาเป็นผู้ชายนะ...

       

                ...ผมทำได้แล้วนะ ผมสอบเข้าโรงเรียนนั้นได้แล้ว...

       

                         ...ได้ยินว่าพี่กลับมาแล้ว แต่ทำไมไม่เจอเลยล่ะ...

       

                ...ในที่สุดก็เจอ แต่พี่จำผมไม่ได้...

       

                          ...ผมแค่อยากบอก รู้แล้วล่ะ ว่าผมรักพี่...

       

                 ...อ่า...บอกไปแล้ว คงจะรังเกียจสินะ ทั้งที่เจอแล้วแท้ๆ...

       

                          ...ไม่หวังคำว่าตกลง แค่ขอโอกาสให้ได้อยู่ข้างๆก็พอ...

       

                  "มันเอาอะไรมาให้วะไอ้จิ๋ว จดหมายรักรึไง" เสียงต่ำๆของเซนเซย์ช่วยดึงผมขึ้นมาจากโลกส่วนตัว

                  "ฮื่อ..." ผมส่งเสียงปฎิเสธในลำคอก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามคนที่เพิ่งออกจากห้องไปไม่นาน "เดี๋ยวผมมานะ ฝากห้องด้วย!"

                  "เด็กๆนี่น้า..."

                  ผมวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้ ก่อนจะไปหยึดยืนอยู่หน้าลิฟต์ แต่ที่ตรงนั้นก็ไม่ปรากฏร่างของชายที่ตามหาอยู่ ในขณะนี้ลิฟต์เป็นลิฟต์ลงและเพิ่งจะอยู่แค่ชั้นสาม...คนๆนั้นต้องลงลิฟต์ไม่ผิดแน่ ถ้าวิ่งตามลงไปน่าจะทัน ทันทีที่ตัดสินใจ ผมก็รีบผลักประตูหนีไฟที่อยู่ข้างๆลิฟต์แล้ววิ่งลงไปทันที

                  ขอร้องล่ะ! ขอให้ทันทีเถอะ!

                  แม้ว่ารู้ดีว่าถึงยังไงก็ต้องเจอกันที่โรงเรียนอยู่ดี แต่ผมไม่อยากให้มันเข้าอีหรอบเดิม ข้อมูลอะไรของภัทร ผมเองไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว ทั้งชื่อจริงและนามสกุล ทั้งห้อง ทั้งที่อยู่ ทั้งลักษณนิสัย ไม่ใช่ภัทรคนเดียวหรอกที่อยากจะรู้จัก อยากจะสนิทกับผม ผมก็รู้สึกอย่างนั้นกับเด็กเวรนั่นเหมือนกัน...สุดท้าย ก็ทำมันเสียใจสินะ

                  ผมวิ่งลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง โชคดีที่ลิฟต์ของคอนโดเก่าๆนี้ไม่ได้เร็วเหมือนกับโรงแรมห้าดาว ตอนนี้ยังอยู่ชั้นสองอยู่...

                  ไม่นานนักที่ผมยืนหอบอยู่หน้าลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้าแสดงความตกใจของคนรู้จักที่เพิ่งจะจำหน้าได้ปรากฎออกมาพร้อมๆกัน

                  "พี่ติน...? ไหงมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ?" ภัทรเบิกตากว้างมองผม สงสัยสภาพของผมมันคงจะโทรมมากสินะ

                  "กู...กูขอโทษนะภัทรที่จำมึงไม่ได้!" ผมตะโกนเสียงดังจนผู้หญิงที่ลงลิฟต์มาพร้อมกับภัทรหันมามองด้วยหางตา แต่ผมไม่สนใจหรอก ตอนนี้ผมต้องรีบเคลียร์กับเด็กเวรนี่ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันจะเสียใจยิ่งกว่านี้

                  "ผมก็ทำใจไว้แล้ว...ไม่เป็นไรหรอกครับ" เด็กนั่นยิ้มแห้งๆพร้อมเดินออกมาจากลิฟต์

                  "แต่กูไม่ได้ลืมนะ! ก็แค่...มึงเปลี่ยนไปมาก"

                  "นั่นสินะครับ...ผมจะพยายามเชื่อนะ"

                  "พยายาม...?" มันหมายความว่ายังไง...ภัทรไม่เชื่อผมอย่างนั้นหรอ ก็รู้ดีว่ามันฟังเหมือนคำลอยๆพูดแก้ตัว แต่ในใจกลับเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                  "มึงไม่ต้องพยายามหรอกภัทร ไอ้หมอเนี่ยมันเพ้อเรื่องมึงให้กูฟังเกือบทุกวัน" จู่ๆเซนเซย์ที่ไม่รู้ว่าโผล่หัวมาจากที่ไหนก็คว้าหัวผมไว้แล้วโยกไปมา

                  "คุณ...แฟนพี่ตินสินะครับ" ไอ้เด็กภัทรพูดเสียงเบาพร้อมอมยิ้มน้อยๆ

                  "เปล่า เมื่อกี๊ล้อเล่นน่ะ" เสียงต่ำๆของเซนเซย์ตอบกลับไป

                  "ล้อเล่น?"

                  "หึ...กูก็แค่หมั่นไส้ที่ไอ้จิ๋วชอบมึงมาตั้งนาน"

                  "เฮียเซน!!" ผมหันไปจ้องร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง จู่ๆก็พูดอะไรขึ้นมาน่ะ เรื่องอย่างนี้ผมต้องเป็นคนบอกเองสิ...แต่ก็ยังไม่รู้เลย ว่ามันจะเรียกว่าชอบได้มั้ย

                  "ไม่ด่ากูเหี้ยเลยล่ะ ขึ้นเสียงสูงขนาดนั้น..."

                  "จริงหรอครับ?"

                  "ไปคุยกันที่ห้องดีกว่านะกูว่า กูเดี๋ยวเลี้ยงเบียร์"

                  "พูดแล้วอย่าคืนคำนะเฮีย~"

                  "ยังเรียนไม่จบ ห้ามกินนะพี่ติน"

                  "ครับ..."

                  และแล้ว...พวกเราก็ย้ายขึ้นมาคุยกันต่อบนห้องของผม

       

                  แต่ว่า...ไหงจู่ๆเซนเซย์กับไอ้เด็กเวรคุยกับถูกคอขนาดนั้นล่ะฟะ!? แถมไอ้ที่คุยก็ไม่ใช่อะไรอีก เรื่องของกูทั้งนั้น

                  "ไอ้จิ๋วมันชอบพูดว่ารักแรกมันนะน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ แต่มึงดันโตมาหล่อกว่ามันซะงั้น" เสียงต่ำๆของเซนเซย์พูดขึ้น

                  "อะไรกันเฮีย ผมหล่อกว่าพี่ตินมาตั้งแต่เกิดแล้วเหอะ" ไอ้เด็กนั่นก็รับมุขอีก...ตอนนั้นผมหล่อกว่ามันตั้งเยอะ ถ้าไม่นับว่าตอนนั้นมันเป็นคนรุกนะ..โทษครับ แมวพูด

                  "แล้วตอนนั้นที่กูแกล้งมึง มึงเชื่องั้นสิ?"

                  "ก็เผลอเชื่อไปหน่อยนึงเลยล่ะครับ" ไอ้เด็กเวรหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นกระดก ห้ามกูกินแต่มึงกระดกเอาๆเนี่ยนะ ฮึ่ย...

                  "นี่มึงไม่เชื่อใจจิ๋วเลยรึไง"

                  "อืม...พูดตรงๆก็ใช่ ก็ขนาดหน้าผมพี่เขายังจำไม่ได้เลยนี่นา" ภัทรพูดพลางหัวเราะ มึงพูดเรื่องอย่างนี้ได้หน้าตาเฉยโดยไม่หวงกูเลยเรอะ..!?

                  แล้วทำไมผมถึงรู้สึกอยากให้มันหวงกันนะ?

                  "มีเหตุผลนะ" อ้าว! เซนเซย์ก็ดันไปเออออด้วยอีก

                  "แล้วที่สำคัญผมก็มีแฟน แล้วทำไมพี่เขาจะมีบ้างไม่ได้ล่ะเนอะ"

                  "มึงมีแฟนแล้วยังมายุ่งกับกูอีกนะไอ้เวร" ผมตะโกนด่ามัน ก็ผมอดทนไม่มีแฟนเพื่อรอมันคนเดียว แต่มัน...

                  "ก็ทางนั้นเขาขอ ผมก็ไม่อยากจะปฎิเสธ เดี๋ยวมันจะเสียมารยาทกับผู้หญิงน่ะครับ"

                  คนที่อายุมากที่สุดในที่นี้เบิกตากว้าง "มึงไม่ได้เป็นเกย์หรอกเรอะ"

                  "ก็ไม่รู้ดิเฮีย แต่พอเห็นผู้หญิงผมก็มีอารมณ์นะ" ไอ้เด็กภัทรยักไหล่กวนๆ "แต่ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ทำใหัรู้สึกรักได้เหมือนคนนี้อ่ะ" ไม่พูดเปล่่า มันยังดึงผมที่นั่งอยู่ข้างๆไปกอดอีก ...ตอนนี้ภูเขาไฟในหัวจะระเบิดแล้ว เข้าใจเลยว่่าไอ้คำว่าเขินนี่มันเป็นยังไง

                  "ไม่ต้องมารุ่มร่ามกับกูเลย เหม็นเบียร์" พูดแล้วผมก็ผลักมันออกไป ก็...ก็เบียร์มันเหม็นจริงๆนี่นา

                  "แล้วบอกผมได้รึยัง ว่าทำไมจู่ๆพี่ถึงหายไปน่ะครับ" มันถามเสียงเรียบ พร้อมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นกระดกอีกรอบ

                  "คือตอนนั้นกูได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ ความจริงต้องนานกว่านั้น แต่พอดีว่ามันมีปัญหาอะไรสักอย่างเลยต้องไปเร็วขึ้นน่ะ" ผมบอกมันไปย่อๆ

                  "อ่อ..." ไอ้เด็กนั่นพยักหน้าเชิงเข้าใจ "พี่นี่นิสัยแย่นะ"

                  "ห๊ะ!?" จู่ๆมันก็เปลี่ยนเรื่องเฉย ใจเย็นๆดิ กูปรับตัวไม่ทันนะไอ้ภัทร "อะไรกัน กูออกจะหล่อแมนนิสัยก็ดีเยี่ยม"

                  "เมื่อตอนนั้น...พี่นอกใจผมในอดีต"

                  "กูจำไม่เห็นได้ว่ามึงกับกูเคยคบกันด้วย" ผมตอบมันไปตามจริง ความจริงไอ้เด็กเวรนี่มันขอผมคบหลายครั้งแล้ว แต่ไอ้ผมก็เลือกที่จะตอบปัดๆไปตลอด ทั้งในตอนนั้น และเมื่อตอนนั้นด้วย ก็ทำไงได้ คนมันกลัวนี่ครับ...

                  "งั้น..." ภัทรยกยิ้มบางๆเหมืิอนคิดอะไรได้ อย่ายิ้มอย่างนั้นดิ...กูเสียวนะเว่ย "คบกันมั้ยครับพี่ติน"

                  ปัง!!

                  "ว้ากกก"

                  สิ้นเสียงของไอ้เด็กเวร ก็เหมือนกับมีเสียงระเบิดย่อมๆดังตามมา ไม่ใช่อะไร...แต่มันคือกรวยที่เวลาดึงเชือกด้านล่างแล้วมันจะมีกระดาษสีเยอะๆออกมา ที่ใช่เล่นตอนงานปาร์ตี้แหละครับ และตอนนี้....ตัวการมันก็คือผู้สูงอายุที่นอนดูทีวีเนี่ยแหละ

                  "เล่นไรวะเฮียเซน ตกใจชิบหาย"

                  "ตกใจแล้วตกลงมั้ยครับ"

                  "เออดิ"

                  สามวินาทีผ่านไป...

                  เฮ้ย!? ไอ้ติน มึงพลาดแล้ว พลาดหนักเลยด้วยไง

                  ปัง!!

                  เสียงเดิมดังขึ้นมาอีกรอบ แต่ในครั้งนี้กลับมีคำแก้ตัวตามมาด้วย "ก็กูดีใจ ในที่สุดไอ้จิ๋วอย่างมึงก็ขายออกสักที"

                  "เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆๆ" ผมยกมือปัดเศษกระดาษสีบนตัวออกก่อนเอ่ยค้านเสียงดัง "เมื่อกี้ทุกอย่างเป็นโมฆะ!"

                  "อะ อ้าว ไหงงั้นล่ะครับพี่ติน"

                  "ก็มึงมีแฟนอยู่แล้วนี่" ผมเอ่ยเสียงงอนๆ...จนแทบไม่นึกว่ามันเป็นเสียงของตัวเอง

                  ความจริง...ผมดีใจมากเลยที่เจอกับมันอีกรอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกผิดที่นอกใจมันในอดีตอย่างที่มันบอก ก็มันเล่นทำตัวน่ารักอย่างนั้น แถมยังมีบรรยากาศที่คุ้นเคยอย่างนั้นอีก แต้ใครใช้ให้มัน...ฮึ่ย!

                  "งั้นรอเดี๋ยวนะครับ" ไอ้เด็กนั่นว่าแล้วก็หยิบสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดมากดเบอร์อะไรสักอย่างก่อนยกขึ้นแนบหู

                  "สวัสดีครับพิม...ครับ ครับ...เราเลิกกันนะ...ภัทรเจอคนนั้นแล้ว...อืม...ขอโทษครับ...อย่าร้องไห้สิพิม...ครับ เป็นเพื่อนกันนะ...ขอบคุณครับ...ขอให้พิมเจอครับ...อืมๆ...ครับ...แล้วเจอกับครับ...อืม...บาย"

                  มันโทรไปบอกเลิกกับแฟน!? ง่ายๆงี้เลย!?

                  "รอหน่อยนะพี่ อีกสามสาย...หรือสี่นะ" มันหันมามองผมยิ้มๆ แล้วก็กดโทรศัพท์ต่อ

                  สามสาย สามคน เวลาเดียวกัน...นี่มันป๊อปขนาดนี้เลยหรอวะ ชิ! อิจฉา!!

                  "อิจฉาวะแม่ง...ขอกูสักคนดิ" นั่นไม่ใช่ผมพูดนะครับ คนพูดน่ะ นอนกลิ้งอยู่นู่น

                  "ฮะๆ อย่าเลยครับเฮีย พวกนี้นิสัยไม่ได้ดีนักหรอก"

                  "เออ มึงเคลียร์ต่อไปเถอะ"

                  "ครับ" มันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไแคุยโทรศัพท์ต่อ "สวัสดีครับพี่แจน...ก็ ดีครับ..."

                  เฮ้ย!? แจน!? เพื่อนกูรึเปล่าวะ!?

                  "คือ...ผมเจอแล้ว...ครับ...ใช่ครับ...พี่ตินนั่นแหละ...อืม...ขอโทษนะ...เลิกกันนะครับ...โอเค...ฮะๆ สัญญาครับ...คนแรกต้องเป็นพี่ตินสิ...คนที่สองนะครับ...ขอบคุณมากครับ...บาย"

                  ทันทีที่กดวางสายผมก็ถามคำถามที่สงสัยอยู่ทันที "นั่นแจนเพื่อนกูปะ"

                  "อ่าฮะ พี่แจนบอกว่าให้ส่งบัตรเชิญตอนแต่งงานให้เธอคนแรกด้วยล่ะ"

                  "ใครจะแต่งกับมึงงงงงง"

                  "พี่ตินไง" มันยิ้มกว้าง

                  Trrrrrr

                  โทรศัพท์ในมือมันสั่นเบาๆเป็นสัญญาณว่ามีคนโทรเข้ามา และร่างสูงก็สไลด์หน้าจอรับสายก่อนกรอกเสียงลงไปตามมารยาท "สวัสดีครับป่าน"

                  "นั่นไง...อีกคนละ" เซนเซย์หันมากระซิบกับผม ก็จริงนะ...ผมไม่อยากจะคิดเลย ว่าถ้าเกิดเจอมันช้ากว่านี้ ไม่แน่มันอาจจะเปิดฮาเร็มแล้วก็เป็นได้

                  "ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ว่าง...ป่านเห็นผม?...ใช่ครับ ผมนอกใจป่าน...ก็บอกไปแล้วนี่ครับ...อย่าคิดว่าผมไม่รู้เรื่องป่านกับพี่ฟานนะครับ...ป่านคิดว่าผมแคร์?...อืมครับ...เลิกกัน...โชคดีครับ"

                  "คนสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวนึงนะพี่" มันหันกลับไปถอนหายใจเบาๆก่อนเอาหูแนบลงกับโทรศัพท์อีกครั้ง "น้องซีครับ พี่มีอะไรจะสารภาพ...ใช่แล้วครับ เดาถูกได้ไงเนี่ยเรา...ไม่ได้ล้อเล่น ก็คนนั่นที่พี่เคยบอกไง...ไม่เป็นไรนะ...แต่งฟิค? ได้สิ แต่พี่เก็บลิขสิทธิ์ด้วยนะ...คนที่สามๆ...อืมครับ...พี่ภัทรขอโทษนะ...แฟนเพจ!?...อย่าสร้างเลยพี่ขอร้อง...อ่า ตามที่ซีคิดเถอะ..."

                  "คนนี้รักนักรึไง คุยซะนานเชียว" ผมได้โอกาสพูดแทรกเลยก้มหน้าไปใกล้ๆมันแล้วกรอกเสียงใส่มือถือมันอย่างตั้งใจ

                  "อืม รักสิ" มันตอบ ไม่รู้ว่าตอบผมหรือคนปลายสาย แต่ที่รู้ๆคืิอตอนนี้ชักจะอารมณ์เสียขึ้นมาหน่อยแล้ว "แต่รักคนนี้มากกว่านะ" โดยที่ไม่ทันตั้งตัว ไอ้เด็กเวรก็หันมากดจมูกของมันเข้ากับแก้มผมทันที

                  "ไอ้...!?฿@&" ผมสถบออกไปไม่เป็นภาษา แต่ไอ้ตัวการดันหันไปคุยโทรศัพท์ต่อเฉย

                  "ครับ...คนนี้แหละ ว่าที่ภรรยาพี่"

                  "ไอ้เชี่ยยยยยยย" อย่างน้อยกูก็ขอเป็นสามีมึงเหอะ!

       

       

      PAT Part

       

                  "คนนี้แหละครับ ว่าที่ภรรยาผม" ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ให้ปลายสายที่มีนามว่า 'ซี' ได้ยิน เธอคนนี้เป็นแฟนเก่าของผมเองครับ และเป็นคนที่ผมรู้สึกว่าคนๆนี้น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยคบด้วย...อ้อ แต่ยังไงก็รองลงมาจากพี่ตินนะครับ

                  "ไอ้เชี่ยยยยยย" พี่ตินยืนงงกับคำพูดของผมเมื่อครู่ได้ไม่นานก็สถบออกมาเสียงดัง ผมไม่ได้แกล้งเขานะครับ เพราะว่าประโยคนี้ผมก็ตั้งใจน้องซีได้ยินเหมือนกัน

                  (พี่ภัทร เปิดเผยน่าดูเลยนะเนี่ย ควงมาให้ซีเห็นด้วยล่ะ)

                  "โอเคครับ เดี๋ยวพี่ไปเคลียร์กับแฟนก่อน มันจะงับหัวพี่ตายละ" ไม่ได้เปรียบเทียบอะไรครับ แต่ไอ้พี่ตินมันกำลังจะเข้ามากัดผมจริงๆ

                  (แล้วสรุปจะไม่ให้ซีเปิดแฟนเพจจริงๆหรอ)

                  "เปิดก็ได้ๆ แต่อย่าทำพวกพี่เสียหายนะ"

                  (ค่าาาาา)

                  "งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ บ๊ายบาย"

                  (บายค่า)

                  เมื่อเสียงจากปลายสายเงียบไป ผมจึงกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะหันมาจัดการเรื่องที่ค้างอยู่ต่อ "ตอนนี้ผมไม่มีแฟนแล้ว คบกับผมนะครับพี่ติน"

                  ผมพูดออกมา...แต่คนที่ผมจานชื่อดันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้เนี่ยสิ "เฮียเซน พี่ตินไปไหนแล้วอ่ะ" ผมเอ่ยถามคนอายุมากที่สุดที่กำลังนอนดูทีวีอย่างสบายใจ

                  "ซื้อของมั้ง" ร่างสูงตอบ "ภัทร มึงมานี่หน่อยดิ๊" มือหนายกขึ้นกวักเรียกผม ซึ่งผมก็เดินไปนั่งลงข้างๆร่างสูงแต่โดยดี

                  "มีไรครับเฮีย"

                  "กูชอบติน" เพียงแค่สามคำที่ร่างสูงพูดขึ้นมาแทบทำเอาผมยิ้มไม่ออก แววตาจริงจังในครั้งนี้ทำให้สังเกตได้ง่ายว่าไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งเหมือนในครั้งแรกแต่อย่างใด

                  "แต่เผอิญว่าพี่ตินชอบผมนี่เนอะ" ผมนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบร่างสูงพร้อมมอบใบหน้าเปื้อนยิ้มไปให้

                  "หึ...ไม่กลัวว่าจะตินโดนกูแย่งไปรึไง" คนตรงหน้าไม่วายยกยิ้มตอบ แต่คำพูดกลับขัดกับรอยยิ้มบนใบหน้าโดยสิ้นเชิง

                  "ผมเจอกับพี่ตินแค่วันเดียวก็รักกันแล้ว แต่เฮียอยู่กับพี่ตินปีกว่าก็ยังแย่งเขาไปไม่ได้ ผมคงไม่ต้องกังวลอะไรมากมั้งครับ" ผมยกยิ้มพร้อมตอบกลับด้วยคำพูดที่รู้สึกว่าอาจจะแรงไปนิดนึง...ละมั้งนะ?

                  "มั่นใจในตัวเองเกินไปมั้ยวะ"

                  "ผมไม่ได้มั่นใจในตัวเอง แต่ผมเชื่อใจพี่ตินว่าเขาจะรักษาสัญญา"

                  ร่างสูงลอบถอนหายใจเล็กน้อย "สัญญาอะไรของพวกมึงที่ทำให้รอมาได้ตั้งนาน..."

                  "ความลับครับ" ผมพูดยิ้มๆก่อนที่พี่ตินจะเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกใบโตในมือที่มีของใส่อยู่เต็มไปหมด "มาช่วยกันถือบ้างสิเฮ้ย ไอ้เด็กเวร"

                  ผมเดินไปหาร่างเล็กที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ที่บานประตูแล้วทิ้งสายตาเศร้าๆไว้ด้านหลัง

                  "กูซื้อเป๊ปซี่มา เห็นพวกมึงกระดกเบียร์แล้วอารมณ์เสีย" พี่ตินเบ้ปาก

                  "เป็นห่วงผมหรอครับ"

                  "เปล่า กูแดกด้วยไม่ได้" ร่างบางหันหน้าหนีแล้วยื่นถุงใส่ขวดน้ำอัดลมมาให้ผม "ไม่ได้ห่วงตับมึงหรอกนะไอ้เวร"

                  ผมหลุดขำกับการกระทำของคนตรงหน้าเล็กน้อย พร้อมกับยื่นมือไปรับถุงใบใหญ่ที่คนๆนั้นถืออยู่แล้วเดินเอาไปวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา

                  "แล้วมึงเคลียร์สาวหมดยังวะภัทร"

                  "หมดแล้วพี่...เราคบกันนะ"

                  "ยังเหลือข้ออ้างอื่นให้กูมั้ย"

                  "ข้ออ้างที่เหลือคงเป็นการที่พี่ไม่ได้ชอบผมแล้วล่ะ" ผมแกล้งพูดเสียงสั่นแล้วตีหน้าเศร้าน้อยๆ

                  "เออ งั้นกูไม่ได้ชอบมึง..." พี่ตินตอบเสียงเรียบ ทำเอาผมเบิกตากว้างทำหน้าเหวอออกมาอย่างสังเกตได้ชัด

                  "งั้น..."

                  แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เสียงใสก็ดังแทรกขึ้นมาแทบจะทันที "แต่กูโคตรรักมึงเลยไอ้เด็กภัทร!"

                  ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่พี่ตินพูด เขารักผมงั้นหรอ?

                  ดีใจจัง...

                  "กูกลับห้องก่อนนะ.." เฮียเซนบอกเหมือนเป็นการพูดลอยๆกับตัวเอง แล้วก็เดินออกไปโดยไม่ฟังพี่ตินที่พยายามห้ามสุดเสียง

                  คงจะเสียใจ...สินะ

                  "พี่ติน พี่รู้รึยังว่าเฮียเซนเค้าชอบพี่นะ"

                  "อืม พี่เค้าบอกกูแล้วล่ะ"

                  "แล้วพี่ตอบไปว่าไงอ่ะ"

                  "ก็เผอิญว่ากูชอบมึงแล้วนี่เนอะ" พี่ตินฉีกยิ้มกว้างมาทางผม

                  พูดเหมือนกันเลยแฮะ...

                  "งั้นตอนนี้เราก็...?"

                  "เป็นแฟนกันแล้วไงครับไอ้เด็กเวร" พี่ตินฉีกยิ้มกว้างพร้อมยกมือมาขยี้หัวผม

                  "เป็นแฟนกันแล้วมันจะต้องเปลี่ยนอะไรระหว่างเรามั้ยอ่ะพี่ติน"

                  "มึงคบคนมาเป็นฝูงแล้วยังมาถามกูอีกเนอะ" ร่างเล็กเบ้ปากแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว

                  "ก็พี่ไม่เหมือนคนพวกนั้นนี่" ผมตอบ "หรือพี่จะให้ผมพาไปกินข้าว ดูหนัง แล้วหยอดคำหวานๆใส่กันล่ะ"

                  "กูไม่ใช่ผู้หญิง สัด"

                  "ผมก็ถามอยู่เนี่ยว่าต้องทำไง..." ผมลอบถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย

                  ร่างเล็กหันหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา "มึงแค่รักกูมากๆก็พอ"

       

                  จากนั้น เราสองคนก็เริ่มเป็นแฟนกันแบบมึนๆอึนๆยิ่งกว่าครั้งที่กลับมาจากโรงหนังคราวนั้น จนไอ้พาร์ทและพวกเพื่อนๆที่เหลือต้องถามว่าพวกผมคบกันอยู่จริงๆหรอ

                  ว่ายังไงดีล่ะ...? มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเพื่อนยิ่งกว่าตอนก่อนที่พี่ตินจะรู้ว่าผมเป็นภัทรคนเดียวกันกับภัทรคนเมื่อก่อนเสียอีก ไม่มีการหยอดคำหวาน ไม่มีดอกไม้ ไม่มีเดท ไม่มีของขวัญ ไม่มีการรอให้กลับพร้อมกัน เจอหน้าเดินผ่านก็แค่ยกมือโบกบ๊ายบาย ช่วงที่อยู่ด้วยกันนานที่สุดก็คงจะเป็นช่วงที่เราเลิกพร้อมกัน และผมแวะไปนอนเล่นที่คอนโดพี่ติน

                  แต่ถึงจะมานั่งเล่นหรือนอนค้าง พวกเราก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันและกันเหมือนคู่รักคู่อื่นๆที่ต้องกอด จูบ หรือมีความสัมพันธ์ทางกายแต่อย่างใด แค่เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบ คุยไปพลางกินน้ำอัดลมไปพลาง แล้วก็นอนหลับคาโซฟา

                  เราไม่ได้ขวนขวายให้คนรักมาสนใจ ไม่ได้ต้องการให้เขามาอยู่ข้างเราตลอดเวลา...ราวกับพวกเราทั้งคู่ทราบดีว่า ความรักที่อีกฝ่ายมอบมาให้นั้นเกินพอโดยไม่ต้องแสดงออกอะไรมากนัก

                  หรืออาจจะเป็นเพราะเรายังไม่โตพอสำหรับเรื่องแบบนี้กันแน่นะ?

       

                  "ไม่ต้องรู้ว่ากูคบมึงแบบหน๊ายยยย ไม่ต้องหาคำๆหนายมาเพื่ออธิบ๊าย ไม่ต้องร้ากเหมือนคนร้ากก็สุขหัวจาย เพียงแค่เราเข้าจาย ก็เหนือคำอื่นใดในโลก๊า~" เสียงร้องเพลงอันแสนโหยหวนดังออกมาจากห้องๆหนึ่งในคอนโดสามดาวอย่างไม่เกรงใจคนที่อยู่ห้องข้างๆ

                  "พี่ติน...พอเถอะครับ คนอื่นเขารำคาญนะ" ผมดึงชายเสื้อของคนที่ยืนร้องเพลงอยู่บนโซฟาพร้อมถือหัวแครอทแทนไมโครโฟน

                  "กูอุตส่าห์ร้องให้มึงน๊า มึงไม่ชอบรึงาย" ร่างเล็กปล่อยไมค์หัวแครอทลงมากระแทกหัวผม แต่ก็บ่นกลับไม่ได้ครับ เขาว่ากันว่าอย่าหาเรื่องกับคนเมา

                  "พี่ติน..." ผมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจนใจ "นอนเถอะครับ นี่ดึกแล้วนะ"

                  "กูม่ายนอน ม่ายง่วง ม่ายมาว~" พี่ตินทำตาปรือแล้วก้มลงมาหยิบหัวแครอทแล้วร้องเพลงต่อทั้งๆที่ไร้เสียงดนตรี "อ่านปากของช้านน้า~ ว่าร้ากมึง อยากจะพูดอีกคร้าง~ ว่าร้ากมึง และจาเป็นอย่างเน้~ กับมึงไม่ว่าน๊าน ซักเท่าหร่าย~"

                  ผมส่ายหน้าหน่ายๆกับความดื้อของคนๆนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติแล้วเขามาร้องเพลงแบบนี้ให้ผมคงจะมีความสุขมาก แต่ตอนนี้พี่ตินกำลังอยู่ในสภาพเมาแอ๋

                  ไม่ใช่ว่าพวกผมกินเหล้ากันหรอกนะครับ แค่วันนี้พี่ตินเขาอ้อนขอกินเบียร์ และไอ้ผมก็ไม่คิดว่าคนอย่างพี่ตินจะเมาเบียร์!

                  "พี่ตินครับ...พอเถอะ" ผมพูดพลางดึงข้อมืออีกข้างของคนรัก และในคราวนี้เขาก็ยอมแต่โดยง่าย

         ร่างเล็กทิ้งตัวลงมาทับผมที่นั่งอยู่บนโซฟา มือเรียวยื่นมาโอบรอบคอพร้อมเอ่ยร้องเพลงท่อนสุดท้าย "จาร้ากมึง~ ตลอดป๊ายยยยย"

                  "ครับๆ ผมก็รักพี่ติน" ผมตอบกลับพร้อมลูบผมของอีกฝ่าย "วันนี้ไปนอนได้แล้วนะครับ"

                  "มึงรักกูป๊ะ? ไหนจูบกูดิ๊" หน้าแดงๆของคนเมาเบียร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วย่นปากน้อยๆ

                  "พี่เมามากแล้ว เดี๋ยวผมอุ้มไปส่งที่เตียงนะ"

                  "ไม่อาววววว" พี่ตินส่ายหัวแรงๆ "ตอนนี้กูว้อนท์!!"

                  ผมสะดุ้งกับคำพูดของคนตรงหน้า และสิ่งที่ทำให้ผมทราบว่าเขาไม่ได้โกหกคืออะไรบางอย่างของคนตรงหน้าที่กำลังดันท่อนขาของผมอยู่ "โน่น ห้องน้ำเลยพี่.."

                  "มึงช่วยกูหน่อยสิ~ ใช่แฟนกูป๊ะ?"

                  "พี่เมามากแล้วนะครับ..."

                  "ช่วยตินหน่อยนะครับภัทร นะๆๆๆ" ร่างบางส่งเสียงอ้อนแล้วเริ่มเอามือไล้หน้าท้องของผม "น้า~"

                  ผมถอนหายใจ "ก็ได้ครับ...แล้วจะให้ผมช่วยยังไงล่ะ"

                  ร่างบางยิ้มพอใจเมื่อผมเอ่ยตกลง แล้วไม่นานนักริมฝีปากของผมก็ถูกปิดลงด้วยเรียวปากของคนตรงหน้าทันที "อื้ม..." พี่ตินส่งเสียงครางในคอพร้อมเผนอปากออก ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรับสัมผัสจุมพิตจากคนๆนี้

                  ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมทันทีที่ผมลุกล้ำเข้าไปในปากของอีกฝ่าย

                  จุมพิตครั้งที่สามหลังจากที่เราพบกันดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ไม่ใช่รสจูบรุนแรงเช่นการอยากจะครอบครองหรือความหวานล้ำจากความต้องการของร่างกาย แต่กลับเป็นจุมพิตอันแสนอ่อนโยนปนรสหวานจางๆ ราวกับเป็นเพียงการยืนยันว่าเรายังอยู่ข้างๆกันตรงนี้

                  พอเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ร่างบางก็ผละริมฝีปากออกแล้วเลื่อนลงไปนอนอยู่ที่หน้าอกของผมพร้อมส่งเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

                  "ขาจะหลับก็ง่ายขนาดนี้เลยเนอะ" ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆพร้อมประคองร่างเล็กไปวางบนเตียงนอน "ฟันก็ไม่แปรง เสื้อก็ไม่เปลี่ยน...รู้สึกเหมือนมีพี่เป็นลูกเลยนะครับเนี่ย" ร่างบางถูกวางลงบนเตียงนุ่มแล้วพลิกตัวไปมาเหมือนกับไม่ค่อยสบายตัวเท่าใด

                  ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะถอดเสื้อชั้นนอกของอีกฝ่ายออกจนเหลือเพียงกางเกงบอกเซอร์ตัวหลวม ก่อนจะไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหมาดๆมาตัวอีกฝ่าย แล้วเข้าไปอาบน้ำจัดการตัวเองก่อนจะมานอนบนโซฟา แต่เมื่อเห็นร่างบางนอนกลิ้งบนเตียงกว้างอย่างสบายใจก็รู้สึกหมั่นไส้แปลกๆ

                  หึ...ขอแกล้งหน่อยแล้วกันนะครับพี่ติน

       

                  "ภัทรๆ ตื่นเร็ว" เสียงใสๆของคนที่นอนอยู่ข้่งๆปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาเจอกับแสงแดดตอนเช้า...น่าจะเช้านะ?

                  "มีอะไรครับพี่ติน?" ผมขยี้ตาสองสามครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวางแผนแกล้งอะไรคนๆนี้เอาไว้เมื่อคืน ควจะเห็นแล้วสินะ?

                  "ทำไม...มึงมานอนนี่ล่ะ แถมไม่ใส่เสื้ออีก" ร่างบางถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างยิ่งทำให้ดูน่าแกล้งยิ่งขึ้นไปอีก

                  "เมื่อคืนพี่พาผมขึ้นมาเองนะ จำไม่ได้หรอครับ" ผมตอบเสียงงัวเงีย

                  "แล้ว...ไอ้คราบที่ดูเหมือนกับ...มันคืออะไร?"

                  "ไอ้สี 'ขาวๆ' นี่หรอครับ" ผมเน้นเสียงแบบเนียนๆ โชคดีที่ผ้าปูเตียงของพี่ตินเป็นสีออกน้ำตาลเข้มทำให้แผนการนี้เป็นไปโดยง่าย "นี่ก็เป็น 'น้ำของพี่' ไม่ใช่หรอครับ"

                  หน้าของร่างบางขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด "เมื่อคืน...กูจำได้แค่กูเมา"

                  "แล้วหลังจากนั้นที่เรา 'ทำอะไรกัน' พี่จำไม่ได้เลยหรอครับ" ผมแกล้งตีหน้าเศร้าเสียงสั่น

                  "ทำอะไรกัน...อะไรของมึง"

                  "พี่จูบผม แถมขึ้นมาบนตัวผมตั้งหลายครั้ง" ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกคน "ออนท๊อปผมไปตั้งหลายรอบ โชคดีที่พี่ไม่เจ็บอะไร"

                  "เชี่ย!" ร่างบางสถบเสียงดังก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า

                  ผมมองใบหน้าของพี่ตินยิ้มๆ มิชชั้นคอมพลีต! ตอนคนๆนี้อายมันดูน่ารักชะมัด

                  "มองอะไร สัด!" ร่างบางตะโกนออกมา ก่อนย่นคิ้วแล้วฝังหน้าลงในกองผ้าห่มอีกครั้ง "แป๊ปนึงนะ..." พี่ตินปัดผ้าห่มออกแล้วก้มไปดมไอ้สี 'ขาวๆ' ที่ติดอยู่บนเตียง "นี่มันกลิ่นโยเกิร์ตรสธรรมชาตินี่หว่าไอ้เด็กเวร!"

                  "หวา...ความแตกซะแล้ว"

                  "แกล้งอะไรเนี่ยไอ้ห่า กูเสียดายชิบหาย อุ๊บ!"

                  "เสียดาย...? พี่ตินหื่นนนนนน"

                  "กูเปล่า!! มึงแหละเริ่ม"

                  "โอ๊ะโอ เสียดายสินะๆ"

                  "ไอ้สัด กูเสียดายโยเกิร์ต!"

                  "อ๋อ...นึกว่าเสียดายที่ไม่ได้เสียตัว "

                  "มึงต้องเสียให้กู ไม่ใช่กูเสียให้มึงเว่ย!"

                  "แล้ว...ตอนนี้กี่โมงแล้ววะ?"

                  "เจ็ดสี่สิบ"

                  "เชี่ย! สายแล้ว! มึงรีบไปอาบน้ำเลย!!"

                  "...พี่ครับ" ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย "วันนี้วันอาทิตย์..."

                  "หา....!?"

       

                  หลังจากการกลั่นแกล้งครั้งนั้น...ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราจะเติบโตขึ้นนิดนึง ขอเน้นนะครับ...นิดเดียวจริงๆ เพราะตอนนี้ พี่ตินเขาบังคับให้ผมกินข้าวเช้าพร้อมกับทุกวัน แต่นั่นก็ทำให้ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำอาหารให้คนแก่เอาแต่ใจถึงคอนโด

                  แถมยังมีงานแถมมาอีกหน่อย...ก็คือการปลุกแฟนแสนขี้เซาคนนี้

                  "พี่ติน ตื่นเร็วครับ จะแปดโมงแล้วนะ" ผมพูดพลางเขย่าตัวคนที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา

                  ร่างบางหันหน้าไปมองนาฬิกาบนหัวเตียง มือเล็กๆขยี้ตาสองสามครั้งก่อนจะมุดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้ง "แปดโมงพ่องสิ...เจ็ดโมงตรงเนี่ยนะ"

                  "แล้วจะไม่กินข้าวพร้อมกันหรอครับ"

                  "อือ...กูจะนอน"

                  ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่ตั้งแต่ที่เจอกับคนๆนี้อีกรอบ และดูเหมือนผมจะแก่ลงไปหลายปีเพราะพี่ตินเนี่ยแหละ

                  จะต้องให้เล่นแรงก็ไม่บอก...

                  "พี่ติน..." ผมยันตัวเองขึ้นไปอยู่บนเตียงที่ร่างเล็กนอนอยู่ ก่อนจะจัดตัวเองให้คร่อมรุ่นพี่ในท่าที่น่าหวาดเสียวสุดๆ "ไม่ตื่นเดี๋ยวผมกดนะ"

                  "กูรู้ว่ามึงไม่กล้าหรอก"

                  "กล้าไม่กล้า..." ผมแนบใบหน้าของตัวเองเข้ากับลำคอของอีกฝ่ายพร้อมกับแทรกมือเข้าไปใต้ผ้าห่ม ซึ่งมันโดนส่วนใดในร่างกายของพี่ตินก็ไม่อาจทราบได้ "เดี๋ยวพี่ก็รู้"

                  "สัดๆๆๆ กูตื่นแล้ว เอามือมึงออกไป!" ร่างบางสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันทีที่โดนผมสัมผัส

                  ผมผละมือออกจากคนตรงหน้าและกลิ้งตัวลงจากเตียง "ไปอาบน้ำได้แล้วครับ"

                  "เออ!" ร่างบางตะคอกใส่ผมเสียงดัง ดูสีหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

                  "เมื่อกี้ผมโดนอะไรพี่หรอ...?"

                  "น้องชายกู! แม่งยิ่งตื่นๆตอนเช้าด้วย"

                  "โฮ่..."

                  "ไม่ต้องมาฮ่งมาโฮ่ อาหารเช้าน่ะทำไป!"

                  "แฟนนะครับไม่ใช่คนใช้"

                  "ไม่พอใจก็ไปเซ่ ชิ่วๆ"

                  "ไปไม่ได้หรอกครับ กลัวแฟนเสียใจ"

                  "เหอะ!" ร่างบางตัดบทสนทนาลงดื้อๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว ส่วนตัวผมก็ต้องกลายร่างเป็นพ่อครัวจำเป็นให้พี่ตินไปอย่่างช่วยไม่ได้

                  ความจริงผมก็ไม่ใช่คนทำอาหารเก่งนัก...ไอ้ข้าวเช้าที่ทำให้พี่ตินกินนี่ก็เป็นอาหารพื้นๆตามกำลังของทรัพยากรในตู้เย็นบ้านพี่เขา ข้าวไข่เจียวบ้าง ผัดผักบ้าง บางทีถ้าในกรณีโหดร้ายจริงๆก็ต้องกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หยิบผักและใส่ไข่ลงไปเพื่อสุขภาพ...ผมไม่อยากเห็นคนรักขาดสารอาหารตายตั้งแต่อายุยังน้อยหรอกนะครับ

                  "ภัทร หยิบชุดนักเรียนให้กูหน่อย" เสียงใสดังออกมาจากห้องน้ำ "แขวนอยู่ในตู้ คุ้ยๆมา"

                  "เดี๋ยวผมหยิบเข็มขัดกับกลัดตราโรงเรียนให้เลยนะครับ"

                  "ตามใจมึงเหอะ"

                  ผมจัดการกลัดตราโรงเรียน ร้อยเข็มขัดเข้าในกางเกง แล้วแง้มประตูยื่นชุดไปแขวนไว้ด้านในประตู  แล้วก็ออกมาตั้งโต๊ะกินข้าว...อาหารวันนี้คือข้าวไข่เจียวหมูสับใส่แครอท ราดซอสมะเขือเทศเยอะๆเยี่ยงบ้านเปิดฟาร์มมะเขือเทศเนี่ย...ของโปรดพี่เขาเลยล่ะ

                  "หิวๆๆๆ" ทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิดออก ร่างบางก็บ่นคำว่าหิวออกมาเป็นชุดทันที

                  "หิวก็มากินข้าวสิครับ"

                  "คร้าบๆ" ว่าแล้วพี่ตินก็เดินมานั่งบนเก้าอี้แล้วตัดข้าวไข่เจียวท่วมซอสมะเขือเทศกินอย่างสบายใจทันที แต่ระหว่างที่แก้มตุ่ยๆกำลังเคี้ยวข้าวอยู่ ร่างบางก็เอียงคอเล็กน้อยราวกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้

                  ร่างบางรีบส่งข้าวเช้าลงคอแล้วหันหน้ามาหาผม "ภัทร บางโมเมนต์กูก็อยากให้เรา...เอ่อ ว่าไงดีหละ...มีโมเมนต์หวานวิ้งๆเหมือนคู่อื่นบ้างว่ะ"

                  "อืม...งั้นเราเรียกชื่อกันเฉยๆมั้ยล่ะ?" ผมตอบขณะที่กำลังล้างกระทะที่เพิ่งใช้ทอดไข่ไปเมื่อครู่

                  "เรียกชื่อเฉยๆ? ยังไงวะ"

                  "แบบ พี่ตินก็แทนตัวเองว่าตินแล้วเรียกผมว่าภัทรไง แล้วก็พูดจาสุภาพๆด้วย"

                  "อืม...มันช่วยหรอวะ"

                  "ก็ลองดูสิ" ผมขำคิกในลำคอเล็กน้อย แปลกใจน่าดูเลยที่จู่ๆพี่ตินมาขอให้ทำตัวอย่างนั้น ไม่รู้พี่เขาไปอ่านเจออะไรมาอีก

                  "ภัทร ตินกินเสร็จแล้ว เราไปโรงเรียนกันเถอะ" พี่ตินถือจานข้าวที่ว่างเปล่าเดินมาหาผมที่ยืนอยู่ตรงอ่างล้างจาน

                  "โอเคครับ แต่ตินต้องล้างเองนะครับ ภัทรขี้เกียจ" แต่พอพูดคุยกันอย่างนี้ได้แค่สองประโยคร่างบางก็ยกมืิอขึ้นมาขยี้หัวตัวเองแรงๆ "แม่ง! กระดากปากชิบหาย"

                  "อย่างนั้นก็ไม่ต้องฝืนทำก็ได้" ผมส่งยิ้มบางๆให้คนตรงหน้า ก่อนจะรับจานมาล้างให้

                  "ไหนว่าขี้เกียจไง"

                  "ขยันแล้ว" ผมคว้าฟองน้ำมาบีบน้ำยาเล็กน้อยแล้วถูมันกับจานที่ผ่านการล้างน้ำเปล่ามาก่อนแล้ว "แล้วพี่ยังอยากให้เราหวานวิ้งกันอยู่มั้ย"

                  "ฮื่อ" ร่างบางส่งเสียงค้านในคอแล้วส่ายหัวแรงๆ "แต่กูอยากใช้ช่วงเวลากับมึงให้คุ้มที่สุด"

                  "หืม...จะไปไหนอีกหรอครับ"

                  "เดาแม่นจัง...พอจบม.6 กูต้องไปเรียนต่อมหาลัยที่เมืองนอกสามปี" พี่ตินรวบกอดผมจากด้านหลัง "กูขอโทษ"

                  "ขอโทษทำไมครับพี่"

                  "ก็...กูทิ้งมึงอีกแล้วนี่นา"

                  "อย่าคิดมากสิพี่ ถึงตอนนี้เราก็คอลไก่คุยกันก็ได้นี่นา" ผมเปิดน้ำล้างมือบีบไหล่คนตัวเล็กเบาๆให้หันมาสบตากับผม

                  "ทั้งๆที่ได้อยู่กับมึงแล้วแท้ๆ" ร่างบางกล่าวเสียงสั่นแล้วเอาหน้าไปซุกหลังของผม

                  "พี่ครับ ไม่เอาน่า" ผมวางจานที่ล้างเสร็จแล้วลงบนที่เก็บจานแล้วหันมากอดตอบอีกคน "สองปีผมก็รอมาแล้ว สามปีกับทั้งชีวิตมันเป็นช่วงเวลาครู่เดียวเองนะครับ"

                  "แหม...รอมาแล้ว ทั้งๆที่มีสาวติดเป็นขโยงเนี่ยนะ" ร่างบางผละหน้าออกมาแล้วเบ้หน้าเล็กน้อย

                  "นั่นเพราะว่าตอนนั้นผมมารอพี่ที่โรงเรียนทุกวันต่างหาก"

                  "จริงดิ?" พี่ตินเบิกตากว้าง จนทำให้ผมอมยิ้มนิดๆกับการกระทำอย่างนั้น

                  "อื้ม แล้วผมก็บอกทุกคนแล้วด้วยว่าผมมีคนที่ชอบแล้ว"

                  "อือ...กูเชื่อมึงก็ได้"

                  "ดีมากครับพี่..." ผมบอกพลางหันไปมองนาฬิกาที่แสดงเวลาเกือบแปดโมง "ไปโรงเรียนกันเถอะครับ"

       

                  และเมื่อพี่ตินขึ้นม.6 เทอมสอง...เขาก็ไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่เคยบอกเอาไว้

                  ผมต้องยอมรับว่าพี่ตินเขาเป็นคนที่เก่งมาก ฉลาด อัธยาศัยดี...แตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง บางทีผมก็กลัวว่าเขาจะเจอคนที่ดียิ่งกว่าผมและเดินจากผมไป แต่พอมาลองคิดอีกที ถ้าพี่ตินไปแล้วมีความสุขยิ่งกว่าตอนอยู่กับผม ผมก็คงต้องยอมปล่อยเขาไป...แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่าเขามีความสุขที่สุดเวลาอยู่กับเขา ผมจึงไม่ต้องกังวลอะไรมากนักว่าเขาจะไปมีใครคนอื่น

                  ส่วนผมเองก็พยายามอ่านหนังสืออน่างหนักจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในละแวกนี้ได้ ผมเรียนบริหาร...เพราะว่าพี่ตินเคยบอกว่าอยากเปิดบริษัท และที่สำคัญผมก็ชอบรายวิชานี้อยู่เป็นทุนเดิมแล้วด้วย

                  ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่าผมกับพี่ตินไม่ได้คอลสไกป์คุยกันบ่อยนัก เพราะทั้งผมและพี่ตินต่างก็เรียนหนักกันพอสมควร แถมเวลาว่างส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ตรงกันเสียส่วนใหญ่ ก็นะ...เกือบจะคนละฝั่งของโลกเลยนี่นา

                  เรื่องผู้หญิงก็ยังมีวนๆเข้ามาเหมือนเมื่อตอนอยู่ม.ปลาย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังบอกเขาตลอดว่าผมมีคนที่ชอบแล้ว และไม่มีทางเปลี่ยนใจเป็นอันขาด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครฟังคำกล่าวนั้นเท่าไหร่ และมีหลายๆคนต้องมาร้องไห้เพราะผม แต่ก่อนหน้านั้นเธอก็มีความสุข หรือจะเป็นความเท่าเทียมที่พระเจ้ากำหนดมาให้กันนะ?

                  ตอนนี้สิ่งที่ผมพอจะทำได้ก็คือพยายามพัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับการที่ยืนเคียงกันคนที่แสนวิเศษคนนั้น และสามารถยืนอยู่เคียงข้างเขา

                  ...ตลอดไป

      PAT Part

       

                  นี่ก็ครบสามปีแล้วที่พี่ตินไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ ตรงข้ามกับคนอย่างผมที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย

                  ผมอาจจะไม่เก่งเท่าพี่ติน จนบางทีผมก็อิจฉาเขาที่ได้รับโอกาสดีๆอย่างนั้น แต่ผมก็ยอมรับในสภาพที่ตัวเองเป็น...และจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อรอพี่ตินกลับมา และทำตัวให้เหมาะสมที่จะยืนอยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าผมเหมาะสมกับพี่คนนั้นหรือไม่

                  "เฮ้ย ไอ้ภัทร วันนี้สาวมึงไปไหนวะ" เพื่อนใหม่ของผมที่มหาวิทยาลัย ไอ้เนียร์...มันตะโกนแซวผมขณะที่ผมกำลังจะกลับบ้านไปทวนหนังสือ

                  "เลิกไปแล้ว" ผมตอบมันเสียงนิ่ง แล้วทันใดนั้นมันก็เข้ามาโอบไหล่ผมพลางเอ่ยปลอบ "ไม่เป็นไรนะเพื่อน...หน้าม่อๆอย่างมึงหาใหม่ได้ไม่นานอยู่แล้ว"

                  "มันต้องบอกว่าหน้าหล่อๆสิวะไอ้เนียร์" ผมพูดติดตลกพลางเอื้อมมือไปผลักหัวมันไปไกลๆ

                  ผมยอมรับว่าในเวลาสามปีมานี้ผมก็คบผู้หญิงมาเยอะพอสมควร...ไม่ใช่ว่าผมรอพี่ตินไม่ได้ แต่ผมเหงา...ตั้งแต่ช่วงสองปีในมัธยมปลายที่เราคบกับ ไม่สิ เรียกว่าผมมีพี่เขาอยู่ข้างๆตลอดมากกว่า เพราะพี่เขาไม่เคยบอกว่ารักหรือบอกชอบผมเลยแม้แต่คำเดียว ก็มีแต่ผมนี่แหละ ที่จากคำว่าชอบเมื่อตอนนั้น มันได้เปลี่ยนเป็นคำว่ารักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่ต้องการเหมือนตอนแรก แต่ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พี่เขายิมรีบและให้ผมเดินเคียงข้าง

                  ราวกับว่าความรักเป็นยาเสพติด เมื่อได้รับแล้วครึ่งหนึ่ง ก็อยากที่จะได้รับมันต่อไปเรื่อยๆ เมื่อพี่ตินไปเรียนต่อ พี่เขาก็ติดต่อมาเพียงเดือนละครั้งสองครั้ง ปล่อยให้ผมรอวันที่เขากลับมา มันเป็นช่วงเวลาสามปีที่ผมรู้สึกเหงามากที่สุดในชีวิต

                  ช่วงก่อนที่จะเจอกับพี่ตินผมก็อยู่คนเดียวมาได้ตลอดโดยไม่รู้สึกอะไร ทำไมกัน...ตอนนี้ผมต้องการมีเขาอยู่ข้างๆขนาดนี้

                  พี่ใจร้ายมากนะรู้มั้ยครับ...?

                  "เหม่อไรอีกวะภัทร" ไอ้เนียร์ยกมือขึ้นมาตบหัวผมเบาๆเหมือนต้องการจะเรียกสติ

                  "เปล่า..." ผมส่ายหัว "แล้วนี่มึงจะกลับเลยป่าววะ?"

                  "ต้องเลี้ยงข้าวน้องรหัสว่ะ" ไอ้เนียร์ยิ้มแห้งๆ "โทษทีที่ทิ้งมึง"

                  "อือ..." ผมขานรับในลำคอเบาๆ "แม่ง...น้องรหัสกูก็ซิ่ว หลานรหัสกูก็ซิ่ว จะมีใครไร้ญาติเท่ากูอีกมั้ยเนี่ย"

                  "มึงเองก็ซิ่วบ้างดิ" ร่างของคนที่อยู่ข้างๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง

                  "สัด อีกปีจะจบแล้วให้กูซิ่ว เจริญล่ะมึง" ผมผลักหัวกลมๆของไอ้เนียร์ออกให้มันเลิกเกาะแข้งเกาะขาผม

                  "เออๆ" มันฉีกยิ้มกว้างแล้วสะดุ้งเล็กร้อยเมื่อเสียงริงโทนโทรศัพท์ของมันดังขึ้น

                  ไอ้เนียร์หยิบสมาร์ทโฟนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเบอร์ที่โชว์ขึ้นมาพร้อมกับสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย "ไง...เออๆ ไม่เบี้ยวน่า...แล้วมึงรีบนักรึไงครับไอ้น้อง...ครับๆ...กูอยู่กับเพื่อน...เพื่อ?...เออ บาย"

                  "น้องโทรมาเรียกหรอ"

                  "อืม" มันพยักหน้า "กูไปก่อนนะเว่ย"

                  "โชคดี" ผมโบกมือให้มัน ก่อนที่หมอนั่นจะรีบเดินออกไปจากระยะสายตา

                  ผมเดินไปยังป้ายรถรับส่งของมหาวิทยาลัยเพื่อรอรถออกไปประตูหนึ่ง ซึ่งตรงกับทางกลับบ้านของผม...ก็นะ ถึงผมจะมีรถก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ค่อยชอยขับเท่าไหร่ ใช้บริการรถสาธารณะนี่ก็ถูกและสบายใจกว่ากันเยอะ

                  ไม่นานนัก รถสีเขียวแสบตาก็แล่นมาจอดตรงกับป้าย ผมค่อยๆเดินขึ้นไปนั่งในที่ๆไม่ค่อยมีคนแล้วหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามากดเล่น

        แต่จู่ๆก็มีเบอร์ที่ไม่ค่อยคุ้นตาโทรเข้ามา ผมหยุดคิดสักครู่ว่าควรรับหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลื่อนสัญลักษณ์ที่อยู่ด้านล่างหน้าจอเพื่อรับสาย

                  "สวัสดีครับ"

                  (นี่น้องภัทรินทร์ใช่มั้ยคะ?) เสียงหวานๆที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหรดังขึ้นจากปลายสาย

                  "ครับ...แล้วคุณ?"

                  (จากบริษัทMangOneน่ะคะ ทางเราต้องการให้คุณมาเป็นผู้บริหารส่วนบุคคลของบริษัท)

                  "ผมยังเรียนไม่จบเลยนะครับ..." อย่างกับพวกต้มตุ๋น...ชื่อบริษัทก็ไม่คุ้นหู ใครจะไปไว้ใจกัน เรียนไม่จบแล้วมาเสนองานให้เนี่ยนะ เกียรตินิยมอะไรก็ไม่มี เรียนก็ไม่ดี

                  (อย่างน้อยก็รบกวนมาสัมพาษท์เถอะค่ะ บอสจะฆ่าดิฉันตายแล้วนะคะ) เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ (เดี๋ยวดิฉันจะติดต่อทางโรงเรียนให้นะคะ)

                  "ผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณไม่ใช่แก๊งค์ต้มตุ๋น"

                  (ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะให้คุณคุยกับบอส...โอ้ย! บอสคะ คุณก็อย่าเล่นตัวสิคะ เดี๋ยวก็วืดหรอกค่ะ...ใช่ค่ะ...แน่นอนค่ะ...)

                  เสียงของผู้หญิงที่กำลังโวยวายกับใครบางคนที่เธอเรียกว่าบอสดูเหมือนจะนอกประเด็นขึ้นเรื่อยๆ "ผมวางก่อนแล้วกัน"

                  (เดี๋ยวค่ะคุณภัทร วันนี้คุณว่างมั้ยคะ)

                  "จะอะไรกับผมนักหนาครับคุณผู้หญิง ผมไม่เชื่อคุณหรอกนะ"

                  (ถ้าอย่างนั้นให้คิดซะว่าดิฉันจะเลี้ยงข้าวคุณแล้วกันค่ะ รบกวนมาที่ร้านเบเกอร์รี่ที่อยู่แถวมหาลัยคุณด้วยนะคะ)

                  "ผมกำลังจะออกจากมหาลัย..."

                  (หรือจะให้ดิฉันไปหาที่บ้าน)

                  "ก็ได้ครับๆ ผมให้เวลาคุณสิบนาที ถ้าคุณหาผมไม่เจอผมจะปฎิเสธทุกคำขอของคุณ"

                  (โอเคค่ะ)

                  คงไม่ใช่แก๊งค์ต้มตุ๋นแล้วละมั้ง ปัญญาอ่อนซะขนาดนี้...

                  ทันทีที่เสียงปลายสายเงียบไป รถคันใหญ่ที่ผมนั่งก็มาจอดที่หน้ารั้วมหาวิทยาลัยที่ตรงข้ามนั่นมีร้านเบเกอร์รี่เล็กๆตั้งอยู่

                  สัญญาเอาไว้ก็ต้องทำตาม...สินะ

                  ผมเปิดประตูร้านเบเกอร์รี่เข้าไปสั่งโกโก้เย็นที่ไม่ได้กินมานานนับปี กลิ่นหอมๆของขนมปังกับบรรยากาศเป็นกันเองของร้านแห่งนี้ยังไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่มากินครั้งก่อนกับพี่พร

                  ห้านาทีผ่านไป...ยังไร้วี่แววของผู้หญิงที่เคยได้ยืนแต่เสียงคนนั้น โกโก้แก้วนี้ก็เหลือเพียงครึ่งหนึ่งแล้วด้วยสิ

         สิบนาทีแล้ว...ผมควรจะกลับได้สักที

                  ผมจ่ายเงินให้พี่พนักงานเสริฟ ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่ก่อนจะผลักประตูเดินออกมาจากร้าน

                  "เดี๋ยวค่ะคุณภัทรินทร์" เสียงแหลมๆแสบแก้วหูของใครสักคนเอ่ยเรียกชื่อผม ผมหันไปมองทางต้นเสียงก่อนจะเห็นว่าคนๆนั้นคือผู้หญิงใส่แว่นผูกผมหางม้าใส่เสื้อยืดกางเกงยีนวิ่งตรงมาทางนี้

                  "ขอโทษ ที่ มาสาย ค่ะ" ผู้หญิงคนนั้นหยุดอยู่ข้างหน้าผม ก้มหน้าเอามือจับเข่าพร้อมหอบหายใจหนัก

                  ผมสมควรจะบอกว่าเธอมาสายและปฎิเสธเธอไป แต่ทำไมผมต้องใจอ่อนให้กับพฤติกรรมบ้าๆอย่างนี้ด้วย "เข้าไปนั่งในร้านก่อนดีกว่าครับ..."

                  หลังจากที่เธอก้าวเข้ามาในร้าน ผู้หญิงคนนั้นก็สั่งน้ำเปล่าขวดลิตรใหญ่ๆ แต่กระดกทีเดียวหมดขวด...ยัยนี่มันแปลกจริงๆแฮะ

                  หลังจากที่คุณเธอหายเหนื่อย ผมก็เอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นอีกรอบ "คุณต้องการอะไรจากผมหรอครับ"

                  "บอสอยากให้คุณไปทำงานที่บริษัทเราค่ะ"

                  "ผมเรียนอยู่ ไม่มีเวลาหรอก"

                  "พาร์ทไทม์ก็ได้ค่ะ"

                  "ไม่ทำครับ..."

                  "โอ้ยยย คุณภัทรินทร์ นี่คุณจะไม่ยอมฟังดิฉันเลยใช่มั้ยคะ" ผู้หญิงคนนั้นโวยวายเสียงดังจนคนทั้งร้านหันมามอง แต่ถ้าจะถามว่าผมสนมั้ย คำตอบก็คือไม่

                  "อืม...ถ้าจะพูดกันตามตรงก็คง ใช่ครับ"

                  "ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องทำให้คุณเชื่อกันสักหน่อย..." เธอบอก พลางหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง "คุณรู้จักนายตินภัทร รัตนวงศ์ใช่มั้ยคะ?"

                  พี่ติน...??

                  ผมมองกระดาษแผ่นเล็กที่เธอหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน ก่อนจะหันมามองหน้าผมอีกรอบ

                  "คนๆนั้นคือบอสของบริษัทเรา...และยังเป็นคู่หมั้นของดิฉัน"

                  คู่หมั้น...!?

                  ผมแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ คู่หมั้นอย่างนั้นหรอ? เมื่อไหร่ ตอนไหน ทำไมพี่ตินไม่ยอมบอกผม

                  "บอสของเราต้องการให้คุณไปหาค่ะ"

                  "ผมไม่ไป ผมไม่เชื่อคุณ"

                  "อย่างนั่นก็ตามใจค่ะ นี่นามบัตรของบริษัทเรา...ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ"

                  ผู้หญิงคนนั้นเดินไปจ่ายเงินกับพนักงานแล้วก็ออกไปจากร้านแห่งนี้

                  พี่ตินมีคู่หมั้นแล้ว?

                  ผู้หญิงคนนั้นโกหกรึเปล่า?

                  ทำไมพี่ตินไม่บอกผม ผมเป็นคนพิเศษของเขาไม่ใช่รึไง แล้วทำไม...ไม่ยอมรอผมละ?

                  บางทีเธออาจจะโกหก...แต่ผมจะพิสูจน์ได้ยังไง?

                  ทันใดนั่นผมก็เหลือบไปเห็นนามบัตรสีฟ้าที่ผู้หญิงคนเมื่อครู่วางทิ้งเอาไว้ บริษัทMangOneอย่างนั้นหรอ...ลองไปดูหน่อยก็ไม่เสียหายละมั้ง?

       

                  ผมหยิบบัตรสีฟ้าขึ้นมาดู ก่อนจะเดินทางไปยังบริษัทบ้าๆที่ไม่เคยได้ยินชื่อนั่น "ซอยXXXครับพี่" ผมขึ้นซ้อนวินมอไซหน้ามหาลัยก่อนจะบอกซอยที่เป็นที่ตั้งของบริษัทนั้น และเมื่อถึงปลายทาง มันก็มีบริษัทชื่อนี้อยู่บนโลกจริงๆครับ

                  บริษัทนี้เป็นเหมือนกับบ้านเดี่ยวขนาดห้าชั้น ให้บรรยากาศอบอุ่นต่างจากบริษัทที่เป็นตึกใหญ่ๆตั้งอยู่กลางเมือง และมีตัวอักษรนูนติดอยู่ว่าMangOne...สรุปว่ามันอ่านว่าแมงวันสินะ

                  ผมเดินไปเคาะประตูบ้านสองสามที ก่อนจะมีผู้ชายผอมๆมาเปิดประตูให้ผม "มา หา ใคร"

                  "บอสของทีนี่นัดผมมาสัมพาทษ์งานครับ"

                  "ตาม มา" คนๆนั้นเดินโซเซเข้าไปในบ้านพร้อมกับกวักมือให้ผมเดินตามเข้าไปด้วย

                  บริษัทแห่งนี้ดูยังไงๆก็เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยแบบปกติ พนักงานทุกคนก็ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ เหมือนกับครอบครัวขนาดใหญ่เลยแฮะ...

                  "บอส อยู่ ชั้น สอง ห้อง ขวา" ชายคนนั้นชี้ไปทางบันได ผมพยักหน้าขอบคุณคนนั้นก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง แล้วเลี้ยวขวา

                  'ห้องพี่ติน' ป้ายแปะหน้าห้องทำเอาผมหลุดยิ้มออกมา ลายมือหวัดๆที่เขียนบนแผ่นไม้ขนาดกลาง แน่ใจนะว่านี่คือบริษัท?

                  ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเผชิญความเป็นจริงก่อนจะบิดลูกบิดอลูมิเนียมเข้าไปในห้องนั้น

                  "หม่อนบอกบอสแล้วว่าแผนคู่หมั้นมันไม่เวิร์ค"

                  "แล้วอย่างกับแผนติดต่องานของหม่อนเวิร์คงั่นแหละ ไอ้เด็กเวรนั่นมันเชื่อคนยากจะตาย"

                  ผมเห็นคนสองคนยืนหันหลังให้ผมแล้วเถียงกันปาวๆ

                  แผนคู่หมั้น?...สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

                  ผมเลือกที่จะแง้มประตูไว้นิดๆแล้วแอบฟังแทนที่จะเปิดประตูแล้วแสดงตัว

                  "แต่ตอนที่หม่อนบอกเรื่องคู่หมั้นดูเหมือนน้องภัทรินทร์จะตกใจมากเลยนะคะ"

                  "บอกแล้วว่าแผนนี้เวิร์ค"

                  "แต่ภรรยาบอสหึงน่ากลัวมากค่ะ"

                  "ใครเป็นภรรยาไอ้พี่นั่นห๊ะ/เด็กเวรนั่นไม่ใช่ภรรยากูโว้ย" ทันทีที่ผมได้ยินคำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก็เผลอตะคอกกลับไปอย่างลืมตัว

                  "เจออย่างนี้ ชะนีขอตัว..."

                  "ไปไหนครับคุณหญิง/หยุดเลยนะหม่อน"

                  "โอ้ยยยย สามีภรรยาสามัคคีกันจริง" ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจเสียงดัง "ชะนีว่าให้คุณๆเคลียร์กันเองดีกว่าที่จะมีคนกลางนะคะ"

                  "พี่ติน ผมขอความจริง เล่ามาให้หมด" ราวกับว่าเส้นบางๆที่เรียกความอดทนเกือบจะขาดลง ตอนนี้ผมเชื่อว่าตัวเองสามารถซัดหน้าคนตรงหน้าได้เพื่อถามหาความจริง และในขณะเดียวกันผมก็อยากจะโผเข้าไปกอดคนๆนี้ใจจะขาด

                  สามปีแห่งการรอคอย...มันจบลงแล้วสินะ

                  "พี่ตินครับ..." ผมเดินไปคว้าไหล่คนตรงหน้าเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ถึงแม้เวลาจะผ่านไปสามปีแต่พี่เขาก็ยังต้องเงยหน้ามองผมอยู่ดี "ผมขอความจริง"

                  "เอ่อ..." ใบหน้าที่ผมคิดถึงนิ่วหน้าอย่างสังเกตได้ "หม่อนไหม...เล่าแทนผมหน่อยสิ"

                  "ผมอยากได้ยินจากปากพี่"

                  "งั้นขอเวลากูทำใจหน่อย..." พี่ตินล้มตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

                  "หม่อนไปทำงานต่อนะคะ"

                  ผมมองตามร่างเล็กๆที่เดินออกไป แถมยังไม่วายชูสองนิ้วสู้ๆมาทางนี้อีก "พี่ติน..."

                  "ตอนแรกกูกะว่ามึงจะตามมาดีๆแต่แรก แล้วจากนั้นก็พูดว่่าเซอร์ไพรซ์พร้อมกับกล่องของขวัญใบโตซะอีก" พี่ตินเอาแขนพาดบนหน้าผากแล้วพูดออกมาเหมือนพึมพำอยู่คนเดียว "แต่นี่...ยัยหม่อนก็ดันทำแผนล่มไม่เป็นท่าเลย ฮะๆ"

                  "พี่ติน...พี่ยังไม่ได้หมั้นใช่มั้ย"

                  "เฮ้ย!! นี่มึงเชื่อยัยนั่นจริงๆหรอ" ร่างที่นอนอยู่บนโซฟาลุกขึ้นมานั่งทันทีก่อนจะหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจสุดขีด "กะแล้วว่าแผนนี้ต้องไปได้สวย..."

                  "ไอ้พี่บ้า ล้อเล่นบ้าอะไรก็แคร์กันบ้างสิ พี่ใจร้าย ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน กลับมาแล้วก็ไม่ยอก โทรไปหาก็ไม่รับ พี่น่ะ...ฮึก" ผมพูดว่าพี่ตินออกมาเรื่อยๆ โดยที่น้ำตาก็เริ่มไหลออกมามากขึ้นๆเช่นกัน "รู้มั้ย...ฮึก ว่าผมคิดถึงพี่แค่ไหน"

                  "กูก็คิดถึงมึง" ร่างบางลุกขึ้นจากโซฟา แล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ "กูกลับมาแล้วนะ"

         ร่างบางฉีกยิ้มกว้าง ทันทีที่เห็นผมก็โน้มตัวลงไปกอดคนตรงหน้าด้วยความดีใจ "อย่าไปไหนอีกนะ"

                  "อืม ไม่ไปไหนแล้วครับ อย่าร้องนะคนดี" มือเล็กของพี่ตินกอดตอบผม

                  คิดถึง...คิดถึงน้ำเสียงนี้ คิดถึงความอบอุ่นของอ้อมกอดนี้ คิดถึงตากลมๆที่ฉายแววล้อเล่นอยู่ตลอด คิดถึงคนๆนี้...พี่ติน

                  ไม่นานผมก็ผละตัวออกจากอ้อมกอดแล้วยกมือจึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเองทิ้งให้หมด "อยู่ปีสามแล้วยังร้องไห้เหมือนเด็กๆเลย...น่าอายจัง"

                  พี่ตินเผยยิ้มบางๆแล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นขยี้หนักๆ "ไม่ว่ามึงจะอยู่ปีสามปีสี่ปีห้าปีหกห่าเหวอะไร มึงก็ยังเป็นเด็กของกูอยู่ดี จำเอาไว้นะไอ้เด็กเวร"

                  "โธ่..." ผมแกล้งก้มถอนหายใจ "ผมไม่ใช่เด็กของพี่สักหน่อย"

                  ร่างบางเอียงคอแล้วทำตาโต "ไหงมึงพูดเงี๊ย หรือมึงแอบไปเป็นเด็กใครมาห๊ะไอ้ภัทร"

                  "จุ๊ๆ ผมยังพูดไม่จบสักหน่อย" ผมยกนิ้วชี้ขึ้นไปทาบกับเรียวปากสีส้มอมชมพูของคนตรงหน้า "ผมไม่ใช่เด็กของพี่...เพราะผมเป็นว่าที่สามีของพี่ต่างหาก" ว่าอย่างนั้นแล้วก็รีบลดนิ้วมือลงมา เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงของคนที่แสนคิดถึง

                  "อะ...ไอ้...ไอ้เด็กเวรรรร" หน้าของพี่ตินเริ่มแดงขึ้นเรื่องๆ คนๆนึ้มีเอกลักษณ์อยู่อย่างนึง หูของเขาจะเปลึ่ยนสีง่ายหน้าครับ ดูสิ เปลี่ยนสีไปก่อนหน้าอีก

                  "หูแดงหมดแล้วนะครับพี่" ผมเอื้อมมือไปแตะหูพี่ติน แต่ก็ต้องชักมือกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู

                  "บอสคะ เตรียมของเรียบร้อยแล้วค่ะ" ผู้หญิงใส่แว่นที่พี่ตินเรียกเธอว่าหม่อนไหมชะเง้อหน้าเข้ามาในห้องเล็กน้อยก่อนเธอจะออกไป

                  "อ่า...ทีนี้ก็ได้เวลาสักที" ร่างเล็กยกมือขึ้นสางผมทึ่ยาวกว่าเมื่อก่อนพอสมควร

                  "ได้เวลา...?"

                  "ให้ของขวัญนายไง" พี่ตินพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง แล้วเขาก็เดินมาคว้าข้อมือของผมให้เดินตามเขาไป "ตามมาๆ"

                  พี่ตินพาผมเดินออกมาจากห้องนั้นก่อนจะพาเดินขึ้นบันใดไปชั้นบนสุดของตึกนี้ และเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ภายในห้องนั้นไม่มีเฟอร์นินเจอร์สักชิ้นราวกับว่ายังก่อสร้างไม่เสร็จดี แต่สิ่งที่เตะตาที่สุดเห็นจะเป็นกล่องของขวัญสีชมพูอ่อนขนาดใหญ่ท่วมหัวที่ถูกผูกตกแต่งด้วยริบบิ้นสีเงินขอบทอง

                  "จะเล่นอะไรอีกล่ะพี่ติน" ผมมองพี่ตินอึ้งๆสลับกับกล่องใบเบ่อเริ่มนั่น

                  "คอยดูๆ" พี่ตินเอามือจุ๊ปากก่อนจะเดินไปกระตุกริบบิ้นที่ผูกตัวกล่องนั่นอยู่ และทันทีที่ปมริบบิ้นคลายลง ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกจากกล่องนั่นจนผมต้องยกมือขึ้นมาบังควันพวกนั้น

                  ไม่นานนักกลุ่มควันในห้องก็คลายลง ผมขยี้ตาสองสามทีเพื่อปรับทัศนวิสัย ก่อนจะเห็นว่ากล่องนั่นกลายเป็นเศษกระดาษจากการระเบิดเมื่อครู่ และสิ่งที่อยู่ภายในกบ่องขนาดยักษ์ก็คือตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนขนาดตัวพอๆกับผมกำลังนั่งอยู่บนพื้น

                  ผมมองมันอึ้งๆ ก่อนที่มือกลมๆที่ประสานกันอยู่ด้านหน้าของหมีตัวนั้นก็ยกขึ้นด้วยตัวเอง เผยให้เห็นกล่องเล็กๆสีแดงที่เจ้าหมีถืออยู่ "เล่นอะไรเนี่ยพี่ติน..."

                  "ไคลแมกซ์แล้ว~" พี่ตินฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเดินมาหยิบกล่องสีแดงจากมือตุ๊กตาหมีมายื่นตรงหน้าของมพร้อมกับค่อยๆเปิดมันออก ทำให้เห็นว่าภายในนั้นมีสายสร้อยสีเงินวาว และจี้รูปกุญแจซอลเล็กๆอยู่ภายในนั้น

                  ผมมองมันงงๆสลับกับเงยหน้ามองร้างเล็กที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ "เพื่ออะไรน่ะพี่"

                  "ภัทรครับ...แต่งงานกับกูนะ"

                  สิ้นคำกล่าวของชายตรงหน้าก็ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก มันทั้งดีใจ ทั้งสับสน...แต่งงานงั้นหรอ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยแฮะ เรารู้จักกันดีพอแล้วหรอ และที่สำคัญ...เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ไม่ใช่รึไง? ผู้ปกครองของพวกเราล่ะ คนรอบข้างเราล่ะ จะยอมรับพวกเรา และยังจะมองเราเหมือนเดิมอยู่มั้ย

                  "พี่บ้า...ใครเขาใช้สร้อยมาขอแต่งงานกัน มันต้องแหวนสิ" ผมพูดติดตลกออกไปเพื่อกลบความคิดของตัวเองที่เริ่มฟุ้งซ่านออกไปเรื่อยๆ

                  "แล้วทำไมต้องแหวน ทั้งๆที่สร้อยมันอยู่ใกล้หัวใจมากกว่าตั้งเยอะ"

                  "แล้วทำไมต้องกุญแจซอลอ่ะพี่ เราทั้งคู่ไม่มีใครเล่นดนตรีสักหน่อย"

                  "จะได้เข้าคู่กันไง เพราะของกูเป็นกุญแจฟา"

                  "แล้วทำไมต้องกุญแจซอลกับฟาอ่ะ"

                  "เพราะในชีทเพลงกุญแจซอลกับฟามันอยู่ใกล้ๆกันตลอดไง"

                  "แล้วทำไมต้องเป็นไอ้หมียักษ์นี่อ่ะ"

                  "เพราะกูชอบ"

                  "แล้วทำไมต้องระเบิดกล่อง"

                  "ก็แนวดีออก"

                  "แล้วทำไงให้มันขยับมือเองได้อ่ะ"

                  "กูไม่รู้ ไอ้โฟร์เป็นคนทำให้"

                  "แล้วโฟร์คือใครอ่ะ"

                  "พนักงานบริษัทกู"

                  "แล้ว...อุ๊บ" คำถามต่อไปที่ผมกะว่าจะถามถูกปิดด้วยมือเล็กๆของคนตรงหน้า

                  "แล้วเมื่อไหร่มึงจะพูดคำว่าโอเคเครับสักทีห๊ะ กูลุ้น มึงเข้าใจมั้ยห๊า" พี่ตินตะคอกใส่ผมเสียงดัง

                  "แต่พี่ติน...พ่อแม่ผมยังไม่รู้เลยนะ ไหนจะพ่อแม่ของพี่อีก พวกเขา...จะยอมรับได้มั้ย?" ผมก้มหน้าพูดเสียงสั่น ตอนนี้อยากจะตอบตกลงแล้วโผเข้าไปกอดคนตรงหน้าอีกครั้งแทบแย่ แต่เมื่อกลับมาคิดถึงหลักเหตุและผลแล้ว...ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้มันไม่สามารถเป็นไปตามที่ต้องการได้อีกมาก

                  "เด็กเอ๋ยเด็ก..." พี่ตินยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ "ไม่ต้องกังวลไป พี่คนนี้เตรียมพร้อมกว่าที่มึงคิดไว้เยอะ"

                  "...?" เตรียมพร้อม...เตรียมอะไรกันน่ะ

                  "หม่อนโว้ยยยยย โผล่หัวมาสักทีสิครับ"

                  "ค่าๆ ใช้งานชะนีหนักกันจริงนะคุณผู้ชาย" ร่างของหญิงสาวเข้ามาอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะหันจอโน๊ตบุ๊คมาทางผม หน้าจอขนาดกลางโชว์ภาพพ่อกับแม่ผมกับหญิงชายอีกคู่ที่กำลังคุยกันอย่างออกรส และเมื่อดูดีๆแล้วนี่มันไม่ใช่ภาพวีดีโอที่บันทึกไว้...แต่มันคือสไกป์!?

                  "คุณพ่อคุณแม่คร้าบ~" พี่ตินเอ่ยเรียกคนในหน้าจอคอม

                  (อ้าว...ว่าไงลูก ไปได้สวยมั้ย) ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นพ่อของตินพูดขึ้น

                  "พอดีภัทรมันขี้กังวลน่ะพ่อ ช่วยพูดกับมันให้หน่อยสิ"

                  (ลูกภัทรละก็ คิดมากตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ) แม่ของผมพูดขึ้น

                  ...ใครก็ได้ ช่วยเรียงลำดับเรื่องราวให้ผมฟังหน่อย

                  (เพราะอย่างนี้พ่อถึงห่วงมันไง...) พ่อของผมหันหน้าไปคุยอะไรบางอย่างกับแม่ ก่อนที่แม่ของผมจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

                  (แหม ภัทรเขาไม่เหมือนคุณหรอกนะ)

                  (คุยอะไรกันสองคนน่ะ ขอพวกฉันรู้ด้วยสิ) หญิงสาวที่น่าจะเป็นแม่ของพี่ตินพูดขึ้น

                  (ก็สมัยเรียนพ่อของเราเองก็เคยมีแฟนเป็นผู้ชายนะ)

                  "จริงหรอครับแม่!?" ผมตะโกนใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้ถูกวางไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว

                  (โห จริงสิลูก ตอนนั้นมีแม่เป็นแม่สื่อให้ด้วยนะ)

                  "แล้วไหงตอนนี้...?"

                  (รักของลูกหมาน่ะลูก...เพราะงี้พ่อเขาถึงห่วงลูกกว่าใครไงคะ)

                  "ผมรักจริงหวังแต่งนะครับคุณแม่" พี่ตินพูดขัด "แต่ปัญหาคือลูกของคุณแม่นี่แหละ เขาแคร์สายตาคนอื่นมากกว่าแคร์ผมอ่ะ"

                  (เรื่องนี้พวกผู้ปกครองให้ไฟเขียวกันหมดแล้ว...แต่อยู่ที่ภัทรเองนั่นแหละครับที่จะตัดสินใจยังไง) พ่อของบอก พร้อมกับส่งยิ้มบางๆมาทางนี้

                  (พรกลับมาแล้วค่า~) เสียงของพี่สาวผมดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดประตู ตอนนี้พี่สาวผมอยู่ปีห้าแล้วครับ เพราะคุณเธอเรียนหมอ กว่าจะจบก็ต้องปีหน้านู่น...แต่ก็จบพร้อมผมอยู่ดี

                  (อ้าว...มีแขกด้วยหรอคะคุณแม่) พี่พรมองกลุ่มผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างงงๆ (แล้วทำไมภัทรไปอยู่ในทีวี...)

                  (แม่ต่อคอมเข้ากับทีวีน่ะ จะได้เห็นหน้าภัทรชัดๆ)

                  (แล้ว...มีเรื่องอะไรกันหรอคะ)

                  (ก็...)

                  "ผมมาขอภัทรแต่งงานครับ กำลังรอความเห็นจากคนในครอบครัวอยู่" จู่ๆพี่ตินก็ผลักตัวผมออกแล้วเอาหน้าจ่อกับกล้องหน้าของโน๊ตบุ๊ค

                  "พี่ติน!" ผมตะคอกใส่พี่เขา ร่างเล็กหันหน้ามามองผมพร้อมเหยียดยิ้มบางๆ "หรือว่าไม่จริงครับน้องภัทร"

                  "อย่าเรียกอย่างนั้นนะ ขยะแขยง..."

                  (ภัทร! บอกพี่สาวสิว่ามันจริง!? เธอจะทำฉันฟินตายยยยย) ผมมองพี่สาวที่กำลังแสดงสีหน้าแปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน (แล้ว...ใครบนใครล่างล่ะน้องภัทร)

                  "พี่พร!!" ผมตะคอกใส่หน้าจอคอมอีกรอบ "ถามอะไรน่ะ!?"

                  (ก็พี่อยากรู้นี่นา...)

                  "ผมต้องบนอยู่แล้ว" สองเสียงของผมกับพี่ตินดังขึ้นพร้อมๆกัน

                  (เออะ...) พี่พรทำหน้าแปลกๆหันมามองพวกผมอีกรอบ

                  "ไอ้เด็กเวร มึงต้องเป็นภรรยากูสิ กูเป็นคนขอมึงแต่งนะ" พี่ตินขมวดคิ้วมองผม

                  "มันตัดสินกันอย่างนี้ได้ที่ไหน ครั้งแรกผมก็เริ่มก่อนนะครับ...พี่ลืมแล้วหรอ"

                  "ไอ้...ฮึ่ย..."

                  "เถียงไม่ออกอะดิพี่ติน"

                  "เออ!"

                  (ดูเหมือนว่าลูกเราจะเป็นคนละประเภทกับคุณนะคะ)

                  (ลืมๆมันไปเถอะคุณ...)

       

                  แล้วจากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ พวกผู้ใหญ่ก็ช่วยๆกันปลอบผมให้ไม่ต้องกังวลโดยมีพี่ตินคอยขัดอยู่ข้างๆ ส่วนเรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงน่ะหรอ...เห็นจะเป็นแผนที่ทางตระกูลรัตนวงศ์และเลขาของพี่ติน ผู้หญิงที่ชื่อหม่อนไหมนั่นแหละครับ ว่ากันว่าเตรียมแผนกันมาเป็นแรมปีเลยทีเดียว

                  "แล้วสรุปภัทรตกลงแต่งกับพี่มั้ยอ่า..." พี่ตินที่ตอนนี้นอนตักผมอยู่พูดเสียงอ้อน เพราะว่าตอนนี้พวกเราคุยกับพวกผู้ใหญ่เสร็จแล้วเลยย้ายมาอยู่ในห้องทำงานของพี่ตินที่เข้ามาตอนแรก

                  "ไม่อ่ะ"

                  "หา...ได้ไงวะ!?" ร่างเล็กเบิกตากว้าง "กูอุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้แล้วนะไอ้เด็กเวร"

                  "พี่ตินน้องภัทรเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ หืม?"

                  "กูไม่รู้ กูงอน" พี่ตินแบะปากออกนิดๆเหมือนจะร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลุกออกไปจากตักผมสักที ซ้ำยังขยับเข้ามาเอาหัวชิดกับท้องผมอีก

                  "จะให้ผมง้อยังไงล่ะเนี่ย" ผมเอื้อมมือไปปัดผมยาวที่ปรกหน้าร่างเล็กอยู่

                  "หึ...แล้วแต่ที่สมองมึงจะคิดได้เถอะ"

                  เท่าที่ผมจะคิดได้งั้นหรอ...?

                  ผมมองร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะก้มลงไปจุมพิตหน้าผากของคนๆนั้น

                  "แค่นี้?" พี่ตินเบ้ปากไม่พอใจแล้วทำแก้มป่องเหมือนเด็กๆ

                  "นี่มันที่ทำงานพี่ไม่ใช่รึไง...มากกว่านี้ก็แย่แล้ว"

                  "แล้วไงล่ะ"

                  "ผมกลัวคุมตัวเองไม่อยู่...อดทนรอมาตั้งสามปีเชียวนะ"

                  "นี่ภัทร...จำได้มั้ยที่กูบอกว่าไว้รอตอนโต"

                  "ตอนนั้นหน้าพี่ดูโง่กว่าตอนนี้้เยอะเลย" ผมหัวเราะ แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำด้วย

                  "ตอนนี้เราโตแล้วนะภัทร..." พี่ตินลุกขึ้นมานั่งคร่อมตักของผมเอาไว้

                  "เอาจริงหรอพี่...?" ร่างเล็กไม่ตอบ แต่กลับยกมือขึ้นโอบรอบคอผมแล้วเงยหน้าขึ้นมาประทับเรียวปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของผม

                  "อือ..." ทันทีที่ร่างเล็กเผยอปากออกอย่างตั้งใจผมก็แทรกเข้าไปลิ้มรสของอีกฝ่ายทันที แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน เพราะร่างเล็กก็ตอบรับจุมพิตนี้เช่นกัน

                  ยิ่งเนิ่นนาน ความร้อนในร่างกายก็เพิ่มมากขึ้นไปพร้อมๆกับความปราถนาที่ยิ่งมากขึ้น

                  "ถ้าไม่ให้ผมหยุดตอนนี้จะไม่ทันแล้วนะพี่ติน"

                  "อืม...ต่อเถอะ"

                  เมื่อได้รับคำอนุญาติจากร่างเล็ก ผมก็พลิกให้คนๆนั้นนอนราบลงกับโซฟาตัวยาวแล้วโน้มตัวลงไปกดจูบอีกครั้ง เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างเล็กเริ่มที่จะหายใจไม่ทันผมจึงถอนริมผีปากออกจากเรียวปากสีส้มอมชมพูนั่น ก่อนที่จะประทับลงใหม่บริเวณกกหูที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ผมซอยประต้นคอ ส่วนมือก็สอดเข้าไปใต้เสื้อแล้วสะกิดเข้าที่ยอดอกของอีกฝ่าย

                  "อ้า.." เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับร่างกายของคนด้านล่างที่แอ่นอกขึ้นมารับสัมผัสที่ผมมอบให้

                  "พี่ติน อย่าบอกนะว่าพี่ยังซิงอยู่" ผมกระซิบข้างหูพี่ติน ร่างเล็กไม่ตอบแต่กลับยกแขนขึ้นมาปิดหน้าของตัวเอง

                  พี่นี่มันน่ารักเป็นบ้า!

                  ผมกดจูบที่ขมับของพี่เขา ก่อนจะเลื่อนลงไปที่ส่วนอื่น แต่จู่ๆก็มีเสียงบางอย่างเข้ามาขััดจังหวะ

                  "บอสสสสสสส หุ้นบริษัทเราขึ้นอีกแล้วนะคะ" ผมรีบลุกขึ้นจากสภาพที่ดูไม่ค่อยดีนักอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานนัก ผู้หญิงที่ชื่อหม่อนไหมก็ผลักประตูเข้ามา "บอส! เรามีลูกค้าจากสิงคโปร์เพิ่มมาห้าราย จากมาเลอีกสาม และจีนอีกหนึ่งค่ะ" เธอฉีกยิ้มกว้าง "เป็นไง หม่อนเก่งมั้ยคะ"

                  "เก่งค่ะ หม่อนเก่งมาก" พี่ตินยกมือขึ้นเสยผมตัวเองพร้อมส่งจิตสังหารไปทางหม่อน "เก่งจนผมอยากจะลดเงินเดือน หักโบนัส ตัดโอทีหม่อนทั้งปี!"

                  "หา...!?"

                  "พี่ติน ผมขอเข้าห้องน้ำนะ" ผมขออนุญาติแล้วเดินปลีกตัวมาอีกทาง เหอะ...เจออย่างนี้ไอ้ผมก็ค้างสิครับ

                  "อ่อ..." ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเชิงเข้าใจว่าเธอทำอะไรให้เขาอารมณ์เสีย "แต่นี่มันที่ทำงานนะคะบอส!"

                  "มันก็ปกติไม่ใช่หรอ?"

                  "ไม่ปกติค่ะ!"

                  "ทีในนิยายที่หม่อนแต่งมันยัง..."

                  "อย่าบอกนะคะว่าบอสเอานิยายของหม่อนมาเป็นต้นแบบความรัก!?"

                  "เอ่อ...ก็ใช่"

                  "โอ้ยยยย มีบอสอย่างนี้หม่อนปวดหัว"

                  เสียงคนสองคนทะเลาะกันดังทะลุบานประตูเข้ามาจนผมได้ยินอย่างชัดเจน คุณหม่อนไหมนั่นเธอแต่งนิยายรักสินะ และพี่ตินของผมก็ดันเอานิยายรักเรื่องนั้นมาเป็นต้นแบบ มิน่า...พี่เขาถึงได้ดูแปลกๆไป แต่สุดท้ายแล้วยังไงๆเขาก็คือพี่ตินคนเดิมนั่นแหละนะ ใสซื่อกว่าที่คิด ขี้โวยวาย ถึงเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ก็ยังชอบเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ

                  ผมยิ้มน้อยๆให้ตัวเองก่อนที่จะเดินไปล้างมือแล้วเดินออกมาดูคนสองคนที่ยังทะเลาะกันไม่เลิก

                  "ก็หม่อนบอกให้ผมใช้เป็นแนวทางไง" พี่ตินตะโกนใส่ผู้หญิงตรงหน้าเสียงดัง

                  "แต่หม่อนไม่ได้บอกให้ทำตามนี่คะ!" คุณเธอเองก็ตะโกนตอบพี่ตินด้วยระดับเสียงที่ดังพอๆกัน

                  "สองคนนี้เหมือนแฟนกันเลยเนอะ" ผมพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ว่าเสียงเบาๆนี่ก็สามารถดึงความสนใจจากคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี

                  "ไอ้เด็กเวรรรร" พี่ตินเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาบีบจมูกของผมเบาๆ "นี่ไม่คิดจะหึงกูบ้างอะไรบ้างเรอะ!"

                  "ไม่รู้สิ...มันไม่โกรธอ่ะพี่ติน" ผมเกาหัวแกรกๆ ในใจก็รู้สึกงงๆเหมือนกันว่าทำไมผมถึงไม่เคยรู้สึกโกรธเวลามีคนอื่ยๆมายุ่งวุ่นวายกับพี่ตินเลย ไม่รู้ว่าเพราะผมเชื่อใจพี่เขาหรือว่าไม่ค่อยมั่นใจว่ามีสิทธิ์หวงกันแน่...แต่ตอนนี้เขาก็มาขอผมแต่งงานซะแล้ว ยังรู้สึกดีไม่หายเลยแฮะ

                  "น้องภัทรคะ เห็นอย่างนี้หม่อนก็มีแฟนอยู่แล้วนะคะ"

                  "จริงหรอครับ" ผมมองหน้าผู้หญิงคาร์แรกเตอร์เซอร์ๆอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่

                  "จริงสิคะ" สาวเจ้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ "มีทั้งอาโอมิเนจจี้ คิเสะคุง โทวมะซัง ซิน นี่ซัง ชารูคัน ริทสึ เลนคุง บลาๆๆ"

                  "พี่ิติน...เอายัยนี่ไปเก็บที" ผมหันไปมองพี่ตินสลับกับผู้หญิงที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอย่างสมบรูณ์แบบแล้ว

                  "เฮ้อ โดนสามีบอสไล่ซะแล้ว หม่อนไปก็ได้ค่า~" ผู้หญิงเซอร์ๆพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเดินออกไป แต่ก็หันกลับมาอีกรอบ "อย่าทำอะไรกันนะคะ ตอนนี้เวลาทำงาน บอสเองก็กลับไปคุยกับลูกค้าด้วยนะคะ ส่วนน้องภัทร...เห็นว่าเรียนบริหารอยู่สินะคะ ถ้าจะสมัครงานก็ลงมาหาหม่อนข้างล่างด้วยค่ะ"

                  "พี่หม่อนครับ..." ผมหันไปเรียกผู้หญิงคนที่กำลังจะเดินออกไป

                  "คะ?"

                  "ความจริงคุณไม่ใช่เลขาแต่เป็นคุณแม่ของพี่ตินสินะ"

                  "หม่อนพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบอสถึงเรียกน้องภัทรว่าเด็กเวร..."

                  "ผมขอลดเงินเดือนหม่อนห้าเปอร์เซนต์ ข้อหาว่าหัวใจผม!"

                  "เฮ้อ~ ชีวิตชะนีช่างน่าสงสารเสียจริง..."

       

                  ต่อมา ผมก็โดนหม่อนไหมและพี่ตินขอร้องกึ่งบังคับให้มาเป็นฝ่ายบริหารพาร์ทไทม์ของบริษัทเขาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่...ก็ผมยังเรียนไม่จบเลยนี่ กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีๆลงไปมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นพี่ตินก็บอกว่าพอมีผมแล้วบริษัทของเขามียอดขายพุ่งขึ้นเยอะเลย

                  ว่าแต่ผมบอกไปหรือยังว่าพี่ตินเขาเปิดบริษัทอะไร...ใช่แล้วครับ พี่ตินเขาเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆเป็นของตัวเอง แถมพ่วงหน้าที่เป็นบริษัทนายหน้าติดต่อกับต่างประเทศ เสนอนิยายหรือวรรณกรรมดีๆของไทยไปให้ทางโน้นเขาแปล แต่พอผมถามเขาว่าพี่ตินจบจะไรมาจากต่างประเทศ คำตอบที่ได้กลับเป็นวิศวะกรรมสาขาอุตสาหการณ์...ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงอยากได้ผู้บริหารนัก

                  วงจรที่ผมตัองวิ่งไปกลับมหาลัยและบริษัทของพี่ตินจบลงด้วยระยะปีกว่าๆ เพราะตอนนี้ผมย้ายมาทำงานที่บริษัทของพี่ตินเป็นการถาวร แถมบริษัทของเขาก็มีรูปแบบเหมือนบ้าน ไอ้ผมก็เลยย้ายของมาอาศัยอยู่ที่นี่ซะเลย...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พี่ตินน่ะสิ ดึงดันให้ผมนอนห้องเดียวกับเขาอยู่นั่นแหละ ก็เลยต้องยอมทางนั้นไป

                  ส่วนเรื่องแต่งงาน...ผมก็ไม่รู้ว่าพวกพ่อแม่เขาไปดูกำหนดการณ์วันเวลาให้ตอนไหน หลังจากที่ผมเรียนจบประมาณสามเดือน พี่พรก็โทรมาบอกพวกผมว่างานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสองวัน เล่นเอาพวกผมจัดการอะไรกันไม่ถูกเลยทีเดียว...แต่ก็โชคดีที่สุดท้ายแล้วงานแต่งงานเป็นเพียงงานเล็กๆราวกันดินเนอร์ธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คงเป็นคืนหลังจากนั้นละมั้งครับ แต่น่าเสียดายที่ทันเป็นเรื่องแสนส่วนตัวถ้าเอามาเบ่ามันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่(หัวเราะ) แต่ขอบอกไว้หน่อย...ไอ้ที่เคยปากเก่งๆน่ะ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่กล้าซะอย่างนั้น กว่าจะกล่อมพี่ตินได้ก็กินเวลาไปนานพอควรอยู่ แต่พอเทียบกับสิ่งที่ได้หลังจากนั้นแล้ว...คุ้มครับ

                  ถ้าถามว่าหลังจากวันนั้นแล้วระหว่างเรามีอะไรพัฒนาขึ้นขนาดไหน ผมก็คงต้องขอตอบตรงๆเลยว่าถ้าไม่นับเรื่องอย่างว่า ความรู้สึกของพวกเราก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ไม่ใช่ความรักที่แสนหวือหวาที่ต้อวกานใครอีกคนตลอดเวลา แต่เป็นเพียงความรักเรียบง่ายที่ทราบว่ามีเขาอยู่ข้างๆเท่านั้นก็พอใจ

                  ถ้าถามว่ามีปัญหาบ้างมั้ย ก็ต้องมีบ้างเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปอย่างเช่นคำพูดคำจา จนไปถึงปัญหาใหญ่อย่างการไม่มีเวลาให้กัน แต่สุดท้ายเมื่อได้พูดคุยกันดีๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนักแต่ไหนเราก็ฝ่ามันไปได้

                  สุดท้ายของบันทึกหน้านี้...ผมก็อยากจะบอกว่า แม้เรื่องของผมกับพี่ตินมันอาจจะดูเป็นอะไรที่ดูเหลือเชื่อ เจอกันแค่เพียงวันเดียว ห่างหายไปเป็นปี แต่สุดท้ายก็กลับมาเจอกันอีก แล้วก็ห่างกันอีก...แต่สุดท้าย เรื่องก็จบอย่างมีความสุข

                  มันอาจจะเป็นความรักที่ดูเหลือเชื่อและเป็นไปได้ยาก แต่ผมเชื่อนะครับ ว่าถ้าหากเรารักใครสักคนเข้าแล้ว และคนๆนั้นเป็นคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆ

                  ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปแต่ไหน ไม่ว่าระยะระหว่างเราจะไกลกันเพียงใดก็ตาม

                  แต่สุดท้าย...

                  ...ลมแห่งโชคชะตาก็จะพัดเราให้มาเจอกันอีกครั้งได้เสมอ

       

                              ขอบคุณครับโชคชะตา ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่ตินวันนั้น...และได้รักเขา

       

      -END-

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×