ตอนที่ 56 : แกลลอนที่ 26 (100%)

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างสูงกำยำของผู้ใหญ่ธมก็เดินโอบไหล่ภรรยาออกมาหาบุตรสาวและบุตรชายของเพื่อนรัก ซึ่งกำลังรอเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“มีอะไรเหรอนางหนู พ่อเห็นแม่เอ็งเข้าไปเรียก บอกว่าเอ็งสองคนมีเรื่องจะคุยด้วย” ธมเปิดปากถามตรงประเด็นตามวิสัย เมื่อล้มตัวลงนั่งข้างๆ เด็กทั้งสอง
“จ้ะ พ่อจ๋า” ลัลนาผงกหัวรับ ก่อนจะหันไปพยักพเยิดให้คนต้นคิดเป็นฝ่ายบอกกล่าวด้วยตัวเอง
“คืออย่างนี้นะครับผู้ใหญ่ ผมมีแผนงานที่เตรียมจะขยายผลผลิตของบ้านเรามาปรึกษาหน่อยน่ะครับ” จิรเมธเริ่มเกริ่นเข้าเรื่องและขยายความต่อว่า “คือผมไปซื้อตึกแถวในตัวเมืองไว้ กะจะใช้ที่ตรงนั้นทำเป็นร้านค้าของเรา แล้วผมก็จะซื้อที่ดินตรงส่วนที่เคยเป็นทางเข้าออกของหมู่บ้านด้วย เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับลำเลียงขนส่งสินค้า และปลูกปาล์ม ปลูกสบู่ดำเพิ่มเติม ผู้ใหญ่เห็นว่ายังไงบ้างครับ?”
“ก็ไม่ว่ายังไงนี่ เงินของเอ็ง เอ็งจะซื้อซะอย่าง ข้าจะไปมีสิทธิ์อะไรได้ล่ะ?” คนฟังเอ่ยบอกด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอันใด ทำเอาคนมองอดรู้สึกใจแป้วลงไปไม่ได้
แต่จิรเมธหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วผู้ใหญ่กล้าได้รับทราบเรื่องราวทุกอย่างจากปากของเพื่อนรัก ซึ่งโทร. มารายงานเขาก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงไม่บังเกิดอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด ทั้งที่ในใจเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งชื่นชมถึงเจตนาดีของบุตรชายเกริกเกรียรติเป็นนักหนา
“ไม่จริงหรอกครับ” คนหนุ่มส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “ถึงผู้ใหญ่จะไม่ใช่เจ้าของตึก แต่ก็มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขากะหมอก ในฐานะคนเช่ายังไงละครับ”
คนแก่ได้ฟังคนหนุ่มช่างจำนรรจาแล้วก็อดลอบยิ้มไม่ได้ พลางคิดดีใจที่เขามองลูกชายเพื่อนสนิทไว้ไม่ผิดเลย
‘มันทั้งเก่ง ทั้งฉลาด สมกับที่เขาตั้งใจจะยกลูกสาวและโครงการนี้ให้มันดูแลต่อจริงๆ’
“อ้าว! แล้วเอ็งจะให้พวกข้าเช่าสักเดือนละเท่าไร...ฮึ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าเอ็งคิดจะมาโก่งราคาให้พวกข้าเช่าแพงๆ ละก็ ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”
คนพูดทำเป็นเล่นตัวไปแบบนั้นแหละ เพราะอย่างไรเสียเขาก็กะจะรับข้อเสนอของเจ้าตัวอยู่แล้ว ด้วยเชื่อมั่นว่า ช่วงหลังๆ มานี้มาดหนุ่มนักธุรกิจจอมเขี้ยวลากดินของอีกฝ่ายได้เลือนหายไปจากใจของจิรเมธทีละน้อย จนแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
จะเหลือก็แต่เพียง...นักพัฒนาหนุ่ม ผู้รู้จักแต่คำว่า ‘ให้’ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวจะยอมควักกระเป๋าซื้อที่ซื้อทางให้พวกเขาฟรีๆ เชียวหรือ
“ผู้ใหญ่กับชาวบ้านต้องมีสตางค์เช่าอยู่แล้วละครับ เพราะผมจะคิดค่าเช่าเดือนละห้าร้อยบาท แถมผมยังจะยกค่าเช่าให้ฟรีในช่วงปีแรกด้วยนะครับ ชาวบ้านทุกคนจะได้พอลืมตาอ้าปากกันบ้าง”
ธมมองสบสายตาแน่วแน่ของคนหนุ่มด้วยแววภาคภูมิใจอย่างไม่ปิดบัง พลางนึกตื้นตันจนไม่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ในโลกใบนี้ยังเหลือคนดีที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนานเช่นจิรเมธอยู่ คนที่คิดและทำทุกสิ่งเพื่อคนอื่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเปี่ยมสุข ที่สำคัญคนๆ นั้นไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เหมือนกับเขาที่ยึดมั่นในอุดมการณ์นี้ตลอดมา
ผู้ใหญ่กล้าหันไปสบตากับเมียรักที่รู้ใจกันทุกเรื่องด้วยความยินดี เขาจึงได้เห็นความปลื้มปิติถูกส่งกลับมายังตนอย่างเด่นชัด หล่อนคงจะดีใจไม่น้อย เมื่อในที่สุดเขาก็สามารถเจียระไนเพชรเม็ดงามจากสองมือสมความตั้งใจ และเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับเขานั่นเอง
ดังนั้นจะยังเหลือเหตุผลกลใดที่จะให้เขาปฏิเสธอีกละ...
“ก็เอาสิ” ธมจึงตอบรับสั้นๆ ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคนที่นั่งลุ้นระทึกกันจนตัวโก่ง
“แปลว่า... ผู้ใหญ่ตกลงแล้วใช่ไหมครับ!?”
“ก็เออน่ะสิ” ธมบอกขำๆ กับท่าทางดีใจจนเกินเหตุของอีกฝ่าย พลางเอ่ยถาม “เอ็งจะให้พวกข้าทำอะไรก็ว่ามาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผู้ใหญ่เซ็นสัญญาเช่าก่อนก็แล้วกันนะครับ”
จิรเมธกระวีกระวาดหยิบซองเอกสารยื่นให้อีกฝ่ายอย่างยินดี ไม่ต่างกับสองแม่ลูกที่พลอยรู้สึกชื่นมื่นไปด้วย โดยเฉพาะลัลนาที่แทบจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเลยทีเดียว พวกเขาจึงไม่ทันสังเกตุเห็นรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านเลยแม้สักคน
“จะไม่มีการเซ็นสัญญาอะไรกันทั้งนั้น เพราะตาจิมจะต้องกลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้!”
ใครจะคาดคิดละว่า ความสุขจะอยู่กับพวกเขาสั้นกะจิดริดถึงขนาดนี้ เมื่อมีเสียงประกาศิตเอ่ยดังขึ้นห้วนๆ ทำให้ทุกคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่หันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว แล้วเรือนร่างสง่างามในชุดเรียบหรูก็เยื้องย่างเดินขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ ราวกับนางพญา
จิรเมธ ธม และมาลินีมองผู้มาเยือนคนใหม่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ขณะที่ลัลนามองหญิงสูงวัยผู้งดงามด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะเห็นเกริกเกียรติเดินหน้าซีดตามหลังเจ้าตัวมาติดๆ สาวใต้จึงพอจะคาดเดาได้ว่า
‘ผู้หญิงคนนี้... น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับจิรเมธแน่ๆ’
“คุณแม่!” เจ้าตัวเปล่งเสียงอุทานดังลั่นอยู่ข้างหูของลัลนาให้หายข้องใจ หัวคิ้วขมวดมุ่นบ่งบอกความคิดที่ว่า...
‘เขากำลังจะต้องเผชิญสถานการณ์ยุ่งยากในไม่อีกอึดใจนี้แล้ว!’
“คุณแม่มาที่นี่ได้ยังไงครับ!?” คนเป็นลูกเอ่ยถามหน้าเจื่อนๆ ในใจก็นึกหวาดหวั่นเป็นที่สุด
‘ถ้าคุญแม่รู้เรื่องทั้งหมดเข้าละก็... งานนี้เขาต้องตายหยังเขียดแน่ๆ
โทษฐานที่เห็นดีเห็นงามกับคุณพ่อ เล่นโปรยทานทีละเป็นล้านๆ ให้คนอื่น’
“แม่ต่างหากละที่ต้องเป็นฝ่ายถามจิม” อำไพพรรณย้อนถามบุรชายเสียงเขียว
“คือ... ผม... เอ่อ” จิรเมธเอ่ยตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบออกไปเช่นไรดี เพราะเขายังไม่ทันจะเตรียมหาข้ออ้างอะไรเอาไว้เลยสักอย่าง และไม่คิดด้วยว่ามารดาจะบุกมาถึงที่แบบนี้
“ไม่ต้องตอบแล้ว แม่ขี้เกียจฟัง” อำไพพรรณโบกมือบอกปัดด้วยความรำคาญ ก่อนจะเป็นฝ่ายเฉลยข้อสงสัยของบุตรชายแทน “แม่รู้เรื่องทุกอย่างจากคุณพ่อเขาหมดแล้ว”
นั่นแหละ... สายตาขุ่นเคืองจึงถูกส่งตรงไปต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที เกริกเกียรติเลยได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ
จิรเมธยืนกลั้นใจเตรียมตัวรับระเบิดนิวเคลียร์ลูกใหญ่จากมารดาแต่โดยดี เมื่อท่านสาวเท้าพุ่งตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าบูดบึ้งถมึงทึงเป็นที่สุด จนเขาต้องแอบหลับตาปี๋ไม่กล้าสบตาคนเป็นแม่แม้แต่นิด เพราะกลัวว่าจะหัวใจวายตายไปซะก่อน ในใจภาวนาอ้อนวอนสิ่งศักด์สิทธิ์ในสากลโลกไปต่างๆ นานา
‘มาแล้ว!!!... คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถิด’
เงียบ... ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนน่าสงสัย
จิรเมธจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิด ก่อนจะยกมือขึ้นลูบเนื้อลูบตัวเพื่อเช็คดูว่าอวัยวะต่างๆ ของเขาว่ายังครบสามสิบสองดีไหม แล้วเมื่อไม่มีส่วนใดสึกหรอ เขาจึงหันหลังกลับไปมองคนเป็นแม่ ก่อนจะเห็นท่านเดินผ่านเลยเขาไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ธมแทน
ใช่! สิ่งสำคัญสำหรับอำไพพรรณตอนนี้ไม่ใช่การมาตามตัวจิรเมธกลับ แต่เธอต้องการจะมาดูน้ำหน้าไอ้คนจองหองพองขนที่เที่ยวมาหลอกล่อสามีและลูกชายของเธอต่างหากเล่า
“ไง! ไหนคุยว่าตัวเก่ง มีศักดิ์ศรี มีอุดมการณ์ซะนักหนายังไงละ แล้วมาพึ่งคนของฉันทำไมกัน?” คนพูดเหยียดปากออกอย่างดูแคลน หนำซ้ำยังตวัดหางตามองคนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอตั้งแต่หัวจดเท้าอีกด้วย
จิรเมธมองมารดาเหยียดปากถากถางใส่หน้าผู้ใหญ่กล้าด้วยความงงงัน ท่านทำราวกับรู้จักมักจี่เจ้าของบ้านมาก่อน ถึงแม้จะออกเป็นแนวจงเกลียดจงชังซะมากกว่าก็ตาม และที่ยิ่งน่าแปลกไปกว่านั้น คู่กรณีที่มีฝีปากคมยังกับใบมีดโกน ไม่เคยยอมให้ใครเอ่ยล่วงล้ำกล้ำกรายเกียรติยศของตนเป็นอันขาดก็กลับยืนนิ่งเฉย ได้แต่เพียงแย้มยิ้มบางๆ ออกมา
“เถียงไม่ออกละสิท่า ก็เพราะไอ้เรื่องที่ฉันพูดมาคือความจริงทั้งนั้นนี่นา” อำไพพรรณเอ่ยเยาะต่อไปด้วยความสาแก่ใจ เธออยากจะตอกหน้าเจ้าผู้ชายยโสอวดดีคนนี้ให้หงายหลังมาตั้งนานแล้ว
“ที่ไม่พูดเนี่ย เพราะข้าไม่อยากจะถือคนบ้าว่าคนบอต่างหากละนางคุณนาย” ธมกล่าวขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ซ้ำยังเรียกฉายาที่เขาบรรจงตั้งให้หล่อนอย่างไพเราะเพราะพริ้งซะอีกด้วย
คนฟังพลันโมโหจี๊ด อดรนทนไม่ได้ ชี้หน้าคู่อริด้วยความเดือดดาล
“แกหาว่าฉันบ้าเหรอไอ้ธม?”
“ก็แล้วแต่เธอจะคิด”
“เชอะ! คนอย่างแกนี่มันชอบกวนประสาทตั้งแต่หนุ่มยันแก่ไม่เปลี่ยนเลยนะ” อำไพพรรณนึกอยากจะตะกุยใบหน้าจอมยียวนนั้นขึ้นมาเต็มแก่
“เธอเองก็เหมือนกัน จะกี่วันกี่ปีก็ยังชอบดูถูกคนอื่นเขาไปทั่ว”
“ก็แล้วคนอย่างแกมันไม่มีอะไรให้น่ายกย่องนักละ?” คนฟังโก่งคอเถียงหน้าดำหน้าแดง แทบไม่เหลือเค้ามาดของนักธุรกิจหญิงคนเก่งอย่างเคย
ถึงกระนั้นคนที่ถูกด่าทออย่างสาดเสียเทเสียก็มิได้ออกอาการโมโหโทโสอันใด ด้วยเขารู้จักนิสัยใจคอของคนตรงหน้าดีว่าเป็นเช่นไร เพราะตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพจนมาถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เห็นเจ้าหล่อนจะคิดแก้ไขไอ้ความเย่อหยิ่งให้ลดลงบ้างสักที
“เฮ้อ!” ผู้ใหญ่กล้าแกล้งถอนใจ ก่อนจะหันไปเอ่ยปากบอกกับเมียรักว่า “เบื่อจะคุยกับคนพรรค์นี้จริงๆ ไม่รู้ว่าแม่เอ็งทนคบคนแบบนี้เข้าไปได้ยังไง?”
เจ้าตัวแถมท้ายด้วยการส่ายหัวอย่างระอา ราวกับเจ้าหล่อนเป็นตัวมารคอยทำลายความสงบสุขของพวกเขาอย่างนั้นแหละ
“ไอ้ธม!” อำไพพรรณตวาดลั่น โกรธจนตัวสั่น เมื่ออดีตเพื่อนที่เธอไม่นับญาติพูดจากระทบครากกันซึ่งๆ หน้า
จิรเมธแทบอยากไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่า เขาจะได้ยินมารดาที่เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วเรียกจิกหัวใครด้วยความหยาบคายเช่นนี้ แสดงว่าผู้ใหญ่ธมคงจะเป็นคนที่ท่านเกลียดชังสุดๆ อย่างแน่นอน คุณแม่ของเขาจึงโกรธจัดจนถึงขั้นระงับใจไม่อยู่
ครั้นจะให้ปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็คงไม่เข้าที ดีไม่ดีสงครามน้ำลายอาจจะปะทุกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นซะเปล่าๆ จิรเมธเลยเตรียมจะอ้าปากเป็นคนรอมชอมให้พวกท่านทั้งสองค่อยๆ ใจเย็นลงก่อน แต่ก็ยังช้ากว่าสองขาที่เดินปราดเข้ามายืนกั้นกลางระหว่างเพื่อนรักและสามี น้ำเสียงอ่อนโยนชิงพูดยุติศึกขึ้นว่า
“พรรณ ใจเย็นๆ ก่อนนะ ฉันว่าเธอมาดื่มน้ำดื่มท่า นั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อยสักหน่อยดีไหมจ๊ะ?” มาลินีหันมารับหน้าอำไพพรรณ พยายามพูดจาโน้มน้าวใจให้เจ้าตัวบรรเทาอาการเกรี้ยวกราดลงบ้าง
“ไม่” คนฟังบอกปัดทันควัน “ยังไงวันนี้ฉันก็จะต้องเอาเรื่องไอ้ธมให้ได้ แล้วเธอก็อย่ามาห้ามฉันด้วยนะ...นี”
“จะหาเรื่องกันไปทำไมให้เหนื่อยล่ะจ๊ะ” มาลินียังคงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“นี! ที่เธอพูดแบบนี้เพราะคิดจะเข้าข้างมันอีกแล้วใช่ไหม?” อำไพพรรณเอ่ยตัดพ้ออย่างพาลๆ
“เฮ้อ...” มาลินีถอนหายใจอย่างเหนื่อยอก “ไปกันใหญ่แล้วนะพรรณ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
“คิดสิ! ไม่อย่างนั้นเธอจะทิ้งฉัน ทิ้งคนรวยๆ ดีๆ ที่ฉันอุตส่าห์หาให้ เพื่อมาแต่งงานกับไอ้ผู้ชายกระจอกคนนี้ทำไมล่ะ?”
“พรรณ!” คราวนี้คนใจเย็นเป็นฝ่ายเอ่ยปรามเสียงเข้มขึ้นบ้าง
“ก็มันจริงนี่นา” คนผิดเชิดหน้าไม่ยอมรับ แถมยังสาดโคลนใส่ไอ้ตัวดีด้วยความน้อยใจเพื่อนอีกว่า “เป็นเพราะแกนั่นแหละไอ้ธม ฉันถึงต้องเสียเพื่อนรักอย่างมาลินีไป”
เมื่อความจริงหลุดออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อเป็นแม่พวกเขาเช่นนี้ ทั้งจิรเมธและลัลนาที่พากันพิศวงงงงวยจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอยู่เมื่อครู่ ก็หันมามองหน้ากันตาโต ก่อนจะหลุดเสียงอุทานออกมาพร้อมๆ กันว่า
“ฮ้า! นี่พ่อแม่ของพวกเราเป็นเพื่อนรักกันเหรอ!?”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยคะว่ารุ่นพ่อแม่ของตาจิมกับหนูนาจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟกันมาก่อน
โดยเฉพาะคุณนายอำไพพรรณกับผู้ใหญ่ธม ยิ่งแทบส่ายหัวดิก
เพราะดูยังไง๊ ยังไงก็เป็นคู่กัดที่พร้อมจะงับหัวกันมากกว่า 555
ตอนหน้ามาดูกันว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้สี่คนนี้แตกหัก
จะใช่เรื่องรักๆ เลิฟๆ รึเปล่าน้าาาาา
ใครอดใจรอไม่ไหว อยากรู้เรื่องก่อนใคร แวะไปโหลดได้ที่เมพและร้านอีบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศค่า เค้ารับประกันความน่ารักนะจ๊ะ
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
