ตอนที่ 42 : แกลลอนที่ 20 (100%)
จิรเมธขับรถมาจอดที่หน้าร้านไอศกรีมตามที่หญิงสาวเป็นผู้บอกทาง พอทั้งคู่ก้าวลงจากรถและเดินมาตามทางเพียงไม่กี่ก้าว เสียงเจี้ยวจ้าวของใครบางคนก็ดังลั่นลอยมากระทบโสตประสาทหูของลัลนาทันที หญิงสาวจึงหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความสงสัย
‘ใครมาเอะอะโวยวายแถวนี้นะ?’
“โธ่เอ๊ย! ไอ้พวกเฮงซวย! ไอ้คนชั่ว! รู้ยังงี้ฉันไม่น่าให้มันเช่าตึกเลยจริงๆ ดูสิ! มันอยู่กันประสาอะไร แค่ปีเดียว ทำไมตึกฉันถึงได้โทรมอย่างกับคอกหมูคอกหมาขนาดนี้”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่บ่นตีโพยตีพายไม่ยอมหยุด ทำให้สาวใต้นึกอยากรู้ขึ้นมาตงิดๆ จนต้องขอชะแวบแอบเดินผ่านไปดูหน้าค่าตาเจ้าตัวใกล้ๆ เสียหน่อย
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อคนที่หญิงสาวได้เห็นนั้นคือคนที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี
“อ้าว! สวัสดีค่ะอาจารย์สุดโฉม” ลัลนาอุทานเรียกชื่อคนที่เธอคุ้นเคยอย่างประหลาดใจ พลางเอ่ยถามทันควัน “จำหนูได้รึเปล่าคะ ลัลนาห้องหกทับหนึ่งไงคะอาจารย์”
เธอเดินปรี่เข้าไปยกมือไหว้หญิงชราวัยกลางคน ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาไทยสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมตอนปลายปีสุดท้าย
“อ้าว! สวัสดีลูก ไปยังไงมายังไงล่ะเนี่ยลัลนา” สาวใหญ่ที่อยู่ในชุดสูทผ้าไหมกระโปรงยาวหันมายกมือรับไหว้เด็กสาว พร้อมทั้งรีบปรับสีหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ให้ดูเป็นปกติเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีริ้วรอยแห่งความตึงเครียดอยู่มาก
“หนูแวะมาทานไอติมกับ อะ... เอ่อ... เพื่อนน่ะค่ะ” พอจะเอ่ยปากแนะนำชายหนุ่ม ลัลนาก็พลันตะขิดตะขวงใจ ไม่รู้จะให้เขาอยู่ในฐานะไหนดี
ทว่าอีกฝ่ายเองก็ดูท่าจะมีเรื่องยุ่งยากอยู่ไม่น้อย เลยไม่ติดใจสงสัยอะไรมากนัก สังเกตได้จากน้ำเสียงขานรับแบบผ่านๆ และหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นด้วยความกลัดกลุ้ม
“อาจารย์มีเรื่องไม่สบายใจรึเปล่าคะ เผื่อหนูจะพอช่วยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง” ลูกศิษย์สาวเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ขอบใจมากจ้ะ” สุดโฉมบอกอย่างตื้นตัน แล้วเอ่ยเล่าด้วยสีหน้าคับแค้นใจ “ตอนนี้ครูละกลุ้มเหลือเกิน ก็ไอ้เจ้าคนที่มันเช่าตึกครูล่าสุดนี่น่ะสิ มันติดค่าเช่าครูมาสามเดือนแล้ว พอครูขู่มันว่าหากยังไม่ยอมมาจ่ายอีกละก็ ครูจะยึดข้าวของในบ้านมัน เชื่อไหม...เมื่อคืนนี้มันแอบขนของย้ายหนีครูไปซะแล้ว ครูละเบื่อจริงๆ เจอแต่คนเช่านิสัยแย่ๆ แบบนี้”
“แย่จังเลยนะคะ” ลัลนาเอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจ “แล้วอาจารย์จะทำยังไงต่อคะเนี่ย?”
“ครูกะว่าจะเอาป้ายมาติดขายมันซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจ๊ะ จะได้หมดปัญหาเดิมๆ แบบนี้สักที”
“ก็ขายเลยสิครับ ผมจะซื้อ” จู่ๆ เสียงห้าวทุ้มก็เอ่ยแทรกขึ้นอย่างสนับสนุน
จิรเมธยืนเหลียวซ้ายแลขวาวิเคราะห์ทำเลแถวนี้อยู่นานพอสมควร แล้วจึงเห็นว่ามีความเหมาะสมจะเปิดกิจการค้าขายสินค้าจากภูมิปัญญาของคนในหมู่บ้านตามที่เขาคิดไว้ ด้วยตึกเช่าตรงนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิกลางเมือง เลยมีภาษีดีกว่าพื้นที่ตรงอื่น มีผู้คนพลุกพล่านเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดเวลา แถมยังใกล้กับตลาดและร้านค้าอีกมากมายหลายชนิด ที่สำคัญการสัญจรก็สะดวกสบายไม่ได้ลำลากลำบนเลยสักนิด
‘นี่แหละ! ร้านเขากะหมอกที่เขาต้องการ และเขาก็จะต้องเอาให้ได้ด้วย!’
ขณะที่คนฟังทั้งสองต่างก็พากันทำตาโต มองเขาอย่างตกใจ ก่อนที่ลัลนาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปรามขึ้น
“นายนี่ล้อเล่นไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยนะ คนเขากำลังเครียดกันอยู่แท้ๆ” เธอยกมือหยิกแขนอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการลงโทษ
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันตั้งใจจะซื้อจริงๆ ถ้าอาจารย์ท่านจะขายละก็” จิรเมธย้ำเสียงหนักจริงจัง
“แล้วนายจะซื้อไปทำอะไร?” สาวใต้ถามด้วยความสงสัย
“ก็เอาไว้เปิดร้านของเราเองไงละ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปง้อพวกที่ไม่เห็นค่าสินค้าเราให้เมื่อยปากด้วย” เขาอธิบายสั้นๆ แล้วจึงละความสนใจมายังเจ้าของตึกเช่าอีกคราว
“ตกลงอาจารย์จะขายไหมครับ?”
คนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับทำหน้าเหลอหลา เพราะอันที่จริงแล้วเธอก็แค่พูดประชดออกไปด้วยความโมโหเท่านั้น จึงยังไม่ได้ตัดสินใจว่าควรจะขายตึกดีหรือไม่ แล้วถ้าขาย จะเรียกราคาเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม?
“ถ้าฉันขาย คุณจะซื้อไหวเหรอ เงินมันเป็นล้านนะ ไม่ใช่แค่บาทสองบาท”
ใช่ว่าสุดโฉมจะคิดดูถูกคนหนุ่มตรงหน้าประการใด เพราะการแต่งกายที่ภูมิฐานก็บ่งบอกฐานะของเจ้าตัวได้ดีอยู่แล้ว แถมเขายังขับรถแวนคันหรูมาอีกต่างหาก ทว่าคนเราสมัยนี้ดูกันแค่หน้าตาและเครื่องประดับประดาบนตัวได้ซะที่ไหน บางคนมีบ้านช่องใหญ่โตก็จริง แต่กลับมีหนี้สินรุงรังบ้างละ ส่วนบางคนก็อวดร่ำอวดรวย แต่ที่จริงแล้วกำลังจะถูกธนาคารฟ้องล้มละลายก็มี
แล้วอย่างนี้เธอจะมั่นใจได้ยังไงว่า พ่อหนุ่มมาดไฮโซคนนี้จะไม่คิดโกงเธอเช่นกัน ถึงแม้เขาจะรู้จักกับลูกศิษย์สาวของเธอก็ตามที
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ” จิรเมธบอกยิ้มๆ “ถ้าราคาไม่เกินร้อยล้านละก็ ผมมีปัญญาซื้อแน่นอนครับ”
ลัลนามองหน้าคนพูดตาค้าง พลางอดคิดค่อนขอดเจ้าตัวไม่ได้ว่า
‘ดูเขาสิ ทำตัวเป็นเพ่อค้าซะเต็มขั้นเชียว
ถึงได้พูดจาตกลงซื้อขายสั้นๆ ห้วนๆ กับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เธอรู้จักแบบนั้น
อย่างน้อย... ก็น่าจะเกรงอกเกรงใจกันบ้างสักนิดนะยะ’
แต่คนที่ทำให้สาวใต้ถึงกับอึ้งมากกว่ากลับเป็นคนที่เธอนับถือเสียเอง เมื่อท่านแสดงท่าทางว่ายินยอมพร้อมใจไปกับพ่อหนุ่มเมืองกรุงซะอย่างนั้น
“ก็เอาสิ ถ้าพ่อหนุ่มจะซื้อจริงๆ ฉันก็จะขายให้ แต่ขอเวลาฉันตั้งราคาที่เหมาะสมก่อนนะ พ่อหนุ่มจะรอไหวไหมล่ะ?” ปลายเสียงหญิงวัยกลางคนลองหยั่งเชิงถาม
“ได้สิครับ” จิรเมธยักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ “ผมให้เวลาอาจารย์ตัดสินใจหนึ่งวัน แล้วพรุ่งนี้ผมจะให้คนถือเช็คมาหาอาจารย์ถึงที่บ้านเลยนะครับ”
นักธุรกิจหนุ่มสมองใสพูดจาหว่านล้อมให้คนฟังตัดสินใจขายตึกให้แก่เขาง่ายขึ้นอีก และยิ่งเมื่อดูจากแววตาพึงพอใจเป็นอย่างมากของท่านแล้ว เชื่อเถอะว่าเขาได้คว้าสิ่งที่ตนต้องการมาไว้ในกำมือเรียบร้อยแล้ว
“อ้อ... ผมรบกวนให้อาจารย์คิดคำนวณราคาที่จะขายเอาไว้ก็พอนะครับ ส่วนเรื่องเอกสารสัญญาต่างๆ เดี๋ยวคนของผมจะเป็นผู้จัดเตรียมมาเอง ไม่ต้องกลัวว่าผมจะโกงนะครับ เพราะผมจะซื้อในนามของบริษัทเดชาธรครับ”
แค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของบริษัทชื่อดังที่อีกฝ่ายจงใจกล่าวอ้างออกมา คนฟังก็ถึงกับตาโตแล้ว
“บริษัทใหญ่ๆ นั่นน่ะเหรอจ๊ะ?” สุดโฉมเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น ก็ใครจะไม่รู้จักบริษัทชั้นนำที่ทำธุรกิจด้านการลงทุนต่างๆ รวมไปถึงมีโรงงานผลิตเครื่องอุปโภคบริโภคภายใต้แบรนด์ดังๆ ครอบคลุมประเทศไทยกันบ้างล่ะ
“ครับ” เขายิ้มรับอย่างมั่นใจ “หวังว่าชื่อบริษัทของผมคงพอจะเป็นเครดิตให้ตัวผมได้บ้างนะครับ”
“งั้นเป็นอันว่าตกลงฉันจะขายตึกให้พ่อหนุ่มจ้ะ เดี๋ยวเรามาแลกเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดต่อกันไว้ก่อน ถ้าคนของพ่อหนุ่มมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ก็โทร. มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะจ๊ะ”
คนได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจนมั่นใจพลันรู้สึกโล่งอก รีบตอบตกลงอย่างคล่องปาก เพราะการที่เธอขายตึกให้เขาเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นก็ยังดีกว่าปล่อยให้คนเช่ามักง่ายมาทำทรุดโทรมจนไร้ค่า แถมไม่ต้องถูกเชิดเงินค่าเช่าที่ค้างๆ ไว้ แล้วหนีไปทุกครั้งดังที่เธอเจอมาแล้วหลายราย
“โอเคครับ” จิรเมธควักนามบัตรในกระเป๋ายื่นส่งให้สุดโฉม แล้วจึงบันทึกเบอร์ของอีกฝ่ายตามที่เจ้าตัวบอกกล่าวมา
ส่วนลัลนาก็ได้แต่ยืนจับจ้องมองดูคู่ค้าทั้งสองตกลงซื้อขายทำสัญญากันง่ายๆ ด้วยความงงงันเป็นที่สุด จนต้องร้องตะโกนถามตัวเองในใจว่า
‘ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่า... นี่มันเกิดอะไรขึ้นนน’
กระทั่งการเจรจาจบสิ้นลงแล้วนั่นแหละ คู่ค้าฝ่ายชายจึงหันมายิ้มแป้นแล้นบอกกับเธอว่า
“ฉันซื้อตึกจากอาจารย์ท่านแล้วนะหนูนา เดี๋ยวพอเย็นนี้ฉันกลับไปถึงกรุงเทพปุ๊บ ฉันจะรีบให้เลขาลงมาจัดการเรื่องที่เหลือให้เสร็จเรียบร้อยภายในสองสามวันนี้แหละ ส่วนเธอก็ช่วยดูแลคนของฉันหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้ให้ พวกเธอจะได้ติดต่อกันสะดวก”
ลัลนาจำได้แต่ว่า เธอคอยพยักหน้ารับคำสั่งจากจิรเมธเพียงอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะงานนี้คนที่ตัดสินใจไม่ใช่เธออยู่แล้ว แถมตัวเธอกับพวกชาวบ้านนั่นแหละที่ได้ประโยชน์จากเขาเต็มๆ หญิงสาวจึงไม่กล้าพูดมาก ทำตัวเรื่องเยอะ ด้วยรู้สึกเกรงอกเกรงใจชายหนุ่มเป็นนักหนา
ที่สำคัญ... เธอเข็ดแล้วกับการที่ไม่เชื่อใจและไม่เชื่อถือความสามารถของเขา จนทำให้ตัวเองและตัวเขาต้องเดือดร้อนอยู่อย่างนี้
“โอเค งั้นก็เอาตามนี้นะ” นักพัฒนาหนุ่มกล่าวสรุป แล้วจึงหันมาเอ่ยถามเรื่องสำคัญของเธอบ้าง “ฉันไม่มีอะไรแล้ว เธอละอยากจะอยู่คุยกับอาจารย์ท่านต่อรึเปล่า เราจะได้ชวนท่านแวะทานไอศกรีมด้วยกันซะเลย”
สุ้มเสียงนุ่มทุ้มที่เอ่ยถามลูกศิษย์สาวอย่างอ่อนโยนเอาใจใส่ ทำให้ฉุดโฉมอดนึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไม่ได้ว่า
‘ตกลงแล้วพ่อหนุ่มคนนี้เป็นแค่เพื่อน หรือว่า... เป็นคนรู้ใจของลัลนากันแน่!?’
แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนสอดรู้ เที่ยวไปยุ่งก้าวก่ายเรื่องของคนสองคน
“ขอบใจนะจ๊ะพ่อหนุ่ม” หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มเอ็นดูให้สองหนุ่มสาว “แต่พอดีว่าฉันยังมีธุระต้องไปทำต่อน่ะจ้ะ คงนั่งคุยด้วยไม่ได้หรอก ขอโทษนะจ๊ะ”
เมื่อเอ่ยกับจิรเมธเสร็จ ก็หันกลับมาล่ำลาลูกศิษย์สาวของตนต่อ
“แล้วไว้เจอกันนะจ๊ะลัลนา ครูดีใจมากนะที่ได้เจอเธอ” สุดโฉมยกมือลูบผมเด็กสาวอย่างรักใคร่เมตตา
“ค่ะ” หญิงสาวผงกหัวรับอย่างนุ่มนวล ผิดไปจากภาพลักษณ์สาวแก่นแก้วที่ทำตัวเหมือนลิงทโมนอย่างที่จิรเมธเคยเห็น “หนูก็ดีใจที่ได้เจออาจารย์นะคะ”
“จ้ะ” สุดโฉมยิ้มรับ พลางก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความเร่งรีบ “ถ้าอย่างนั้นครูขอตัวก่อนนะ แล้วเอาไว้เจอกันใหม่ โชคดีนะจ๊ะ”
ลัลนายกมือไหว้อาจารย์ที่เธอเคารพรักอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังเดินจากไป เหลือแค่เพียงเธอกับหนุ่มเมืองกรุงที่ยืนอยู่ตรงนี้
“หมดเรื่องแล้วนะหนูนา ที่นี้เราก็เข้าไปกินไอศกรีมเติมพลังกันเถอะ เพราะหลังจากนี้เรายังมีเรื่องที่ต้องทำกันอีกเยอะแยะเลย!” จิรเมธหันมาคลี่ยิ้มบอกสาวใต้ มือหนาก็คว้ามือบางมาเกาะกุมเอาไว้ เตรียมจะเดินจูงหล่อนเข้าไปภายในร้านอย่างที่ตั้งใจ
แล้วประโยคที่เขาไม่คิดฝันว่าจะได้ยินมันเป็นครั้งที่สอง ก็ดังมาจากกลีบปากอิ่มของสาวดื้อรั้นอีกคราว
“ตาจิม... ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้นายละก็ ป่านนี้ฉันก็ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงเหมือนกัน” ลัลนาก้มหน้าบอกเสียงแผ่วด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสจับต้องเธอได้แต่โดยดี
คนตัวสูงหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า แล้วหันกลับมามองสบตาเธอด้วยรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นอย่างปลื้มปิติ พลันคำบางคำที่มารดาของหญิงสาวเคยบอกกับเขาเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาทันที
‘ความอิ่มเอมใจที่เขาเคยสงสัยมาโดยตลอด… มันคงจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้ละมั้ง’
ดีใจที่ผู้รับเห็นค่า แม้ว่าผู้ให้อย่างเขาจะไม่ได้สิ่งตอบแทนอันใดกลับมาก็ตาม ขอเพียงให้ความทุกข์ตรมเลือนหายไปจากใบหน้างาม และถูกเติมเต็มด้วยความสุขเปี่ยมล้นที่เขาตั้งใจหยิบยื่นให้แทน
“เอาน่า...อย่าคิดมาก ถือซะว่าชาตินี้ฉันช่วยเธอก่อน แล้วชาติหน้าเธอค่อยตามไปช่วยตอนที่ฉันตกอับก็แล้วกัน เราสองคนจะได้เจอกันทุกๆ ชาติไงล่ะ ฮะๆๆ”
คนที่เพิ่งจะค้นพบความหมายของ ‘การให้’ อย่างแท้จริงจึงบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะจับจูงมือเล็กให้เดินเข้าไปภายในร้านอีกครั้งด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสุขสันต์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หุหุ...งานนี้ตาจิมเป็นพ่อบุญทุ่มตัวจริงเสียงจริงเลย
สาวๆคนไหนอยากให้พี่เขาเปย์ เข้าแถวต่อคิวรอเลยค่า
เดี๋ยวไรเตอร์จะโยนพ่อหนุ่มหล่อ สปอร์ต ใจดี มีเวลาคนนี้ไปให้น้าาาา
ว่าแต่จะซื้อได้ง่ายๆ เหรอ เพราะมีด่านยอดคุณแม่จอมเค็มรออยู่ทั้งคน
อยากรู้ ต้องตามต่อตอนหน้าค่ะ
ใครอดใจรอไม่ไหว อยากรู้เรื่องก่อนใคร แวะไปโหลดได้ที่เมพและร้านอีบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศค่า เค้ารับประกันความน่ารักนะจ๊ะ
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
