ตอนที่ 4 : แกลลอนที่ 1 (100%)
หลังจากเมื่อวานจิรเมธไม่สามารถไล่ต้อนบิดาให้จนมุมได้ กระทั่งต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเสียเอง ทว่าคนชอบเอาชนะเช่นเขามีหรือจะยอมท้อถอยกับอะไรง่ายๆ ในวันนี้ชายหนุ่มจึงยอมลงทุนดั้นด้นเดินทางมายังตึกสูงเสียดฟ้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานสาขาใหญ่ในเครือเดชาธร พร้อมกับสมุดบัญชีปริศนาที่ทำให้เขาคาใจจนนอนไม่หลับแทบทั้งคืน เพื่อเค้นเอาความจริงจากคนที่ทำบัญชีนี้ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นใครไปมิได้ นอกจาก...
แม่เลขาผู้จงรักภักดีของคุณพ่อเขานั่นเอง!
จิรเมธไม่รอช้ารีบขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตัวอาคาร ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าโต๊ะของเลขาท่านประธานกรรมการบริหาร
“อุ้ย! คุณจิมนั่นเอง มาหาท่านประธานเหรอคะ?” ปานสุดาร้องทักด้วยความตกใจ ที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โผล่พรวดพราดออกมาราวกับเป็นผีสาง
“เปล่าครับ พอดีผมมีธุระกับคุณปานนิดหน่อย ช่วยตามผมมาสักครู่ได้ไหมครับ?”
แม้คำพูดจะดูเป็นการขอร้อง แต่การกระทำตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อจิรเมธตรงเข้าไปจับมือถือแขนเลขาสาววัยกลางคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พร้อมทั้งออกแรงลากเจ้าหล่อนให้ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปที่อื่น เพราะเกรงว่าบิดาจะมาเห็นเข้าจนเกิดเสียแผนเสียก่อน เล่นเอาปานสุดาถึงกับออกอาการงงงัน ร้องถามอย่างตื่นตระหนก
“คุณจิมจะพาดิฉันไปไหนคะ?”
แต่ก็หาได้รับรู้คำตอบไม่ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ลากจูงเธอไปยังกับแม่วัวตัวน้อย สาวใหญ่จึงต้องทำใจและยินยอมเดินตามเขาไปโดยดี
พอจิรเมธพาเลขาสาวผู้เจนงานมาถึงคอฟฟี่ช็อฟด้านล่าง ก็จับจองหาที่นั่งในมุมสงบเป็นส่วนตัว แล้วเอ่ยปากเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว
“คุณปานเป็นคนทำบัญชีเล่มนี้ให้คุณพ่อใช่ไหมครับ?”
คนถามหยิบสมุดเจ้าปัญหาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับลอบสังเกตอากัปกิริยาของคนที่นั่งตรงข้ามไปด้วยว่าจะแสดงออกเช่นไร
ทันทีที่ปานสุดาเห็นสมุดเล่มใหญ่ คุณเธอก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ ไม่แตกต่างไปจากตอนที่เขาถือมันไปถามบิดาสักเท่าไหร่นัก
“ใช่ไหมครับ?” คนรู้แกวถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้เล่นเอาเลขาสาวสะดุ้งโหย่ง ก่อนจะเร่งตอบกลับไปว่า
“เอ่อ... ค่ะ... ดิฉันเป็นคนทำให้ท่านเองค่ะ”
สีหน้าลำบากใจอย่างเด่นชัดของเจ้าตัว ซึ่งบ่งบอกว่าไม่อยากจะชี้แจงแถลงความอันใดให้เป็นที่ประจักษ์แก่เขา ยิ่งทำให้จิรเมธมั่นใจเป็นนักหนาว่าจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในสมุดบัญชีเล่มนี้แน่นอน
“ดีครับ งั้นก็แปลว่าผมมาถามถูกคนแล้ว” จิรเมธยิ้ม แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูเย็นยะเยือกเสียเหลือเกินในสายตาของคนมอง “ผมอยากทราบว่าสมุดเล่มนี้เป็นบัญชีอะไร แล้วคุณพ่อโอนเงินไปให้ใครครับ?”
จิรเมธยิงคำถามตรงประเด็นทันทีโดยไม่มีการอ้อมค้อม ทำเอาเลขาสาวผู้ซื่อสัตย์ได้แต่นั่งน้ำท่วมปากไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไรดี เมื่อนึกไปถึงคำสั่งประกาศิตของผู้เป็นเจ้านายโดยตรง ตั้งแต่ครั้งที่เธอเพิ่งรับทำงานนี้ใหม่ๆ ว่า
“ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาดนะคุณปานสุดา โดยเฉพาะคุณอำไพพรรณ!”
“คุณจิมได้บัญชีเล่มนี้มายังไงกันคะ?” แทนที่จะตอบ เลขาสาวผู้มีไหวพริบกลับยื้อเวลาด้วยการย้อนถามกลับ ในใจก็พลางนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า
‘พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกช้างด้วยเถิด
เจ้านายนะเจ้านาย... นำพาความซวยมาให้ปานซะแล้วไหมละ’
“เอ๋! คุณปานพูดเหมือนกับว่าผมไม่ควรจะรับรู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นแหละ” เขาเลิกคิ้วถามด้วยความไม่ชอบใจ ทั้งที่ใบหน้ายังคงยิ้ม
คนมีชนักเลยรีบเลิกลั่กปฏิเสธ
“ปะ... เปล่า... ค่ะ เพียงแต่ท่านประธานไม่ได้สั่งอะไรดิฉันเอาไว้เป็นพิเศษเท่านั้นเองค่ะ ดิฉันจึงไม่ค่อยทราบเรื่องสักเท่าไร”
“งั้นเหรอครับ” จิรเมธร้องบอกอย่างแปลกใจ “ทั้งที่คุณเป็นคนดูแลบัญชีเล่มนี้มาตั้งแต่ต้นเนี่ยนะ?”
กริยาท่านั่งไขว่ห้างคนของพูดแลดูสบาย แต่แววตาคมกริบกลับหรี่มองมายังเธอฉายแววกดดัน น่าอึดอัด จนทำให้ปานสุดาถึงกับนั่งเหงื่อตก จิตใจสั่นระรัว ทั้งที่แอร์ภายในห้องโถงนี้ก็เย็นฉ่ำเสียแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง
“ใช่ค่ะ” เธอยังคงยืนกรานเสียงแข็ง “ขอเรียนตามตรงนะคะคุณจิม ดิฉันมีหน้าที่เพียงแค่จัดการตามที่ท่านประธานสั่งเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอะไรต่างๆ ท่านไม่ได้เล่าให้ดิฉันฟังหรอกค่ะ”
‘ฉลาดพูดเหลือเกินนะ สมแล้วที่คุณพ่อของเขาให้ความไว้วางใจ
ดูท่าว่าหล่อนคงจะไม่ยอมคายความลับออกมาง่ายๆ แน่
งานนี้คงต้องเล่นของหนักกันซะหน่อยแล้วละ’
จิรเมธคิดอย่างเข่นเขี้ยว นึกอยากไล่ต้อนแม่คนไหวพริบดีให้หมอบกระแตขึ้นมาตงิดๆ
“น่าแปลกจริงๆ ที่คนสนิทอย่างคุณปานจะไม่รู้เรื่องนี้ ทั้งที่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเจ้านายคุณแท้ๆ” หนุ่มขี้เล่นนั่งเท้าคาง พลางเลิกคิ้วถามออกมาทีเล่นทีจริง “เอ๊ะ!... ผมชักจะสงสัยซะแล้วสิครับว่า คุณเหมาะสมกับตำแหน่งเลขานี้จริงรึเปล่า?”
คำพูดคุกคามตำแหน่งที่คนฟังถือครองอยู่ ทำให้ปานสุดานั่งไม่เป็นสุข แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง จนต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เพราะหวั่นว่าอีกฝ่ายจะจับเท็จเธอได้ แม้นจะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเจ้าตัวสักเพียงใด ทว่าเลขาสาวก็จำต้องใจแข็งบอกปัดอีกฝ่ายไปทั้งที่รู้คำตอบดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นมืออาชีพ ซึ่งต้องรักษาความลับของผู้เป็นนายเอาไว้จนถึงวาระสุดท้าย
“ดิฉันไม่ได้โกหกนะคะ แต่ดิฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
อาการนั่งหงอจนหัวหด ไม่ยอมมองสบตาเขาเลยแม้แต่นิด ทำให้จิรเมธพอจะคาดเดาได้ว่า
‘หล่อนคงจะได้รับการกำชับมาอย่างหนักแน่นจากคุณพ่อของเขาแล้วแน่ๆ’
ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อันใดที่เขาจะคาดคั้นขู่เข็ญหล่อนอีกต่อไป เพราะเชื่อเถอะว่าต่อเขาให้เอาปืนจ่อหัวคุณเธออยู่ ลูกจ้างสาวผู้แสนสัตย์ซื่อก็คงไม่ยอมปริปากเอื้อนเอ่ยคำใดที่จะทำให้ผู้เป็นนายเสียหายอย่างเด็ดขาด!!!
หรือต่อให้เขาสามารถง้างปากอีกฝ่ายได้จริงๆ แม่ทาสสาวก็คงจะยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้เสียแน่นสนิท จนตัวเขาไม่อาจจะมองเห็นได้แม้แต่กระทั่งลิ้นไก่ของเจ้าหล่อนอยู่ดีนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น ทางเลือกสุดท้ายที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ก็คือ...
ต้องสืบหาความจริงด้วยตัวเอง!
“เอาเถอะครับ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าผมทราบความจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ ช่วยระวังขาเก้าอี้ของคุณเอาไว้หน่อยก็ดีนะครับ เพราะมันอาจถูกเลื่อยจนหักเมื่อไหร่ก็ได้” คนช่างแกล้งยังไม่วายเอยข่มขวัญให้คนปากแข็งเกิดจิตตก
“ค่ะ” ปานสุดาจึงรับคำเสียงอ่อย ได้แต่ภาวนาขอให้ซาตานร้ายจอมขี้เล่นยอมเห็นใจเธอบ้าง
“ผมหมดธุระกับคุณแล้ว เชิญครับ” จิรเมธก็ผายมือเป็นเชิงไล่อีกฝ่ายทางอ้อม
ทว่าปานสุดาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม เมื่อเสียงที่ดังขึ้นนั้นราวกับสวรรค์ลงมาโปรด ทำให้เธอหลุดพ้นจากสภาพการเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ถูกตำรวจเค้นคออย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยสถานการณ์ที่เธอจำต้องเผชิญอยู่ขณะนี้ มันน่าอึดอัดและทรมานยิ่งนัก เพียงเพราะว่า...
เธอรู้ความจริงทั้งหมด แต่เธอก็ไม่สามารถเอ่ยปากออกไปได้!
ผลสุดท้าย... เธอเลยต้องขจัดปัญหาด้วยการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปเพียงสถานเดียว
แต่!!! คนที่เธอต้องต่อกรด้วยเป็นพ่อไก่อ่อนเสียเมื่อไหร่กันล่ะ ในเมื่อจิรเมธนั้นคือจิ้งจอกหนุ่มผู้มากไปด้วยเล่ห์และเพทุบาย พร้อมที่จะเล่นงานเธอได้ทุกเวลา ถ้าเธอนั้นเกิดพลั้งเผลอพูดจาไม่รอบคอบออกไป
ดูอย่างเรื่องในวันนี้สิ เธอยังเกือบจะจนมุมเขาอยู่เสียหลายรอบ หากไม่ติดที่เธออาศัยความชำนาญในหน้าที่การงานที่ทำมานานร่วมหลายสิบปีแล้วละก็ รับรองว่าพ่อเจ้าประคุณคงได้รีดเค้นล้วงเอาความลับจากตัวเธอจนหมดเปลือกไปถึงกระดูกแน่ๆ
เมื่อรู้พิษสงความร้ายกาจของพ่อคนรูปหล่อดีแล้ว คนที่เข็ดขยาดกับสภาวะดังเช่นเมื่อครู่เลยรีบลุกขึ้น หมายจะหนีไปให้พ้นเสียจากแววตาจ้องจับผิดของคนตรงหน้าเสียก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ทว่า... ยังไม่ทันที่ปานสุดาจะได้ก้าวขาลาโรงไปไหน เสียงห้าวทุ้มก็ชิงแทรกขึ้นฉุดรั้งเธอเอาไว้อีกครั้ง ทำเอาคงฟังถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนที่จะค่อยๆ หันใบหน้าอันเหยเกมายังชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า
“อ้อ! เรื่องที่ผมพูดกับคุณในวันนี้ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว คุณปานรู้ใช่ไหมครับว่าควรทำยังไง?” จิรเมธเอ่ยปากขอร้องด้วยรอยยิ้มหวาดหยด แต่มันช่างดูแล้วเหมือนเป็นการแย้มยิ้มดุจพญามาร ที่พร้อมจะกระชากวิญญาณออกไปจากร่างของเธอได้ทุกเมื่อเสียจริงๆ เชียว
“ค่ะๆ ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ท่านประธานทราบแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครับ” คนได้รับคำตอบเป็นที่พอใจจึงยอมพยักหน้าให้หล่อนจากไปได้
เลขาสาวไม่รั้งรอ รีบเดินโกยอ้าวจากไปด้วยความรวดเร็วปานพายุหมุน
คนที่คว้าน้ำเหลวเหลือบมองสมุดบัญชีในมืออย่างครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆ จะปรากฏขึ้นมาบนดวงหน้าคมสัน ในเมื่อธนาคารที่พ่อของเขาไปเปิดบัญชีลับเอาไว้นั้น มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาประจำอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการที่สาขาใหญ่
เพราะฉะนั้น... ไอ้เรื่องที่จะสืบหาต้นตอ มันจึงช่างง่ายดายเหมือนกับการปอกกล้วยเข้าปากยังไงอย่างนั้น
และพอเขาได้ชื่อกับที่อยู่ของบุคคลปริศนาแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยตามไปสืบให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย
จิรเมธจึงไม่รอช้ารีบหยิบโทร. ศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข เพื่อติดต่อไปขอความช่วยเหลือกับเพื่อนคนดังกล่าวในทันที
--------------------------------------------------------------------
แจ้งข่าวค่าาาา
ใต้ร่มใบภักดิ์ และนิยายในชุดลูกไม้ของพ่อ กำลังจะกลับมารีรันฉายทางช่อง 3 อีกครั้ง
ช่อง 33 เวลา 14.30 น.
และช่อง 28 เวลา 18.20 น.
เริ่มพรุ่งนี้ 3 พ.ย. เป็นตอนแรกนะคะ
อ่านนิยายไป ดูละครด้วย รับรองว่าสนุก feel good ฟินจนแก้มปริกันถ้วนหน้าเลยค่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
