ตอนที่ 11 : แกลลอนที่ 5 (50%)
จิเมธส่งรอยยิ้มการค้าให้แก่หุ้นส่วนคนสำคัญของบิดาทันทีที่เห็นอีกฝ่ายนั่งรออยู่ภายในล็อบบี้ของโรงแรมหรูระดับห้าดาว
“สวัสดีครับมิสเตอร์ดิแลนซา” หนุ่มไทยเดินตรงเข้าไปจับมือทักทายกับเจ้าตัวด้วยสำเนียงสากล พร้อมทั้งกล่าวขอโพยด้วยความเกรงใจ “ขอโทษนะด้วยครับที่ผมมาช้าไปหน่อย คุณนั่งรอนานหรือยังครับ?”
“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เองครับ ไม่ได้รอนานอะไร” ชายสูงวัยคราวพ่อยิ้มรับบางๆ “อีกอย่าง ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษ เพราะทำให้ทางคุณต้องพลอยลำบากลำบนเดินทางมาถึงที่นี่แทน”
จิรเมธส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ทางผมเองไม่ได้ลำบากอะไร ดีซะอีกครับที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศจากออฟฟิคแคบๆ มาชมทะเลสวยๆ แบบนี้บ้าง”
หนุ่มหัวแหลมใช้วาทศิลป์อันเฉียบคมกล่าวทำคะแนนให้คู่ค้าสบายใจขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับกระตุกยิ้มด้วยความชื่นชม
“น่าดีใจแทนเกริกเกรียติจริงๆ นะครับ ที่มีลูกชายเฉียวฉลาดขนาดนี้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังต้องเรียนรู้อะไรจากคุณพ่ออีกมากครับ” จิรเมธถ่อมตน แล้วผายมือเชื้อเชิญให้เจ้าตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ฝั่งตรงข้าม “ผมว่าเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ สบายๆ ดีกว่าไหมครับ?”
เขาเริ่มต้นการเจรจาด้วยการมอบไมตรีจิตให้แก่คู่ค้า เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดและบังเกิดความคิดที่ว่า ฝ่ายเขาต้องการเร่งรัดให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์อันมหาศาลเพียงอย่างเดียว
“ก็ดีเหมือนกันครับ” หลุยส์ ดิแลนซา พยักหน้ารับ ก่อนหย่อนกายลงนั่งบนนวมนุ่มพร้อมกับชายหนุ่มด้วยท่าทีเอกเขนก โดยมีบุตรชายของหุ้นส่วนคอยดูแลเทคแคร์เขาเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการจัดหาเครื่องดื่มหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ตามที่ตัวเขาต้องการ
เมื่อจิรเมธสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีและพร้อมที่จะพูดคุยถึงเรื่องการเรื่องงานแล้วนั่นแหละ เขาจึงยื่นเอกสารที่ตนเสียเวลาจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยด้วยตัวเองกับมือแก่ชายสูงวัย
“นี่เป็นรายละเอียดต่างๆ ของโครงการนี้ครับ”
หลุยส์รับกระดาษปึกนั้นมาเปิดอ่านเนื้อหาใจความ และพันธะสัญญาที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามหัวข้อปลีกย่อยให้ง่ายแก่การเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่เขาจะแย้มยิ้มด้วยแววพึงพอใจ
“รายละเอียดทุกอย่างครบถ้วนดีครับ คุณนี่ทำงานรอบคอบจริงๆ”
“ขอบคุณมากครับ” คนฟังยิ้มรับคำชมเชยด้วยความยินดี “ไม่ทราบว่าทางคุณมีอะไรอยากจะให้ทางเราเพิ่มเติมอีกไหมครับ?”
“ไม่ละครับ ผมว่าสัญญาฉบับนี้มันก็แฟร์กับเราทั้งสองฝ่ายดีอยู่แล้ว” พ่อค้าผู้ช่ำชองตอบกลับ หลังจากที่พลิกกระดาษในมือดูคร่าวๆ อีกครั้ง “เป็นอันว่าผมตกลงจะร่วมทำโครงการนี้กับทางคุณครับ” ทว่ายังไม่ยอมลงชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ตามปกติที่เคยปฏิบัติต่อกัน เพราะตั้งใจจะลองเชิงอีกฝ่ายตามนิสัยชอบหยอกของตน
“ขอบคุณมากครับ” คนที่พอจะรู้แกวเลยได้แต่เพียงยิ้มรับ พร้อมทั้งเอ่ยแก้เกมไปว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะฝากเอกสารทุกอย่างไว้ที่คุณพ่อนะครับ เพราะท่านตั้งใจจะแวะมาเยี่ยมคุณอยู่แล้ว”
คนฟังเลยยิ้มชอบใจเข้าไปใหญ่ เมื่อคนช่างพูดสรรหาทางออกได้อย่างนุ่มนวลชวนฟังไม่เบา การที่ชายหนุ่มเอ่ยอ้างถึงบิดาซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับตนมาหลายสิบปี จนกระทั่งกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเสียแล้วเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกันได้ อีกทั้งการที่จิรเมธหยิบยกเอาความระลึกห่วงหาขึ้นมากล่าวถึง มันช่างให้ความรู้สึกว่าการเดินทางมาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้ของเขาไม่ได้เกิดจากผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เขามาเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนฝูงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย
เหมือนกับการใช้ใจซื้อใจ... หรือใช้มิตรภาพแลกกับความซื่อสัตย์ในการลงทุนร่วมกันนั่นเอง
“ฮะฮ่าๆๆ ต้องให้มันได้อย่างนี้สิหลานชาย” หลุยส์หัวเราะถูกใจ ยกมือตบบ่าในความมีไหวมีพริบของบุตรชายเพื่อนรักเสียยกใหญ่ ที่เจ้าตัวนั้นทำให้คนอย่างเขาต้องยอมยกธงขาวโดยไม่มีข้อแม้
“ขอบคุณครับ” จิรเมธเลยตอบรับด้วยใบหน้าทะเล้นเป็นกันเอง
“เอาเอกสารมาให้ลุงเซ็นเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา” ชายสูงวัยบอกหุ้นส่วนหนุ่มอย่างเต็มใจ
“ได้ครับ” เขายิ้มรับด้วยความลิงโลดที่ตนสามารถปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็อยู่สนทนากับเพื่อนของบิดาอีกเพียงสักครู่ ก่อนที่จะเอ่ยขอตัวเมื่อถึงเวลาอันสมควร
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณลุงดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะครับ”
“อืม” คนฟังพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยปากล่ำลา แล้วจึงเดินแยกจากกันไป
เช้าวันรุ่งขึ้น จิรเมธรีบบึ่งรถมารับบิดาที่สนามบินในตัวเมืองด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่เกริกเกียรติได้โทร. ศัพท์มาแจ้งว่าเดินทางมาถึงตรังแล้ว โดยเขาไม่ลืมพกเอาเอกสารสัญญาการลงนามร่วมทุนระหว่างสองบริษัทที่เขาได้รายงานให้ท่านทราบ นำติดมือไปให้ผู้เป็นพ่อด้วย
“เดินทางเหนื่อยไหมครับคุณพ่อ?”
ชายหนุ่มเดินปรี่เข้าไปรับสัมภาระจากบิดามาถือไว้เสียเอง เมื่อเห็นท่านเดินออกมาจากช่องทางผู้โดยสารขาเข้า
“ไม่เหนื่อยหรอกลูก” เกริกเกียรติส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันมาเร่งบุตรชาย “เรารีบตรงไปหาหลุยส์ที่โรงแรมเลยก็แล้วกัน พ่ออยากจะไปขอบคุณเขาสักหน่อยน่ะ”
“ครับ” คนเป็นลูกรับคำ แล้วขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สาวเท้าก้าวนำหน้าออกไป แต่พอลองก้มดูขนาดและน้ำหนักที่หนักอึ้งของมันแล้ว เจ้าตัวก็อดที่จะเอ่ยแซวบิดาไม่ได้ “คุณพ่อกะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยรึไงครับ ถึงได้ขนของมาซะเยอะแยะมากมายขนาดนี้”
“อ๋อ... พ่อกะจะเอามาเยี่ยมคนที่นี่สักหน่อยน่ะ”
แววตายิ้มกริ่มยามที่บิดาเอ่ยถึงใครบางคนนั้น ทำให้ผู้เป็นลูกซึ่งเพียรสืบเสาะแสวงหาต้นตอของเจ้าหนี้ก้อนใหญ่ในชนบทเช่นนี้ อดที่จะนึกหวาดระแวงขึ้นมาทันควันมิได้ว่า
‘ท่านตั้งใจมาหาคนที่นี่หรือเจ้าหนี้กันแน่?’
ทว่าจิรเมธก็ไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใดออกไปตามที่ใจคิด ด้วยรู้ดีว่าอย่างไรเสียบิดาก็ต้องหาทางบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาเป็นแอบสังเกตอากัปกิริยาของท่านอยู่เพียงเงียบๆ
“ก็ดีนะครับ ผมจะได้ถือโอกาสทำความรู้จักบ้านเกิดของคุณพ่อซะด้วยเลย” จิรเมธฉวยจังหวะนี้รีบบอกความปรารถนาแก่บิดาทันที เพราะถ้าหากเขาคอยตามติดท่านไปทุกที่เหมือนดั่งเงาตามตัวแล้วละก็....
ไอ้หมู่บ้านลับแลที่เขาเพียรค้นหามาตลอดสองวันนี้ มันจะหนีไปไหนเสีย!
“โอ๊ย! ที่นี่ไม่มีอะไรให้น่าสนใจเหมือนยังกับที่กรุงเทพฯ หรอก พ่อว่าแกอยู่ยังไม่ทันจะข้ามวันเลยด้วยซ้ำ ขี้คร้านจะรีบพานเบื่อไปซะก่อนน่ะสิ” เกริกเกียรติค้านทันควันเหมือนดังที่ชายหนุ่มคาดไว้ไม่มีผิด
“โธ่! คุณพ่อก็ดูถูกผมเกินไปนะครับ” เขาแสร้งตัดพ้อ ก่อนจะยิ่งตอกย้ำให้บิดาดิ้นไม่หลุด “ยังไงผมก็จะอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อ จนกว่าจะกลับกรุงเทพฯ นั่นแหละครับ”
“ไม่ต้องหรอกลูก พ่อเกรงใจแก ไม่อยากให้ต้องทนอยู่บ้านนอกแบบนี้นาน”
“ได้ยังไงกันล่ะครับ ขืนผมกลับไปคนเดียวละก็ มีหวังคุณแม่ได้บ่นผมหูชากันพอดีว่า...ไม่ยอมดูแลคุณพ่อ”
บุตรชายเล่นงานจุดอ่อนของเขาด้วยการเอ่ยปากถึงภรรยาที่เคารพรัก ทำเอาเกริกเกียรติยังต้องออกอาการเกรงใจเสียเอง เขาเลยจนปัญญาที่จะหาทางหลีกเลี่ยงได้
“งั้นก็ตามใจ” ผู้เป็นพ่อเลยตอบรับไปแกนๆ แล้วพลันเปลี่ยนเรื่องไปเสีย “รีบไปกันเถอะ สายมากแล้ว พ่อไม่อยากให้หลุยส์รอนาน”
“ครับ” รอยยิ้มที่ผุดขึ้นเปี่ยมไปด้วยแววสมหวังที่ทุกสิ่งเป็นไปตามแผนของเขา โดยไม่ต้องแหวกหญ้าให้งูตื่น ในใจก็พลันบังเกิดความตื่นเต้นอย่างสุดขีดว่า
‘ขอดูหน้าไอ้พวกเศรษฐีบ้านนอกหน่อยเถอะว่า...จะมีสี่หัว แปดตา สิบกรเหมือนกับในหนังรึเปล่า?
ถึงได้หน้าเลือด ขูดรีดดอกเบี้ย ซะจนคุณพ่อของเขาต้องเป็นหนี้ท่วมหัวขนาดนี้’
จิรเมธคิดเองเออเองเสียเสร็จสรรพ โดยไม่ถามไถ่ใครทั้งสิ้น แถมยังมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินว่า เขาสามารถคลี่คลายปมคดีได้อย่างเฉียบคมราวกับเป็นนักสืบชื่อดังอีกต่างหาก ชายหนุ่มจึงเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความภูมิใจมาตลอดทาง จนกระทั่งเขาก้าวขาขึ้นรถแวนคันใหญ่ที่จอดไว้ในลานกว้าง ทำเอาคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ต้องหันมาเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ
“มีอะไรให้น่าดีใจนักหนารึไง แกถึงได้ยิ้มซะจนหน้าบานเชียว”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่รู้สึกดีใจที่ทำงานใหญ่ให้คุณพ่อได้สำเร็จ เพราะมันหมายถึงเม็ดเงินที่กำลังจะตามมาด้วยน่ะครับ” บุตรชายเลือกที่จะตอบกลับไปอย่างชาญฉลาด
“สมกับที่เป็นลูกพ่อจริงๆ” เกริกเกียรติยิ้มชมเชยเพราะเชื่อสนิทใจ “แบบนี้พ่อค่อยวางใจ กล้ายกทุกอย่างในกำมือให้แกดูแลได้หน่อย”
“โธ่! คุณพ่อพูดยังกับว่าไม่เคยเชื่อมั่นในตัวผมเลยอย่างนั้นแหละครับ”
คนฟังรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยถึงสิ่งที่ตนนึกวิตกอยู่
“พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพราะพ่อรู้ว่าแกน่ะมีสายเลือดของเดชาธรอยู่เต็มตัว ดังนั้นแกไม่มีวันทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังเป็นอันขาด แต่สิ่งที่พ่อกลัวก็คือ พ่อไม่อยากให้แกใช้ความสามารถที่มีมุ่งแต่จะหาผลกำไรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงเหรอครับ!?” เป็นครั้งแรกที่จิรเมธเบือนหน้าจากท้องถนน หันมาค้นหาคำตอบในแววตาของบิดาถึงสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรนัก
“จำไว้นะจิม การที่เรามีมากกว่าคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่เหนือหรือยิ่งใหญ่กว่าใครเขา ไม่ว่าจะยากดีมีจน... คนเราทุกคนก็เกิดมาเท่าเทียมกัน“ บิดาที่เคยผ่านโลกมาอย่างโชกโชนกล่าวสั่งสอนลูกชายด้วยสุ้มเสียงที่อ่อนโยน
“แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้นี่ครับว่า สมัยนี้...เงินคือพระเจ้าที่สามารถบันดาลอำนาจทุกสิ่งให้เราได้” จิรเมธแย้งขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย เพราะเขาถือคติว่า
‘ต้องมองโลกในความเป็นจริงมากที่สุด’
“ที่แกพูดมามันก็จริง แต่จิมรู้ไหมว่าบนโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เงินซื้อไม่ได้ อย่างเช่นความจริงใจไงละ” เกริกเกียรติพยายามยกตัวอย่างที่ดีให้บุตรชายคล้อยตาม
“ผมว่าสิ่งที่คุณพ่อพูดถึง มันคงจะหมดจากโลกใบนี้ไปแล้วล่ะครับ” แต่คนฟังยังคงยืนยันในความคิดของตน
เมื่อได้ฟังทัศนคติที่ผิดแผกไปจากคำสอนของเขาโดยสิ้นเชิง เกริกเกียรติก็นึกเสียใจขึ้นมานิดๆ ว่าเป็นความผิดของเขาเอง ที่ส่งให้บุตรชายเพียงคนเดียวไปเรียนรู้โลกกว้างในเชิงธุรกิจยังประเทศที่เจริญแล้ว เลยเป็นเหตุให้ความคิดความอ่านของเจ้าตัวถูกหล่อหลอมเอาไว้ด้วยค่าของเงินตรา ซึ่งอยู่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด และกลับละเลยศีลธรรมจรรยาอันดีงามไปเสียจนสิ้นเช่นนี้
ทั้งที่จริงๆ แล้วเกริกเกียรติก็รู้อยู่เต็มอกว่า จิรเมธไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวหรือคิดเอารัดเอาเปรียบใครทั้งนั้น
กลับกัน...เจ้าตัวจะขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยสองมือและความสามารถของตนเอง เพราะยึดมั่นว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ มาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้บุตรชายของเขาจึงยึดหลักในการทำงานที่ตั้งอยู่ในความยึดมั่นตายตัว ไม่รู้จักยืดหยุ่นหรือผ่อนปรนลงเสียบ้าง ไม่เว้นแม้แต่การใช้ชีวิตส่วนตัว จนบางครั้งอาจจะดูแล้งน้ำใจในสายตาของใครหลายๆ คนบ้างก็ตาม แต่เจ้าตัวก็หาได้เคยใส่ใจไม่ เพราะเชื่อมั่นว่าการดำเนินชีวิตของตนนั้นถูกต้องมาโดยตลอด
“นี่ฉันคิดถูกรึเปล่าเนี่ย ที่ส่งแกไปเรียนเมืองนอกน่ะ?” เกริกเกียรติพึมพำด้วยความอ่อนใจ
“ก็ต้องคิดถูกสิครับ ไม่อย่างนั้นลูกชายของคุณพ่อจะเก่งแบบนี้เหรอครับ” คนเป็นลูกจึงช่วยย้ำความมั่นใจให้แก่บิดา โดยไม่ได้คิดตามถึงสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อกับเขาเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้เก่งน่ะใช่ แต่ว่าของแถมที่ติดตัวแกมาด้วยเนี่ยสิ... ที่ทำให้พ่อกลุ้มใจ”
“ของแถมอะไรเหรอครับ?” จิรเมธถามกลับด้วยความสงสัย
“ก็ไอ้นิสัยตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นฝรั่งของแกนี่ยังไงละ ที่ทำให้พ่อปวดหัวอยู่ทุกวันนี้” บิดาเลยเฉลยอย่างประชดประชันกลับเข้าให้
“ฮะฮ่าๆๆ แหม... คุณพ่อนี่เข้าใจเล่นมุขเหมือนกันนะครับ” ชายหนุ่มหัวเราะจนน้ำตาแทบจะเล็ด
นั่นปะไร! แทนที่ไอ้ตัวแสบจะสำนึก มันดันเอาแต่นั่งหัวเราะงอหงาย เพราะคิดว่าเขาเล่นมุขเสียอย่างนั้น เกริกเกียรติเลยจำต้องปล่อยวางเรื่องนี้อย่างจนปัญญา
“เอาเถอะ ถ้าแกได้เจอคนที่แกพร้อมจะเสียสละให้โดยไม่หวังตอบแทนเมื่อไหร่ละก็ แกจะเข้าใจในสิ่งที่พ่อพูด”
“ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ” จิรเมธจึงยักคิ้วหลิ่วตาให้บิดาอย่างทะเล้น โดยไม่คิดใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ!” คนเป็นพ่อจึงถอนหายใจออกมาเสียยืดยาวด้วยความหนักใจ เพราะมันคงไม่มีหนทางใดที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนนิสัยบุตรชายได้อีกแล้วตามคำโบราณที่ว่า
‘ไม้อ่อนน่ะดัดง่าย... แต่ไม้ที่ถูกปลูกฝังค่านิยมผิดๆ ไปเต็มตัวซะแล้วอย่างลูกชายเขานี่สิ
มันคงจะดัดยากเกินกว่าไม้แก่ธรรมดาอยู่หลายขุมนัก’
“คุณพ่อถอนหายใจทำไมกันครับ หรือว่าผมพูดอะไรผิดไป” เขาร้องถามเมื่อได้เห็นแววกลัดกลุ้มของท่าน
“แกไม่ได้พูดอะไรผิดไปหรอก เพียงแต่พ่อไม่อยากให้แกมีความคิดแบบนี้ ก็เท่านั้นเอง”
“แล้วคุณพ่ออยากให้ผมมีความคิดแบบไหนกันล่ะครับ?”
“พ่ออยากให้จิมเป็นคนเก่งเหมือนกับที่แกเป็นอยู่ทุกวันนี้นี่แหละ แต่ก็อย่าลืมแบ่งปันน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นเขาบ้าง”
น่าแปลกนักที่คำพูดอ่อนโยนเช่นนี้ของบิดา มันจะทำให้เขาเห็นท่านประดุจดั่งพ่อพระเสียเหลือเกิน แม้นว่าจิรเมธจะไม่ได้ซาบซึ้งตื้นตันถึงเนื้อหาที่ผู้เป็นพ่อกล่าวออกมาอย่างถ่องแท้เลยก็ตาม
“มีด้วยเหรอครับ คนที่จะช่วยใครฟรีๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย?” เขาร้องถามอย่างประหลาดใจ “ผมไม่ยักจะเคยเห็น”
“มีสิ” เกริกเกียรติพูดด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม “ก็คนที่มีพระคุณต่อพ่อไงละ”
น้ำเสียงยกย่องบ่งบอกถึงความเทิดทูนต่อคนที่เขาต้องการจะพบหน้าให้ได้ ทำเอาจิรเมธถึงกับหูผึ่ง รีบร้องถามบิดาทันควัน
“คนที่เป็นเจ้าหนี้ของคุณพ่อน่ะเหรอครับ?”
“อื้อ” เกริกเกียรติเห็นท่าทางใคร่รู้ของลูกชายที่ยังคงจดจำเรื่องหนี้สินที่เขาเคยบอกเอาไว้ได้ พยักหน้ารับไปตามน้ำ แล้วรีบชิงเปลี่ยนประเด็นไปเสียอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าตัวตั้งท่าจะอ้าปากซักเขาอีกคราว
“นั่น! ถึงทางเข้าโรงแรมแล้วลูก” เขาสะกิดเตือนคนขับ
“อ้อ... ครับ” จิรเมธจำต้องยอมปล่อยบิดาไปก่อน เพราะยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่
ชายหนุ่มจึงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้ามาจอดตรงด้านหน้าโรงแรมใหญ่ โดยมีพนักงานหลายคนออกมาคอยต้อนรับแขกวีไอพีอย่างเกริกเกียรติและบุตรชายเป็นอย่างดี ก่อนจะนำพาพวกเขาไปยังห้องรับรองของแขกคนสำคัญอีกหนึ่งคนที่กำลังรออยู่ต่อไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดีค่าาาาาาา
ใครอ่านตอนนี้แล้วแอบหมั่นไส้ตาจิมเหมือนคนเขียนบ้างมั้ยคะ
ทั้งเค็มทั้งเขี้ยวแบบนี้ ต้องให้หนูนามาจัดการดึงหูซะให้เข็ด!
ใครรออยู่ รับรองต้องถุกอกถูกใจแน่นอน
ว่าแต่จะสั่งสอนกันแบบไหน ท่าไหน ตามมาส่องกันคราวหน้านะคะ...อิอิ
ส่วนใครอดใจรอไม่ไหว อยากรู้เรื่องก่อนใคร แวะไปโหลดได้ที่เมพและร้านอีบุ๊คชั้นนำทั่วประเทศค่า เค้ารับประกันความน่ารักนะจ๊ะ อิอิ
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
