ตอนที่ 2 : ตอนที่ 2. ชีวิตที่ต่างกัน
2. ชีวิตที่ต่างกัน
คุณหญิงรุ่งฤดีมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจทันทีที่เดินลงมาจากตัวตึก แล้วเหลือบเห็นใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดิมๆ ซึ่งมักจะแวะเวียนมาหาเธอทุกต้นเดือน โดยเฉพาะในวันที่ต้องเก็บค่าเช่าบ้านเท่านั้นด้วย เธอจึงกระชากเสียงถามห้วนๆ ด้วยสีหน้าเซ็งๆ ว่า
“เธออีกแล้วเหรอ?... มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“สวัสดีค่ะคุณหญิง”
ธารน้ำกระพุ่มมือไหว้คุณหญิงสูงวัยเจ้าของคฤหาสน์เป็นอันดับแรก ในใจก็นึกกระอักกระอวนต่อเรื่องที่เธอกำลังจะเอ่ยออกไปเป็นนักหนา เพราะรู้สึกเกรงใจที่ตนมาสร้างความขุ่นเคืองเดือนร้อนให้แก่ท่าน มิหนำซ้ำยังกระดากอายกับการขอผ่อนผันหนี้สินต่อหน้าธารกำนัลอย่างท่านนายพลพงษ์เทพ หรือแม้แต่สาวใช้อย่างแป้งร่ำที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อคอยให้กำลังใจเธอก็ตาม
“ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ถ้าจะมาขอผัดผ่อนค่าเช่าบ้านล่ะก็ ฉันไม่อยากฟัง” คุณหญิงผู้ดีเก่ารีบพูดดักคอเด็กสาวเอาไว้ก่อน พลางปรายตามองหล่อนราวกับเป็นของใช้ถูกๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไรให้ควรคู่แก่การทัศนา
คนถูกพูดจากระทบคราดเลยได้แต่นั่งนิ่งเงียบไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมา เพราะเกรงจะไปผิดหูทำให้คุณหญิงผู้สูงศักดิ์ยิ่งหัวเสียหนักกว่าเดิม
ผู้เป็นสามีจึงอดเวทนาสงสารเด็กสาวไม่ได้ เลยเอ่ยปากช่วยเกริ่น
“มีเรื่องอะไรก็เอ่ยกับคุณหญิงเขาไปเถอะหนู”
พงษ์เทพมองธารน้ำด้วยแววตาปราณี เขาพอจะคาดเดาถึงเหตุจำเป็นของเด็กสาวได้อยู่บ้าง และก็รู้ดีด้วยว่าเจ้าตัวไม่มีวันสมหวังอย่างแน่นอน เพราะภรรยาจอมงกของเขาไม่มีวันยอมลดหย่อนผ่อนปรนเม็ดเงินที่หล่อนควรได้รับเป็นอันขาด
ฉะนั้นมื่อคุณหญิงรุ่งฤดีเดินจากไปแล้ว เขาก็กะจะอาศัยช่วงจังหวะเหมาะนี่แหละ เป็นคนอุปถัมภ์ค้ำจุนคนดีที่นับวันจะยิ่งหายากบนโลกใบนี้เสียเอง
“คือหนูอยากจะขอเวลาอีกสักนิด...” ธารน้ำตัดสินใจเอ่ยปากวิงวอนเจ้าของบ้านด้วยความจนใจ ทว่าเสียงแหลมๆ ก็ดังแทรกขึ้นทะลุกลางปล้องเสียก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบ
“พอที ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ จากเธออีกแล้ว” คุณหญิงลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่เธอเหนื่อยหน่าย คร้านจะฟัง
“แต่ว่าคราวนี้หนูจำเป็นจะต้องเอาเงินไปให้น้องลงทะเบียนเรียนจริงๆ นะคะ โปรดเห็นใจครอบครัวของหนูด้วยเถิดค่ะ” หญิงสาวพยายามอ้อนวอนร้องขอ ก่อนที่คุณหญิงแห่งบ้านสัจจะอมรกุลจะเดินหนีจากเธอไปเสียดื้อๆ
สิ่งที่ธารน้ำเพียรกระทำกลับกลายเป็นเหมือนดั่งลมหายใจที่หายสาบสูญไปในอากาศ นอกจากอีกฝ่ายจะไม่เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของพวกยาจกเช่นเธอแล้ว หนำซ้ำคุณหญิงรุ่งฤดียังไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาให้เสียสายตาอีกต่างหาก
ธารน้ำมองกริยาที่เจ้าตัวกระทำด้วยความอดสู พานคิดไปว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรคหรืออะไรที่น่ารังเกียจสักอย่างหรือไม่ ไยคุณหญิงถึงต้องก้าวเท้าเดินหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าสองมือที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อคู่นี้จะเอื้อมไปแตะต้องดึงรั้ง ทำให้เกียรติยศอันสูงศักดิ์ของเจ้าตัวนั้นแปดเปื้อน
แม้จะไม่เหลือทางเลือกอื่นใดให้เธอมากมายนัก แต่ความหน้าเลือดของเจ้าบ้านที่คอยตอกย้ำกดหัวเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อคราเช่นนี้ ก็ส่งผลให้หญิงสาวจำต้องเหลือศักดิ์ศรีและความทระนงเอาไว้บ้าง ธารน้ำจึงต้องหักใจ มิอาจฉุดรั้งเกี่ยวแข้งเกี่ยวขา พร่ำรำพันถึงความข้นแค้นอันน่าอดสูของตัวเธอกับคนตรงหน้าได้ เธอปล่อยตัวลงนั่งแผละอยู่กับพื้นด้วยความสิ้นหวัง พลางใช้สายตามองตามทุกย่างก้าวของคนใจดำที่เร่งเดินจากไปอย่างไม่ใยดีเพียงเท่านั้น
น้ำขอโทษนะจ๊ะทุกคน ที่น้ำทำไม่สำเร็จ
ความทดท้อผุดแล่นขึ้นมากลางใจ แล้วคืนนี้เธอจะพาพ่อกับแม่และน้องสาวไปนอนที่ไหน ในเมื่อไม่ได้รับความเห็นใจจากคนที่ตนคาดหวัง
ปาฏิหาริย์ไม่เคยมีจริงบนโลกใบนี้... โดยเฉพาะเรื่องเงินเรื่องทองกับผู้หญิงที่มีแต่ความตระหนี่!
ภาพของเด็กสาวยามที่นั่งคอตก ปล่อยทิ้งแขนขาลู่ลงข้างลำตัวอย่างหมดแรง ส่งผลให้คนมองยิ่งรู้สึกเวทนาขึ้นมาจับจิต สองมือหนาหยาบจึงเอื้อมไปวางพาดไว้บนสองไหล่เล็กอย่างปลอบประโลมใจ ก่อนที่เสียงแหบทุ้มจะเอื้อนเอ่ยขึ้นด้วยความอ่อนโยนว่า
“ใจเย็นๆ ไว้ก่อนเถอะหนู ลุงเชื่อว่าคนดีๆ ผีมักคุ้มครอง”
“หนูก็อยากจะเชื่อแบบนั้นนะคะ แต่ว่าครอบครัวของหนูกำลังย่ำแย่ จนตอนนี้ตัวหนูเองยังหาทางออกไม่เจอเลยค่ะ” ดวงตาครุ่นคิดฉายแวววิตกกังวล
“จำไว้นะธารน้ำ หนูท้อได้ แต่ห้ามแพ้ เพราะทางทุกทางย่อมมีจุดเชื่อมต่อไปยังจุดอื่นๆ ได้ ถึงหนูจะเดินไปเจอะทางตันเข้าในวันหนึ่ง แต่วันรุ่งขึ้นหนูจะต้องรีบหาเชือก เพื่อให้หนูสามารถก้าวกระโดดข้ามกำแพงนั้นไป ไม่มีใครทำให้เราอับจนได้หรอก นอกเสียจากใจเราที่ยอมแพ้ไปซะเอง” นายพลใหญ่ยิ้มละมุนให้กำลังใจ
“ขอบคุณค่ะท่าน” ธารน้ำยกมือไหว้ พยายามกลั้นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งเอาไว้
ในยามที่เธออ่อนเปลี้ยเพลียใจเช่นนี้ ยังโชคดีที่มีพระมาโปรด ช่วยฉุดรั้งดึงเธอขึ้นจากความมืดมิดแห่งหุบเหวเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ แม้จะเป็นเพียงคำพูดที่ให้แง่คิดอันดีเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น ทว่าใจความของมันกลับเป็นเสมือนหยาดทิพย์ที่ช่วยชโลมใจเธอให้เย็นชุ่มฉ่ำได้อีกครั้ง
“หนูจะจำใส่ใจเอาไว้นับจากนี้ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างเข้มแข็ง
“ดีมากจ้ะ” ผู้สร้างขวัญให้แก่หล่อนจึงพลอยคลี่ยิ้มออกได้ เมื่อเห็นลูกกวางตัวน้อยที่ดูโซซัดโซเซสามารถยืนหยัดกลายเป็นนางพญาขึ้นมาใหม่ หลังจากได้รับการเยียวยาจากเขาไปบ้างเพียงเล็กน้อย
พงษ์เทพรู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่สู้พยายามดิ้นรนขวนขวาย ปากกัดตีนถีบอย่างยากลำบากเหลือคณา เขาจึงไม่รอช้า รีบยื่นมือเข้ามาเกื้อหนุนจุนเจือด้วยการหยิบธนบัตรใบละพันออกมาปึกหนึ่งยัดใส่มือของเจ้าตัว พร้อมกับขยายความว่า
“อย่าเข้าใจผิดนะ ลุงไม่ได้คิดจะดูถูกศักดิ์ศรีของหนูด้วยการให้เงินฟรีๆ หรอก พอดีลุงมีเรื่องอยากไหว้วานให้หนูช่วยสักหน่อย หนูพอจะเจียดเวลามาทำงานให้ลุงบ้างได้ไหม?”
“งานอะไรเหรอคะ?”
ใจจริงนั้นเธอก็รู้อยู่ว่าเงินก้อนนี้ อีกฝ่ายให้มาเพราะต้องการช่วยเหลือ แต่ท่านนายพลคงจะพอคาดเดาได้เหมือนกันว่าเธอไม่มีวันรับมันไว้เฉยๆ แน่ เขาจึงหยิบยกเรื่องงานขึ้นมากล่าวอ้างไม่ให้เธอต้องรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อกันด้วยความละอายใจ
อีกอย่าง...ดูจากลักษณะนิสัยเถรตรงของคนตรงหน้าแล้ว ธารน้ำมั่นใจว่างานที่ท่านฝากฝังให้เธอทำนั้น คงไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เธอเลยยอมรับเงินก้อนโตมาไว้ในมืออย่างง่ายดาย แม้จะยังไม่รู้ว่างานที่ท่านพูดถึงมันคืออะไรก็ตาม....
“งานง่ายๆ จ้ะ แค่หนูช่วยทำความสะอาดเรือนไม้ริมน้ำให้ลุงหน่อย อาทิตย์ละสามครั้งจะได้ไหมจ๊ะ?” นายพลพงษ์เทพบอกรายละเอียด และไม่ลืมที่จะหันมาถามความเห็นของอีกฝ่ายด้วย
“ได้ค่ะ แค่ทำงานบ้านเท่านั้นเอง งานถนัดของหนูเลยค่ะ” ธารน้ำรีบพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยปากบอกอย่างเกรงใจ “แต่หนูคิดว่าเงินที่คุณท่านให้มา มันออกจะมากเกินไปสำหรับค่าจ้างในครั้งนี้นะคะ”
“หนูอย่าคิดมากเลย ค่าของเงินพวกนี้มันไม่ได้สูงส่งเกินไปกว่าคนดีๆ อย่างหนูหรอก” พงษ์เทพยกมือขึ้นวางบนศีรษะเล็กอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะหยิบยกเหตุผลมาบอกกล่าวแก่เด็กสาวอีก “แต่ถ้าหนูไม่สบายใจ คิดว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบลุงล่ะก็ ให้ถือซะว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้าก็แล้วกัน”
ธารน้ำมองนายพลใหญ่ด้วยความปลาบปลื้มตื้นตัน เธอไม่เคยคิดฝันเลยว่าตัวเองจะโชคดีได้รับความเมตตาจากท่านถึงขนาดนี้
“ขอบพระคุณท่านมากนะคะ ถ้าหนูไม่ได้คุณท่านช่วยเอาไว้ ครอบครัวหนูคงจะแย่แน่ๆ”
หญิงสาวประนมมือไหว้พ่อพระของเธออย่างอ่อนช้อย ใจจริงเธออยากจะก้มกราบชายชราผู้แสนประเสริฐคนนี้เสียด้วยซ้ำ หากไม่ได้น้ำใจอันดีงามของเขาในครั้งนี้ละก็ คนยากไร้เช่นเธอคงจะสิ้นหนทางในการแก้ปัญหาอันหนักอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะบากหน้าไปขอพึ่งใครได้เป็นแน่
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ๆ ลุงพอจะช่วยอะไรได้ ลุงก็เต็มใจ”
ฝ่ามืออบอุ่นที่ยังคงวางทาบทับบนศีรษะของธารน้ำอยู่ตอนนี้ ช่างให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับผู้สัมผัสนั้นเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พร้อมเผชิญทุกข์หรือสุขในยามใดก็ตามที่เธอพร่ำร้องเรียกเพรียกหา หญิงสาวยอดนักสู้จึงแอบยึดเอาฮีโร่สูงวัยไว้เป็นหลักพึ่งพิงทางใจในชั่วคราว
“เอาล่ะ หนูรีบเอาเงินไปจ่ายค่าเช่าบ้านคุณหญิงซะก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวลุงจะให้แป้งร่ำพาหนูไปดูเรือนริมน้ำทีหลัง วันพรุ่งนี้หนูค่อยเริ่มมาทำความสะอาดได้” ท่านนายพลกล่าวเตือนถึงเรื่องสำคัญแก่เด็กสาว
“ค่ะ” ธารน้ำยิ้มรับ ปากก็พร่ำแสดงความซึ้งใจในจิตอารีที่อีกฝ่ายมีให้ “ขอบพระคุณคุณท่านมากจริงๆ นะคะ”
คนฟังเลยได้แต่เพียงพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะหันมาบอกสาวใช้
“ถ้าอย่างนั้นแป้งร่ำช่วยจัดการให้ทีนะ เห็นทีฉันจะต้องไปสะสางงานการของตัวเองบ้างแล้วล่ะ”
“ค่ะ คุณท่าน”
จากนั้นพงษ์เทพก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ ขยับปลายเท้าเดินกลับไปยังห้องทำงานของตน เมื่อได้ยินสาวใช้รับคำอย่างแข็งขันแล้ว
หลังจากจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้แก่คุณหญิงรุ่งฤดีจนครบถ้วนดีแล้ว ธารน้ำก็เดินตามแป้งร่ำไปยังเรือนริมน้ำต่อทันที ระหว่างทางก็มีเสียงสนทนาดังขึ้นตลอดเวลาไม่ขาดสาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นธารน้ำเสียมากกว่าที่คอยฟังเรื่องราวจากปากของสาวใช้ประจำคฤหาสน์
“เฮ้อ... โล่งใจไปทีนะน้ำ ที่คราวนี้โชคดีได้คุณท่านช่วยเอาไว้” แป้งร่ำหันมากล่าวยิ้มๆ
ขณะที่คนฟังได้แต่เพียงพยักหน้ารับ
“แต่เราก็เกือบซวยแล้วรู้ไหม เพราะดันมาเจอตออย่างคุณพระเพลิงเข้าซะได้”
“คนที่ยืนเถียงอยู่กับคุณท่านเมื่อครู่นี้น่ะเหรอคะ?” ธารน้ำปริปากถามขึ้นบ้าง เมื่อแป้งร่ำเอ่ยถึงบุคคลแปลกหน้าที่สามารถดึงดูดความสนใจของเธอได้ไม่น้อย
“ใช่แล้ว คนนั้นแหละ... คุณพระเพลิง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของคุณท่าน” หล่อนหันมาตอบด้วยสีหน้าสยองพองเกล้า ก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูเรือนไม้เมื่อพาสาวรุ่นน้องมาถึงจุดหมาย
ธารน้ำพยักหน้ารับรู้อีกครั้งด้วยท่าทีเรียบเฉย แต่ในใจกลับนึกตั้งข้อสงสัยกับคำพูดของชายหนุ่มที่ผ่านเขามาในหูแล้วรู้สึกสะกิดใจ ชวนให้งุนงงสงสัยเป็นที่สุดว่า
เฮ้อ... แปลกจริงๆ เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินคนเรียกพ่อตัวเองว่า... คุณ! นี่แหละ
ขณะครุ่นคิดหาคำตอบ สองขาเรียวก็ก้าวเดินเข้าไปในเรือนไม้ปั้นหยาสีเขียวแบบโบราณ ซึ่งมีลักษณะหลังคาเอนเข้าหากันแบบอกไก่ทั้งสี่ด้าน ไม่มีหน้าจั่ว ซึ่งพอเจ้าตัวมองไล้สำรวจไปทั่วตัวบ้านก็พลันบังเกิดความต้องตาต้องใจ ธารน้ำเคยแต่พายเรือขายของผ่านริมคลอง ซึ่งมีเรือนไทยหลังใหญ่นี้ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น แต่ยังไม่เคยได้โอกาสเข้ามายลความงดงามวิจิตรบรรจงของมันชัดๆ อย่างใกล้ชิดเช่นนี้เลยสักที
คนที่ใฝ่ฝันอยากจะมีบ้านริมน้ำเป็นของตัวเองสักหลัง จึงอดรู้สึกตื่นเต้นในทุกย่างก้าวที่เดินสำรวจภายในบ้านมิได้
“เรือนหลังนี้คุณท่านเอาไว้ให้ใครอยู่เหรอคะพี่แป้ง?” เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ของคุณพระเพลิงน่ะ”
ชื่อที่เอ่ยออกจากปากแป้งร่ำ ทำให้คนฟังถึงกับเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ เพราะลักษณะท่าทางที่ดูจะใจร้อน เอาแต่ใจสมชื่อ แถมออกจะติดนิสัยรักสบายลอยชายไปวันๆ ของคุณชายพระเพลิงที่เธอเพิ่งจะพานพบมานั้น ไม่ว่าจะมองมุมไหน จะกลับหัวกลับหางตีลังกาอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับตาวาดภาพได้เลยว่า เขาจะชื่นชอบการใช้ชีวิตสันโดษสมถะอยู่ในเรือนไม้โบราณที่แลดูไม่มีความทันสมัยเช่นนี้
“ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ?” แป้งร่ำเอ่ยถามโต้งๆ
“ค่ะ” ธารน้ำตอบกลับตรงๆ ตามที่ใจคิด คนส่งสาสน์จึงเอ่ยขยายความให้เธอรับรู้ต่อ
“เมื่อก่อนคุณพระเพลิงเธอไม่ใช่คนดื้อรั้นเอาแต่ใจขนาดนี้หรอก แต่หลังจากที่คุณท่านส่งเธอไปเรียนต่อเมืองนอก คุณพระเพลิงก็เปลี่ยนไป”
ธารน้ำสังเกตเห็นความสงสารระคนเห็นใจในแววตาของแป้งร่ำ ยามที่เจ้าตัวเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของเจ้านายหนุ่มให้เธอฟัง
“เพราะเรื่องนี้แหละ เธอเลยคิดว่าไม่มีใครรักหรือต้องการเธอเลยสักคน ขนาดคนเป็นพ่อแท้ๆ ยังผลักไสให้เธอไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่อายุแค่สิบกว่าขวบเท่านั้นเอง”
“หา! สิบขวบเองเหรอคะ?” คนฟังร้องถามอย่างตกใจ พลางให้นึกสงสัยถึงการกระทำของท่านนายพลเป็นนักหนา เพราะวัยที่สาวใช้เล่ามาถือว่าเป็นช่วงอายุที่ยังเล็กและไม่ประสีประสาอะไรมากนัก แล้วจะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่กล้าขับไล่ไสส่งให้ลูกของตนไปผจญกรรม ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนเพียงลำพังเช่นนั้นเล่า...
“ทำไมคุณท่านถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะคะ?” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น เมื่อหาคำตอบไม่ได้
“อันนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทั้งคุณท่านและคุณหญิงเองไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย” แป้งร่ำบอกอย่างจนปัญญา แม้ว่าตัวเธอจะทำงานรับใช้ผู้เป็นนายมาหลายสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถค้นหาคำตอบของการกระทำในครั้งนั้นของท่านทั้งสองได้จนถึงทุกวันนี้
“พี่รู้แค่ว่า... ถึงเมื่อก่อนคุณพระเพลิงจะเกเรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยร้ายกาจขนาดนี้ อย่างมากถ้ามีใครทำให้โมโห เธอก็มักจะโวยวายใส่ เสร็จแล้วก็หนีมานั่งเล่นที่เรือนไม้หลังนี้เป็นประจำ แต่...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สาวรุ่นพี่ก็ลอบถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ต่อไป
“พอคุณพระเพลิงรู้ว่าคุณท่านจะส่งเธอไปอยู่กับญาติห่างๆ ของคุณหญิง แล้วก็ให้เธอเรียนอยู่ที่นู้นไปด้วยเลย เธอก็ไม่เคยมาเหยียบเรือนริมน้ำหลังนี้อีกเลย คล้ายกับว่าเธอไม่อยากสร้างความทรงจำให้คิดถึงละมั้ง”
“ถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่แป้ง?” ธารน้ำรู้สึกสงสารชายหนุ่มขึ้นมาจับใจ เมื่อพอจะคาดเดาถึงความอ้างว้างเดียวดายในวัยเด็กยามที่ต้องผลัดพรากจากถิ่นฐานไปไกลได้
ทว่าความสงสัยก็ยังคงติดอยู่ในใจต่อไปอีกว่า อะไรเป็นสาเหตุทำให้พระเพลิงกลับกลายเป็นคนร้ายกาจ ไร้แก่นสารได้ถึงเพียงนี้ มันเป็นเพียงเพราะเรื่องที่ท่านนายพลส่งเขาไปเรียนต่อเมืองนอกเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ...!?
“จ้ะ” แป้งร่ำพยักหน้ารับ “ยิ่งตอนที่ขึ้นมหาลัยนะ คุณพระเพลิงเธอก็เอาแต่เกเร เที่ยวเตร่จนเรียนไม่จบอะไรสักอย่าง คุณท่านต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งห้าปีแน่ะ กว่าจะเรียกตัวเธอกลับมาได้”
“โอ้โห!!! นานจังเลยนะคะ”
“ใช่สิจ๊ะ” แป้งร่ำจีบปากบอก “นี่ยังดีนะที่คุณท่านแกล้งส่งข่าวไปหลอกเธอว่าตัวเองไม่สบายหนัก คุณพระเพลิงถึงได้ยอมกลับมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พี่ว่าเธอคงจะประชดด้วยการตั้งรกรากอยู่ที่นั่นแบบถาวรแน่ๆ”
“แสดงว่าคุณพระเพลิงคงจะโกรธคุณท่านมากๆ เลยใช่ไหมคะ?”
“พี่ว่าน้อยใจจนประชดชีวิตซะมากกว่า”
“แค่พ่อส่งไปเรียนเมืองนอกเนี่ยนะคะ ถึงกับต้องประชดชีวิตกันเลยเหรอ?”
คนฟังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของพวกเศรษฐีดีนัก หากเป็นตัวเองล่ะก็ เธอจะเพียรพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้ให้จงได้ แน่นอนว่า... มันจะต้องเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายและไม่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องผิดหวังเสียใจด้วย
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกจ้ะ” สาวใช้ส่ายหน้าช้าๆ “ชีวิตของคุณพระเพลิงยังมีอะไรที่น่าสงสารอีกเยอะ ถ้าจะให้พี่เล่าล่ะก็ สามวันยังพูดไม่จบเลย”
“ดูท่าเจ้านายของพี่คนนี้จะมีชีวิตลำเค็ญพอสมควรเลยนะคะ” ธารน้ำเปรยขึ้นอย่างเห็นใจ หลังจากได้ฟังละครชีวิตบทหนึ่งของบุตรชายเพียงคนเดียวแห่งบ้านสัจจะอมรกุล
“เรียกว่าบุญมีแต่กรรมบังมากกว่าจ้ะ เพราะถึงจะเกิดมาเพียบพร้อม มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ชีวิตก็ยังดูขาดๆ เกินๆ อยู่ดี”
แป้งร่ำถอนหายใจออกมายาวๆ อีกครั้ง เมื่อคิดถึงวีรกรรมอันเด็ดดวงแต่ละอย่างของเจ้านายหนุ่ม แล้วก็เป็นสาวใช้เช่นเธอนี่แหละต้องคอยรับหน้าเสื่อ ยื่นมือเข้าช่วยเหลือท่านนายพลเสียทุกครั้ง ยามที่ทั้งคู่เกิดประทะคารมกัน
ส่วนธารน้ำก็อดพิเคราะห์ในสิ่งที่สาวใช้สาธยายให้เธอฟังด้วยความข้องใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุขแบบคนรวยอย่างที่เธอเคยนึกอิจฉา จะมิได้สวยหรูอย่างที่คนภายนอกมองเห็นเลยสักนิด แม้นเขาจะมีรูปโฉมและทรัพย์สินมั่งคั่งมหาศาลสักเพียงใด แต่สิ่งค้ำจุนอันล้ำค่าภายในจิตใจนั้นเล่า เขากลับไม่เคยได้รับมันเลยสักนิดเช่นกัน
ต่างจากชีวิตของเธอลิบลับ ความสุขสบายทางกายที่เขามีพร้อมสรรพ มันเป็นสิ่งที่เธอเฝ้าไขว่คว้าตามหาตลอดทั้งชีวิต ส่วนเรื่องที่เขาโหยหาขาดแคลนนั้น เธอกลับได้รับมันเต็มเปี่ยมจากครอบครัวจนๆ เพราะสมาชิกแต่ละคนต่างก็รักใคร่ห่วงใย พร้อมจะมอบความอบอุ่นจริงใจให้แก่กันและกันไม่มีขาด
เพียงแค่ความสุขน้อยๆ แต่ยิ่งใหญ่นี้ ก็สามารถทดแทนความต้องการทางปัจจัยห้าที่ครอบครัวของเธอกระเสือกระสนต้องการใช้ดำรงชีพได้แล้ว เพราะความสุขที่แท้จริงจากสิ่งอื่นใด ไหนเลยจะสู้ความสุขทางใจอันเกิดจากครอบครัวที่รักและสมัครสมานกันได้เล่า
“เออ... ว่าแต่พรุ่งนี้น้องน้ำจะมาทำความสะอาดที่นี่รึเปล่า พี่จะได้เรียนคุณท่านให้”
จู่ๆ แป้งร่ำก็เปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อชักจะรู้สึกว่าเรื่องเล่าของตนทำให้เด็กสาวบังเกิดความหดหู่ขึ้นมา ทำเอาธารน้ำแทบเปลี่ยนอารมณ์ตามไม่ทันเลยทีเดียว
“ได้ค่ะ แต่น้ำขอมาช่วงบ่ายนะคะ เพราะช่วงเช้ากับช่วงเที่ยงน้ำมีงานอื่นต้องทำก่อนค่ะ”
“ได้สิจ๊ะ งั้นเดี๋ยวพี่จะมาเปิดบ้านรอช่วงนั้นก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณค่ะ”คนฟังยิ้มรับบางๆ
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะจ้ะ พี่ยังมีงานบ้านต้องไปทำต่ออีกเพียบเลย” สาวใช้เอ่ยชักชวน พลางเดินตามกันออกมาจากเคหสถานหลังงาม ก่อนจะต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
ลูกจ้างหมาดๆ คนใหม่เดินกลับบ้านเช่าด้วยความเบิกบานใจ นอกจากเธอจะช่วยครอบครัวไม่ให้ตกระกำลำบากแล้ว เธอยังสามารถหาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้แก่น้องสาวและแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้อีกด้วย
คราวนี้แหละ ครอบครัวของเธอจะได้คลายความกังวลและหายใจหายคอคล่องขึ้นมาบ้างเสียที…
ส่วนอีกด้านคนดื้อรั้นเอาแต่ใจที่เพิ่งปะทะคารมกับบิดามาสดๆ ร้อนๆ ก็กำลังนั่งหน้าบูดหน้าบึ้งในบ้านเพื่อนหนุ่มคนสนิท แทนที่การไปปาร์ตี้กับเหล่าไฮโซชื่อดังอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก เพราะไม่สบอารมณ์และหมดความรื่นเริงบันเทิงใจไปจนสิ้น เขาเลยเลือกที่จะมานั่งปรับสภาพจิตใจอันร้อนรุ่มของตนให้เย็นลงเสีย
“เอ้า ดื่มน้ำซะก่อน เผื่อว่ามันจะช่วยลดความร้อนในเลือดแกได้บ้าง” เจ้าของบ้านหนุ่มยื่นกระป๋องโค้กให้กับเพื่อนสนิทที่คบกันมาหลายปี
“อืม ขอบใจ” พระเพลิงเอื้อมมือไปรับกระป๋องน้ำมาจากมืออีกฝ่าย
เตชิต วิษณุพงศ์ หนุ่มรุ่นพี่อายุย่างสามสิบสอง เพื่อนสนิทชาวไทยเพียงคนเดียวที่เขาเริ่มคบหาสมัยที่ทั้งสองยังศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่เมืองนอกด้วยกัน เพราะความที่เป็นคนสุขุม ใจเย็น และคอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้กับเขามาโดยตลอด แถมยังไม่อินังขังขอบกับท่าทีขวางโลกที่เขามักใช้แสดงออกเพื่อเป็นเกราะป้องกัน มิตรภาพจึงก่อเกิดเจริญงอกงามขึ้นเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความรักใคร่ปรองดองในเวลาถัดมา
เรียกได้ว่าที่ชีวิตของนายพระเพลิงคนนี้ไม่ออกนอกลู่นอกทางอย่างที่ควรจะเป็น ก็เพราะมีเพื่อนอย่างเตชิตนี่แหละคอยตักเตือนและห้ามปรามไว้ เขาเลยสามารถปรับเปลี่ยนความคิดและอคติในแง่ร้ายให้กลายเป็นบวกได้บ้าง
เจ้าตัวจึงเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายเพียงคนเดียวที่เขายอมรับฟัง และยังเป็นคนที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดอย่างไม่เคยคิดมอบให้ใคร แม้กระทั่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบุพการีของตนก็ตาม
“ไง... วันนี้มีเรื่องร้อนใจอะไรมาอีกล่ะ?” เตชิตเอ่ยถาม หลังจากแขกหนุ่มกระดกน้ำเย็นเข้าปากเพื่อดับอารมณ์แล้ว
“ถ้าไม่มี ฉันคงไม่มานั่งปรับทุกข์กับแกอยู่อย่างนี้หรอก”
คำพูดยียวนกวนบาทาอันเป็นเอกลักษณ์ของคนตอบ ทำให้คนฟังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ อย่างถูกใจแกมหมั่นไส้
“ก็จริง” เขายักไหล่ “เพราะแกคงไม่มาชวนฉันไปปาร์ตี้ไร้แก่นสารพวกนั้นแน่ๆ”
“เออ” แทนที่พระเพลิงจะต่อปากต่อคำเหมือนอย่างทุกที เขากลับเงียบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาเสียดื้อๆ คล้ายดังว่าเจ้าตัวกำลังครุ่นคิดอะไรบางสิ่งอยู่ในใจ
“แกว่าฉันทำกับพ่อแรงไปไหม?” จู่ๆ พระเพลิงก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แรง!” เตชิตตอบตรงๆ ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ถ้ามีชื่อของนายพระเพลิงเข้าไปเอี่ยวด้วยละก็ เชื่อเถอะว่ามันต้องร้ายแรงระดับชาติแน่ๆ ไม่ยังงั้นเจ้าตัวคงไม่มานั่งทำตาละห้อยอย่างรู้สึกผิดแบบนี้หรอก
“ฉันยังไม่ได้เล่าเลยนะว่าเรื่องอะไร ทำไมแกถึงได้ตอบเร็วนักล่ะ หรือว่าคิดจะกวนประสาทฉันอีกคน” พระเพลิงหันขวับไปมองเพื่อนสนิทตาเขียว
“ไม่ต้องบอกฉันก็พอจะรู้ เวลาคุณชายพระเพลิงโมโหขึ้นมาทีไร มันเคยมีเรื่องไหนจิ๊บจ๊อยด้วยเหรอไง?” คนพูดจิ้มนิ้วลงไปบนอกของคนนอนฟัง เพื่อให้เจ้าตัวครุ่นคิดตริตรองถึงเรื่องแย่ๆ ที่กระทำลงไป คนผิดเลยยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดเข้าไปใหญ่
สุดท้าย... เมื่อไม่สามารถเก็บงำความผิดบาปภายในใจเอาไว้ได้ เขาจึงยอมปริปากบอกเล่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างให้เพื่อนรักฟังจนหมดเปลือก โดยที่เตชิตได้แต่ถอดถอนใจ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความกลัดกลุ้มไม่แพ้คนเล่า
“เฮ้อ! ถามจริงๆ เถอะ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันผิด แล้วแกจะทำไปเพื่ออะไร?”
“ไม่รู้” คนตอบส่ายหน้า ก่อนจะบอกอย่างพาลๆ “ก็ตอนนั้น คนมันกำลังโมโหอยู่นี่นา”
“เฮ้อ!” คำตอบแบบเอาสีข้างเข้าถู ทำให้คนฟังยิ่งรู้สึกปวดหัวตุบๆ เพิ่มขึ้น จนต้องถอนหายใจออกมายาวๆ อีกรอบอย่างเอือมระอา “ให้มันได้อย่างนี้สิ ไอ้คุณพระเพลิง!”
ถึงแม้เตชิตจะรับรู้มรสุมชีวิตอันหนักหนาสากรรจ์ระหว่างพระเพลิงกับผู้เป็นพ่อ แต่บางครั้งสิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกเพราะต้องการประชดประชันนั้น มันก็ทำให้เขานึกอยากจะเตะไอ้หนุ่มเจ้าปัญหาคนนี้ขึ้นมาตงิดๆ ถ้าไม่ติดว่ากลัวพ่อจอมล่ำจะดีดเขากลับมาบ้างล่ะก็ ป่านนี้ไอ้หนุ่มเลือดร้อนคงได้ลงไปนอนคุกฝุ่นเสียแล้วล่ะ
“แล้วแกจะเอาไง จะกลับไปขอโทษคุณพ่อไหม?” เตชิตพยายามหว่านล้อมให้คนฟังสำนึก
“ไม่มีทาง!” เสียงตอบกลับแข็งกร้าวและดวงตาแวววาวบอกให้รู้ว่า คนพูดนั้นถือทิฐิปานใด
คนคอยไกล่เกลี่ยเลยนึกอยากจะต่อยปากตัวเองนัก เพราะดันไปถามในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอย่างนายพระเพลิงเข้า ด้วยยามที่เจ้าตัวเกิดโมโหโกรธาขึ้นมาคราใด เพลิงพิโรธ... เพลิงโลกีย์... และแม้แต่เพลิงอเวจีขุมไหนๆ มีหรือจะทัดทานเทียมเท่าเพลิงสุมทรวงของนายพระเพลิงคนนี้ได้
“ถ้าแกไม่อยากขอโทษ แล้วมัวมานั่งกลุ้มใจอยู่ทำไม?” เตชิตย้อนถามด้วยความหมั่นไส้
“ฉันก็ไม่ได้กลุ้มใจอะไรนี่” พระเพลิงแกล้งทำยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจ
“เหรอออ” คนมองพูดเสียงยานคางยังกับเชื่อเสียเต็มประดา “ไอ้เด็กดื้อปากแข็งเอ๊ย!”
“ช่างฉันเถอะ!” คนถูกจับไต๋ได้จึงรีบบอกปัดอย่างหัวเสีย
“เออ! ขอให้จริงเถอะ ที่ว่าไม่ให้ยุ่งเนี่ย” คนที่ถูกอีกฝ่ายพาลกระแชงใส่บ่นคล้ายกับกำลังน้อยใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อมั่นว่า มันจะไม่ได้รับความไยดีจากคนหัวรั้นอย่างพระเพลิงเป็นอันขาด
และมันก็เป็นไปตามที่เขาคิด เพราะแทนที่เจ้าตัวจะรีบขอโทษขอโพยหรืองอนง้อเขาสักนิด แต่ไอ้หมอนี่กลับเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างหน้าตาเฉยซะนี่
“ว่าแต่... แกเคยเห็นยายเด็กกะโปโลที่เดินเข้าออกบ้านฉันบ้างรึเปล่า?” พระเพลิงถามเสียงห้วน บังเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกย้อนเหตุการณ์ไปถึงแม่สาวร่างโปร่งผู้มีใบหน้าเรียบเฉย ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เขาและบิดาเกิดการงัดข้อกันหนักขึ้นกว่าทุกครั้ง
“จะไปเคยเห็นได้ยังไงล่ะ ฉันไปบ้านแกนับครั้งได้ แล้วแกถามทำไม เด็กคนนั้นทำอะไรแกอีก?” เตชิตนิ่วหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหลิ่วตามองอีกฝ่ายอย่างหวั่นๆ ด้วยกำลังสงสัยว่าหมอนี่คงจะเพิ่งไปมีเรื่องกับเด็กคนดังกล่าวมาแน่ๆ
“จะทำไมล่ะ... ก็เพราะยายเด็กสาระแนคนนั้นนี่แหละ ทำให้ฉันกับพ่อทะเลาะกันซะใหญ่โต” พระเพลิงกัดฟันพูด เส้นเลือดปูดโปนขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด ยิ่งเมื่อนึกไปถึงความอับอายที่เขาได้รับต่อหน้าเพื่อนๆ ยามบิดานั้นกล่าวเชิดชูยกหางแม่สาวนิรนามในทำนองเปรียบเปรยกับตนว่า
เขามันเป็นแค่คนไร้ค่า ทำอะไรไม่เคยได้ความ ไม่เหมือนนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ยังกับวัวกับควายแบบหล่อน!
หนุ่มอารมณ์ร้ายยิ่งกำหมัดแน่น อยากจะจับแม่ตัวดีมาชำระแค้นเสียให้สาสม
เด็กสาวผู้โชคร้ายคงจะโดนเปลวไฟอันร้อนแรงโหมกระหน่ำซ้ำทางความคิดต่อไปอย่างหนักยิ่งกว่านี้ หากไม่มีเสียงสวรรค์หลั่งรดเพลิงระอุให้ทุเลาเบาบางลงบ้างเสียก่อน
“พระเพลิง แกก็รู้ดีว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้แกกับพ่อทะเลาะกันซะหน่อย แล้วแกจะไปโยนบาปให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้ได้ยังไงกัน?” เตชิตพยายามเอ่ยปรามเพื่อนหนุ่มด้วยใจเป็นธรรม
“ทำไมจะไม่ใช่ เป็นเพราะหล่อนนั่นแหละ พ่อถึงได้กล้าฉีกหน้าฉันขนาดนี้” คนเอาแต่ใจเค้นเสียงพูดอย่างชิงชัง “ถ้าไม่มีแม่นั่นสักคน ฉันคงไม่ต้องมานั่งอับอายขายขี้หน้าประชาชีเหมือนอย่างวันนี้หรอก”
“แกนี่ท่าจะบ้าไปใหญ่แล้ว” เตชิตส่ายหน้าอย่างเอือมระอา นี่เขาจะต้องคอยพร่ำสอนไอ้เด็กโข่งคนนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันนะ... นายพระเพลิงจึงจะโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักมีเหตุมีผลเหมือนอย่างคนอื่นเขาเสียบ้าง
“คิดสิ ถึงวันนี้จะไม่มีเธอ แกก็ต้องมีปากเสียงกับท่านอยู่ดี เพราะไอ้ความที่ชอบประชดประชันจนไม่ลืมหูลืมตาของแกเองนั่นแหละ ทั้งที่แกก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันจะต้องเป็นเรื่องทุกครั้งที่ชวนไอ้พวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ปาร์ตี้ไป แต่แกก็ยังจะทำ”
“ฉันไม่สน!” คนถูกจี้จุดตวาดกลับเสียงดังลั่น พลางหันมาชี้หน้า เล่นงานเพื่อนสนิทแทน “แล้วแกก็ห้ามเข้าข้างแม่ยาจกนั่นด้วย ไม่อย่างนั้นแกกับฉันได้มีเรื่องกันแน่!”
คนขี้โมโหลุกขึ้นเดินกระบึงกระบอนหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนพลอยโดนหางเลขได้แต่เพียงมองตามเจ้าตัวก้าวขาออกไปจากบ้านตนอย่างเอือมๆ ในใจก็อดหวาดหวั่นแทนเด็กสาวคู่กรณีมิได้...
นี่ขนาดแค่หล่อนทำให้นายพระเพลิงเริงโลกันตร์บังเกิดความไม่ถูกอกถูกใจเพียงเท่านั้น แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เขายังไม่รู้เลยว่าหล่อนจะต้องประสบกับเคราะห์กรรมอะไรบ้าง และมันจะร้ายแรงถึงขนาดไหนกันหนอ... แต่เขาก็ทำได้แค่เฝ้าภาวนาขอให้เธอนั้นอยู่รอดปลอดภัย ไม่ถูกเปลวเพลิงลูกใหญ่แผดเผาจนมอดไหม้กลายเป็นจุลไปเสียก่อน
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ใครยังอ่านไม่จุใจ สามารถโหลดได้ที่ร้านอีบุ๊คชั้นนำ หรือตามลิงก์นี้ไปเลยค่า
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
