ตอนที่ 1 : ตอนที่ 1. น้ำกับไฟ
1. น้ำ กับ ไฟ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งบอบบางในวัยผลิบานกำลังเดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ด้วยความสองจิตสองใจว่า เธอควรจะเข้าไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงในบ้านหลังนี้... ดีหรือไม่?
เพราะหลังจากที่ธารน้ำ เครือวาน ออกไปตระเวนสมัครงานในช่วงเช้า แล้วกลับเข้าบ้านมาอีกครั้งในตอนบ่ายคล้อย หญิงสาวก็เห็นบุพการีทั้งสองและน้องสาวในไส้อีกหนึ่งคน ยืนรายเรียงหน้าสลอนอยู่ตรงบริเวณรั้วบ้านด้วยท่าทางไม่สู้ดีนัก เธอจึงรีบเข้าไปไต่ถามถึงสาเหตุในทันที
“ทุกคน... มายืนทำอะไรกันอยู่ตรงนี้จ๊ะ ทำไมถึงไม่เข้าบ้านล่ะ?”
“เราเข้าบ้านตอนนี้ไม่ได้หรอกลูก” นางสายชลผู้เป็นมารดาเอ่ยปากบอกเธอ
“ทำไมล่ะจ๊ะ ก็นี่มันบ้านเรา ทำไมเราจะเข้าไปไม่ได้?” ธารน้ำนิ่วหน้าสงสัย
“คุณหญิงรุ่งฤดีท่านให้คนมาล็อคบ้านเราเอาไว้น่ะสิ เพราะแม่เอาเงินค่าเช่าบ้านเดือนนี้ไปจ่ายค่าเทอมให้ยายแก้วหมดแล้ว” สายชลบอกเสียงสลด ก่อนจะเอ่ยขอโทษสามีและบุตรสาวเสียงแผ่ว
“แม่ขอโทษนะลูก ที่ทำให้พวกเราเดือดร้อนกันไปหมด แต่เดือนนี้แม่หมุนเงินไม่ทันจริงๆ คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยกินขนมไทยกันแล้ว แม่ก็เลยขายไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน”
“แม่จ๋า มันไม่ใช่ความผิดของแม่หรอกนะจ๊ะ” แก้วใส... น้องสาวคนเล็กที่เพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐได้หมาดๆ ท้วงขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “แก้วเองต่างหากล่ะที่เป็นคนผิด เพราะค่าเทอมของแก้ว เลยทำให้ทุกคนต้องพลอยลำบาก”
“โถ! แก้วอย่าคิดยังงั้นสิลูก” คนฟังรีบเอื้อมมือไปรั้งบุตรสาวเข้ามาสวมกอด ปากก็พร่ำปลอบประโลมด้วยความรัก “แม่ฟังแล้วไม่สบายใจเลย ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะลูก”
“ใช่ลูก พ่อกับแม่มีหน้าที่ต้องคอยส่งเสียให้พวกหนูเรียนจนจบ เพราะฉะนั้นแก้วห้ามพูดแบบนี้ให้พ่อกับแม่เสียกำลังใจอีกเด็ดขาด... รู้ไหม?” กรซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าวสำทับภรรยาด้วยแววตาอ่อนโยน พลางให้คำมั่นแก่บุตรสาวทั้งสองอย่างหนักแน่น
“พ่อสัญญานะว่าพ่อกับแม่จะขยันขึ้นอีก พวกหนูจะได้ไม่ต้องลำบาก กลายเป็นคนไม่มีความรู้ติดตัว”
“พ่อจ๋า” แก้วใสร้องคราง สำนึกในพระคุณของบิดาเป็นที่สุด สองมือเล็กๆ จึงโผเข้ากอดท่านทั้งสองด้วยน้ำตาด้วยความตื้นตัน
ขณะที่บุตรสาวคนโตซึ่งยืนมองภาพความสมัครสมานสามัคคีของคนในครอบครัว ก็พลอยรู้สึกซาบซึ้งไปด้วย ธารน้ำจึงตัดสินใจเสนอตัวแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ เมื่อได้รับรู้ถึงสถานการณ์จากปากของทุกคนแล้ว
“พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ เดี๋ยวน้ำจะเข้าไปคุยกับคุณหญิงท่านเอง น้ำเชื่อว่าถ้าเรามีเหตุผลที่ดีพอ คุณหญิงท่านจะต้องเห็นใจ และอาจจะมีเมตตาต่อพวกเราบ้างก็ได้จ้ะ”
ธารน้ำแย้มยิ้ม คล้ายจะบอกกับทุกคนว่าให้เชื่อมั่น... เธอต้องทำมันสำเร็จให้จงได้!
และนั่นจึงเป็นสาเหตุว่า... ทำไมหญิงสาวถึงต้องมายืนเก้ๆ กังๆ ยังหน้านิเวศน์สถานที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่ากว่าหลายหลังในชุมชนคนสามัญย่านคุ้งน้ำท่านเจ้าคุณแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ก็เพื่อขอให้เจ้าของบ้านผู้ถือครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอาณาบริเวณนี้ทั้งหมด รวมไปถึงบ้านไม้หลังเล็กชั้นเดียวที่เธอพำนักพักอาศัยอยู่ช่วยกรุณาผ่อนผันยืดระยะเวลาการชำระค่าเช่าบ้านในเดือนนี้ออกไปอีกนิด
แม้จะมีจุดประสงค์ในใจอย่างชัดเจนเยี่ยงนั้นแล้ว ทว่าธารน้ำก็ยังคงละล้าละลังไม่กล้ากดออดเรียกคนในบ้านเสียที มิใช่เพราะความอับอายที่ต้องแบกหน้ามาขอความเห็นใจจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความกริ่งเกรงในตัวคุณหญิง
คนเพียงคนเดียวที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดต่อทุกชีวิต รวมทั้งครอบครัวของเธอซึ่งต้องอาศัยใบบุญท่านอยู่มาจนถึงทุกวันนี้!
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความหนักอก คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะต้องพูดจาหว่านล้อม ชักแม่น้ำทั่วทุกสาย เพื่อขอผัดผ่อนเรื่องการเงินกับคุณหญิงคนดังอย่างไรดี เพราะกิตติศัพท์ที่ใครๆ ต่างก็พากันโจษจั่นไปทั่วว่า
เค็มขนาดที่เกลือยังเรียกพี่!!! คือสาเหตุหลักที่ทำให้ธารน้ำไม่ค่อยมั่นใจนักว่า คุณหญิงรุ่งฤดีจะรู้สึกเวทนาสงสารในความยากจนข้นแค้นของเธออย่างที่ได้พูดไปกับคนในครอบครัวหรือไม่...
แล้วถ้าคำตอบมันออกมาว่า... ไม่!
เธอจะทำอย่างไรต่อไปให้การผ่อนผันยืดระยะเวลาในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี
ธารน้ำคิดไม่ตกพอๆ กับเวลาเจอใครถามปัญหาชวนปวดหัวที่ว่า... ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?
ซึ่งหญิงสาวคิดว่าสู้ให้เจอคำถามอย่างหลังยังจะดีเสียกว่า เพราะอย่างน้อยมันยังหาคำตอบได้ง่ายกว่าการต้องมานั่งคาดเดาความคิดของคุณหญิงแสนตระหนี่ผู้นี้เป็นไหนๆ
ผิดแผกกับท่านนายพลพงษ์เทพฝ่ายสามียิ่งนัก
เพราะทุกคราวที่มีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่ท่านนายพลยศใหญ่ผู้เปี่ยมไปด้วยความเอื้ออารีมีเมตตาจะนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้ศรีภรรยารีดนาทาเร้นเอากับพวกชาวบ้านได้โดยง่าย ท่านมักจะหาเหตุผลมาหักล้างกับหล่อนแทนชาวบ้านเสมอ หรือไม่ก็หาทางยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างลับๆ ตามแบบฉบับของท่าน
นายพลพงษ์เทพจึงเป็นที่เคารพรักและศรัทธาของเหล่าคนจนทั่วไปในแถบนี้
แต่ถึงอย่างไรตัวท่านเองก็เป็นเพียงสามีของคุณหญิง มิใช่ผู้มีสิทธิ์ในผืนที่ดินโดยตรง ดังนั้นต่อให้ท่านออกปากคัดค้านอย่างไร หากพอฝ่ายภรรยาอ้างสิทธิ์ความชอบธรรมขึ้นมา ท่านนายพลก็มักจะเป็นฝ่ายเงียบลงเพื่อให้เกียรติคุณหญิงรุ่งฤดีเสียทุกที ผลสุดท้ายจึงจบลงที่ความปราชัยของฝ่ายสามีทุกครั้ง
ด้วยเหตุนี้... ฉายาซึ่งมีที่มาจากความเค็มเคี่ยวแล้งน้ำใจของฝ่ายศรีภรรยา จึงมิเคยเลือนหายไปจากคุ้งน้ำแห่งนี้ เปรียบประดุจเกลือที่รักษาความเค็มเอาไว้ฉันใดฉันนั้น
ธารน้ำเลยคิดไม่ออกพอๆ กับที่ทำใจให้ปลงตกมิได้ ยังไงเรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ของคนที่บ้านก็ต้องสำคัญกว่า ถึงตอนนี้แล้วความกล้าต้องมีมามากกว่าความกลัว ไม่ว่ายังไงเธอจะต้องต่อสู้ดิ้นรนทางหารอดให้แก่ครอบครัวให้จงได้ หญิงสาวจึงยืดอกสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ เรียกพลังกายพลังใจให้กล้าแกร่ง แล้วตัดสินใจกดกริ่งเรียกคนในบ้านด้วยความมุ่งมั่น
เพียงไม่กี่นาทีแม่บ้านสาวใหญ่ประจำคฤหาสน์ก็ออกมาเปิดประตูต้อนรับเธอเหมือนเคย
“สวัสดีค่ะพี่แป้ง” ธารน้ำกระพุ่มมือไหว้คนตรงหน้าด้วยความนอบน้อม โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าอีกฝ่ายจะยากดีมีจนหรือเป็นคุณหญิงคุณนายมาจากไหน
“น้ำนะเอง” แป้งร่ำยิ้มรับอย่างมีไมตรีจิต “มาหาคุณหญิงท่านเหรอจ๊ะ?”
คนถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นก็เข้ามาก่อนสิจ๊ะ”
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกอย่างเชื้อเชิญ หล่อนค่อนข้างจะสนิทสนมและคุ้นเคยกับเด็กสาวเป็นอย่างดี เวลาธารน้ำมาขอผ่อนปรนหนี้สินค่าเช่าบ้านทีไร หล่อนนี่แหละที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ เพราะนึกชมเชยที่เด็กสาวเป็นคนซื่อสัตย์ แม้จะขอผ่อนผันค่าเช่าบ้านอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ธารน้ำจะขาดส่งหรือใช้หนี้ให้คุณหญิงจอมงกไม่ครบเลยสักสตางค์แดงเดียว
ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็มักบ่ายเบี่ยงที่จะรับความช่วยเหลือของเธอด้วยความเกรงใจตนเสมอ จนเธอต้องพร่ำหว่านล้อมว่า
“น้ำเป็นเด็กสู้ชีวิตเหมือนกับพี่ ถึงจะลำบากขนาดไหนก็ไม่เคยย่อท้อ พี่เลยอยากช่วยเหลือคนดีๆ อย่างน้ำบ้าง”
นั่นแหละ... ธารน้ำจึงยอมรับน้ำใจจากเธอบ้างเป็นครั้งคราว ยามเมื่อหล่อนขัดสนจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ” ธารน้ำพาร่างบอบบางของตนเข้าไปยืนอยู่หลังรั้ว พลางคลี่ยิ้มส่งให้สาวใหญ่
แป้งร่ำเป็นสาวบ้านนาที่เดินทางมาแสวงโชคในกรุงเทพตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก และนับว่าเป็นโชคดีของหล่อนอย่างมากที่ได้งานชิ้นแรกเป็นแม่บ้านของตระกูลสัจจะอมรกุล ทำให้จวบจนทุกวันนี้ แป้งร่ำก็ยังคงอยู่รับใช้คนที่นี่มามากกว่ายี่สิบปีเข้าไปแล้ว
ส่วนตัวธารน้ำอาจจะเคราะห์ดีกว่าอีกฝ่ายอยู่สักหน่อยตรงที่ถึงพ่อแม่ของเธอจะเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพเหมือนกัน แต่ตัวเธอเองก็เกิดและเติบโตยังผืนแผ่นดินถิ่นเมืองหลวงมาตั้งแต่เล็กจนโต ที่สำคัญพ่อกับแม่ยังสู้อุตส่าห์พากเพียรส่งเสียให้เธอได้เรียนจนจบ ผิดกับแป้งร่ำที่จบแค่มอสาม ก็ต้องออกจากโรงเรียนมาหางานเลี้ยงชีพ
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าสาวน้อยสู้ชีวิตจะหลงระเริงอยู่กับสิ่งล่อตาล่อใจในมหานครแห่งนี้เหมือนอย่างเด็กในวัยเดียวกันคนอื่นๆ เพราะพอถึงช่วงหลังเลิกเรียน เธอเป็นต้องหาลู่ทางทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ เพื่อเก็บสตางค์ไว้สำหรับวันหนึ่ง... วันที่ชีวิตครอบครัวของเธอจะได้ไม่ต้องระหกระเหิน ย้ายที่พำนักพักพิงอยู่บ่อยครั้ง เพราะรายได้ของครอบครัวไม่ค่อยจะมั่นคงนัก
กระทั่งพ่อและแม่ของเธอพาทุกคนย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าริมน้ำหลังนี้เมื่อสองสามปีก่อน บุพการีทั้งสองจึงหันมายึดอาชีพพายเรือขายขนมไทยไปตามลำคลองแทน ครอบครัวของธารน้ำจึงเริ่มอยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ต้องอพยพย้ายไปอยู่ตรงโน้นที... ตรงนั้นอีก
ในช่วงปีแรกๆ ขนมไทยของมารดานั้นพอจะหยิบจับขายคล่องอยู่บ้าง ทำให้ครอบครัวของเธอไม่ต้องลำบากมากนัก แต่พอมาระยะหลังๆ จวบจนทุกวันนี้
บางวัน... ก็มีคนซื้อเยอะ
ทว่าบางวัน... ก็แทบจะขายไม่ออกเลยสักชิ้น
แม้จะเริ่มหาเงินฝืดเคืองมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่พวกท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นให้เธอกับน้องสาวได้ยินเลยสักหน นอกเสียจากยังคงเฝ้าบอกลูกๆ อย่างพวกเธอด้วยความรักว่า
‘พ่อแม่ไม่มีสมบัติพัดสถานอะไรไว้ นอกจากจะสร้างวิชาให้ลูกๆ ได้ติดตัวกันไปเท่านั้น ถึงวันหนึ่งที่พวกหนูเติบโตขึ้น พวกหนูจะได้ไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญเหมือนกับพ่อแม่’
ดังนั้นบุพการีทั้งสองจึงสู้อดทนตรากตรำทำงานหนัก แม้จะต้องผ่านความทุกข์ยากหรือเจ็บกายขนาดไหน พวกท่านก็สู้ฟันฝ่าเพื่อส่งเสียให้บุตรสาวทั้งสองได้เล่าเรียน จนกระทั่งพี่สาวคนโตอย่างเธอถึงฝั่งฝัน ท่านทั้งสองถึงได้แสดงความดีใจออกมาอย่างสุดซึ้งในวันที่ธารน้ำจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
ธารน้ำยังจำได้ดีถึงวันที่ท่านมีน้ำตาไหลออกมาอย่างปลื้มปิติ เมื่อเห็นเธอใส่ชุดครุยส์อันทรงเกียรติในพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งวันนั้นคือวันแห่งความสุขของเธอเช่นกัน
ทว่าในตอนนี้...
หญิงสาวในวัยอายุย่างเข้ายี่สิบสามกลับยิ่งกลัดกลุ้ม หนักใจมากขึ้นกว่าตอนที่ต้องพากเพียรเรียนให้จบเสียอีก เพราะแทนที่เธอควรจะหางานหาเงินมาเลี้ยงชีพและคนในครอบครัวได้แล้ว แต่บัณฑิตสาวหมาดๆ ยังคงเดินเตะฝุ่น เที่ยววิ่งวนสมัครงานไปแทบทุกที่ เมื่อต้องประสบปัญหานายจ้างส่วนใหญ่ให้เหตุผลในการปฏิเสธเธออย่างไร้ความยุติธรรมว่า ‘ยังขาดประสบการณ์’ มันจึงกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ส่งผลให้เธอยังไม่ได้งานทำเลยสักแห่ง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องระบบเส้นสายที่เธอต้องเผชิญอยู่อีกไม่ต่ำกว่าสิบบริษัท ใครที่มีเพื่อนฝูงและคนรู้จักมากกว่าก็สามารถกรุยทางให้ตนเข้าทำงานได้อย่างง่ายดาย ส่วนคนที่มีแต่ชื่อกับตัวอย่างเธอน่ะหรือ แม้จะมีไฟ มีแรงเต็มร้อย แต่ก็ต้องถูกเบียดตกขอบ พลาดโอกาสได้งานไปอย่างน่าโมโห
มิหนำซ้ำบางครั้งเธอยังถูกกดเงินเดือนจนต่ำเตี้ยติดดินแทบจะไม่พอยาไส้ ทั้งๆ ที่อัตราค่าจ้างซึ่งกรอกลงไปในใบสมัครนั้น มันก็มิได้มากมายอะไรเลยแท้ๆ
ล่าสุดธารน้ำเพิ่งจะถูกเรียกตัวให้ไปสัมภาษณ์งานพร้อมทั้งรู้ผลทันที แต่นายจ้างกลับต้องการให้เธอไปประจำยังจังหวัดไกลๆ ทำให้หญิงสาวต้องคิดหนักเพราะอดเป็นห่วงครอบครัวไม่ได้ว่าจะอยู่กันอย่างไร หากขาดหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างเธอไปสักคน หญิงสาวจึงจำใจต้องปฏิเสธตำแหน่งนั้นไปด้วยความเสียดาย
สุดท้ายเรื่องที่น่ากลัดกลุ้มยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ เธอต้องรีบหาเงินหาทองมาจุนเจือน้องสาว ซึ่งกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แถมยังมีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ คอยรุมเร้า หนึ่งในนั้นก็เป็นค่าเช่าบ้านที่ต้องเพียรเก็บหอมรอมริบให้แก่คุณหญิงรุ่งฤดีผู้ตระหนี่ในแต่ละเดือนอีกด้วยนี่สิ เป็นเหตุให้เธอครุ่นคิดจนแทบประสาทเสีย
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ประดังประเดเข้ามาหาเธอไม่หยุดหย่อน ทำเอาคนใจสู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งยังอดรู้สึกท้อถอยในเคราะห์กรรมและชะตาชีวิตที่ได้รับใบบุญเพียงน้อยนิดจากสวรรค์เบื้องบนมิได้
“รอพี่อยู่ที่ห้องโถงก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะไปเรียนคุณหญิงท่านให้”
เสียงของแป้งร่ำช่วยฉุดรั้งภวังค์ให้กลับคืนสู่ธารน้ำอีกครั้ง หลังจากที่เธอเพียรใช้สมองคิดไม่ตก
“ค่ะ” หญิงสาวขานรับสั้นๆ พลางมองตามร่างอวบอัดของแม่บ้านสาวที่เดินแยกตัวออกไปอย่างสงบ
แต่... ยังไม่ทันที่แป้งร่ำจะก้าวขาลาโรงไปตามผู้เป็นนายอย่างที่บอกกับเธอไว้ได้สักกี่ก้าว จู่ๆ ก็เกิดเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังโครมครามมาจากบนชั้นสองของตัวบ้านพร้อมด้วยเสียงตะโกนเอะอะโวยวาย
“วู้ววว ไปกันเถอะ” เสียงชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งบอกเพื่อนๆ อย่างเริงร่า มีเสียงสรวลเสเฮฮาดังลั่นตอบรับเป็นลูกคู่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหบแห้งแต่ยังทรงอำนาจอย่างล้นเหลือร้องปรามขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพระเพลิง!”
แป้งร่ำรีบถอยเท้ากลับมายืนตั้งหลัก แอบอยู่ข้างกายธารน้ำตรงมุมหนึ่งของห้องกว้าง พลางกระซิบให้เด็กสาวรับรู้ถึงสถานการณ์ไม่สู้ดีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
“นั่นล่ะ ลูกชายคนโปรดของท่านนายพลที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก”
สาวใช้มีท่าทีขยาดราวกับบุคคลที่เอ่ยถึงมีพฤติกรรมเลวร้ายคล้ายปีศาจเสียกระนั้น คนฟังเลยค่อยๆ ชำเลืองมองกลุ่มชายหญิงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีมีราคา แล้วจึงได้เห็นเหล่าแก๊งไฮโซเดินเกาะกลุ่มกันลงมาอย่างสำเริงสำราญเสมือนว่าตรงนี้คือสถานแห่งความบันเทิง ซึ่งมีเพียงพวกเขาที่เข้ามาใช้บริการอย่างเป็นส่วนตัวเท่านั้น
ธารน้ำกวาดตามองทุกคนแบบผ่านๆ จนกระทั่งสายตาของเธอเกิดสะดุดเข้ากับหนุ่มรูปร่างสูงกำยำผู้มีใบหน้าคมสันคนหนึ่ง ดวงตาของเธอจึงหยุดชะงักนิ่งงันเพราะถูกตรึงไว้ยังคนที่ยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวง
แรงดึงดูดมหาศาลระหว่างเพศ ทำให้หญิงสาวเผลอมองแววตาดุดันที่บ่งบอกถึงความดื้อรั้นร้ายกาจอย่างลืมตัว ขนาดว่าเธอแอบมองเขาอยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายอย่างชัดเจน ธารน้ำจึงเปลี่ยนใจไล่สายตาลงมาตั้งแต่จมูกโด่งเป็นสัน แต่ปลายงุ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคนตรงหน้ามีเชื้อสายของชาวตะวันตกผสมอยู่ในกายมากกว่าจะเป็นไทยแท้แต่ดั้งเดิมเสียทั้งหมด แล้วค่อยเรื่อยมายังริมฝีปากหยักลึก ซึ่งดูคล้ายจะกดเป็นรอยยิ้มหยันอยู่ตลอดเวลา
ครั้นพอรวมทุกสิ่งทุกอย่างกอปรกันบนเค้าโครงคมคาย มันจึงไม่แปลกนักหากเธอจะคิดว่าเครื่องหน้าทั้งหมดของเขา ล้วนแล้วแต่สร้างความลุ่มหลงให้แก่ผู้ได้พบเห็นอย่างมิยากเย็น
ไม้เว้นแม้กระทั่งตัวเธอเอง ที่ในตอนนี้ถ้อยคำชื่นชมประโยคหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในความคิด
ผู้ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว
ธารน้ำยืนสำรวจชายปริศนาอยู่อย่างเงียบๆ พลางให้นึกสงสัยขึ้นมาว่าคนที่แป้งร่ำพูดถึงนั้นจะใช่เขารึเปล่าหนอ... และก่อนที่หญิงสาวจะได้คิดหาคำตอบต่อไป ร่างสมส่วนดังชายชาตรีที่แทบจะไม่หย่อนคล้อยไปตามกาลเวลาเลยสักนิดของท่านนายพล ก็ปรากฏขึ้นตามหลังชายหนุ่มติดๆ
“พ่อบอกให้หยุด! ไม่ได้ยินหรือไงพระเพลิง” น้ำเสียงเฉียบขาดของชายชาติทหารแสดงความไม่พอใจ แต่กลับมิได้ทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ถึงกระนั้นคนที่ได้ยินคำสั่งก็ยังยอมหยุดฝีเท้าลงแต่โดยดี แล้วหันมาตอบคำถามของบิดาเสียงเรียบว่า
“ได้ยินครับ” พระเพลิงยักไหล่อย่างมิใคร่ใส่ใจ
เพียงเท่านี้... คนนอกที่ยืนฟังอยู่ก็รู้ได้โดยอัตโนมัติว่าเรื่องที่เธอคาดเดาเอาไว้นั้นถูกเผง ลูกชายของท่านนายพลก็คือหนุ่มหล่อที่ยืนท่ามกลางวงล้อมของเหล่าชนชั้นสูงนั่นเอง
“ได้ยินแล้วทำไมถึงไม่หยุด!?” พงษ์เทพตำหนิลูกชายอย่างโกรธจัด เพราะสุดจะทานทนกับพฤติกรรมเหลวไหลไร้สาระของเจ้าตัวเต็มที
“วันนี้พ่อไม่ให้แกไปไหน ยังไงแกต้องอยู่บ้าน!!!”
แม้ธารน้ำจะเห็นว่าท่านนายพลประกาศกร้าวด้วยท่าทางเคร่งเครียดขึงขัง แต่ลึกๆ ลงไปเธอกลับได้เห็นแววตาทุกข์ใจที่คล้ายจะรู้ดีแก่ใจว่า ต่อให้แสดงความเกรี้ยวกราดเอาจริงมากกว่านี้ ก็ใช่จะหยุดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนได้ หญิงสาวจึงบังเกิดความสงสัยขึ้นมาจนต้องหันไปกระซิบถามคนที่จะให้คำตอบแก่เธอได้ว่า
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะพี่แป้ง?”
แป้งร่ำถอนหายใจออกมาเสียยาวยืด ก่อนจะให้คำตอบสั้นๆ ว่า
“ศึก!”
ธารน้ำขมวดหัวคิ้วลงฉับพลัน เพราะนอกจากจะไม่ได้รับความกระจ่างอันใดแล้ว เธอยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีกว่า เหตุใดแป้งร่ำจึงเลือกใช้คำรุนแรงเช่นนั้น ในเมื่อสายสัมพันธ์ของคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้คือพ่อลูกกันมิใช่หรือ?
อีกอย่าง... เธอเห็นว่าการโต้เถียงของคนในครอบครัวมันเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงอะไรดังที่สาวใช้เอ่ยออกมาด้วยน้ำคำน่ากลัวขนาดนั้นเลย นอกจากเจ้าตัวจะเป็นลูกอกตัญญูจริงๆ ถึงจะทำเยี่ยงนั้นกับท่านนายพลผู้แสนประเสริฐคนนี้ได้ลงคอ
ซึ่งเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นท่าทางถือดีที่ชวนให้น่าหมั่นไส้เพียงเท่านั้น
ธารน้ำเลยนึกสงสัยอยู่ไม่หาย จึงหันไปหมายจะอ้าปากถามอีกคราว ทว่าท่าทางจ้องเขม็งที่แป้งร่ำมองไปยังบุรุษต่างวัยทั้งสองก็ทำให้เธอจำต้องเงียบปาก แล้วคอยจับจ้องภาพตรงหน้าด้วยความลุ้นระทึกตาม
ตอนนี้เธอเห็นเพียงท่านนายพลกับบุตรชายกำลังยืนใช้สายตาฟาดฟันกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยสักนิดว่าเธอคิดผิด เพราะอีกเพียงอึดใจเดียวก็จะเกิด ‘ศึก’ ดังที่สาวใช้กล่าวมาทุกอย่างจริงๆ
“หัวเด็ดตีนขาดยังไง พ่อก็จะไม่ยอมให้แกก้าวขาออกไปนอกบ้านเด็ดขาด!” พงษ์เทพเอ่ยสั่งบุตรชายเสียงเฉียบ โดยไม่ได้สนใจใครอื่นรอบกายเลยสักคน
ไม่ว่าจะยามไหน... เพลาใด... นายพระเพลิงเริงโลกันตร์ผู้นี้ ก็ยังคงรักษาความดื้อดึง หัวรั้น ไม่ฟังใครเอาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนใครต่อใครต่างพากันจำเริญพรด้วยความชิงชังมาตั้งแต่เล็กยันโตว่า
ไอ้เด็กนรก!!!
ฉะนั้นไอ้เรื่องที่จะยอมลงให้กับใครหน้าไหน หรือแม้กระทั่งลูกเด็กเล็กแดง ปวงเทพเทวดาน่ะหรือ?
ฝันไปเถอะ!
ทั้งๆ อย่างนั้นคนเป็นพ่อเช่นเขาก็ยังอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่า จะมีผู้กล้าหาญรายใด... สามารถกำราบความพยศแสนร้ายของเจ้าตัวลงบ้างได้ ขอเพียงแค่ให้นิสัยเกเรของพระเพลิงลดลงได้สักหนึ่งในร้อย เขาจะไม่รีรอ รีบไปอัญเชิญบุคคลดังกล่าวมาปราบฤทธิ์เจ้าลูกชายเสียเดี๋ยวนี้เลย
ยังไม่ทันที่ความคิดของเขาจะผ่านพ้นไป พ่อลูกชายตัวดีก็ชิงพูดจายอกย้อนยั่วโมโหเขาอีก
“ก็ดี ผมเองก็ไม่อยากเดินไปให้เมื่อยตุ้มนักหรอก สู้ขับรถไปเลยดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ”
ท่าทางหยิ่งผยองและกวนประสาทอย่างเหลือร้าย ช่วยตอกย้ำให้พงษ์เทพรู้ซึ้งว่าความหวังที่เขารอคอยมาตลอดทั้งชาตินั้น มันคงไม่มีวันเป็นจริงแน่!
มิหนำซ้ำดูไอ้ตัวดีมันทำกับเขาสิ สะบัดก้นเดินหนีไปซะเฉยๆ ไม่เคยฟังเรื่องที่เขาพูด เขาห้ามเลยสักนิด
แล้วแบบนี้ ตัวเขาที่เป็นพ่อซึ่งมีหน้าที่ต้องคอยอบรมสั่งสอนลูก จะยืนมองทนโท่โดยไม่ทำอะไรได้ยังไงกัน ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องรีบตะครุบตัวไอ้เสือร้ายเอาไว้ก่อนล่ะ ไม่อย่างนั้นวันนี้มันคงได้เที่ยวเตลิดไปไหนต่อไหนให้เขากลุ้มใจอีก
พงษ์เทพจึงกระโดดเข้าไปคว้าไหล่ของบุตรชายเอาไว้อย่างรวดเร็ว พลางพูดวัดดวงว่า
“เอาสิ ถ้าแกกล้าสะบัดมือคู่นี้ที่เลี้ยงแกมาทั้งชีวิตล่ะก็ พ่อจะยอมให้แกไป”
“ท้าผมเหรอ?” คนฟังกดเสียงกร้าวถาม พลางกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ใช่!” พงษ์เทพย้ำเสียงหนัก “ถ้าแกกล้าก้าวขาออกไปจากบ้านนี้แม้แต่เพียงก้าวเดียวล่ะก็ ฉันจะตัดพ่อตัดลูกกับแก”
ถ้อยคำประกาศิตที่พระเพลิงได้ฟังนั้น ทำให้สีหน้าหยิ่งเหยียดแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาทันตา คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงต่อการกะเกณฑ์บังคับของบิดา ซึ่งแทบจะไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวเขาทั้งสิ้น เจ้าของร่างสูงจึงค่อยๆ แกะมือหนาแห้งหยาบออกช้าๆ พร้อมกับเค้นเสียงหัวเราะขื่นๆ ออกมาว่า
“หึ... คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยแคร์เรื่องนั้น”
แววตาแข็งกระด้างบ่งบอกตามที่พูดไว้จริงๆ แล้วเพียงเสี้ยววินาที พระเพลิงก็สะบัดมือออกจากผู้เป็นพ่ออย่างรวดเร็วโดยไม่ยับยั้งออมแรง ส่งผลให้ร่างกายที่ผ่ายผอมกว่าตัวเขาซวนเซไปข้างหลัง จนต้องรีบคว้าพนักโซฟาเอาไว้ใช้เป็นหลักจับยึด
ส่วนคนทำน่ะหรือ... ก็ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่แยแส ไม่แม้แต่จะหันกลับมาเหลียวแลบิดาด้วยความห่วงหาอาทรหรือรู้สำนึก!!!
พอนายพลใหญ่สามารถทรงตัวได้ดังเดิม สิ่งที่เขาเห็นต่อมาก็คือร่างสูงตระหง่านที่กำลังก้าวขาจากไปอย่างว่องไว พงษ์เทพจึงรีบเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วยเป็นการด่วน เพราะลำพังตัวเขาเองคงจะไม่สามารถก้าวเข้าไปขัดขวางบุตรชายได้ทัน หรือต่อให้ตะโกนร้องเรียกเจ้าตัวอย่างในตอนแรกจนคอแหบคอแห้ง เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าเจ้าลูกชายจอมวายร้ายคงจะไม่ยอมหยุดขาลงง่ายๆ เหมือนเมื่อครู่นี้เป็นแน่
ดังนั้นพอสายตาของชายชราเหลือบไปเห็นสาวใช้ซึ่งยืนเคียงคู่อยู่กับเด็กสาวสู้ชีวิตคนหนึ่ง พงษ์เทพจึงเอ่ยสั่งหล่อนอย่างเร็วจี๋
“แป้งร่ำ วิ่งไปจับตัวคุณพระเพลิงเอาไว้... เร็ว!”
สาวใช้ประจำบ้านจึงจำต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปยืนดักทาง กางแขนกางขา ตัดหน้าบุตรชายของผู้เป็นนายตามคำสั่ง ปล่อยทิ้งให้คนเพิ่งประสบเหตุการณ์อลหม่านของครอบครัวเศรษฐีใหญ่เป็นครั้งแรก ถึงกับออกอาการสับสนมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
ใครจะเชื่อบ้างล่ะว่าเบื้องหลังกำแพงสูงใหญ่ที่คนจนทั้งหลายต่างพากันนึกอิจฉา อยากจะจับจองเป็นเจ้าของวาสนาอันสูงส่ง ได้เกิดมาเป็นคุณหนู คุณชาย ใช้ชีวิตเสวยสุขกันอยู่ภายในรอบรั้วแห่งนี้ จะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่สวยหรูดังที่ใครต่อใครวาดฝันไว้
หญิงสาวจึงได้แต่ยืนมองดูแป้งร่ำวิงวอนบุตรชายของนายเหนือหัวด้วยความสงสารระคนปลงสังเวช
“คุณพระเพลิงขา เห็นใจแป้งหน่อยเถอะค่ะ อย่าออกไปเลยนะคะ ไม่ยังงั้นคุณท่านเอาแป้งตายแน่ๆ” แป้งร่ำกล่าววิงวอนอย่างหวาดกลัว หัวใจก็สั่นระรัวไปหมด เพราะแอบหวั่นเกรงพิษสงของคนร้ายกาจ
“งั้นเหรอ?” พระเพลิงเลิกคิ้วถามด้วยแววตาเย็นชา “ทำเป็นกลัวว่าพ่อฉันจะเอาเรื่อง แล้วที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาขวางหูขวางตาฉันอยู่เนี่ย ไม่กลัวเงาหัวตัวเองจะหายบ้างรึไง?”
วาจาเผ็ดร้อนถูกสาดซัดเข้าใส่แม่บ้านสาวอย่างไม่ยั้ง ริมฝีปากหยักลึกเหยียดออกอย่างดูแคลนแกมสมเพชคนไม่เจียมตัว ที่บังอาจก้าวเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“โธ่! คุณ
แต่คนอารมณ์ร้ายอย่างนายพระเพลิงน่ะหรือ... จะยอมเห็นแก่หน้าของแม่สาวใช้ไร้สกุลเช่นหล่อนง่ายๆ
ไม่มีทางเสียละ!
“ถ้าไม่อยากตกงานละก็ อย่าสะเออะมาสอดเรื่องของฉันอีก จำเอาไว้!” ชายหนุ่มตวาดก้อง เล่นเอาแม่บ้านสาวใหญ่ถึงกับสะดุ้งโหยง
“อุ้ย! คุณพระเพลิงขา อย่าไล่แป้งออกเลยนะคะ สงสารแป้งเถอะ” หล่อนรีบละล่ำละลักวอนขอ
“ถ้าหล่อนอยากให้ฉันสงสาร ก็รีบๆ ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉันซะสิ” หนุ่มเลือดร้อนชี้หน้าด่ากราด
สาวใช้ที่ริอ่านมากำเริบเสิบสานกับเขา มันต้องเจอของจริงแบบนี้เข้าซะบ้าง ทีหน้าทีหลังจะได้ไม่กล้ามาหือกับนายพระเพลิงคนนี้อีก!!!
แป้งร่ำที่เจอเพียงเศษเสี้ยวของเขี้ยวเล็บบุตรชายท่านนายพลเข้าไปถึงกับกลัวจนหัวหด ได้แต่ร้องครางอย่างหมดอาลัย
“พุทโธ่! คุณพระเพลิง...”
อันที่จริงข้ารับใช้อย่างเธอก็รู้ตัวเองดีดังที่คุณพระเพลิงว่ามาทุกอย่างนั่นแหละ...
แต่ที่แป้งร่ำยังคงแข็งขืนยืนประจันหน้ากับเจ้าตัวอยู่นั้น ส่วนหนึ่งคือหน้าที่ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะคนที่หล่อนทำงานรับใช้ด้วยใจมาร่วมยี่สิบปีอย่างท่านนายพลพงษ์เทพเสียมากกว่า จะให้หล่อนดูดายทนเห็นคุณท่านผู้อารีต้องตกอยู่ในภาวะทุกข์ระทมเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพราะมิอาจห้ามปรามบุตรชายจอมเกเรได้เหมือนทุกครั้งน่ะหรือ... หล่อนทำไม่ได้หรอก
ฉะนั้นในครั้งนี้แป้งร่ำจึงปฏิญาณกับตัวเองไว้ด้วยความมุ่งมั่นว่าเป็นตายร้ายดียังไง... เธอจะไม่ยอมให้คุณพระเพลิงแผลงฤทธิ์จนคุณท่านของเธอต้องเสียใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว
นั่นแหละคือเหตุผลทั้งหมดที่เธอเสี่ยงลงทุนวิ่งพรวดพราดเข้ามาสกัดกั้นคุณชายพระเพลิงเอาไว้ แม้ในความเป็นจริงนั้น หญิงสาวแทบจะไม่อยากเกี่ยวพันกับเจ้าตัวเลยสักนิดก็ตาม
“ตกลงจะหลีกหรือไม่หลีก” พระเพลิงท้าวสะเอวถามสาวใช้อย่างเอาเรื่อง เมื่อหล่อนยังยืนจังก้าหน้าด้านอยู่เช่นเดิม
“โธ่! คุณพระเพลิงคะ ได้โปรดเห็นใจแป้งสักนิดเถอะค่ะ” แป้งร่ำยกมือไหว้ชายหนุ่มปลกๆ
“ไม่ต้องมาร้องขอความเห็นใจจากฉัน เพราะคนอย่างหล่อนมันไม่คู่ควร”
“อย่าพูดจาใจร้ายแบบนั้นสิคะ”
แป้งร่ำยังคงตั้งท่ายืนปักหลักไม่ถอยหนี ตอนนี้สายตาของเธอเหลือบไปเห็นผู้เป็นนายค่อยๆ คืบคลานเข้าหาบุตรชายอย่างเชื่องช้า คนเป็นบ่าวอย่างเธอจึงมีหน้าที่คอยถ่วงเวลา หาทางหลอกล่อเหยื่อหนุ่มเอาไว้ให้ได้นานที่สุด
“หลีกไป!”
ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อจู่ๆ คุณชายเจ้าอารมณ์ก็เกิดสำแดงเดชขึ้นมา เพราะรำคาญสาวใช้จอมจุ้นจ้านเต็มแก่ เลยออกแรงผลักไสหล่อนให้ไปพ้นๆ ตัว ทำเอาร่างอวบอัดแทบจะกลิ้งเถลไถลไม่เป็นท่า ก่อนที่ชายหนุ่มจะเตรียมเดินจากมาอย่างสบายใจ
แต่แล้วในจังหวะที่กำลังจะก้าวขา พระเพลิงก็ต้องหงุดหงิดหัวใจอีกครั้ง เมื่อมีสองมือแข็งแกร่งกระโจนจ้วงเข้ามารวบเรือนกายกำยำเอาไว้จากทางด้านหลัง กว่าจะทันได้ตั้งตัว เขาก็ตกอยู่ในวงล้อมของบิดาเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงทำได้แค่คอยสะบัดกายไปมาให้หลุดรอดออกจากท่อนแขนที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาอย่างอุดลุต
“อะไรกันเนี่ย!?” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย “คุณต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“ก็ในเมื่อแกไม่ยอมเชื่อฟังฉันดีๆ มันก็ต้องใช้วิธีรุนแรงแบบนี้นี่แหละปราบพยศแก” พงษ์เทพบอกอย่างเข่นเขี้ยว
“คิดว่าลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้จะหยุดผมได้งั้นหรือ?” คนฟังตอบโต้ด้วยการแค่นเสียงเยาะ
แน่นอน... นายพลพงษ์เทพย่อมรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าหากเขาลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าลูกชายงี่เง่ายังไม่ยอมลงให้ตนอีกละก็ ตัวเขาคงต้องทำใจไว้เพียงสถานเดียวเท่านั้น
แต่อย่างน้อย... ขอแค่ได้รั้งสองขาที่กำลังก้าวย่างลงสู่หุบเหวของบุตรชายสักเพียงเศษเสี้ยววินาทีล่ะก็ ต่อให้ผลออกมาเป็นเช่นไร เขาก็จะทำ!
ยิ่งถ้าเขาทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าหยุดได้ เขายิ่งไม่เลือกวิธีการเลยด้วยซ้ำ
พอคิดมาถึงตรงนี้แล้ว พงษ์เทพก็ฉุกใจถึงอะไรบางสิ่งบางอย่าง แล้วจู่ๆ ภาพของแขกขาประจำบ้านที่ยืนอยู่กับแป้งร่ำเมื่อสักครู่ก็แวบเข้ามาในหัว สายตาแหลมคมจึงรีบมองปราดกลับไปยังมุมหนึ่งของห้องทันที มุม... ที่เด็กสาวหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมกำลังยืนตัวลีบอยู่ โดยไม่มีใครสนใจมองหล่อน
แต่ว่าตอนนี้เธอเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาของเขารองจากพระเพลิง ในฐานะที่เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่บุตรชายได้!
แล้วแผนการที่จะใช้เล่นงานไอ้เสือร้ายให้ได้รับความอับอายต่อหน้าประชาชี โดยเฉพาะต่อหน้าก๊วนเพื่อนเหลือขอของเจ้าตัวที่ยืนอยู่ด้วยก็ผุดขึ้น และเชื่อเถอะว่า... นายพระเพลิงผู้แสนเย่อหยิ่งคงจะหมดอารมณ์ออกไปสังสรรค์หยำเปกับคนอื่นๆ แทบทันทีเลยทีเดียวเชียวละ
“ฉันไม่คิดว่าจะหยุดแกได้หรอก” พงษ์เทพมองบุตรชายด้วยดวงตาสงบนิ่ง “แต่ฉันแค่อยากสั่งสอนอะไรบางอย่างให้แกได้รู้สำนึกเสียบ้าง เผื่อบางทีแกอาจจะคิดได้”
ท่านนายพลปรายตามองไปทางเด็กสาวตัวเล็กๆ ในใจก็นึกขอโทษขอโพยคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพราะหลังจากที่เขาใช้หล่อนเป็นตัวหักหน้าพูดจาเปรียบเทียบกับบุตรชายแล้ว รับรองว่าคนมีนิสัยเอาแต่ใจ ไม่ชอบเป็นสองรองใครอย่างนายพระเพลิง จะต้องจงเกลียดจงชังธารน้ำอย่างแน่นอน โทษฐานที่หล่อนเป็นต้นเหตุทำให้เขาขายหน้า
และมันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความโชคร้าย... ที่เด็กสาวอาจได้รับจากพิษสงอันรุนแรงของพายุไฟลูกใหญ่นี้ก็เป็นได้
แม้จะรู้สึกละอายแก่ใจกับสิ่งที่จะทำต่อไป แต่ถึงยังไงพงษ์เทพก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีไปกว่า การทำให้พระเพลิงหยุด! เสียตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่เขายังมีโอกาสได้เสี้ยมสอน เพื่อมิให้ทุกอย่างมันสายจนเกินแก้ ชายชราจึงหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะลืมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“อะไรทำให้แกเปลี่ยนไปขนาดนี้?” คนเป็นพ่อกล่าวด้วยหัวอกร้าวระบมที่ฉายชัดอยู่บนหน้า “เมื่อตอนเล็กๆ แกยังเป็นเด็กที่น่ารัก คอยเชื่อฟังคำสั่งสอนของฉันทุกอย่างอยู่เลยแท้ๆ แล้วทำไมตอนนี้ แกถึงได้คอยแต่จะทำตัวไร้แก่นสาร ไม่มีสาระไปวันๆ แบบนี้นะ”
ถึงจะพร่ำบ่นระบายความทุกข์โศกในใจออกไปให้อีกฝ่ายรับทราบมากมายเพียงใด ก็ใช่ว่าคนเป็นลูกจะมีท่าทีสลดลงเสียเมื่อไหร่ ตรงกันข้าม พระเพลิงกลับเอาแต่กรอกตาไปมาด้วยความรำคาญ ไร้แววรู้สึกรู้สมกับความทุกข์ร้อนอันใดของบิดาทั้งสิ้น ขีดจำกัดความอดทนของคนมองจึงขาดสะบั้นลงทันที พร้อมๆ กับความรู้สึกที่ต้องการจะสั่งสอนบุตรชายผู้ทำตัวไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างแรงกล้า
“จนพ่อพูดอย่างนี้แล้ว แกก็ยังไม่รู้สึกสำนึกอีกเรอะ?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามด้วยความเสียใจแกมขัดเคือง
“จำไว้นะพระเพลิง คนอย่างแก ถ้าไม่มีใบบุญของพ่อคอยคุ้มกะลาหัวอยู่อย่างทุกวันนี้ละก็ แกคิดเหรอว่าไอ้เพื่อนเที่ยวของแกพวกนี้มันจะมาอยู่เคียงข้างแก... เฮอะ!?” คนพูดชี้หน้าตำหนิบรรดาวัยรุ่นใจแตกทั้งหลายจนถ้วนทั่ว
กระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้เด็กดื้อในคราบผู้ใหญ่ได้ยั้งคิด เจ้าตัวกลับยกมือขึ้นแคะหูด้วยความเบื่อหน่ายในคำสอนซ้ำๆ ซากๆ หนำซ้ำยังพูดขัดขึ้นโดยไม่ยำเกรงใครหน้าไหนอีกต่างหาก
“พูดเสร็จรึยังครับ?”
กริยาเมินเฉยที่คนเป็นลูกแสดงออก กลายเป็นสิ่งยั่วยุความเดือดดาลของผู้เป็นพ่อให้เพิ่มมากขึ้น
“คนอย่างแกนี่มันเหมือนไม้แก่ที่ดัดยังไงก็ดัดไม่ขึ้นเสียจริง ชอบวางท่าทำตัวเป็นเพชรเม็ดงาม แต่ที่ไหนได้ แกมันก็เป็นได้แค่ขี้แร่เท่านั้นแหละ”
พงษ์เทพเอ่ยปรามาสบุตรชายด้วยหัวใจที่เจ็บไม่แพ้กัน สองมือที่โอบรัดกักกันตัวไว้ คลายออกแต่โดยดี ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเด็กสาวที่ไม่มีอะไรเหมือนกับพระเพลิงเลยสักอย่าง แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า
“โน่น... แกเห็นเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นไหม?”
พระเพลิงหันขวับมองไปตามมือของผู้เป็นพ่อ ก่อนที่เขาจะได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาคมกร้าวขึ้น ไม่มีแววแห่งมิตรเจือปนอยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย เล่นเอาคนที่จู่ๆ ก็ถูกลากเข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นออกอาการตัวเกร็ง
“ทำไมครับ แม่นี่มีอะไรดีนักหนาเชียว?” เขาหันกลับมากระตุกยิ้มหยันถามท่าน
“เด็กคนนั้นไม่มีอะไรดีเทียบแกได้เลย เธอไม่มีเงินทองมากมายให้จับจ่ายใช้สอยได้แบบสบายๆ เหมือนแก แถมการศึกษาก็ยังต่ำกว่าเสียอีก” นายพลใหญ่บอกเล่าประวัติที่น่ารันทดของธารน้ำให้บุตรชายได้ฟัง ก่อนจะย้อนถามเจ้าตัวกลับไปบ้าง
“แต่แกรู้ไหมว่าสิ่งที่หนูธารน้ำมีเหนือกว่าแกอยู่หลายขุมคืออะไร?” เขาสบตาบุตรชายนิ่ง แล้วจึงเฉลย “เธอมีความมุมานะเพียรพยายาม ไม่เคยคิดย่อถอย หนำซ้ำยังมุ่งมั่นหาเงินหางานสุจริตทำด้วยความภาคภูมิใจในเกียรติของตัวเอง นั่นแหละคือสิ่งที่แกไม่เคยมี!”
พงษ์เทพจงใจเน้นย้ำถึงคุณค่าแห่งความเป็นคนที่เด็กสาวมีอย่างเปี่ยมล้น แต่กลับขาดแคลนในตัวลูกรักของตน เผื่อว่าบางทีสำเนียงของเขาอาจจะดังก้องเข้าไปวนเวียนอยู่ภายในโสตประสาทของบุตรชาย ทำให้พระเพลิงคิดตริตรองและสำนึกตัวได้ทัน มากกว่าจะคิดเพียงแค่ว่าตนกำลังเสียหน้า
คำพูดกระทบเปรียบเปรยที่เป็นไปในเชิงว่ากล่าวฉีกหน้าเขา แต่กลับยกย่องชื่นชมคนแปลกหน้าไร้หัวนอนปลายเท้า ทำให้ผู้ที่เกลียดการเป็นรองหันขวับไปจ้องหน้าแม่ตัวดีอีกครั้งทันควัน
คราวนี้ดวงตาคมแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงร้อนแรง พร้อมจะแผดเผาหญิงสาวที่ทำให้เขาได้รับความอับอายขายหน้าในชั่วพริบตา ขณะที่ปราดมองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เรียวปากหยักเหยียดออกจนเกือบจะเป็นเส้นตรง เมื่อไม่สังเกตเห็นความวิเศษวิโสใดๆ ในตัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย นอกเสียจาก...
แววตานิ่งสงบ... ดูคล้ายกับว่าเจ้าตัวนั้นเข้าอกเข้าใจในชีวิตเสียเต็มประดา นำมาซึ่งความน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก เจ้าตัวเลยพานเกลียดดวงตาของหล่อน ก่อนที่ความคิดในแง่ร้ายจะผุดขึ้นมาเสริม
ดูแววตาของหล่อนที่จ้องตอบมายังเขาโดยไม่ยอมหลบสิ มันกำลังไหวระริกเหมือนต้องการจะลองดีกับขีดความอดทนของเขาชัดๆ ขนาดยายแป้งร่ำที่เป็นคนใช้บ้านเขามานานนม ยังไม่กล้าจะเหิมเกริมกับเขาเช่นนี้ แล้วหล่อนเป็นใครถึงได้กล้าทำตัวจองหองกับคนอย่างเขา
ไฟในกายของนาย
วินาทีนั้นเขาบอกกับตัวเองได้ทันทีว่า ไม่ชอบดวงหน้าละมุนของเจ้าหล่อนเอาเสียเลย
“กะอีแค่เด็กบ้านนอกคอกนาคนหนึ่งเท่านั้น คุณกล้ายกมันขึ้นมาเทียบกับผมเลยเหรอครับ?” พระเพลิงถามบิดาเสียงกร้าว พลางชำเลืองหางตามองไปยังตัวต้นเหตุอยู่ตลอดเวลา
ธารน้ำเลยถึงกับหน้าแดงก่ำ โกรธจนควันแทบออกหู ที่ได้ยินเขาเรียกกดหัวตัวเองอย่างไร้มารยาทเช่นนี้
“ทำไมฉันจะไม่กล้า?” ผู้เป็นพ่อเอ่ยสวนกลับ “อย่าว่าแต่คนที่แกดูถูกอย่างหนูธารน้ำเลย แม้แต่ขอทาน ฉันก็ยังเห็นว่ามีคุณค่ามากกว่าแกเสียด้วยซ้ำ”
“งั้นคุณก็ช่วยส่งเสียหล่อนแทนผมซะเลยสิครับ”
“พระเพลิง!” พงษ์เทพตวาดก้องอย่างเหลือทนในความดื้อรั้นเอาแต่ใจของเจ้าตัว
เขาพยายามสะกดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้อย่างสุดกำลัง ก่อนจะเพียรพร่ำสอนบุตรชายต่อไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ พ่อ... ที่มุ่งหวังอยากให้คนเป็นลูกกลับตัวกลับใจ เลิกทำลายชีวิตตัวเองด้วยการประชดเขาแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้เสียที
“ฉันจะบอกอะไรแกให้เอาบุญสักอย่างนะ คนเราไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมไปซะทุกสิ่งหรอก แต่การเลือกดำเนินชีวิตของเราต่อจากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นตัววัดว่า คนๆ นั้นคู่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ และมีคุณค่าเพียงพอแก่การเป็นมนุษย์หรือไม่”
แม้นว่าถ้อยคำที่พงษ์เทพกล่าวออกมานั้นค่อนข้างจะฟังดูรุนแรง แต่เขาก็กลั่นมันออกมาด้วยความรักและความปรารถนาดีในตัวบุตรชายล้วนๆ
แต่มันกลับทะลุเข้าไปไม่ถึงจิตใจของพระเพลิงเลยสักนิด เมื่อบัดนี้เปลวไฟแห่งความอิจฉาริษยากำลังเข้าครอบงำสองตาและดวงใจผู้เป็นเจ้าของจนหมดสิ้น จึงไม่เหลือไว้ให้มองเห็นความหวังดีที่คนเป็นพ่อมี
ในทางกลับกัน... คนที่คิดว่าพ่อไม่เคยให้ความรักความเอาใจเขาเลยสักนิด กำลังแปลเจตนาของท่านไปอย่างผิดๆ ว่าต้องการจะพูดจาตอกย้ำ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับคนไร้ค่าได้อย่างแสบสันเหลือหลาย
แถมยังเป็นตอนนี้ที่เขายืนอยู่ตรงหน้าใครต่อใครหลายคนเสียด้วย!!!
แล้วแบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าทำเพื่อจงใจฉีกหน้าเขา แล้วจะให้เข้าใจไปว่าอย่างไร?
ดังนั้นสายตาที่พระเพลิงจ้องมองไปยังแม่คนดีศรีสมรของท่าน จึงยิ่งเปี่ยมไปด้วยแววริษยาชิงชัง ไม่รับรู้รับเห็นหรือสนใจหรอกว่าหล่อนจะเป็นหญิงไทยใจงามอย่างที่พ่อเขาบอกจริงไหม หรือต่อให้หล่อนคือแม่พระกลับชาติมาเกิดจากชาติไหนๆ เขาก็ไม่แคร์!
เพราะสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจมีเพียงอย่างเดียวคือ... หล่อนเป็นคนที่ทำให้พ่อด่าว่าเขา ขนาดยกเอาความดีศรีประเสริฐทั้งหลายของเจ้าหล่อนขึ้นมาเปรียบเทียบ ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าโดยที่ท่านคงไม่รู้หรอกว่า ยิ่งท่านแสดงความชื่นชมในตัวหล่อนมากเพียงใด เขาก็จะยิ่งต่อต้านชิงชังและพานให้รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าหล่อนมากขึ้นเท่านั้น มาก... เสียจนเผลอคิดไปด้วยความอคติว่า
บางทีตอนนี้พ่ออาจจะคิดอยากได้เจ้าหล่อนมาเป็นลูกมากกว่าเขาคนนี้ก็เป็นได้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็แปลว่า หล่อนกำลังจะแย่งความรักความเอ็นดูของบิดาไปจากเขา แม้นมันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวอันน้อยนิดที่หล่อนได้รับ... เขาก็ไม่ยอม!!!
เมื่อความโมโหโกรธาเดินทางมาจนเกือบจะถึงขีดสุด คนเจ้าอารมณ์จึงกำหมัดแน่น เพียรข่มจิตข่มใจไว้อย่างยากเย็น มิเช่นนั้นเขาคงได้ระเบิดโทสะออกมากวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง
“บ่นเสร็จแล้วใช่ไหมครับ?” พระเพลิงพยายามกดเสียงแห่งความเกรี้ยวกราดให้ต่ำลง
ชายหนุ่มจำต้องยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไปเสียเอง เมื่อสัญญาณอันตรายร้องเตือนดังมาจากข้างในว่า ถ้าไม่อยากกลายเป็นลูกอกตัญญูเหมือนดังเช่นเมื่อครู่นี้ ก็จงอยู่ห่างๆ ท่านเอาไว้ เพราะถึงตัวเขาจะออกอาการเกกมะเหรกเกเรขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า... คนที่เขารักมากที่สุดก็คือบุคคลตรงหน้าซึ่งเป็นยิ่งกว่าพ่อบังเกิดเกล้าคนนี้
ฉะนั้นพระเพลิงจึงเลือกที่จะยอมอ่อนข้อ ไม่ออกฤทธิ์แผลงเดชหรือสร้างความเสียใจให้แก่บิดามากไปกว่าที่เป็นอยู่ อย่างน้อยชายหนุ่มก็พอจะยังหลงเหลือความยั้งคิดอยู่บ้างว่า
ถึงตัวเขาจะเป็นเด็กนรกในสายตาของใครๆ แต่มิได้ถึงขั้นทรพีไม่รู้คุณคน
กับพ่อน่ะเขาคิดเช่นนั้น ทว่าสำหรับคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความอับอายของเขาในครั้งนี้... ไม่ใช่!!!
เขาไม่มีวันปล่อยให้ใครก็ตามที่กล้ามาเหิมกริมกับตน ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเด็ดขาด!
พระเพลิงฝากรอยอาฆาตทางสายตาส่งให้คู่อริคนใหม่ด้วยความเข่นเขี้ยว เสมือนจะประกาศความเป็นศัตรูกับหล่อน ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น แน่นอนว่า... แม้แต่หน้าของคนเป็นพ่อ เขาก็ไม่ยอมมองเช่นกัน
นายพลพงษ์เทพจึงหลุบเปลือกตาลงต่ำด้วยความอ่อนล้า คร้านที่จะต่อปากต่อคำ หาเรื่องหาความอันใดกับบุตรชายให้เหนื่อยใจอีก
“ไปตามทางของแกเถอะ พ่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ชายชราโบกมือไล่เจ้าตัวราวกับคนหมดแรง ก่อนจะหันไปเรียกสองสาวที่เหลือโดยไม่แยแสบุตรชายอีกเลย
“หนูธารน้ำมาหาคุณหญิงใช่ไหม?”
“ค่ะ” คนที่เพิ่งจะมีโอกาสได้พูดบ้างยิ้มรับแห้งๆ
“งั้นแป้งร่ำก็ไปตามคุณหญิงมาทีไป”
“ค่ะคุณผู้ชาย” หล่อนรับคำ แล้วจึงเดินตัวลีบผ่านหน้าพระเพลิงไปอย่างขลาดกลัว
ชั่วแวบหนึ่งที่ทันได้เห็นสายตาเย็นชาแข็งกร้าวของเจ้าตัว คนต่ำศักดิ์อย่างเธอยังอดขนลุกขนพองกับความร้ายกาจของคุณชายเจ้าปัญหาแทนเด็กสาวที่ถูกจับจ้องอย่างธารน้ำมิได้
ส่วนคนเป็นที่ยำเกรงซึ่งลอบมองท่าทีเอ็นดูของบิดาที่มอบให้แก่แม่ตัวดีแล้ว ก็เหมือนมีไฟมาสุมทรวง พระเพลิงจึงจงใจพูดประชดเสียงดังให้คนฟังได้ยินจะจะ ประหนึ่งว่าคำพูดของท่านนั้นไม่สามารถทำให้เขาบังเกิดความเจ็บปวดได้เลยแม้แต่ปลายก้อย
“เอาล่ะ หมดเรื่องซะที พวกเราไปสนุกกันต่อให้สุดเหวี่ยงดีกว่า”
“เฮ้!” เสียงกรี๊ดกร๊าดและเสียงตบมือตามมาสำทับติดๆ ด้วยความถูกอกถูกใจ
นายพลใหญ่ที่ก้าวขาเดินจากไปเพียงไม่กี่ก้าว เลยนึกอยากจะหันมาไล่ตะเพิดทั้งลูกชายและก๊วนเพื่อนไม่เอาถ่านของเจ้าตัว ให้รีบระเห็จออกไปจากเคหสถานของเขาเสียบัดเดี๋ยวนี้ แต่ผู้ใหญ่อย่างเขาก็จำต้องยอมปล่อยวาง ทนนิ่งเฉยให้พวกเด็กเหลือขอกลุ่มนี้ย้ายก้นออกไปจากบ้านของเขาเสียเองโดยมิได้ดุด่าว่ากล่าวสิ่งใด เพราะถึงจะพูดไปก็คงจะเป็นการเปลืองน้ำลายเปล่าๆ อยู่ดี
ดังนั้นพอท่านนายพลรอจนกองทัพเด็กเหลือขอเคลื่อนย้ายออกไป คฤหาสน์สัจจะอมรกุลก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เจ้าของบ้านจึงพาธารน้ำมานั่งรอผู้ที่หญิงสาวต้องการพบภายในห้องโถงอันเงียบสงบต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป...
--------------------------------------------------------------------------------
หุหุ...แค่เปิดฉากมาก็เเซ่บไปสามโลกแล้วนะคะ
แต่นี่แค่น้ำจิ้มค่าน้ำจิ้ม ของจริงต้องติดตามตอนต่อไปค่า
คุณชายเริงโลกันตร์ยังมีทีเด็ดอีกเย้ออออออ
แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าทีเด็ดคุณชายพระเพลิงจะเผ็ดขนาดไหน
สามารถโหลดได้ที่ร้านอีบุ๊คชั้นนำ หรือตามลิงก์นี้ไปเลยค่า
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
