ตอนที่ 6 : เธอช่างมีอะไรที่ฉันคุ้นตา
“นี่เจ้าชายข้าเริ่มไม่เข้าใจแล้วนะ”ซังกยุนเอ่ยปากทันทีที่ผู้สูงศักดิ์เปิดประตูเข้ามาในห้องเขา
ฮยอนบินเลิกคิ้วเล็กน้อย
ทักกันงี้เลย? ราชาศัพท์คำสุภาพอะไรก็ไม่ใช้...
“เจ้าไม่เข้าใจอะไรข้าว่าคำสั่งข้าก็ง่ายๆนะ”
“ไอ้คำสั่งให้อยู่แต่ในห้องน่ะง่ายแต่ข้าลองมาคิดดูแล้ว...ไหนท่านบอกพวกทหารไปแล้วไม่ใช่หรอว่าข้าเป็นคนของท่านแฝงตัวมาทำไมพวกเขายังหามือสังหารคนที่สามกันอีกล่ะไอ้ตอนที่ท่านบอกให้ข้าตามน้ำนั่นน่ะ”
ซังกยุนร่ายข้อสงสัยออกมายาวเหยียด
ถ้าทุกคนสงสัยย้อนกลับไปตอนนั้นได้ก็อาจจะสงสัยเหมือนเขา...
ฮยอนบินเงียบไปแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“คือ...”
“ว่าไงเจ้าชาย?”
เอาแล้ว
โดนจับได้แน่เลยว่าโกหกเรื่องล่าตัว
ก็ตามนั้นแหละไอ้เรื่องที่กังวลกันน่ะโกหกทั้งเพ...
เรื่องจริงมีแค่เขาไม่กล้าปล่อยซังกยุนไปนอกวังเพราะกลัวโดนฆ่าปิดปากนี่แหละแต่จะให้คนดื้อๆแบบนี้ยอมฟังต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อน...สารภาพว่าตอนนั้นมัวแต่ห่วงจนไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนลืมไปว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียแล้ว
“ม..ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องคิดหรอกน่าอยู่เฉยๆไปเถอะ”
“เอ้ามันจะไม่ต้องคิดได้อย่างไรฝ่าบาทเรื่องของข้านะจู่ๆโดนสั่งให้อยู่แต่ในห้องเนี่ยพ่อข้ายังไม่เคยสั่งกักข้าไว้เช่นนี้เลย”
ซังกยุนคนงี่เง่าทีงี้ละฉลาดขึ้นมาเชียว...
“เอาน่าเจ้าอย่าสงสัยให้มากความไปเลย”
“ท่านนี่นะบอกแล้วไงว่——“
“พ่อของเจ้าปลอดภัยแล้ว”ฮยอนบินรีบหาเรื่องมาเบนความสนใจและมันได้ผลเสียด้วย...
“จริงหรือ! พ่อข้าอยู่ที่ไหนน่ะฝ่าบาท”
“ข้าให้เขาไปอยู่กับคนที่ไว้ใจได้เขาดูแลพ่อของเจ้าได้เป็นอย่างดีแน่นอน”
ฮยอนบินตอบแบบไม่กะให้คนตัวเล็กถามต่อเลย...
แต่รู้แค่นี้ซังกยุนก็สบายใจแล้ว
“ขอบ...เออต้องใช้อะไรนะอะไรกรุณาๆเนี่ยแหละเอาเป็นว่าข้าขอบคุณนะฝ่าบาท”
“ที่นี้จะสบายใจได้รึยัง?”
“ถ้าท่านรับรองให้ก็คิดว่าสบายใจได้กระมังแล้วนี่ข้าขอไปเจอพ่อข้าได้รึเปล่า”
“ไว้ข้าจะพาไปมะรืนนี้”
“ทำไมถึงนานขนาดนั้น?!”
“ที่ที่บิดาของเจ้าอยู่ในตอนนี้ค่อนข้างไกลข้าไม่มีเวลาแล้วข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไปไกลหูไกลตาขนาดนั้น”
บอกได้เลยว่าข้อหลังคือเหตุผลหลัก...
“ท่านไม่ใช่พ่อข้านะฝ่าบาทข้าโตแล้วไม่ต้องห่วงขนาดนั้นหรอกน่า”
เออจริง...ทำไมเขาต้องห่วงคนตัวเล็กขนาดนี้กัน
ห่วงมาก
ขนาดทำงานอยู่ยังจินตนาการไปต่างๆนานาว่าจะมีคนมาฆ่าปิดปากรึเปล่าจะแอบหนีไปไหนหรือเปล่า
เป็นบ้าอะไรไปเจ้าชายฮยอนบิน...
.
.
.
“เราว่าอะไรนะดงฮัน”เคนตะที่อุทานเสียงดังไปเมื่อครู่ถึงกับต้องเปลี่ยนมากระซิบแทนเพราะกลัวว่าข้างห้องจะด่าเอา
“ถ้าผมบอกว่าที่พี่เห็นเป็นเรื่องจริงพี่จะเชื่อผมรึเปล่า”
สีหน้าของดงฮันนั้นไม่มีเค้าของความล้อเล่นอยู่เลยมันดูจริงจังเอามากๆจนเคนตะนึกกลัว
“ฮะๆไม่น่าเชื่อว่าเราจะรับมุกพี่ด้วยอ่ะฮะๆ”เคนตะพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนแต่อีกฝ่ายไม่ขำด้วย...
“พี่มันไม่ใช่มุกผมรู้นะว่าพี่พูดจริงอ่ะ”
ใจของเจ้าเด็กตัวสูงเต้นรัวยิ่งกว่ากลองที่ถูกตีด้วยกระเดื่องคู่ยิ่งคนตัวเล็กที่อีกฟากของจอเงียบๆไปเขายิ่งลุ้นจนตัวโก่ง
วันที่ดงฮันรอคอยจะมาถึงแล้วใช่ไหม...
เคนตะจะจำได้จริงๆใช่ไหม
“ฝันดีนะ”
......
เคนตะ...
วางสายไปแล้ว
คนตัวเล็กไม่ยอมตอบอะไรนอกจากประโยคบอกฝันดีแล้วสายก็ตัดไป
ภาพสุดท้ายของดงฮันคือคีย์บอร์ดของอีกฝ่ายนั่นแปลว่าเคนตะพับจอเพื่อตัดสายคงจะติดต่อทางคอมไม่ได้แล้วเขาจึงหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือมาแทนแล้วพิมพ์ข้อความหาเคนตะ
แต่มันไม่ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว
โทรไปก็ไม่รับ
ท่าทางคงต้องเจอตัวต่อตัวซะแล้ว...
.
.
.
สามวันต่อมา
จนแล้วจนรอดซังกยุนก็ยังไม่ได้เจอบิดาเพราะคนที่จะพาเขาไปมีราชกิจรัดตัวจนแทบไม่ได้กระดิกไปไหนขนาดจะมาพบเขายังแทบไม่มีเวลาจากวันแรกที่โวยวายจนถึงวันนี้ที่ยอมเข้าใจว่าอีกฝ่ายยุ่งขนาดไหนเขาเลิกโวยวายแล้ว...
แต่เจ้าชายก็ไม่ถึงกับละเลยกันเสียทีเดียวยังมีน้ำพระทัยที่จะพาเขามาฝากฝังไว้กับคนที่ไว้ใจได้(?)ให้เขามีอะไรทำระหว่างนี้
สัญญาปากเปล่าที่บอกว่าจะหาเวลาพาเขาไปให้เร็วที่สุดนั้นเชื่อได้มากขนาดไหนก็ไม่รู้
เออก็ดีกว่าอยู่เฉยๆแล้วกัน
ณ ห้องหนังสือในวังหลวง
“นี่เจ้าเปี๊ยกแกฝนยังไงให้เจ้าหมึกนี่มันไม่เลอะเทอะน่ะ”
“ก็ค่อยๆฝนสิฝนแรงๆแบบนั้นมันจะหกก็ไม่แปลก”
เคนตะที่กำลังฝนหมึกให้ดงฮันตอบคำถามของซังกยุนอย่างขอไปทีโดยที่สายตาไม่ละจากแท่นฝนหมึกของตัวเอง
ส่วนพ่อเจ้าชายสามตัวดีก็กำลังพยายามคัดตัวอักษรให้ดูสวยงามอยู่แต่ดูจากผลงานแล้วยังห่างไกลจากคำว่าสวยงามไปโขเลย...
“ข้าก็ค่อยๆแล้วเนี่ยเลอะมือหมดเลยมีเคล็ดลับใช่หรือไม่สอนหน่อยสิ”
“ข้าไม่มีเจ้าก็ฝนเบาๆแค่นั้นแหละ”
“ฝนเบาไปมันก็ไม่ออก นี่ไอ้นั่นมันอะไรน่ะที่เอวเจ้าน่ะ”
ถามอยู่แหละ
รำคาญ...
รำคาญ!!!!
“ก็แค่เครื่องประดับ”
“นี่มันของผู้หญิงนี่ทำไมเอามาใส่ล่ะ”คนหน้าแมวถือวิสาสะคว้าเครื่องประดับที่ทำจากหยกของอีกฝ่ายมาดูเพราะมันผูกติดกับตัวเขาเลยเหมือนกระชากตัวเคนตะไปด้วยจนเคนตะเหลือบตามองด้วยความไม่พอใจแต่ซังกยุนก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวจนคนตัวเล็กต้องดึงของของตัวเองกลับมา
“เรื่องของข้า”
“พูดกันดีๆสิเจ้าเปี๊ยกคนอยู่ข้างห้องกันแท้ๆ”
“แค่อยู่ห้องข้างกันไม่จำเป็นต้องมาตีสนิทหรอก”เคนตะตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ
ทั้งเขากับซังกยุนได้พักอยู่ในที่พักขุนนางและดันได้อยู่ห้องข้างกันพอดี
ซึ่งวันนี้เจ้าชายฮยอนบินก็มาฝากเจ้าตัวป่วนนี่ไว้ให้เขาช่วยดูเพราะตัวเองต้องออกไปตรวจสอบงานหลวงข้างนอกวัน
เจ้าชายเอ่ยปากฝากด้วยตัวเองจะไม่รับก็ไม่ได้
แต่ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ต่อให้เป็นพระราชามาฝากเขาก็จะปฏิเสธ!!!
ถามทั้งวัน
ถามตั้งแต่ชามไม้ยันเรือพาย
เห็นนกถามนกอะไรเห็นไม้ถามต้นอะไร
เคนตะกำลังจะเป็นบ้า!!!!!!
เจ้าชายตัวดีก็ไม่ได้สนอะไรแถมเวลาเคนตะทำหน้ารำคาญยังขำให้เห็น
มันน่าตีซะจริง
เคนตะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเลี้ยงเด็กสองคนคนนึงดื้อคนนึงปากมาก
อยากจะกัดลิ้นตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ใครหรือพะย่ะค่ะ”เสียงเอ่ยถามดังมาจากทางเข้าด้านหน้าที่ปรากฎร่างสูงโปร่งของลูกชายท่านแม่ทัพคังอึยกอนมาพร้อมกับองซองอูเช่นเคยเยื้องไปด้านหลังมีหญิงสาวในชุดเกราะเบาเดินตามมาด้วย
“คนของท่านพี่ฮยอนบินน่ะอ้าวท่านพี่หญิงซึลกิมาด้วยหรือ”เจ้าชายน้อยเอ่ยทักหญิงสาว
นามว่าซึลกิ...
เคนตะใช้เวลาระลึกอยู่ประมาณหนึ่งถึงนึกออกว่าคนคนนี้คือบุตรสาวของท่านแม่ทัพคังพี่สาวคนโตของบ้าน
ท่านแม่ทัพมีบุตรและบุตรีรวมกันสามคนคังซึลกิคังดงโฮและคังอึยกอนทั้งสามคนมีบุคลิคที่ต่างกันมากประหนึ่งโตมาคนละบ้านทั้งๆที่อยู่ด้วยกัน
บุตรสาวคนโตซึลกิเป็นคนห้าวหาญเยี่ยงชายชาตรีจริงจังกับงานแต่กับเพื่อนฝูงน้องนุ่งจะเป็นพี่สาวขี้เล่นขี้แกล้งทำน้องชายสองคนร้องไห้ไปหลายครั้งแล้วเห็นว่าเคยแกล้งกระทั่งเจ้าชายฮยอนบินจนกรรแสงหนักร้อนไปถึงท่านแม่ทัพต้องรีบเข้าวังมาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษโชคดีที่พระราชามิได้พิโรธนักเพียงแค่สั่งให้สั่งสอนบุตรสาวให้ดีเท่านั้น
บุตรชายคนรองดงโฮเกิดมามีร่างกายแข็งแรงแม้ส่วนสูงจะแพ้น้องชายแต่เรื่องพละกำลังไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยแต่กระนั้นก็ยังมีจิตใจที่อ่อนโยนจนน่าตกใจเป็นคนรักสัตว์รักธรรมชาติรักน้ำรักปลารักเด็กมีมนุษยสัมพันธ์ดียิ้มเก่งผิดกับรูปลักษณ์ที่ดูน่ากลัว
มาถึงบุตรชายคนสุดท้องอึยกอนที่ดูแล้วจะผอมกว่าพี่ชายไปสักหน่อยแต่ก็มีรูปร่างสูงโปร่งดูดีรูปลักษณ์และรอยยิ้มที่ดูใจดีและเป็นมิตรไม่ผิดกับนิสัยและเมื่อเทียบกับพวกพี่ๆแล้วดูออกจะลอยชายไปเสียหน่อยวันๆไม่มาเรียนกับดงฮันก็จะไปคลุกอยู่กับซองอู
เคนตะได้ยินพวกนางในคุยกันว่าช่วงหลังๆท่านซองอูต้องเข้าไปช่วยงานของตระกูลมากขึ้นท่านอึยกอนผู้ว่างงานจึงมักจะชอบไปก่อกวนร้านต๊อกที่หน้าประตูวังจนเจ้าของร้านรำคาญแล้วไล่ตะเพิดมาบ่อยๆ
ไหนจะช่วงวันเทศกาลที่เขาให้กินได้ไม่อั้นในราคาเดียวก็ดันไปกินเสียจนร้านแทบเจ๊ง
เขาไม่แปะป้ายห้ามเข้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว...
“ถวายบังคมเพคะเขียนรูปอยู่หรือเจ้าชายน้อย”ซึลกิทักดงฮันกลับด้วยท่าทีเป็นกันเองแล้วเดินมาชะโงกหน้ามองตัวอักษรยึกยือบนกระดาษ
ในบรรดาราชวงศ์ทั้งหลายก็มีแค่ดงฮันนี่แหละที่ทุกคนจะทำตัวสบายๆได้...เขาเติบโตและคลุกคลีอยู่กับลูกหลานเหล่าข้าราชบริพารจำนวนมากทุกคนสนิทกันเหมือนเพื่อนบางคราหากอยู่ในรโหฐานที่เป็นส่วนตัวจะพูดคุยกันด้วยภาษาสุภาพธรรมดาๆแทนราชาศัพท์เสียด้วยซ้ำ
“เปล่านะท่านพี่หญิงข้ากำลังคัดอักษรต่างหากท่านดูยังไงให้เป็นภาพวาดน่ะ”ดงฮันมุ่ยหน้าเขาว่าเขาคัดออกจะสวยงามถึงมันจะเลอะๆขอบกระดาษหน่อยแต่ก็ดูออกนะว่าเป็นอักษรน่ะ!
“เอ้าๆฝ่าบาทฉลองพระองค์เลอะแล้วนั่น”ซองอูใช้พัดในมือชี้ไปที่ชายแขนเสื้อแดงที่จุ่มหมึกอยู่
ผ้าแพรชั้นดีถูกย้อมให้กลายเป็นรอยด่างสีดำต่างจากสีหน้าของเจ้าชายน้อยที่ซีดลงเรื่อยๆ
“หวา!”ดงฮันอุทานแล้วรีบยกแขนเสื้อขึ้นแต่อย่างไรเสียรอยเปื้อนหมึกก็เปื้อนไปเป็นวงกว้างแล้วยากที่จะซักล้างให้สีกลับมาเป็นเช่นเดิม
ดูท่าเจ้าชายน้อยคงต้องตัดฉลองพระองค์เพิ่มอีกแล้ว...
“นี่ๆนั่นใครน่ะแล้วทำไมผู้หญิงถึงใส่ชุดเกราะล่ะ”ซังกยุนหันมาถามเคนตะอีก
ถามถามอีกแล้ว..
“ท่านซึลกิคังซึลกิบุตรสาวคนโตของท่านแม่ทัพแหน่ะยังจะจ้องอีกทำไมทำตัวไร้มารยาทแบบนี้”เคนตะตอบแล้วหันไปเอ็ดเจ้าคนที่จ้องลูกสาวท่านแม่ทัพไม่วางตา
“ก็สวยดีมองไม่ได้หรอโอ้ยยยยเจ้าเปี๊ยกข้าเจ็บอย่าบิดหู!!!”
.
.
.
.
“แล้วก็เลย...หลบหน้าน้อง?”ซังกยุนที่กำลังตั้งหม้อรามยอนอยู่หันมามองคนที่นอนคลุมโปงขดเป็นก้อนอยู่บนเตียงอีกฝ่ายเล่าเรื่องให้เขาฟังด้วยเสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์แต่ซังกยุนซะอย่างเก่งพอจะฟังแล้วเชื่อมโยงจนเป็นเรื่องเป็นราวได้อยู่แล้วถึงจะผสมส่วนที่ตัวเองมโนลงไปบ้างแต่เนื้อเรื่องหลักยังอยู่เขาไม่ถือว่าผิดหรอกนะเหมือนพวกนิทานหรือตำนานต่างๆที่ล้วนถูกเสริมเติมแต่งแต่เเก่นเรื่องยังคงอยู่อย่างไรเล่า
วันนี้ทั้งวันเคนตะเอาแต่หลบหน้าดงฮันอย่างไม่ทราบสาเหตุทั้งๆที่หลายสัปดาห์มานี้ทั้งสองออกจะสนิทสนมกันมันแปลกซะจนอาการเสียใจเรื่องโทรศัพท์ของเขาหายเป็นปลิดทิ้งเจ้าเด็กตัวโตก็มาดักเจอคนพี่แทบทุกหัวมุมตึกร้านกาแฟแคนทีนไปยันหน้าห้องน้ำ
หนีหน้าหนักขนาดไหนคงนึกไม่ออกกันล่ะสิ
มาซังกยุนจะยกตัวอย่างสถานการณ์ให้ฟัง
Situation 1 : @ร้านsteak home นามสมมติ
เขากับเคนตะเพิ่งได้สเต็กทีโบนร้อนๆที่พนักงานนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะยังไม่ทันที่เขาจะได้กดคมมีดลงไปบนเนื้อชุ่มช่ำแสนหอมกรุ่นนั่นก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ทำให้แขนข้างขวาลอยขึ้น
‘ไปเร็ว!!’ทาคาดะเคนตะเอ่ยได้เท่านั้นก็วางแบงค์ดอลล่าร์ที่มีมูลค่ามากกว่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วดึงซังกยุนที่ยังถือมีดส้อมค้างไว้ให้ยืนขึ้นแล้ววิ่งไปไม่วายจะดึงอุปกรณ์สแตนเลสทั้งสองชิ้นออกจากมือเขาไปวางคืนที่โต๊ะ
เขาเพิ่งตั้งสติได้ตอนตัวเองเห็นประตูกระจกของร้านปิดลงพร้อมเสียงกริ้งและภาพของเจ้าเด็กตัวโตที่เอื้อมมือมาพร้อมปากที่ขยับเป็นคำว่า’รอก่อน’
หรือหยุดก่อนนะ?
ไม่แน่ใจเหมือนกันเอาเถอะมันคล้ายๆกันนั่นแหละ
เหนือสิ่งอื่นใดในสายตาซังกยุนคือเนื้อสเต็กทีโบนควันฉุ่ยที่วางอยู่บนโต๊ะเขาพยายามจะพาตัวเองกลับไปหาเนื้อสเต็กที่วางล่อตาล่อใจอยู่บนโต๊ะแต่กลับสู่แรงเจ้าคนตัวเล็กที่ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหนไม่ได้
ทำไมทีงี้เคนตะมันแรงเยอะจังวะ!! เมื่อก่อนคนอื่นฉุดทีเดียวก็ปลิวติดมือชาวบ้านไปแล้ว!
คิดว่ามันธรรมดาล่ะสิไม่ๆมันยังมีอีก
เลือกอันพีคๆมาเลยแล้วกัน
Situation 2 :ห้องน้ำ
ที่นี่คือห้องน้ำตึกเก่าที่เคนตะอุตส่าห์หอบสังขารมาเข้าเพราะกลัวจะโดนดักอยู่หน้าห้องน้ำที่มักจะเข้าประจำ
ลงทุนเจรง!!!
“รอข้างหน้านะ”ซังกยุนบอกแล้วเอนตัวพิงประตูห้องน้ำรอให้เจ้าเพื่อนตัวน้อยเดินเข้าไปเพราะเขาไม่ค่อยอยากเข้าไปนักหรอก
ห้องน้ำตึกเก่าน่ะเก่าสมชื่อแค่เข้าไปก็เหมือนฉากในหนังสยองขวัญแล้วเมื่อไหร่มหาลัยจะทุบเจ้าตึกนี่ทิ้งไปสักทีเนี่ย
“พี่พี่เคนตะอยู่นี่ใช่ไหม”
“เห้ย!! นี่ยังตามมาถูกอีกหรอวะ”ซังกยุนตกใจจนเกือบทำมือถือร่วง
ถ้าเครื่องนี้ตกแตกอีกเครื่องเขาไม่สำรองแล้วนะเว้ย!!!
ซังกยุนเบิกตากลัวที่สุดเท่าที่ตาตี่ๆของเขาจะทำได้เนื่องมาจากความตกใจอย่างถึงขีดสุดคือหนีมาตั้งไกลแล้วทำไมมันยังตามมาถูกอีกวะเนี่ยยยย
พูดตรงๆเขาก็ชักกลัวแล้วว่าความจริงแล้วดงฮันจะเป็นพวกสตอล์คเกอร์แล้วตอนนี้ก็แอบฝังเครื่องติดตามตัวไว้ที่เคนตะเรียบร้อยแล้วถึงได้ตามมาถูกตลอดส่วนเคนตะที่รู้ตัวก็ได้แต่พยายามจะหนีอะไรแบบนั้นใช่ไหม
พระเจ้า
ทำไมยิ่งคิดแล้วมันยิ่งอันตรายวะโคตรน่ากลัว
เพราะซังกยุนเอาแต่ยืนอึ้งไม่ยอมตอบเจ้าคนเด็กกว่าจึงเดินแทรกตัวเข้าไปในห้องน้ำแต่ไม่นานนักก็วิ่งออกมาจับไหล่คนที่ยังยืนอึ้งอยู่แล้วเขย่าไปมา
“พี่เขาไปไหนแล้วล่ะพี่ซังกยุนพี่ไม่ได้มาด้วยกันหรอ”
สิ้นคำถามของดงฮันคนหน้าแมวก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวแล้วรีบวิ่งเข้าไปดูห้องน้ำที่โถไม่มีใครเลยประตูห้องก็เปิดอยู่หมดแต่ไร้วี่แววของคนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่
แม่...
นอกจากไอ้เด็กข้างหน้าจะเป็นสตอล์คเกอร์ที่หล่อมากๆแล้วรูมเมทผมยังเป็นผีด้วยหรอครับ...
ยังไม่ทันจะหายช็อคจู่ๆเสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวก็ดังขึ้นมาดึงให้ซังกยุนหลุดจากภวังค์ความคิดด้วยความติดโซเชี่ยลเข้ากระดูกเขาจึงเปิดดูทันทีก็พบว่าเจ้าของชื่อห้องเเชทที่ส่งมาคือเจ้าคนที่หายไปอย่างเป็นปริศนาเมื่อครู่
แชท:เคนตะ
เคนตะ:มาที่เเคนทีนเลย
ซังกยุน:เห้ย
ซังกยุน:ไปโผล่นั่นได้ไง
มันไกลกันตั้งหลายช่วงตึก
เคนตะ:ปีนหน้าต่างห้องน้ำออกมาตอนได้ยินเสียงดงฮันอ่ะรีบมานะ
ซังกยุนไม่ได้พิมพ์ตอบเเชทเขาชะโงกเข้าไปดูในห้องน้ำก็พบว่าหน้าต่างมันเปิดทิ้งไว้จริงๆดีนะว่าตรงนี้เป็นชั้นหนึ่งน่ะ..
โอ้โหเพื่อนกลายเป็นนินจาไปแร้ว...
.
.
.
.
“ไปไหนมาน่ะเคนตะ”ดงฮันเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ขอตัวไปตั้งแต่เมื่อช่วงโพล้เพล้โดนที่ทิ้งเขาไว้กับซังกยุนเเค่สองคน
“....เจ้าชาย...นี่มันเกิดอะไรขึ้น”เคนตะไม่ตอบคำถามเพราะเขากำลังตกใจกับภาพที่เห็น
ทำไมหน้าเจ้าชายถึงมีแต่หมึกวาดลวดลายไว้เต็มไปหมด!!!!!!!
เจ้าตัวดีที่อยู่ด้วยเองก็เหมือนกันแต่ออกจะสภาพเละเทะกว่าเพราะมีรอยวาดไปถึงแขนเลย
“เล่นกันนิดหน่อยน่ะแบบว่าใครทายคำที่ขันทีจองใบ้ออกก่อนจะได้เขียนหน้าอีกคน”ดงฮันพูดอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆเมื่อเคนตะมองถัดขึ้นไปจากสองคนที่กองอยู่บนพื้นพร้อมคราบหมึกก็พบขันทีจองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ที่ผนัง
เคนตะสูดหายใจเข้าลึกๆอย่างพยายามจะให้ตัวเองใจเย็น
“ข้าพยายามห้ามแล้ว...”ขันทีจองพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแบบคนใกล้สะอื้นจนเคนตะอดสงสารไม่ได้
เขาเข้าใจดีว่าเจ้าชายน้อยน่ะทั้งซนหัวดื้อเล่นพิเรนท์สารพัดที่จะทำให้ปวดหัวเขาอยู่ด้วยมาเเค่ไม่กี่เดือนยังอยากจะลาออกให้รู้แล้วรู้รอดแล้วขันทีจองที่รับใช้พระองค์มาตั้งแต่เล็กคงไม่เหลือ...
“ขันทีจองท่านให้นางในพาองค์ชายไปสรงน้ำเถิดเดี๋ยวหมึกแห้งแล้วจักขัดออกยากเอาเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้านี่เอง”ยังไม่ทันจบประโยคเคนตะก็เดินไปคว้าตัวเจ้าคนหน้าแมวที่ตัวเปรอะหมึกจนดูไม่ได้ออกมาจากห้อง
“เคนตะตกลงไปไหนมาน่ะยังไม่ตอบเลยนะ”ดงฮันลุกขึ้นแล้ววิ่งตามมาถามเข้าที่หน้าประตู
“ไว้เดี๋ยวกระหม่อมบอกนะพะย่ะค่ะพระองค์เสด็จไปสรงน้ำก่อนเถิด”เคนตะเลือกใช้คำราชาศัพท์เพราะพวกเขาอยู่ต่อหน้าขันทีจอง
ถ้าอยู่กันสองคนเขาคงมือลั่นตีดงฮันไปสักที
ละสายตาครู่เดียวก็เล่นซนเสียใหญ่โต
ถ้าไม่บอกว่าน่าตีก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว!
.
.
.
“เอ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อยเดี๋ยวข้าเอาเสื้อมาเปลี่ยนให้”เคนตะลุกขึ้นจากพื้นหลังนั่งขัดกน้าอีกคนจนสะอาดแล้ว
ตอนแรกปล่อยให้อาบเองก็เอาน้ำราดๆคราบหมึกมันออกหมดที่ไหนร้อนถึงเขาทนไม่ได้ต้องมานั่งขัดออกให้
นี่พูดจริงๆเลยนะเขารู้สึกเหมือนตัวเองเลี้ยงเด็กอยู่สองคนอย่างไรชอบกล...
“นี่เจ้าเปี๊ยกเมื่อเย็นหายไปไหนมาน่ะ”ซังกยุนเอ่ยถามหลังจากที่เคนตะเดินกลับไปหยิบเสื้อผ้าในห้องมาโยนให้
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าน่าเปลี่ยนชุดแล้วไปนอนได้แล้ว”เคนตะตัดบทอย่างรวดเร็วขนาดเจ้าชายเขายังไม่อยากจะบอกเลย..
“เดี๋ยวดิเจ้าเปี๊ยก!”
คนตัวเล็กไม่สนใจเสียงร้องเรียกแล้วตรงดิ่งกลับห้องนอนของตัวเอง
ร่างเล็กทิ้งตัวลงนั่งพิงประตูทันทีที่เลื่อนปิดเขามองไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูเห็นพระจันทร์ที่ถูกเมฆบดบังไปเสียครึ่งดวง
ทั้งๆที่วันนี้เป็นขึ้น15ค่ำที่จันทร์จะสวยงามที่สุดแต่วันนี้กลับมีเมฆเยอะเสียได้
เคนตะกำลังตัดสินใจว่าจะบอกเจ้าชายดีหรือไม่ว่าเขาไปที่ใดทำอะไรมาเมื่อเย็น
เพราะที่เขาไปมันคือบ้านของ...
คนบ้า
ใช่อ่านไม่ผิดหรอกบ้านของชายบ้าใบ้
.
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงโพล้เพล้
เคนตะได้รับจดหมายที่อยู่ในกล่องขนมที่นางกำนัลนำเข้ามาให้โดยชื่อผู้ส่งคือจองเซอุน
เนื้อความในจดหมายมีเพียงแค่ให้ออกมาเจอกันในช่วงโพล้เพล้ที่สระน้ำเล็กใกล้กับประตูวังเจ้าคนหน้าง่วงเอ่ยทักทายเขาแล้วเดินนำออกจากวังมาโดยไม่บอกอะไรเลย
“จะพาข้าไปไหนน่ะจองเซอุน”ก็รู้หรอกว่ามันดูไม่น่าไว้ใจแต่เขาก็ตามมาอยู่ดีเคนตะมองไปรอบๆแม้จะไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์มากพอที่จะทำให้เห็นได้ชัดเหมือนตอนกลางวันแต่แสงสลัวๆนั้นก็ยังทำให้พอมองทิวทัศน์รอบๆออกอยู่บ้าง
ทางนี้มันคุ้นๆอย่างไรชอบกลนะ
และแล้วเคนตะก็ได้คำตอบเขาเคยมาที่นี่กับดงฮันเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
“นี่เคนตะเบื่อจังเลย”เจ้าชายน้อยทที่นอนแผ่หลาอยู่กลางตำหนักเอ่ยขึ้นในตอนที่เคนตะกำลังคัดลอกหนังสือเรียนให้เจ้าตัวไว้อ่านจากต้นฉบับของพระราชครูที่นำมาส่งให้เมื่อเช้าอาจารย์ผู้มากความสามารถถึงกับกุมมือเขาแล้วเอ่ยขอร้องว่าทำยังไงก็ได้ให้องค์ชายยอมอ่านหนังสือทีซึ่งแน่นอนว่าเคนตะก็ต้องรับปากอย่างเสียมิได้
“รอสักครู่ประเดี๋ยวพอข้าคัดเสร็จพระองค์ค่อยมาอ่านตำราแก้เบื่อก็ได้พะย่ะค่ะ”ชายหนุ่มตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษ
“หาแบบนั้นมิยิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่หรอกรึ”เจ้าคนเด็กกว่าเด้งตัวขึ้นมานั่งทันทีที่ได้ยินว่าต้องอ่านหนังสือแต่สมองขององค์ชายเจ้าแผนการก็คิดหาเรื่องมาเพื่อเลี่ยงกิจกรรมอันแสนน่าเบื่อนี้ได้แทบจะในทันที
นี่เคนตะเจ้าเคยเห็น‘คนบ้า’ หรือเปล่า...”
นั่นเป็นประโยคที่ทรงเอ่ยถามก่อนจะลากเขาออกมาตามทางที่เจ้าจอง เซอุนนี่กำลังพาเขาเดินไปอยู่
อย่าบอกนะว่าจองเซอุนก็กำลังจะพาเขาไปหาคนบ้า...
ขอท้าวความสั้นๆเสียก็แล้วกัน
คนบ้านี้คือชายบ้าใบ้ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าหลังพระราชวังซึ่งเป็นชายบ้าสมชื่อทั้งบ้าและใบ้สติไม่สมประกอบแถมยังพูดไม่ได้อีกชายที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์ได้กลับเป็นคนที่เจ้าชายน้อยบอกว่าเป็นเพื่อนคนแรกที่เจอตอนแอบหนีเที่ยวนอกวังครั้งแรกกับสี่จตุรตัวแสบสมัยพระชนมายุ12ชันษา
ซนแต่เด็กจริงๆ...
พระองค์ออกกินต็อกยังร้านริมตลาดแต่ไม่ได้นำเงินติดตัวไปเพราะปกติข้าราชบริพารจะเป็นคนพกและจัดการให้จนเคยตัวพอครั้งนี้ก็ไม่ทันนึกหลังจากกินเสร็จแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเบี้ยจนเกือบโดนเจ้าของร้านแจ้งจับข้อหากินแล้วจะชักดาบโชคดีที่ได้เจ้าคนบ้านำเศษเงินมาจ่ายให้ถึงแม้จะทรงคืนให้แล้วแต่ก็ยังไม่ลืมมิตรภาพและความมีน้ำใจของชายผู้นี้
พระองค์มักจะหนีออกมาคุยเล่นกับชายคนนี้อยู่บ่อยครั้งถึงอีกฝ่ายจะพูดโต้ตอบมิได้แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ฟังที่ดี..เคนตะก็ได้แต่ฉงนใจว่าเจ้าชายคุยกับคนบ้ารู้เรื่องแล้วคนบ้าฟังองค์ชายรู้เรื่องหรือ?
นั่นแหละ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เจ้าชายได้สร้างมิตรภาพกับเพื่อนแปลกๆนอกวังคนนี้
และแล้วก็เป็นดั่งคาด
จองเซอุนพาเขามากระท่อมคนบ้า
อ้อลืมบอกไปว่าคนบ้าคนนั้นมีชื่อเล่นว่า‘อีทึก’ เป้นชื่อที่คนในตลาดเขาใช้เรียกกัน
ในตอนที่อีทึกเห็นทั้งเขาและเซอุนเดินเข้ามาก็นั่งเหม่อลอยเหมือนมองไม่เห็นแต่เคนตะมั่นใจนะว่าเมื่อกี้เขาสบตากับเจ้าของกระท่อมจริงๆชายที่ว่านั้นผมยาวฟูยุ่งเหยิงในชุดผ้าดิบที่ขาดวิ่นเนื้อตัวเองก็ช่างแสนสกปรกมอมแมม
“ท่านอานี่ข้าเองเซอุน”เซอุนเดินไปนั่งข้างๆชายบ้าใบ้
“นี่ไงคนที่ข้าบอกบุตรชายของคนคนนั้น”หลังจากจบประโยคนั้นชายที่เขาเคยคิดว่าบ้าใบ้ก็หันมามองเขาด้วยแววตาที่’ปกติ’
“เนี่ยนะทาคาดะเคนตะ”
เห้ยล้อกันเล่นอยู่หรือทำไมชายใบ้ถึงพูดได้เล่า
คนตัวเล็กได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกแต่จองเซอุนกลับไม่มีปฏิกิริยาตกใจอะไรกลับคุยกับชายบ้าใบ้อย่างเป็นกันเองประหนึ่งญาติผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกัน
“ใช่แล้วเห็นท่านบอกอยากเจอไงข้าเลยพามา”
“โหหน้าไม่เห็นเหมือนพ่อมันสักนิดถ้าเจ้าไม่บอกนี่ข้าไม่ทันเอะใจแน่ๆอืม...จำได้ว่าเจ้ามากับเจ้าชายน้อยเมื่อกี่วันนะเอาเถอะเอาเป็นว่าหลายวันก่อนก็แล้วกัน”ชายที่เขาเคยคิดว่าเป็นบ้าลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายแล้วเสยผมที่ปรกหน้าใ้พ้นไปอย่างลวกๆส่วนจองเซอุนที่เห็นเคนตะยืนอ้าปากพะงาบๆด้วยความตกใจก็เอ่ยแนะนำคนตรงหน้าอย่างเป็นทางการ
“เคนตะนี่คือท่านอาพัค จองซู เจ้ากรมฝ่ายข่าวกรองลับรู้จักกันไว้ซะล่ะเขาเป็นเพื่อนกับพ่อเจ้า”
….
คนบ้าเนี่ยนะเป็นเจ้ากรมข่าวกรองบ้าไปแล้ว!!!!!!!!!
TBC
สวัสดีค่ะทุกคนคิดถึงจัง แงงง ขอกอดที
ตอนแรกเราว่าจะไม่ให้มันเกินเดือนก็เกินจนได้ฮืออออขอโทษค่ะขอโทษค่ะTT
สารภาพว่ามัวแต่วุ่นวายกับทีแคสจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย
หวังว่าทุกคนจะยังอยู่กับเรานะคะเม้นท์พูดคุยเล่นติชมกันได้นะคะรออ่านอยู่น้า
ตอนไหนเราเฟลๆท้อๆก็มานั่งอ่านเม้นท์ของทุกคนนี่แหละเป็นกำลังใจชั้นดีเลยขอบคุณนะคะรักส์<3เราไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะแต่อาจจะช้าหน่อยในระหว่างนี้เครียดเรื่องที่เรียนมากจริงๆฮืออออออ
ในส่วนของคำผิดเราพยายามจะแก้ให้มากที่สุดแล้วค่ะ ถ้ายังมีหลุดไปบ้างขออภัยด้วยนะคะ ยังไงถ้าเจอมาบอกกันได้น้าเดี๋ยวเราเข้ามาแก้ให้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจ้าชายฮยอนบินค่าตัวเองแพงนะเพคะ ตอนนี้ออกน้อยเชียว
เจ้ากยุนนน 5555555 เล่นกับเจ้าชายสามได้น่ารักมาก ซนกันจริงๆเลยนะ เคนตะอย่าเพิ่งงง ปลอมตัวไงปลอมตัว 555
ตลกการหลบหลีกหนีหน้าน้องดงของเคนตะมาก ตลกกว่าคือกยุนตอนคุยกับแม่ 555555
รอนะคะ สู้ๆนะคะ