ตอนที่ 3 : ทำไมทำให้ฉันสับสนในใจเหลือเกิน
สามสัปดาห์ถัดมา
เคนตะและดงฮันยังคงไปไหนมาไหนด้วยกัน ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีประหนึ่งสนิทกันมานานนับปีทั้งๆที่เจอกันมาไม่ถึงเดือน สร้างความแปลกใจให้กับรูมเมทอย่างซังกยุนนัก
ยิ่งหลังๆสองสามวันมานี้ตอนเช้าดงฮันจะเดินมารับเคนตะที่หน้าหอพัก กลางวันหากว่างตรงกันก็จะเห็นทั้งสองคนพากันออกไปทานข้าวเสมอ และจากที่เคนตะต้องกลับเองคนเดียวเป็นประจำกลายเป็นว่ามีดงฮันตามติดมาส่งถึงหน้าหอตลอด
ทั้งสองคนทำสิ่งต่างๆด้วยกันอย่างไม่มีข้อติดขัด รู้ใจกันเหมือนเพื่อนที่สนิทกัน สนิทกันจนเพื่อนสนิทตัวจริงอย่างซังกยุนเริ่มรู้สึกใจน้อยกลายๆ ที่น่าประหลาดคือดงฮันรู้ว่าเคนตะชอบกินอะไร ไปที่แบบไหนนี่แหละ จนซังกยุนต้องเตือนเพื่อนตัวน้อยให้ระวังเนื้อระวังตัวอย่าไว้ใจดงฮันอยู่บ่อยๆ เพราะเขากลัวว่าจริงๆแล้วดงฮันจะเป็นสตอลคเกอร์ที่ตามติดเคนตะถึงได้รู้เรื่องหรือทำอะไรถูกใจเคนตะหลายอย่างเช่นนี้
“ไม่มีอะไรหรอกน่า นายอ่ะคิดมาก”เคนตะเอ่ยทั้งๆที่มือยังคงพิมพ์ตอบข้อความดงฮันอยู่ ซังกยุนเตือนเขาเป็นครั้งที่ร้อยของอาทิตย์นี้ได้แล้วมั้ง
“ฉันหวังดีหรอก นายน่ะไว้ใจเจ้าหมอนี่ง่ายเกินไปรึเปล่า ไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆหรอ”เขาถึงขนาดยอมบอกปฏิเสธตี้เล่นเกมไม่ยอมไปแจมแมชในค่ำคืนนี้เพื่อมานั่งจับเข่าคุยกับเคนตะ แต่เจ้าตัวกลับดูไม่ทุกข์ร้อนเอาเสียเลย แถมยังตอบข้อความของดงฮันอยู่ตลอด สาบานได้เลยว่าขนาดตอนที่อาจารย์ส่งข้อความมาตามงานยังไม่ตอบเร็วปานนี้
“ไม่รู้สิ...แต่ฉันรู้สึกว่าเขาไว้ใจได้นะ..ไม่เคยเห็นทำอะไรแปลกๆหรือพิรุธอะไรแบบที่นายบอกเลย”หลังจากฟังเจ้าคนญี่ปุ่นเอ่ยจบก็ทำเอาซังกยุนต้องถอนหายใจครั้งที่ร้อยของวัน
“ว่าแต่นายเถอะ คนที่มาตะโกนอยู่หน้าตึกจนยามต้องลากออกไปนั่นใครน่ะ”เคนตะเอ่ยถามต่อ ซังกยุนเบ้ปากทันทีทีนึกถึงเหตุการณ์แสนน่าอับอายเมื่อไม่นานมานี้
ท้าวความไปเมื่ออาทิตย์ก่อน จู่ๆก็มีคนมาเข้ามาทักซังกยุนแล้วบอกว่าชอบเขากลางแคมปัสจนกลายเป็นข่าวไปทั่วมหาวิทยาลัย คนถูกสารภาพรักโวยวายกลบเกลื่อนแล้ววิ่งหนีมาอย่างไม่คิดชีวิตถึงขั้นทำรายงานแสนสำคัญตกไว้
ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายตัวสูงลิ่ว แต่ดูจากหน้าตาและผิวพันธุ์แล้วดูท่าจะเป็นชาวเอเชีย ตาตี่ๆและผิวขาวสว่าง รูปร่างเหมือนพวกนายแบบตามนิตยสาร
ซังกยุนผู้น่าสงสารยอมทำรายงานใหม่ดีกว่าจะต้องไปทวงคืนจากคนที่ทำแบบนั้นกับตนเอง
แต่โถถังกะละมังหม้อ พระเจ้าไม่เคยรักซังกยุน
เจ้าผู้ชายตัวสูงคนนั้นเอารายงานคืนให้ถึงหน้าคลาสรูมวิชาเรียนรวมที่มีนักศึกษาอยู่ในห้องหลายร้อยชีวิต
เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากที่ฝ่ายนั้นพยายามจะเข้ามาคุยแต่ซังกยุนก็หนีหน้าเรื่อยไปจนเลยเถิดไปถึงขั้นมาตะโกนหน้าหอพัก
‘คุณซังกยุน ผมขอโทษ อย่าเกลียดผมเลยนะครับ!”
ร้อนไปถึงพี่ยามประจำหอพักต้องลากออกไป ซึ่งเหตุการณ์นี้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์มาได้สองสามวันแล้ว
“ใครก็ไม่รู้ แต่คงเป็นคนเกาหลี”เขาตอบรูมเมทตัวน้อยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
จะใครก็ช่าง! ชาตินี้อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยไอ้ตี๋ตัวสูง!!!!!
.
.
.
“คิม ซังกยุน? เจ้ามีธุระอะไรกับเรารึ?”ผู้มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้า
ดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนที่จัดอยู่ในระดับคนยากไร้ของเมืองหลวงเลยทีเดียว ผ้าเก่าๆขาดวิ่นที่ต้องผูกไว้เพราะไม่เหลือเนื้อผ้าให้เย็บติดกันแล้ว รองเท้าฟางที่เหลือกำลังจะพังในอีกไม่ช้า หน้าตามอมแมมและผมฟูๆยุ่งๆ
“ข้า…เออ…”ซังกยุนเอ่ยขึ้นแบบไม่รู้ว่าตัวเองควรใช้คำแทนตนว่าอะไร แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะอะไรก็พูดไปเถอะ
“ข้าอยากมีเรื่องต้องบอก เออ..กราบทูลกับท่าน เออ ฝ่าบาท?”ซังกยุนนั้นไม่ชินกับการใช้ราชาศัพท์หรือคำศัพท์เป็นทางการ จนฮยอนบินต้องยกมือให้หยุดแล้วอนุญาตให้พูดจาเป็นกันเอง ไม่งั้นวันนี้คงคุยกันไม่จบแน่ๆ
“ว่ามา...”
“ข้ากับพ่อ แล้วก็ชาวบ้านคนอื่นๆถูกรีดไถ่”ฮยอนบินฟังเรื่องที่อีกคนบอกแล้วพยักหนารับรู้ เขารู้อยู่แล้วเพราะมันเขียนเอาไว้ในรายงาน
“น้องสาวของข้าถูกขุนนางคนนั้นเอาตัวไปขายเพราะเราไม่มีเงินค่าดอกเบี้ย หลานสาวของบ้านข้างๆด้วยแล้วก็..อีกหลายคนเลย”องค์ชายหนุ่มเบิกตากว้างอย่างตกใจ ให้ตายเถอะ เขาเพิ่งรู้ว่าปัญหามันหนักขนาดนี้
“ใครจับไป?”เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างราบเรียบ แม้ในใจจะเดาคำตอบออกแล้วก็ตาม เขากำลังสะกดอารมณ์มิให้บุ่มบ่ามกลับไปสั่งประหารขุนนางคนนั้น
“คนของท่านจู ยงบิน พวกผู้หญิงถูกพาไปขาย พอเราจะไปช่วยเขาก็ขู่ว่าจะไม่ให้ยืมเงินอีก”จูที่ว่าคือขุนนางตระกูลจูที่เขาเพิ่งไปไต่สวนมาเมื่อกี้นี้
“แล้วก็...”
“มีอีกรึ?”ฮยอนบินเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“ยาขอรับ ช่วงนี้ยามันแพงมากๆ ท่านพ่อของข้าที่ป่วยอยู่จำเป็นต้องใช้ยา แต่เราไม่มีเงินซื้อยาจนต้องไปกู้ยืม ข้ารู้มาว่าท่านจูแอบซื้อยามากักตุนไวโก่งราคา” แม้จะสงสัยว่าซังกยุนรู้ได้อย่างไรแต่เขาก็เก็บมันไว้ในใจก่อนเพราะเวลานี้ทุกข์สุขของราษฎรสำคัญกว่า
.
.
.
“แล้วก็...”
นี่เป็นแล้วก็ครั้งที่สิบของซังกยุนแล้วกระมัง
เจ้าชายหนุ่มแทบจะเป็นลมล้มพับทั้งยืน รายงานกองสูงท่วมหัวนั่นรายงานปัญหาเขาได้ยังไม่ถึงครึ่งของที่เกิดขึ้นจริงนี่เลย! แถมดูท่าปัญหาจะยังไม่หมดอีกต่างหาก
มือเรียวยาวยกขึ้นนวดขมับทั้งสองข้างแล้วสูดหายใจลึกๆ เขายกมือขึ้นเป็นเชิงว่าให้อีกฝ่ายหยุดก่อน
“ดูเหมือนว่าเราต้องคุยกันอีกยาว ไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า...”
.
.
.
.
“พี่ซังกยุนครับ! อ่านหนังสือเหนื่อยไหม”เสียงทุ้มที่ดังมาแต่ไกลทำเอาเจ้าของชื่อต้องปิดหนังสือเสียงดังแล้วทำท่าจะออกวิ่ง
แต่เขาช้าไป เขาลืมไปว่าไอ้ตี๋นี่ขายาวยั่งกับเสาไฟฟ้า ก้าวสองสามก้าวก็ถึงตัวแล้ว!!!
ยังไม่ทันที่ซังกยุนจะลุกก็มีแก้วกาแฟกระดาษสีขาวตราเงือกเขียววางลงตรงหน้า (เราจะไม่เอ่ยชื่อแบรนด์เพราะไม่ได้ค่าโฆษณา..)
“กาแฟครับ ช่วงนี้จะสอบใช่ไหม สู้ๆนะครับ”ถ้อยคำให้กำลังใจดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“เออ..”ไหนๆก็หนีไม่รอดวะ ทำใจดีสู้เสือหน่อยแล้วกัน
“ผมชื่อฮยอนบินนะพี่ ควอนฮยอนบิน”อีกฝ่ายถือวิสาสะก้าวเข้ามานั่งบนม้านั่งข้างๆกันแล้วแนะนำตัวแบบไม่ต้องเอ่ยถาม
“วิศวะโยธาครับ ปีสองแล้ว”ถึงซังกยุนจะทำเมินอีกฝ่ายแต่มือเขากลับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม เจ้ารูมเมทตัวน้อยที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงข้ามกับถึงกับเหลือบมอง
แหม...ทำเป็นไม่สนแต่ก็ดื่มของที่เขาให้นี่หว่า
“แล้วก็ชอบพี่ด้วย”
แค่ก! คนถูกสารภาพรักสำลักกาแฟแล้วไอโคลกๆอย่างน่าสงสารจนต้องลูบหลังให้
“มึงแม่ง...”ซังกยุนเผลอหลุดภาษาเป็นกันเองออกมา
“พี่เป็นอะไรมากไหม นี่ครับทิชชู่”ฮยอนบินหยิบเอาแพ็คทิชชู่ลายเจ้าหญิงเอลซ่าออกมาส่งให้อีกคน
“อย่าพูดว่าชอบออกมาง่ายๆดิวะ กูขนลุก”
อู้ย กาแฟโคตรร้อนแต่เก็กไม่เป็นไรไว้ก่อน กลับห้องไปตัวแดงแน่ๆซังกยุนเอ๊ย
“พี่รังเกียจผมหรอ...”อีกฝ่ายถาม เจ้าคนตาตี่ดูหงอยลงเหมือนหมาที่เจ้าของไม่ยอมเล่นด้วย เคนตะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองแล้วก็แอบหลุดขำออกมา เพราะดงฮันก็เป็นแบบนี้บ่อยๆเหมือนกัน
ซังกยุนไม่ใช่พวกหัวโบราณเรื่องเพศหรืออายุ แต่แบบ ว่าไงดีวะ...มัน...เร็วไปมั้ง?
ด้วยความคิดที่ตีกันยุ่งเหยิงทำให้เขาตอบออกไปแบบไม่ทันนึกอะไร
“ไม่ได้รังเกียจ..”
.
.
.
.
แสงโคมยามค่ำคืนถูกจุดขึ้นตามทางเดินที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ที่นี่เป็นย่านของนักท่องราตรี มีตั้งแต่หอนางโลมไปจนถึงร้านเหล้าข้างทาง
ฮยอนบินพาซังกยุนมานั่งที่หอนางโลม
คนตัวผอมดูไม่คุ้นชินกับสถานที่เช่นนี้ สังเกตุได้จากท่าทางเก้ๆกังๆนั่น ไหนจะตาท่ีล่อกแล่กไปมา มองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง
พวกเขาตกเป็นเป้าความสนใจทันทีที่เดินเข้ามา หนึ่งคือองค์ชายรอง อีกหนึ่งคือคนที่ดูยังไงๆก็ไม่น่ามาปรากฎตัวอยู่ที่นี่เนื่องด้วยเสื้อผ้าและท่าทางที่ดูเป็นคนยากจนนั่น
“มานี่สิซังกยุน”ฮยอนบินที่เดินลิ่วๆเข้ามาเหมือนเดินเข้าบ้านกวักมือเรียกคนที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่หน้าทางเข้า ซังกยุนรีบวิ่งตามมายืนอยู่ชิดกับฮยอนบินทันที
ยอมรับเลยว่าที่นี่มันน่ากลัวยังไงชอบกล กลิ่นหอมแปลกๆ ไหนจะมีคนนัวเนียกันอยู่ตรงมุมห้องอีก นี่มันสถานที่แบบไหนวะเนี่ย
“อ้าว ทำไมไม่มีคนมาแจ้งก่อนละเพคะว่าพระองค์จะเสด็จมา หม่อมฉันเลยไม่ทันได้เตรียมการต้อนรับเลย”หญิงสาวที่ดูจะสูงอายุและแต่งตัวหรูหราที่สุดในที่นี้เอ่ยขึ้นเมื่อเธอหันมาเห็นเจ้าชายหนุ่ม
“ข้าก็ตัดสินใจเมื่อกี้เองว่าจะมา”ฮยอนบินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คณิกาสาวที่งดงามหลายนางรอบๆกายไม่ได้ดึงดูดความสนใจเขาเลยสักนิด เขามองผ่านพวกนางประหนึ่งเป็นธาตุอากาศ แม้พวกนางจะงามสักเพียงไหนแต่ก็ไม่สามารถเทียบเคียกับสตรีในวังหลังได้
“ข้าอยากได้ห้องที่เป็นส่วนตัวหน่อย ไม่ต้องเรียกใครเข้ามา ถ้าต้องการข้าจะเรียกเอง”
ในค่ำคืนนั้นฮยอนบินนั่งฟังซังกยุนเล่าถึงปัญหาของชุมชนไปจิบเหล้าไป กว่าอีกฝ่ายจะพูดจบก็หมดชาไปหลายกาแล้ว
“ปัญหามากมายอะไรแบบนี้..”เจ้าชายหนุ่มนวดขมับเเล้วเงยมองคนที่ยังคงนั่งตัวเกร็งด้วยความไม่ชินกับสถานที่อันหรูหราอยู่ตรงข้ามเขา อีกฝ่ายดูอึดอัดและดูตื่นมากๆเมื่อเห็นสาวงามมาบริการเขาอย่างใกล้ชิด แน่ล่ะ เพราะหอนางโลมแห่งนี้เป็นหอนางโลมที่ได้รับความนิยมเป็นที่หนึ่งสำหรับบรรดาผู้ใช้บริการที่เป็นชนชั้นสูง ทั้งหรูหรา มีระดับ และเหล่าบุปผาของหอนางโลมแห่งนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องความงามที่ทำให้บุรุษลุ่มหลงจนมีคนมากมายเอาทรัพย์สินมาแลกความสุขในที่แห่งนี้จนสิ้นเนื้อประดาตัว
ทุกครั้งที่มีหญิงสาวเข้ามารินน้ำชาให้เขาจะสะดุ้งเบาๆจนฮยอนบินอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“แล้วเจ้าทำงานอะไรน่ะ”คนตัวสูงถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน เขาแอบเดาไว้ว่าน่าจะทำการเกษตรไม่ก็งานรับจ้างทั่วไป
“ก็รับจ้างทั่วๆไปขอรับ..”นั่นไง ถูกเผง
.
.
.
.
.
.
“ไปไหนมาน่ะ กลับซะดึกเชียว” เคนตะที่นอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงหันไปถามรูมเมทที่เพิ่งเดินเข้ามา แต่พอเห็นถังป๊อปคอร์นลายเสือดำนั่นก็เดาได้ไม่ยากหรอก..
“ดูหนัง...กับไอ้เสาไฟฟ้า”ซังกยุนบอกชื่อเล่นที่เขาแอบตั้งให้ของคนที่ไปด้วยทันทีเพราะเห็นสายตาของคนตัวเล็ก เคนตะพยักหน้าเบาๆแล้วมองมาพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ
“ดูดีๆแล้วกัน เจ้าคนเกาหลีคนนี้น่ะ”เคนตะพูดประโยคที่อีกฝ่ายเคยเตือนตัวเองเกี่ยวกับดงฮันจนคนถูกเตือนต้องโยนกระป๋องพลาสติกในมือใส่คนที่นอนอยู่
.
.
.
.
.
ฮยอนบินกลับถึงตำหนักแล้ว เขาเปลี่ยนชุดและกำลังเตรียมตัวเข้านอน เขาดับตะเกียงแล้วทิ้งกายลงบนตั่งนอนหลังจากที่ขันทีจองและเหล่านางในเดินออกจากห้องไป
ในห้องบรรทมนั้นมืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์ที่ทอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามา แต่มันก็ไม่ทำให้ในห้องสว่างขึ้นเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นเพียงจันทร์เสี้ยวมิใช่จันทร์เดือนเพ็ญ ท่ามกลางแสงสลัวที่ทำให้มองสิ่งรอบข้างไม่ชัดเจน
แต่ยิ่งมืดเท่าไหร่ภาพที่ปรากฎขึ้นในใจก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ภาพของชายหนุ่มที่ได้เจอวันนี้
ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
ทั้งที่แสนจะธรรมดา
แต่กลับเด่นชัดในความทรงจำ..
ผิวขาวที่ค่อนข้างมอมแมมจากฝุ่นและโคลน
เส้นผมสั้นชี้ไม่เป็นทรง
ดวงตาที่โค้งเป็นขีดยามคนตัวเล็กเผยรอยยิ้ม
ลักยิ้มที่ประดับบนใบหน้า
ได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ
อยากเห็นปฏิกิริยาที่แสนน่าเอ็นดูที่อีกฝ่ายแสดงตลอดการสนทนาที่หอนางโลม
อยากฟังเสียงที่เอื้อนเอ่ยรายงานถึงสิ่งที่ต้องพบเจอเพราะหวังว่าองค์ชายเช่นเขาจะเปลี่ยนมันได้
อยากเห็นรอยยิ้มนั้น
อยากเจออีกครั้ง...
อยากเจอ...
มีแต่คำคำนี้และภาพของคนคนนั้นที่อยู่ในความนึกคิด
ความรู้สึกถวิลหาที่เอ่อล้นไปทั้งใจ..
.
.
.
.
“นี่มันอะไรรึพะยะค่ะ...”ขันทีจองเบิกตากวางเมื่อเห็นม้วนรายงานจำนวนมาก แถมผู้เป็นองค์ชายยังไม่หยุดตวัดพู่กัน
“รายงาน เราจะนำขึ้นถวายฝ่าบาท”
“มันไม่เยอะไปหรือพะย่ะค่ะ..เรื่องพวกนี้ให้ขุนนางจัดการก็ย่อมได้”
“แก้ปัญหาของประชาชนมันก็เป็นหน้าที่ของเรา ถ้าเราไม่ทำแล้วใครเล่าจะทำ? หากมัวแต่รอพวกขุนนางทั้งหลายเมื่อไหร่ปัญหาจบเล่า...”
ฮยอนบินว่าพู่กันลงในช่วงสายๆซึ่งใกล้ถึงเวลาเข้าเฝ้าเข้าไปทุกทีๆ เขาสั่งให้ขันทีในตำหนักมายกม้วนรายงานไปถวายให้พระราชา
วันนั้นเป็นวันที่ราชสำนักวุ่นวายมากที่สุดวันหนึ่ง..
ในอีกด้านหนึ่ง หากวังหลวงคือแสงสว่างที่นี่ก็คงไม่ต่างจากเงามืดของอาณาจักร
ชุมชนคนยากจนที่ทำทุกอย่างเพื่อจะมีชีวิต แม้บางวันจะต้องอดบ้าง แม้จะไม่เคยได้กินอิ่ม แต่ถ้าชีวิตยังไม่สิ้น็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
“พ่อ ทานยาให้หมดสิ”ชายหนุ่มเอ่ยบอกบิดาที่วางถ้วยยาลงทั้งๆที่พร่องไปแค่ครึ่งถ้วย
“มันขมนี่หว่า แกมากินเองไหมล่ะ”
“ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย คนป่วยสิกินให้หมด”
ผู้เป็นบิดาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ลูกชายแต่ก็ยอมกินยาจนหมด
“เลิกซื้อมาเถอะ กินยังไงข้าก็ไม่หายหรอก”
ทำไมเขาจะไม่รู็ว่าลูกชายต้องทำงานสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินมาซื้อยาประคองอาการไม่ใช้เขาทรุดลงไปมากกว่านี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าบางวันลูกชายต้องนอนกุมท้องเพราะความหิวแต่ก็ไม่บ่นออกมาเพราะไม่อยากให้เขาลำบากใจ โกหกว่าตัวเองมีความสุขดีแต่แท้จริงแล้วต้องทุกข์ทน
“ข้ามีเงินน่าพ่อ”ซังกยุนตอบขณะที่กำลังนั่งเย็บเสื้อขาดๆของตัวเอง
ชายชราถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ลูกชาย เขายองรับว่าเขาไม่อยากเห็นภาพที่ลูกลำบาก มันทำให้เขาอยากร้องไห้ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกกังวลใจจึงเลือกที่จะหันหลัง
ซังกยุนเมื่อเห็นพ่อหันหลังแล้วนิ่งเหมือนหลับไปก็ลอบถอนหายใจออกมา เขามองผ้าดิบขาดวิ่นที่แสนมอมแมมในมือของตัวเอง มันไม่เหลือเนื้อผ้าให้เย็บแล้ว...
มองไปก็พาลนึกไปถึงชายร่างสูงที่ได้พบเจอ องค์ชายฮยอนบิน ชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่นั้นสะอาดสะอ้านและดูใส่นุ่มสบาย ผ้าเนื้อดีที่ปักดิ้นประดับอย่างหรูหรา
แค่รองเท้าข้างเดียวของเขาก็มีค่ามากกว่าเสื้อผ้าของซังกยุนทั้งชุดแล้ว..
ต่างจากเขาเหลือเกิน...
ยอมรับเลยว่าอิจฉามากๆ
เขาคนนั้นเกิดมาบนกองเงินกองทอง ยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แถมยังตัวสูง หล่อเหลา รูปร่างดี
พับผ่าสิ ทำไมถึงเกิดมาได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้..
แล้วดูเขา
เกิดมามารดาก็เสียตอนคลอด เริ่มทำงานตั้งแต่ยังเล็ก เสื้อผ้ารองเท้าต่างเป้นของมี่ไปเก็บมาหรือหาเศษมาปะๆกัน เขาไม่เคยสัมผัสคำว่าสบาย...
คิดแล้วก็ยังอับอายไม่หายที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาเข้าไปในหอนางโลมอันหรูหราทั้งๆที่มีสภาพเช่นนี้
แม้คนที่พาเข้าไปจะไม่ได้คิดอะไร และคงไม่คิด แต่ใช่ว่าเขาจะไม่คิด
ปกติขนาดแค่ซ่องชั้นล่างเขายังไม่อาจหาญเข้าไปเลย..
เขาดูเป็นตัวประหลาดที่อยู่ผิดที่ผิดทาง รู้สึกแปลกแยก...อึดอัดน่าอับอาย..
ใช่ นับตั้งแต่วันนั้นนี่ก็หนึ่งอาทิตย์แล้ว
และตามคาด
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ขุนนางคนนั้นก็ยังคงลอยนวลและคอยรีดไถ่พวกเขาอยู่เช่นเดิม ยายังคงมีราคาแพง น้ำสะอาดยังคงขาดแคลน
ซังกยุนเคยมีความหวังว่าการที่เขาอาจหาญเข้าเฝ้าองค์ชายโดยตรงแบบไม่กลัวตายน่าจะทำให้อะไรๆมันดีขึ้น พวกคนชั้นสูงเหล่านั้นอาจจะมีความเห็นใจเขาอยู่บ้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด...
คนรวยยังคงเป็นคนรวย ตราบใดที่ไม่มาสัมผัสด้วยตัวเองก็คงไม่เข้าใจถึงความลำบากของคนเช่นเขาหรอก...
แคร่ก! เสียงประตูฟางที่หน้าบ้านถูกเปิดออกอย่างแรงทำเอาชายหนุ่มที่กำลังคิดอะไรเพลินๆสะดุ้งจนถูกเข็มตำนิ้ว
ซังกยุนซี้ดปากด้ยความเจ็บแล้วอมนิ้วที่มีเลือดไหลเข้าไป กลิ่นคาวจากเลือดหยดเล็กคลุ้งอยู่ในปาก เขาเงยมองผู้บุกรุกทั้งๆอย่างนั้น
คนที่มานั้นใส่ชุดดำทั้งตัว
“มีงานหรอ”ชายหนุ่มดึงนิ้วที่เหมือนเลือดจะหยุดไหลแล้วออกจากปากก่อนเอ่ยถาม
คนคนนั้นไม่ตอบ เขาเพียงยื่นม้วนกระดาาให้แล้วรีบจากไป
ซังกยุนคลี่ม้วนกระดาษออก สีหน้าเรียบเฉยของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นตกใจสุดขีด..
.
.
.
ยามเย็น ณ ตำหนักองค์ชายเล็ก
“ข้าเหนื่อยจังเลยเคนตะ”ดงฮันบ่นกระปอดกระแปดแล้วกระแวะเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังนั่งฝนหมึกให้เขาอยู่
“เขียนไปเลยพะย่ะค่ะ ถ้าไม่เสร็จเดี๋ยวพรุ่งนี้ฝ่าบาทก็โดนพระอาจารย์ว่าเอาหรอก”เคนตะตอบเสีงเรียบทั้งๆที่ไม่ละสายตาจากแท่นฝนหมึก เขานิ่งเฉยจนเจ้าชายหนุ่มที่ขยับมานั่งชิดกันมุ่ยหน้า เจ้าเด็กตัวโตซุกหน้าลงกับไหล่เล็กของข้าราชบริพารคนโปรดแล้วถูกไถ่ไปมาเหมือนจะอ้อนขอความเห็นใจ แต่ปฏิกิริยานิ่งเฉยที่ได้รับมานั้นช่างขัดใจเขาเสียจริง
เจ้าชายน้อยเริ่มแสดงพฤติกรรมเอาแต่ใจ..
เขาวาดท่อนแขนโอบเอวร่างเล็กให้แนบชิดมากขึ้นแล้วขยับศีรษะให้เข้าไปซุกอยู๋ใกล้กับซอกคอของคนที่ยังคงทำนิ่ง
หอมจัง...
“เคนต้าาาาา”ดงฮันเรียกอีกฝ่ายเสียงยานแล้วขยับโยกไปมาให้ตัวอีกคนโยกตามเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เมื่อไม่ได้ผล เขาก็เปลี่ยนไปใช้แผนสองโดยใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดันแท่งฝนหมึกออกแล้วเอนหัวตัวเองลงไปอยู่ตำแหน่งนั้นแทน คิ้วเข้มขมวดจนจะเป็นปมสายตาที่ทอดมองคนข้างๆนั้นสามารถแปลความได้อยู่ไม่กี่ประโยค...
สนใจข้า
สนใจข้าหน่อย
เคนตะ สนใจข้าหน่อยสิ
เคนตะ เลิกทำนิ่งๆแล้วสนใจข้าหน่อย
เอาใจข้าหน่อย
ปลอบข้าหน่อย
เคนตะ
เคนตะ
เคนตะ
“เคนตะ ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากคัดอักษรแล้ว“ดงฮันเอ่ยย้ำ เมื่อแท่นหมึกถูกดันไปไกลด้วยฝีมือคนเอาแต่ใจ ในที่สุดคนที่พยายามจะนิ่งก็ยอมแพ้แต่ไม่วายเอาแท่งหมึกจิ้มปลายจมูกเจ้าเด็กตัวโตอย่างหมั่นเขี้ยว
“ทำไมฝ่าบาททรงดื้อเช่นนี้...”จากหน้านิ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ไม่ได้ดื้อนะ แล้วทำไมไม่เรียกข้าว่าดงฮัน..”
ใช่...เมื่อหลายวันก่อนดงฮันมี’คำสั่ง’ให้เวลาอยู่กันสองคนเคนตะจะต้องเรียกชื่อเขา จะมีคำนำหน้าหรือไม่ก็ได้ แต่เขาอยากให้เรียกชื่อ
“ท่านดงฮัน..”เคนตะเปลี่ยนคำเรียก อ่า...ไม่ชินเลย...
“ว่าไง เคนตะ”หลังจากที่ได้รับความสนใจอย่างที่ต้องการแล้วเขาก็ย้ายให้ตัวเองกลับไปซุกที่ไหล่คนตัวเล็กพร้อมรอยยิ้ม...
“อย่าดื้อ....”เคนตะพูดสั้นๆแค่สองพยางค์ สายตาของร่างเล็กที่มองมานั้นส่อแววเอาจริงจนดงฮันกลืนน้ำลายเอื้อก
น่ากลัววุ้ย
“ก็ได้..”คนเด็กกว่าเม้มปากจนเป็นขีดแล้วปล่อยมือจากคนพี่ เคนตะเอื้อมไปหยิบแท่งฝนหมึกกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนดงฮันก็ยอมหยิบพู่กันมานั่งเขียนอักษรลงกระดาษต่อ
ความสัมพันธ์ของพวกเขา เป็นอย่างนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว..
และดงฮันก็หวังว่ามันจะไม่เปลี่ยนไป
หวังว่า..
TBC.
TALK
เรา กลับมาแล้วค่ะ ฮือออออออออออ เจอผลโอเนตไปแล้วรู้สึกเหมือนสติจะแตก คิดว่าทำได้นะทำไมเหลือแค่นี้ TT
เปิดตัวคู่ที่สองแล้ววววววว เป็นยังไงกันบ้าง เม้นท์บอกกันหน่อยนะคนดีTvT หรือไปเล่นกันที่แท็ก #ดงเคนชาติที่แล้ว รอทุกคนอยู่นะคะ
มีคำผิดบ้างรึเปล่าคะ เราลองอ่านเช็คแล้วคิดว่าไม่มี แต่อาจจะพลาดก็ได้ ถ้าเจอบอกกันหน่อยนะTT
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

24 ความคิดเห็น
-
#6 kemox (จากตอนที่ 3)วันที่ 7 เมษายน 2561 / 16:45โง้ยยยยน่ารักจังเลยค่ะ คำผิดพอมีบ้างตอนแรกๆแต่น้อยมากเลย อ่านแล้วไม่ขัดใจเลยค่ะ ชอบมากเลยแงงง เขินไปหมด ทั้งคู่หลักคู่รองเลย TT#60
-
#5 SNJ names (จากตอนที่ 3)วันที่ 5 เมษายน 2561 / 04:07กรี๊ดดดพึ่งเจอเรื่องนี้ชอบค่ะชอบ มาต่อนะคะภาษาไรท์โอเคเลยยย#50
-
#4 kentodh (จากตอนที่ 3)วันที่ 3 เมษายน 2561 / 01:23โง้ย ดงดงขี้อ้อนจังลูก นี่เป็นเคนตะจะงับหัวให้เจ็บเลย หมั่นไส้!#40