คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Kill End. 7 ความจริง
ห้าสาวได้เข้ามาถึงประตูเข้าปราสาทระหว่างทางเจอกับทหารสามนายซึ่งไม่ใช่เรื่องหนักอะไรเอ็ดม่าจัดการฆ่าทิ้งทั้งสามนาย “พร้อมจะเข้าไปแล้วหรือยัง” ไลล่ายิ้มอย่างที่เพื่อนๆไม่เคยเห็นมาก่อนและเดินนำเข้าไป ไลล่าเดินไปตามทางอย่างกับมีแผนที่อยู่ในหัว “เธอรู้ได้ยังไงว่าต้องเดินไปทางไหน” อีฟถามขึ้น “ไม่รู้สิ่มันขึ้นมาในหัวเอง” ไลล่าตอบส่งๆไปอย่างนั้น ตอนนี้เอ็ดม่ากำลังใส่ถุงมือที่ได้มาใหม่อย่างเตรียมพร้อมที่จะสู้เพราะเซ็นท์นักฆ่าของเธอไม่เคยพลาด “พวกเราเตรียมตัวสู้ไว้หน่อยก็ดีนะ” เอ็ดม่าพูดเตือนด้วยเสียงที่แผ่วเบาซึ่งทุกๆคนก็ได้ยิน ทันทีที่เอ็ดม่าใส่ถุงมือเธอก็เห็นช่องทางต่างๆมากมายเอ็ดม่ายิ้มอย่างพอใจ ไลล่ายังคงเดินนำไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ห้องๆหนึ่งมันคล้ายกับเป็นห้องอาหาร มีรูปปั้นนักสู้วางประดับไว้ข้างทางอยู่ ตรงกลางมีโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่และเก้าอี้เล็กอีกสบเก้าตัวและเก้าอี้ตัวใหญ่ที่วางไว้หัวโต๊ะ ทั้งห้องถึงจะถูกตบแต่งด้วยของเยอะเพียงใดแต่ภายในห้องกลับดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเหลือเชื่อ
แปะ แปะ แปะ แปะ! เสียงตบมือดังขึ้น เอ็ดม่าและพวกหันไปตามเสียงตบมือทันที “อันที่จริงฉันไม่รู้ว่าพวกแกเป็นใครแล้วทำไมถึงต้องมาทำร้ายทหารของฉัน” เสียงที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีเจ้าชายเกเบียลนั่นเอง “แต่วันนี้พวกแกทุกคนต้องชดใช้ที่บังอาจตั้งตนเป็นกบฎ” เจ้าชายเกเบียลพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วสั่นประสาทเป็นอย่างมาก “ฉันจะจับพวกแกมาทรมานทีละคนจนกว่าพวกแกจะตายจากไป” มันเหมือนเป็นคำขู่เสียมากกว่า พวกเอ็ดม่าไม่มีใครตอบอะไรออกไปเพราะถ้าพูดเจ้าชายเกเบียลอาจจะจำเสียงได้ก็เป็นได้ “ทหารจับตัวพวกมันให้ได้” เจ้าชายเกเบียลดูสง่าและชั่วร้ายกว่าเดิมนัก “แล้วพาตัวพวกมันทุกคนไปที่ห้องฉันตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น เพราะฉันมีเซอไพรซ์ให้พวกมันอย่างสาสมเลย” พูดจบเจ้าชายเกเบียลก็เดินออกไป
เมื่อเจ้าชายเกเบียลเดินออกไปทหารก็พากันเข้ามาจำนวนมากจนเต็มห้องอาหารไปหมด เอ็ดม่าใช้สายตาคาดคะเนดูทหารแล้วมีมากกว่าสองร้อยนายแน่นอนแล้วถ้ายิ่งมาเรื่อยๆเกรงว่าพวกของเธอเองที่จะหมดแรงไปก่อน ไม่มีการพูดใดอีกทุกคนเพียงแค่มองตาก็รู้ใจกันแล้ว เมื่อทหารเดินเข้ามาใกล้พวกเธอทั้งห้าคน อ๊ากก ! ทหารสิบนายก็ล้มลงพร้อมกับเลือดพุ่งที่เกิดจากเอ็นบาด อีฟ ไลล่า เบลล่าและไมล์เอล มองหน้าอย่างตกใจซึ่งมีเพียงเอ็ดม่าเท่านั้นที่ยิ้มให้ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือฝีมือของใคร อีฟกระชับมือสองกระบอกให้แน่นขึ้นและยิงปืนออกไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้นกระสุนก็วิ่งเข้าหาทหารราชวงศ์อย่างดุเดือด เมื่อทะลุผ่านร่างทหารคนที่หนึ่งแล้วก็ผ่านร่างคนที่สอง สามและสี่ไปเรื่อยๆ ไลล่าก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันหล่อนดึงปิ่นปักผมออกมา บัดนี้ผมที่เคยถูกเก็บเอาไว้ปล่อยสยายลงมาไลล่ากำปิ่นปักผมไว้แน่นก่อนจะไล่เชือดทหารทีละคน เอ็ดม่ามองไลล่าอย่างพอใจทีเดียว ‘ฝีมือดีขึ้นมากเลยนิ่’ เอ็ดม่าทำได้แค่เพียงพูดในใจเท่านั้น และเอ็ดม่าก็ร่ายเวทใส่เอ็นก่อนที่จะใช้มือทั้งสองข้างควบคุมอย่างชำนาญ เอ็นที่บาดคอของทหารนับสิบนายและสร้างบาดแผลฉกรรจ์หลายบนตัวทหาร ซึ่งเอ็ดม่าดูจะพอใจกับผลงานของตัวเองมาก เบลล่าคอยคุ้มกันให้เพื่อนๆทุกคนเมื่อมีอันตรายจวนตัว ส่วนไมล์เอลนั้นเล่นดนตรีเวทอย่างดุดันสิ่งที่หล่อนฝึกมาไม่ได้มีไว้แค่โชว์หรือสวยงามเท่านั้นแต่หล่อนยังฝึกมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะอีกด้วย ไฟค่อยๆลุกติดตัวทหารที่เข้ามาใกล้ไมล์เอลทันทีและยังมีลมที่พร้อมจะพัดให้ไฟลุกโชนขึ้นอีกด้วย ทั้งห้าต่อสู้การอย่างดุเดือดด้วยความสามารถในการสู้เพิ่มขึ้นทำให้การต่อกรกับทหารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วถึงแม้จะเหนื่อยหน่อย ทั้งห้าหันมามองหน้ากันเพราะตอนนี้ทหารลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ที่ทำให้ทั้งห้าตกใจมากขึ้นนั้นคือเหล่าทหารหยิบปืนใหญ่ย่อส่วนเล็กมาที่พวกเขาทั้งห้าคนอย่างเอาจริงเอาจัง และมันก็เรียกรอยยิ้มจากเบลล่าได้เป็นอย่างดี เบลล่าสงสายตาให้ทุกคนเขยิบเข้ามาใกล้ๆและกางเวทป้องกันเอาไว้คุมตัวทุกคน ทหารราชวงศ์ไม่รอช้า ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม! ทหารราชวงศ์ยิงปืนใหญ่ใส่เกราะของเบลล่าอย่างหนักหน่วง เกิดควันฟุ้งเต็มพื้นที่และเมื่อควันจางเกราะเบลล่าก็ยังคงกางไว้อย่างเดิมแม้จะมีรอยร้าวนิดหน่อยแต่เบลล่าก็ยังคงประคับประคองสติของตนได้อย่างเป็นอย่างดี เบลล่าลดเกราะลงอย่างระมัดระวัง ทหารราชวงศ์ก็เริ่มต้นการต่อสู้อีกครั้งและมีทหารบางพวกที่ดึงหน้ากากมาปิดหน้า “แย่แล้วทุกคน” ไมล์เอลส่งเสียงพูดออกไปทันทีที่รู้ว่ามีทหารบางพวกกำลังเล่นขี้โกงโดยการใช้เวทนอนหลับ ไมล์เอลหันไปมองหน้าเพื่อนแต่ละคนซึ่งไลล่าตอนนี้เริ่มทรงตัวไม่อยู่แล้ว ที่พอจะเอาตัวรอดได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นเอ็ดม่าที่ยังคงยืดหยัดอยู่ได้ ‘หนีไป’ นี่คือคำที่เอ็ดม่าอ่านได้จากปากของเบลล่าที่ตอนนี้กำลังจะหมดสติแล้ว
แล้วด้วยความที่เอ็ดม่าไม่ระวัง ฉึก! ทวนแทงทะลุท้องของเอ็ดม่าเลือดไหลทะลักออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแล้วเอ็ดม่าก็ค่อยๆล้มลงพร้อมกับสติที่ดับวูบไป
“พี่เอ็ดม่า” เสียงเรียกใกล้ๆกับหูดังขึ้น เอ็ดม่าลืมตาขึ้นมาก็พบว่านี่มันคือห้องขังที่เคยขังเอ็ดมันและแคโรลไว้ เอ็ดม่าค่อยยันตัวขึ้นแต่ไม่สามารถทำได้ “พี่เอ็ดม่าอย่าขยับสิ่” ไมล์เอลดุเอ็ดม่าที่ขยับตัว “พี่เอ็ดม่าเจ็บมากหรือเปล่าคะ ฉันแค่ช่วยห้ามเลือดไว้เฉยๆพี่ใช้เวทรักษาตัวเองได้ไหม” ไมล์เอลถามเอ็ดม่าอย่างเป็นห่วงซึ่งเอ็ดม่าก็พยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะร่ายเวทรักษาตัวเองให้บาดแผลภายนอกหายแต่ภายในร่างกายของเอ็ดม่ายังไม่กลับมาในสภาพที่เต็มร้อยเนื่องจากบาดแผลค่อนข้างร้ายแรงมากและยังมีไอเวทไหลอยู่ภายในตัวของเอ็ดม่าตอนนี้ด้วย “พวกมันรู้หรือยังว่าเป็นพวกเรา” เอ็ดม่าถามขึ้นเมื่อขยับตัวให้อยู่ในท่านั่งที่ดีกว่าเดิม “ยังค่ะพวกทหารเห็นพี่เอ็ดม่าบาดเจ็บก็เลยจับมาขังที่ห้องขังก่อน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะพาเราไปพบเจ้าชายแล้วล่ะ” เบลล่าตอบให้ ซึ่งตอนนี้มีเพียงไมล์เอลและเบลล่าเท่านั้นที่ฟื้นจากการโดนวางยาส่วนอีฟและไลล่ายังคงหลับอยู่
ห้องขังที่ร่ายเวทไวท์เชนและแน่นอนว่าเวทนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาสำหรับเอ็ดม่าและทุกคนที่ต้องการจะหนีออกไป “ฟื้นแล้วหรอ” ไมล์เอลทักทั้งอีฟและไลล่าที่ใช้เวลาตื่นใกล้เคียงกัน อีฟส่ายหน้าเพื่อเรียกสติให้กลับมา “ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย” อีฟพูดขึ้น ไลล่ายังคงมีอาการมึนยังเห็นได้ชัด
เมื่อทุกคนตื่นครบแล้วก็เกิดความเงียบขึ้น “ขอโทษ ฉันน่าจะเชื่อเธอนะไม..” อีฟพูดไม่ทันจบ ไมล์เอลก็ส่งรอยยิ้มแสนน่ารักมาให้อีฟ “ไม่เป็นไรยังไงฉันก็ไม่ปล่อยให้พวกเธอมาโดยไม่มีฉันหรอก” ไมล์เอลจับมือของอีฟเพื่อให้กำลังใจและหันไปยิ้มให้กับไลล่า และทั้งห้องก็เกิดความเงียบขึ้นอีกอาจจะเพราะรู้ว่าอนาคตในอีกไม่กี่ชั่วโมงเป็นอย่างไร ห้องขังที่พวกเธอเคยพังเข้ามาตอนนี้ทำใหม่แล้วดูจะแข็งแรงกว่าเดิมต่อให้เมโลดี้ที่พาเบบี๋ไปเที่ยวต่างเมืองกลับมาและจะมาบุกอย่างที่พวกเขาเคยทำ เอ็ดม่าคิดว่าคงไม่สามารถทำได้ ‘เอ็ดมันอีกไม่นานฉันจะไปอยู่กับแกแล้วนะ’ เอ็ดม่าพูดในใจแล้วยิ้มให้กับตัวเองและไมล์เอล เบลล่า ไลล่าและอีฟ ซึ่งทุกคนก็ดูจะเข้าใจความหมายที่เอ็ดม่าพยายามจะสื่อเป็นอย่างดีพวกหล่อนแค่ยิ้มคืนให้ก่อนจะกลับมานั่งเงียบๆกันเหมือนเดิม
ผ่านไปสองชั่วโมงแล้วเหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นมีทหารจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา “ทหารคนนั้น” เอ็ดม่าจำได้ทันทีเพราะเขาคือทหารคนสนิทของเจ้าชายเกเบียลที่เคยเกือบตายเพราะประลองกับเอ็ดมัน ทหารพวกนั้นคุยอะไรกันบางอย่างและทหารคนสนิทก็เดินออกไปแต่ยังเหลือทหารอีกสามคนที่เฝ้าประตูหน้าห้องขังเอาไว้ เบลล่าจ้องมองทหารทั้งสามอย่างหมดความหวัง ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็จะออกไปไม่ได้
ในช่วงเวลาที่บรรยากาศเคร่งเครียด “เธอเล่นดนตรีเวทหรอ” เบลล่าถามไมล์เอลที่นั่งเงียบอยู่ ไมล์เอลเงยหน้ามองเบลล่าเล็กน้อยและส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ ไมล์เอลตั้งใจฟังเสียงดนตรีอีกครั้งมันเป็นเสียงดนตรีจริงๆและมันก็เป็นเสียงแซ็กโซโฟนที่ไพเราะมากด้วย “ไม่ใช่ฉันหรอก” ไมล์เอลตอบเพราะนอกจากเบลล่าที่ถาม เอ็ดม่าไลล่าและอีฟก็หันมามองไมล์เอลเช่นกัน ไมล์เอลฟังเสียงดนตรีนั้นอย่างตั้งใจ เป็นเวลานานแล้วที่เสียงดนตรีดังขึ้นแล้วไมล์เอลก็ยังคงเลือกที่จะตั้งใจฟังมันมากกว่าพูดคุยกับเพื่อน ‘รู้สึกดีจังที่ได้ยิน’ ไมล์เอลคิดในใจซึ่งไมล์เอลรู้อย่างนั้นจริงๆหล่อนรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้ยิน มันทำให้ไมล์เอลไม่กลัวว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าหล่อนจะเจออะไรแต่ตอนนี้ไมล์เอลร็สึกปลอดภัยสุดๆเมื่อได้ยินเสียงดนตรีนั้น
เสียงดนตรียังคงดังต่อเรื่อยๆและอยู่ๆทหารที่เฝ้าประตูอยู่ก็ล้มลงทั้งสามคน “เกิดอะไรขึ้น” ไลล่าถามด้วยความตกใจ ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าทำไมทหารที่เฝ้าอยู่ถึงได้ล้มลงไปนอน
ตุ้บ พลั่ก อ๊ากกกกกกก! เสียงร้องของนายทหารคนสนิทของเจ้าชายพร้อมกับร่างของทหารที่ลอยมาอยู่ตรงหน้าของพวกเธอทุกคน “ใครกัน” เอ็ดม่าที่ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ตะโกนถามออกไป “เสียงดนตรีหายไปแล้ว” ไมล์เอลพูดขึ้นมาเบาๆ “บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเสียงดนตรีเมื่อกี้ก็ได้” เบลล่าตั้งข้อสงสัยซึ่งเอ็ดม่าและคนอื่นๆก็ดูจะยังตกใจกันอยู่ “ฉันถามว่าใคร” เอ็ดม่าคงตะโกนถามไปอีกเพราะเซ้นท์นักฆ่าของเธอนั้นบอกว่าไม่ว่าจะเป็นใครแต่คนคนนั้นอันตราย เอ็ดม่าได้ยินเสียงคนเดินมา เธอจ้องมองอย่างจดจ่อว่าใครและเขามีเจตนาอะไร “ใครน่ะ” เอ็ดม่ายังไม่เลิกที่จะส่งเสียงออกไปถามว่าผู้มาใหม่คือใคร
“ทักน้องที่ไม่ได้เจอมาเป็นปีอย่างนี้ได้ยังไง” เสียงชายที่เอ็ดม่าแสนจะคุ้นเคย “เอ็ดมัน” เอ็ดม่ารู้สึกสายตาพร่ามัวไปหมด “แคโรล” เบลล่าตกใจที่เห็นทั้งแคโรลและเอ็ดมันผู้ซึ่งน่าจะตายไปตั้งนานแล้วโผล่มาช่วยพวกเธอแบบนี้ เอ็ดมันและแคโรลยิ้มให้ทุกคน “ทำไม” เบลล่าถามแคโรลด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่แคโรลเพียงแค่ยิ้มให้เบลล่าเท่านั้น “อย่าพึ่งถามอะไร” เอ็ดมันพูดจบก็เรียกแซ็กโซโฟนออกมาและเริ่มเป่าอย่างใจเย็นทางด้านแคโรลเมื่อได้ยินเสียงดนตรีแคโรลก็ดูนิ่งไปคล้ายกับว่ากำลังทำสมาธิอยู่ เอ็ดมันเป่าแซ็กโซโฟนอย่างดุดัน “ไม่มีไอเวทของไรท์เอ็กซ์แล้ว” เบลล่าค่อยๆใช้มือลูบไปตามลูกกรง “ถอยไป” แคโรลพูดอย่างเย็นชา เบลล่าสดุ้งนิดหน่อยเพราะเธอไม่คิดว่าแคโรลจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแบบนี้ แคโรลทั้งเตะและต่อยเข้าไปที่ลูกกรงอย่างต่อเนื่องจนลูกกรงหักออกมาขนาดไม่กว้างมาก “แคโรลเธอทำได้ยังไงน่ะ” ไลล่าถามอย่างสงสัยและค่อยๆย่อตัวเพื่อลอดผ่านช่องออกมา อีฟและไลล่าพุ่งตรงไปกอดแคโรลด้วยความคิดถึงแคโรลก็กอดกลับด้วยความคิดถึงเช่นกัน “ฉันนึกว่าเธอจะตายไปแล้วแคโรล” ไลล่าพูด “ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอก” แคโรลพูดสั้นๆและเดินออกไปรอข้างนอก อย่างเย็นชาจนเพื่อนเก่าอย่างอีฟ ไลล่าและแม้แต่เบลล่าเองยังแปลกใจ
“เอ็ดมัน” เอ็ดม่าเรียกและโผเข้ากอดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอย่างห้ามไม่ได้ “ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ขี้แงจัง” เอ็ดมันถามพร้อมกับหัวเราะซึ่งเอ็ดม่าก็หัวเราะกับเอ็ดมัน “ฉันคิดถึงแกนะ” เอ็ดม่ายังคงกอดเอ็ดมันอยู่อย่างนั้น “ฉันก็คิดถึงพี่เหมือนกัน” เอ็ดมันพูดจบเอ็ดม่าก็หอมแก้มเอ็ดมันไปอีกหนึ่งทีเพื่อแสดงว่าคิดถึงมาก
“เอ็ดมันนายทำอะไรเพื่อนฉันหรือเปล่า ทำไมแคโรลดูเย็นชาจังเลย” อีฟถามเอ็ดมันเพราะอีฟรู้สึกได้ว่าแคโรลดูจะเศร้าและหดหู่มาก “เปล่า แคโรลแค่อกหักน่ะ” เอ็ดมันตอบและเดินเข้าไปกอดอีฟและไลล่าที่ยิ้มให้กับเอ็ดมัน “ไงเบลล่า” เอ็ดมันทักเบลล่าที่ดูจะยังตกใจและดูหดหู่ อาจจะเป็นเพราะได้เจอแคโรลที่คิดว่าน่าจะตายไปตั้งนานแล้วและการเปลี่ยนแปลงของแคโรลด้วย “ก็ดี นายล่ะ” เบลล่าต้องด้วยเสียงที่ฟังดูก็รู้แล้วว่าอยู่ในอาการของคนซึมเศร้า เอ็ดมันไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้เบลล่าเท่านั้น
“ไง” คำทักทายสั้นๆที่ออกมาจากปากของไมล์เอล “ไง” เอ็ดมันทักกลับไปพร้อมกับมอบรอยยิ้มที่ไมล์เอลไม่เคยเห็นมาก่อน “ตอนนี้เธอยังชอบชื่อมิเกลมากกว่าเอ็ดมันอยู่หรือเปล่า” เอ็ดมันถามไมล์เอลระหว่างที่กำลังเดินออกไป ซึ่งไมล์เอลหันมายิ้มให้กันเอ็ดมัน “ดีใจที่ได้เจอเธออีกนะ” เอ็ดมันบอกไมล์เอลว่าอย่างนั้นและไมล์เอลก็พยักหน้าให้ และก็เดินออกไปจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เอ็ดมันและแคโรลนำทางที่ปราศจากทหารและพวกเขาทุกคนก็สามารถออกไปจากปราสาทได้โดยไม่มีใครรับรู้
(แหม่ ฟังเพื่อเพิ่มบรรยากาศ 555555)
เอ็ดมันและแคโรลพาทั้งห้าสาวไปยังเมืองวินวาลี่บ้านเกิดของแคโรลซึ่งมันไม่ได้ไกลจากตัวเมืองของมิเดิลไลน์เลย วินวาลี่เป็นเมืองที่สวยงามและมีประวัติศาสตร์ที่น่าค้นหามากทีเดียวและที่ที่พวกเอ็ดมันมานั้นเป็นบ้านไม้เก่าๆขนาดใหญ่ที่ไม่สะดุดตาอะไร แต่พอเข้าไปแล้วภายในกลับสะอาดและน่าอยู่มาก ภายในบ้านมีห้องนอนทั้งหมดสามห้องด้วยกัน แคโรลเดินไปจุดเตาผิงและกลับมานั่งกับพวกเอ็ดม่าซึ่งท่าทางในตอนนี้คงจะมีคำถามที่ค้างคาใจมากน่าดู “เล่ามาให้หมด” เอ็ดม่าพูดขึ้นซึ่งทั้งแคโรลและเอ็ดมันก็ยิ้มและเอ็ดมันก็เริ่มเล่า “วันนั้นหลังจากที่พวกพี่กลับไป” เอ็ดมันเล่าว่า
‘กรุกกัก ! เอ็ดมันและแคโรลมองหน้ากันทันทีนี่มันยังไม่ถึงเวลาเสียหน่อยแล้วใครเดินเข้ามาหรือว่าจะเป็นเพื่อนแต่ความสงสัยก็ต้องหายไปเหมือนเอ็ดมันเงยหน้าไปแล้วเจอ “พ่อ” เอ็ดมันร้องเสียงหลง ส่วนผู้เป็นพ่อก็ยิ้มให้เอ็ดมันอย่างอบอุ่นเหมือนที่เคยทำ และข้างๆผู้เป็นพ่อก็มีชายชุดไวกิ้งคนเมื่อคืนมาด้วย “นี่มันอะไรกันพ่อ” เอ็กซิสมองหน้าลูกชายตัวดื้อก่อนจะหัวเราะออกมา “เจอเดียโกแล้วไม่ใช่หรอเรา” คนเป็นพ่อถามพร้อมกับยิ้มให้แคโรลที่ตอนนี้ดูจะเกร็งๆ “ใช่ แล้วทำไมพ่อถึงรู้จักล่ะ” เอ็ดมันถาม “เดียโกเป็นน้องชายพ่อ” สิ้นเสียงเอ็กซิสเหมือนระเบิดลง เอ็ดมันเหวอไปเลยความคิดเรื่องที่รูปปั้นตัวตลกบอกและข้อสันนิษฐานอาจจะเป็นจริงทั้งหมดเลยก็ได้ “ราฟาเอลดูเหมือนหลานของฉันจะตกใจมากทีเดียว” เดียโกพูดจบเอ็กซิสก็หัวเราะทั้งสองหัวเราะกันพอเป็นพิธี “เรียกฉันว่าเอ็กซิสสิ่” เอ็กซิสดุเดียโกนิดหน่อย “ชื่อเชยมาก” เดียโกพูดพร้อมกับทำปากเบ่ะ ซึ่งเอ็ดมันมองสองคนนี้อย่างไม่เข้าใจ “มีใครคิดจะอธิบายไหม” เอ็ดมันที่ตอนนี้เสียงบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์ เอ็กซิสเห็นดังนั้นจึงยิ้ม “พ่อรู้ว่าลูกคงจะมีคำถามมากมายแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้” ราฟาเอลพูดจบก็พยักหน้าให้เดียโก “เราสองคนมาที่นี่เพื่อช่วยแต่มีข้อแม้บางอย่าง” เดียโกพูดจบก็เรียกให้ทั้งสองคนมาฟังข้อเสนอแนะของตัวเอง “เมื่อข้าช่วยเจ้าสองคนแล้ว เจ้าจะต้องหายไปจากโลกแห่งความจริง พบปะกับผู้คนไม่ได้ไปเจอหน้าคนที่รักไม่ได้ เผื่อหลอกพวกราชวงศ์งี่เง่าว่าพวกเจ้าได้ตายไปแล้วจริงๆ” เดียโกพูดมาถึงตรงนี้เอ็ดมันก็เข้าใจได้ทันทีแต่ที่ดูจะมีปัญหาเหมือนจะเป็นแคโรล “กลับไปหาเพื่อนก็ไม่ได้หรอคะ” แคโรลถามอย่างสุภาพ ซึ่งเดียโกส่ายหน้า “ฉันไม่ได้ขอให้พวกเจ้ารับข้อเสนอนะ” เดียโกพูดอย่างอยู่เหนือกว่า “ไม่เอาน่าเดียโกนั่นหลานนายนะและแคโรลก็เป็นลูกคารอสด้วย” ราฟาเอลพูด “คุณรู้จักพ่อของฉันด้วยหรอคะ” แคโรลถามขึ้น ซึ่งราฟาเอลและเดียโกต่างก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “ก็คารอสเป็นทั้งมือขวาและยังเป็นผู้พิทักษ์ของ…” เดียโกทำท่าจะพูดต่อ แต่ราฟาเอลมาขัดไว้เสียก่อน “เดียโกไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดตอนนี้” ราฟาเอลว่าอย่างนั้นซึ่งเดียโกก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ฉันตกลงค่ะ” แคโรลตอบอย่างฉะฉานอาจจะเป็นเพราะมีเรื่องพ่อของแคโรลมาเกี่ยวข้องด้วยทำให้แคโรลตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ส่วนเอ็ดมันก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไรตั้งแต่แรกแล้วและเมื่อบรรลุข้อตกลงกันแล้วเดียโกก็เสกขวานยักษ์ขึ้นมาพร้อมกับร่ายเวทก่อนจะเหวี่ยงขวานให้กระทบกับลูกกรงจนเกิดแสงสว่างจ้า’ “เรื่องวันนั้นที่พวกฉันสองคนรอดมาได้ก็เป็นแบบนี้แหละ” เอ็ดมันบอกทุกคน
“เอ็ดมันเหมือนแกจะยังเล่าให้ฟังไม่หมดนะ มีอะไรที่ฉันจำเป็นต้องรู้หรือเปล่า” เอ็ดม่าถามน้องชายอย่างคาดครั้นให้ตอบซึ่งเอ็ดมันและแคโรลมองหน้ากันก่อนที่ทั้งคู่จะถอนหายใจออกมาดังๆ “ฉันและพี่เป็นลูกของจอมมาร” เมื่อเอ็ดมันพูดจบเหมือนกับมีฟ้าผ่ากลางวงสนทนายังไงยังงั้น เอ็ดม่าดูจะช็อคเป็นอย่างมากและคนอื่นๆก็ดูจะตกใจเช่นเดียวกัน “แกพูดว่าไงนะ” เอ็ดม่าสีหน้ายังไม่สู้ดีแม้จะได้ยินคำตอบแล้วแต่ก็ยังถามเพื่อความแน่ใจ “เราสองคนเป็นลูกจอมมาร” เอ็ดมันก็ตอบอย่างเดิมซึ่งเอ็ดม่าก็มีน้ำตาเอ่อล้นออกมาเพียงเล็กน้อย “พี่เอ็ดม่าตอนที่มิเกลรู้เป็นยิ่งกว่าพี่อีกนะคะ” แคโรลที่นั่งเงียบมานานพูดขึ้นและทุกคนก็ดูจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียกเอ็ดมันว่า ‘มิเกล’ เอ็ดม่าด้วยความที่โตกว่าแม้เรื่องที่พึ่งได้รับรู้มามันจะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากแต่ความจริงก็คือความจริงซึ่งเอ็ดม่าเลือกที่ยืนหยัดอยู่บนความจริง “อันที่จริงชื่อจริงๆของฉันชื่อ เอ็ดมัน มิเกล ฮาร์ซา” เอ็ดมันหรืออีกชื่อคือมิเกลบอกทุกคนว่าอย่างนั้น “มันก็เลยไม่แปลกที่แคโรลจะเรียกฉันว่ามิเกลน่ะ” เอ็ดมันอธิบายให้ทุกคนฟัง “จอมมารไม่สิ่พ่อของเราชื่อว่าอะไร ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพ่อของเรามีชื่อว่าอะไรน่าอายจริงๆ” เอ็ดม่าถามออกไปเพราะจอมมารเป็นคนที่ทุกๆคนรู้จักแต่รู้จักในชื่อของจอมมารและไม่เคยมีใครรู้ชื่อจริงเลยและยังไม่เคยมีใครเห็นหน้าอีกด้วย “อังเดร มิคาเอล ฮาร์ซาเป็นพี่ชายฝาแฝดของเอ็กซิส ราฟาเอล ฮาร์ซาและพ่อกับพ่อก็เป็นพี่ชายของอารอน เดียโก ฮาร์ซา” เอ็ดมันตอบว่าอย่างนั้น “ว้าวชื่อแต่ละคนเท่ห์ชะมัด” อีฟพูดขึ้นทามกลางความกดดันบางอย่างและแน่นอนว่าโดนไลล่าฟาดเข้าไปหนึ่งที “มันใช่เวลาเล่นไหม” ไลล่าดุอีฟซึ่งมันก็ทำให้อีฟกลับไปนั่งนิ่งเหมือนเดิม “ส่วนพี่ เอ็ดม่า มาเรีย ฮาร์ซา ลูกสาวคนโตของจอมมาร” เอ็ดมันพูดจบก็ยิ้มให้เอ็ดม่าที่จะดูงงๆกับชื่อของตัวเอง “ทำไมเราต้องมีชื่อกลางด้วยล่ะ ฉันชอบชื่อเอ็ดม่ามากกว่าแค่เอ็ดม่าเฉยๆ” เอ็ดม่าบอกพร้อมกับเบะปากซึ่งตอนนี้สีหน้าเธอเริ่มดีขึ้นมากแล้ว “แล้วแต่พี่สิ่ พวกเธอด้วยอยากเรียกฉันว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ฉันชอบชื่อเอ็ดมันมากกว่าแต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแคโรลถึงชอบเรียกฉันว่ามิเกล” เอ็ดมันบอก “ฉันว่าฉันเรียกนายว่ามิเกลด้วยดีกว่านะนายนักฆ่า ฉันว่าชื่อเอ็ดมันมันไม่ค่อยเหมาะกะนายเท่าไร” อีฟพูดและทุกคนก็หัวเราะแล้วตกลงว่าจะเรียกเอ็ดมันว่ามิเกลตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เมื่อคุยกันไปซักพักเอ็ดม่าก็ขอตัวไปพักผ่อนและทุกคนก็แยกย้ายกันไปนอนโดยที่เอ็ดมันนอนที่โซฟา อีฟและไลล่านอนด้วยกัน เอ็ดม่าและไมล์เอลส่วนห้องสุดท้ายเป็นของแคโรลและเบลล่า
เอ็ดมันเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันหมดแล้ว เอ็ดมันเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้าก่อนจะยิ้มออกมา “พ่อ ผมจะต้องช่วยพ่อออกมาให้ได้เลย” มิเกลหรือเอ็ดมันพูดกับตัวเอง
“ใส่เสื้อกล้ามออกมาข้างนอกไม่หนาวรึไงเอ็ดมัน มิเกล ฮาร์ซา” เสียงผู้หญิงที่มิเกลรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร มิเกลหันหน้าไปมองและก็ต้องเห็นรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้จากไมล์เอลสาวน้อยตระกูลนักดนตรี “ยังไม่นอนเหมือนกันหรอไมล์เอล เจ ดิลาส” มิเกลถามไมล์เอลซึ่งไมล์เอลก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ “นอนไม่หลับมากกว่า” ไมล์เอลตอบพร้อมกับไปยืนข้างๆมิเกล “ทำไมล่ะ” ไมล์เอลถามอย่างอยากรู้ “ช่วงนี้มีเรื่องให้ฉันแปลกใจมากทีเดียวและยังของขวัญประหลาดจากใครก็ไม่รู้อีก ฉันเริ่มคิดแล้วว่าพวกเราน่ะอาจจะกำลังโดนจ้องเล่นงานอยู่ก็ได้” ไมล์เอลตอบมิเกลอย่างเหนื่อยใจ มิเกลหันไปมองไมล์เอลและเล่นดนตรีเวทจังหวะช้าๆ เสียงดนตรีนั้นมันช่างอ่อนโยนและปลอดภัย
มิเกลจับมือของไมล์เอล “เต้นรำกันไหมครับ” มิเกลถามไมล์เอลออกไปอย่างอายๆ ซึ่งไมล์เอลก็ยิ้ม “ฉันปฏิเสธได้ด้วยหรอคะ” ไมล์เอลพูดจบก็นำมือมาวางไว้ไหล่ของมิเกล มิเกลยิ้มให้กับไมล์เอลอีกครั้ง และเริ่มเคลื่อนตัวตามจังหวะของเสียงดนตรี “เป็นลูกสาวของนักดนตรีมีชื่อคงจะออกงานกับหนุ่มๆบ่อย ถึงได้เต้นเก่งขนาดนี้” มิเกลพูดพร้อมกับส่งยิ้มน้อยๆให้กับไมล์เอลซึ่งไมล์เอลก็พยักหน้าเป็นคำตอบ “แต่ฉันแปลกใจนะ ที่นักฆ่าอย่างนายเต้นรำเก่งแบบนี้“ ไมล์เอลได้โอกาสก็พูดแซวมิเกลบ้างซึ่งทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ทั้งคู่ยังคงเต้นรำกันไปเรื่อยๆและแล้วแหวนที่ไมล์เอลใส่ก็เรืองแสงทั้งสี่นิ้วซึ่งไมล์เอลก็ดูจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดแต่มิเกลก็ยิ้มและยังเต้นรำต่อไปเรื่อยๆ “อยู่เฉยๆนะ” มิเกลสั่งไมล์และรวบเอวของไมล์เอลเข้ามาใกล้มากขึ้น และไมล์เอลก็ไม่ได้ขัดขืนใดๆ ไมล์เอลใช้มือโอบคอของมิเกลเอาไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะสบตากันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก มิเกลยิ้มให้ไมล์เอลอีกหนึ่งครั้งและรอบตัวของทั้งคู่ก็มีลมอ่อนพัดเข้ามา “ยังฝึกไม่ชำนาญอีกหรอกับการควบคุมธาตุทั้งสี่น่ะ” มิเกลถามไมล์เอลซึ่งไมล์เอลก็ดูจะตกใจนิดหน่อยแต่ก็ส่งยิ้มคืนไป “นายเองหรอที่เอามาให้” ไมล์เอลถามมิเกลว่าอย่างนั้นและมิเกลก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ “ดูอะไรนี่นะ” มิเกลพูดจบก็ร่ายเวทดาร์กบัลลาดสายดนตรีที่เขายังฝึกไม่ได้ ตัวของมิเกลและไมล์เอลค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นดิน ทั้งคู่ลอยอยู่เหนือพื้นดินไม่มากนัก ไมล์เอลกอดมิเกลไว้แน่นซึ่งมิเกลก็ดูจะชอบที่ไมล์เอลกอดตัวเขาไว้อย่างนั้น “นายฝึกได้แล้วหรอ” ไมล์เอลถามมิเกลเพราะจากที่ฟังเอ็ดม่าเล่าให้ฟังมิเกลยังฝึกสายดนตรีไม่ได้ “ยังหรอก” มิเกลบอกและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไมล์เอลซบไหล่ของมิเกลอย่างเหนื่อยล้า “นายจะเจ็บตัวหรือเปล่า” ไมล์เอลถามอย่างเป็นห่วงและมิเกลก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ “เพราะแหวนที่เธอใส่มันจะช่วยให้ภายในร่างกายของฉันสมดุลและมันเคยเป็นของฉัน” มิเกลตอบและทั้งคู่ก็กลับมายืนอยู่บนพื้นดินอีกครั้งแต่ไมล์เอลก็ยังคงซบอกของมิเกลและขยับตัวตามเสียงเพลงอยู่ “แล้วนายเอามาให้ฉันทำไม” ไมล์เอลผละออกจากอกของมิเกลและมองหน้ามิเกลอย่างไม่เข้าใจ “เพราะฉันอยากให้เธอเป็นคนเก็บมันไว้” มิเกลยิ้มอย่างมีเลศนัยและยิ้มให้ไมล์เอลอีกครั้งซึ่งไมล์เอลก็ยิ้มคืนให้ “ฉันเริ่มง่วงแล้วนะ” ไมล์เอลที่หน้าขึ้นสีพูดตัดบทซะดื้อๆแม้ว่าคำพูดของเอ็ดมันจะเป็นแค่ประโยคธรรมดาแต่ ‘ทำไมหัวใจเราเต้นแรงแบบนี้นะ’ ไมล์เอลบ่นตัวเองในใจและไมล์เอลก็เดินหันหลังเตรียมจะกลับเข้าไปในบ้านแต่มิเกลก็รั้งมือของไมล์เอลเอาไว้ ไมล์เอลหันหน้ามาและทำหน้าว่ามีอะไรอีก ซึ่งมิเกลก็พูดเพียงประโยคสั้นๆ “ฝันดีนะ” ไมล์เอลอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อมิเกลบอกว่าฝันดีและเธอก็เดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกที่มีความสุขสุดๆ
ภายในห้องนอนของเบลล่าและแคโรลเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เบลล่าเธอนอนบนเตียงแล้วกันเดี๋ยวฉันนอนพื้น” แคโรลบอกเบลล่าซึ่งเบลล่าก็ดูจะไม่พอใจเอามากๆ “ทำไมล่ะ เมื่อก่อนเราจะยังนอนด้วยกันออกบ่อยไปนะ” เบลล่าพูดขึ้น ซึ่งแคโรลก็ยิ้มน้อยๆ ‘ก็ตอนนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกันนิ่’ แคโรลพูดสิ่งที่อยากจะพูดแต่พูดในใจเท่านั้น แคโรลปิดไฟและล้มตัวนอนลงที่พื้นเช่นเดียวกับเบลล่าที่นอนอยู่บนเตียง “คบกับลูกของท่านผู้นำเป็นยังไงบ้าง” แคโรลพยายามมากที่จะทำให้เสียงเป็นปกติมากที่สุด “ราอูลน่ะหรอ เขาก็ดีนะ ดูแล สุภาพบุรุษ ฉันบอกบางอย่างกับเธอได้ใช่ไหมในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันมานาน” เบลล่าถามแคโรลซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้แคโรลชอกช้ำมากเพียงไหน แคโรลส่งเสียงอืมเป็นเชิงว่าบอกมาสิ่ “ราอูลเป็นคนดีแต่ฉันก็แอบน้อยใจเขาบ่อยเพราะเขาไม่ค่อยมีเวลาให้ฉันเท่าไรนัก เธอเข้าใจใช่ไหมแคโรล” เบลล่าเหมือนได้พูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกอัดอั้นมานาน “อือ นอนเถอะฉันเริ่มง่วงแล้ว” แคโรลตัดบทสนทนาเพียงเท่านี้เพราะไม่อยากจะให้ตัวเองรู้อะไรที่มันมีผลทำร้ายจิตใจของตัวเองมากกว่านี้และแคโรลก็ยังไม่ง่วงซักนิด “ฉันดีใจมากที่รู้ว่าเธอยังไม่ตาย ฝันดีนะแคโรลเพื่อนรัก” เบลล่าพูดและเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วต่างจากแคโรลที่นอนยังไงก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย แคโรลลุกขึ้นมาและไปนั่งบนเตียงพร้อมกับใช้มือลูบหัวเบลล่าอย่างเอ็นดูและส่งยิ้มอ่อนๆไปให้กับเบลล่าที่นอนหลับอยู่และเวทสีน้ำเงินก็ค่อยๆลอยออกมาจากตัวเบลล่าและค่อยๆซึมเข้าสู่ร่างกายของแคโรลอย่างช้าๆ “ฉันคงไม่ต้องปกป้องเธอแล้วสิ่นะเจ้าหญิง” แคโรลพูดจบน้ำตาที่กลั้นไว้มานานก็ค่อยๆไหลออกมาและแคโรลก็เดินออกจากห้องไป
“แย่แล้วทุกคน” เบลล่าตะโกนและรีบวิ่งออกมาจากห้อง “เกิดอะไรขึ้น” เป็นเอ็ดม่าที่ถาม “แคโรล แคโรลเมื่อคืนไม่ได้นอนที่ห้อง” เบลล่าบอกอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน มิเกลมองหน้าเบลล่า “เมื่อคืนแคโรลไม่ได้นอนที่ห้องงั้นหรอ” มิเกลถามเบลล่าซึ่งเบลล่าก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ “เมื่อคืนพวกเธอทะเลาะกันหรือเปล่า” มิเกลถาม “เปล่าเมื่อคืนแคโรลถามฉันเรื่องราอูลน่ะ” เบลล่าตอบไปตามความจริงซึ่งพอมิเกลได้ยินดังนั้นมิเกลก็วิ่งออกจากบ้านไปทันที “มิเกล” ไมล์เอลเรียกอย่างเป็นห่วงแต่เอ็ดม่าก็ตบไหล่ “มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เอ็ดม่าบอกไมล์เอลอย่างเข้าใจว่าน้องตัวเองเป็นคนเลือดร้อนมากแค่ไหนแม้ภายนอกจะดูเย็นชาแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นลย
มิเกลวิ่งออกมาจากบ้าน เขารู้ว่าจะต้องไปตามหาแคโรลที่ไหน มิเกลยังคงใช้วิธีการวิ่งแบบนักฆ่าในการวิ่งไปหาแคโรลด้วยความเร็วที่คนปกติไม่สามารถมองเห็น มิเกลมาหยุดอยู่ตรงน้ำตกและมองเข้าไปในถ้ำ มิเกลค่อยๆเดินเข้าไปในถ้ำแต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ภายในถ้ำเต็มไปด้วยอุปกรณ์การฝึกของนักสู้ “แคโรลเธออยู่ที่นี่หรือเปล่า” มิเกลตะโกนถามซึ่งไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา มิเกลกังวลนิดหน่อยเพราะตอนที่แคโรลรู้ว่าเบลล่าคบกับลูกของท่านผู้นำ แคโรลไม่กิน ไม่นอน กลายเป็นคนเงียบๆไปช่วงหนึ่งแต่กาลเวลาก็ช่วยทำให้แคโรลดีขึ้นและกลับมาเป็นคนร่าเริงเหมือนเดิม มิเกลเดินไปตามทางก็เจอร่างหมดสติของแคโรล มิเกลรีบเข้าไปประคองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นล่องลอยของน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของแคโรลแม้ตอนนี้แคโรลจะหมดสติแล้วก็ตาม มิเกลอุ้มร่างของแคโรลและวิ่งกลับบ้านไป
“พี่ แคโรลเป็นไงบ้าง” มิเกลถามเอ็ดม่าที่ตอนนี้ดูอาการของแคโรลอยู่ “ไม่เป็นอะไรหรอกแค่พักผ่อนน้อยและคงจะมีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจมากทีเดียว ดูจากไอเวทที่ฉันรักษาสิ่เป็นสีเทาเลย” เอ็ดม่าตอบมิเกลไปว่าอย่างนั้น เบลล่าและเพื่อนคนอื่นก็นั่งเฝ้าแคโรลเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่อีฟยังเงียบกว่าปกติที่ควรจะเป็น ไมล์เอลสังเกตเห็นว่ามิเกลดูจะหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก มิเกลและไมล์เอลสบตากันพอดิบพอดี ไมล์เอลส่งสายตาว่าให้ออกไปคุยกันข้างนอกเมื่อมิเกลเห็นมิเกลก็เดินออกไปรอไมล์เอลข้างนอกและไมล์เอลก็เดินตามมิเกลออกไปติดๆ
เมื่อออกมามิเกลก็ยังดูหงุดหงิดอยู่ “นายเป็นอะไรของนายทำไมดูหงุดหงุดล่ะ” ไมล์เอลถามมิเกลทันทีที่ออกมาข้างนอก “ตั้งแต่รู้จักกันมาฉันยังไม่เคยเห็นแคโรลร้องไห้เลยซักครั้ง” มิเกลพูดเสียงดังจนกลายเป็นตะคอกใส่ไมล์เอลไปแล้ว “แล้วทำไมแคโรลเขาถึงร้องไห้ล่ะ” แม้ว่าไมล์เอลจะไม่ค่อยพอใจที่มิเกลตะคอกใส่แต่เรื่องที่ตนอยากรู้ต้องมาก่อน “แคโรลรักเบลล่า ไม่ใช่รักแบบเพื่อนแล้วรักมานานแล้ว” มิเกลยังคงตะคอกใส่ไมล์เอลอย่างต่อเนื่อง “แล้วนายจะตะคอกใส่ฉันทำไม มิเกล” ไมล์เอลเริ่มทนไม่ไหวจึงตะคอกกลับไปบ้าง “ไมล์เอลคือฉัน…” มิเกลยังพูดไม่ทันจบไมล์เอลก็เดินกลับเข้าบ้านไปแล้ว มิเกลถอนหายใจออกมาอีกครั้งแม้ว่ามิเกลจะรู้ตัวว่าผิดแต่มันหงุดหงิดนี่นา “เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าแคโรลรักเบลล่างั้นหรอ” มิเกลหันไปมองต้นทางเมื่อรู้ว่าไม่ได้มีคนที่รู้แค่คนเดียว “อีฟ เธอแอบฟังหรอ” มิเกลหันไปมองหน้าอีฟ “ฉันเปล่าคือฉันจะออกมาตามไมล์เอลแล้วเผอิญได้ยินพอดี” อีฟรีบบอกมิเกลทันที “ก็อย่างที่เธอได้ยินนั่นแหละ” มิเกลพูดและถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ตลอดเวลาที่เราสองคนแกล้งทำเป็นว่าตายไปแล้ว พวกเรารู้ความเคลื่อนไหวของพวกเธอหมด” มิเกลบอกอีฟซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้มานั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างนอก “ตอนแรกที่แคโรลรู้เรื่องเบลล่า แคโรลไม่เป็นอันทำอะไร ไม่กิน ไม่นอน ไม่ซ้อมแต่ฉันก็ไม่เคยเห็นแคโรลร้องไห้” มิเกลยังคงเล่าให้อีฟฟังต่อ “แต่วันนี้ตอนที่ฉันเห็นแคโรลสลบและมีคราบน้ำตา เธอรู้ไหมอีฟว่าฉันอยากจะไปฆ่าลูกของท่านผู้นำนั่นด้วยซ้ำในตอนนี้ จริงๆฉันอยากจะไปฆ่ามันตั้งแต่รู้ว่านายนั่นคบกับเบลล่าแล้วแต่แคโรลห้ามไว้ แคโรลเป็นผู้พิทักษ์ฉันนะฉันทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นผู้พิทักษ์ฉันอ่อนแอแบบนี้“ มิเกลพูดอย่างหงุดหงิดและดูแล้วว่าคงจะไม่หายง่ายๆ “จะบ้ารึไงมิเกลอันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหรอกที่เบลล่าคบกับราอูลแต่เบลล่ารักราอูลนี่ สิ่งที่เพื่อนรักเราก็ต้องรักด้วยถูกไหม” อีฟพูดให้มิเกลฟังซึ่งถ้าถามว่ามิเกลเข้าใจไหมตอบได้เลยว่าเข้าใจแต่ทำเป็นไม่เข้าใจมากกว่า “ฉันว่าแคโรลไม่เป็นไรหรอก เพื่อนฉันเข้มแข็งฉันรู้จักเพื่อนฉันดีและทุกๆคนก็มีจุดอ่อนทั้งนั้นไม่มีใครหรอกนะที่จะเข้มแข็งไปหมดทุกเรื่องรวมถึงตัวนายด้วยเหมือนกัน” อีฟพูดจบก็ลุกขึ้นและค่อยๆเดินกลับเข้าไปในบ้าน “มิเกล ฉันว่าตอนนี้นายควรจะไปง้อไมล์เอลก่อนนะเผื่อนายจะไม่รู้ ไมล์เอลน่ะมีหนุ่มนักรบกลชอบเยอะแยะเลย” อีฟพูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีและเดินกลับเข้าไปในบ้าน มิเกลมองตามหลังอีฟจนอีฟเข้าบ้านไปก่อนจะส่ายหัวให้กับตัวเอง ‘แล้วจะมาบอกทำไมว่าไมล์เอลคนชอบเยอะ เราไม่ได้ชอบยัยเฉิ่มนั่นซะหน่อยนิ่’ มิเกลพูดกับตัวเองและส่ายหน้าไปมาอีกครั้งและเดินกลับเข้าไปในบ้านเช่นเดียวกับอีฟ
ภายในห้องที่แคโรลนอนหมดสติอยู่มีเพียงเบลล่าเท่านั้นที่นั่งเฝ้าแคโรลอยู่ไม่ห่าง เบลล่าไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่รู้ว่าแคโรลสลบไป ‘พี่เอ็ดม่าบอกว่าแคโรลไม่เป็นอะไรมากแล้วทำไมถึงยังไม่ฟื้นซักที’ เบลล่าคิดในใจอย่างเป็นห่วง เบลล่าไม่เข้าใจตัวเองซักนิดว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงแคโรลมากขนาดนี้ ตั้งแต่ที่เจอกันเบลล่ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกอาจจะเป็นเพราะได้เจอเพื่อนรักสมัยเด็กและรู้ว่าเพื่อนคนนั้นยังไม่ตาย แต่สิ่งที่แคโรลทำให้เบลล่ารู้สึกตั้งแต่เจอกันก็คือแปลกใจและน้อยใจ จนมาเมื่อคืนแคโรลก็ไม่ยอมนอนกับตนอีก ความน้อยใจมันจึงพุ่งสูงมากแต่เบลล่าก็คิดแค่เพียงว่าอาจจะเป็นเพราะห่างกันมานานแต่พอตอนเช้าเบลล่าตื่นมาแคโรลก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว ที่นอนก็เรียบเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครนอนอยู่เลยนั่นจึงทำให้เบลล่ารู้ทันทีว่าเมื่อคืนแคโรลไม่ได้นอนที่ห้องและมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เบลล่าจะรู้สึกดี “แคโรลเธอเป็นอะไรของเธอนะ บอกฉันได้หรือเปล่าว่าใครทำให้เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้” เบลล่าพูดกับแคโรลที่ยังนอนไม่ได้สติพร้อมกับเอามือลูบหัวช้าๆอย่างอ่อนโยน
(ฟังเพื่อซึบซับบรรยากาศ รอบ2)
“บะ เบล เบลล่า” แคโรลละเมอออกมาเป็นชื่อของเบลล่าเพียงเบาๆเท่านั้น ซึ่งเบลล่าที่อยู่ข้างเตียงก็มองแคโรลอย่างเป็นห่วง เบลล่าจับมือของแคโรลเอาไว้ “ฟื้นสิ่ยัยบ้า” เบลล่าพูดออกมาทั้งน้ำตา ไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าร้องไห้ทำไม แคโรลแค่เพียงลำเมอเท่านั้นแต่ก็ยังไม่ฟื้น เบลล่าใช้มือแตะไปที่หน้าผากของแคโรลอย่างเบามือ “ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ” เบลล่าตกใจจนทำอะไรถูก “พี่เอ็ดม่า พี่เอ็ดม่า” เบลล่าตะโกนเรียกเอ็ดม่าเสียงดังโดยที่มือก็ยังไม่ปล่อยจากแคโรล
เอ็ดม่าและคนอื่นวิ่งมาอย่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเบลล่า” เอ็ดม่าถามเบลล่าที่ตอนนี้ยังร้องไห้อยู่ “คะ แคโรล ตะตัวร้อนจี๋เลย” เบลล่าพูดตะกุกตะกะ ไมล์เอลเดินไปปลอบเบลล่าทันที มีแต่มิเกลเท่านั้นที่มองเบลล่าด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดและคล้ายกับว่าที่แคโรลเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเบลล่าเอง “พี่เอ็ดม่าแคโรลเป็นยังไงมั่งคะ” เบลล่าที่ตอนนี้ไม่ร้องไห้แล้วถามขึ้น “ไม่ดีเลย เมื่อเช้าฉันไม่เห็นเวทที่ไหลอยู่ในตัวแคโรล แต่ตอนนี้กลับมีเวทแบบเดียวกับที่เกเบียลใช้ไหลอยู่ทั่วร่างกายเลยแหละ” เอ็ดม่ามีสีหน้าที่ไม่ดีเลยและนั่นถือว่าเป็นสัญญาณไม่ดีมากๆ มิเกลที่ยืนมองแคโรลอยู่เงียบๆซึ่งต่างจากเอ็ดม่ามีสีหน้าวิตกกังวลอย่างหนัก
“ฉันไม่อยากใช้ไวท์เชน นายดูดเวทลึกลับนี่ออกไปได้ไหม” เอ็ดม่าพูดขึ้นทามกลางความเงียบซึ่งมิเกลก็พยักหน้าให้และมิเกลเริ่มท่องดาร์กบัลลาดตรวจดูร่างกายของแคโรล “เดธบลู” มิเกลบอก “มันเป็นเวทของพวกราชวงศ์น่ะพี่ มีแต่คนในราชวงศ์เท่านั้นแหละที่จะเรียนเวทบทนี้ได้” มิเกลอธิบายให้ทุกคนฟัง “แล้วแคโรลไปโดนเวทนี้มาจากไหน” เป็นเบลล่าที่ถามบ้าง ซึ่งมิเกลส่ายหน้า “แคโรลไม่ได้โดนแต่เธอเคยโดนเวทนี้” ซึ่งเบลล่าก็พยักหน้าแม้จะยังไม่เข้าใจ “เวทนี้ถ้าโดนอัดเข้าไปแล้วมันไม่ไหลออกมาง่ายๆเหมือนเวทอื่นๆที่เคยเจอมาหรอกนะ” เมื่อมิเกลพูดจบเบลล่าก็ตกใจมาก “แต่ที่มันไม่แสดงอาการใดๆก็เพราะว่าวันนั้นอาฉันคงจะช่วยรักษาให้และไปสกัดการไหลเวียนของเวทไว้นั่นแหละแม้มันจะลอยออกมาแต่มันไม่ได้ลอยออกมาหมดแต่ถ้าอาฉันไม่ช่วยสกัดให้ก่อนเธอก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้” มิเกลอธิบายให้ทุกคนฟังอีกครั้งเหมือนตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องนี้มากทีเดียว เบลล่าเริ่มเข้าใจแล้วรวมถึงคนอื่นๆด้วย “งั้นก็หมายความว่าแคโรลรู้น่ะสิ่ว่าฉันยังมีเวทชนิดนี้อยู่ในตัว” เบลล่าถามอย่างสงสัย “ใช่ ถ้ามันอยู่ที่ตัวเธอมันจะไม่มีอันตรายต่อเธอหรอกในตอนนี้แต่ในอนาคตเวทนี้มันจะกลับมาไหลเวียนในตัวเธออีกครั้งซึ่งเมื่อถึงวันนั้นเธอจะทรมานมากกว่านี้อีก” มิเกลยังคงอธิบายไปเรื่อยๆ “แคโรลดึงเวทออกมาจากตัวเธอและใส่ที่ตัวเองแทน” มิเกลบอกเบลล่าว่าอย่างนั้นซึ่งเบลล่าก็รู้สึกร้อนที่ตาทันที “นักสู้ดูดเวทออกจากตัวได้หรอฉันนึกว่ามีแต่พวกนักเวทกะพวกเยียวยาเสียอีก” เอ็ดม่าถามมิเกลอย่างสงสัย “ใช่ ดูดได้แต่ต้องมีสิ่งรับแทนอย่างเบลล่า แคโรลก็เอาตัวเองรับเวทแทนไง” มิเกลพูดให้เอ็ดม่าฟังซึ่งเอ็ดม่าก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เบลล่าที่ตอนนี้ดูแย่ลงเรื่อยๆเพราะเริ่มร้องไห้อีกแล้ว เบลล่าจับมือของแคโรลไว้แน่นพร้อมกับพูด “อย่าเป็นอะไรนะแคโรล ฉันขอร้อง” เบลล่าพูดออกไปว่าอย่างนั้น ซึ่งทุกคนเห็นก็รู้สึกเศร้าไปตามๆกัน “นายช่วยแคโรลได้ไหม” เบลล่าหันมาถามมิเกลทั้งน้ำตาซึ่งมิเกลก็พยักหน้าให้เป็นคำตอบ
เอ็ดมันไม่รอช้าเริ่มร่ายดาร์กบัลลาดทันทีบรรทัดห้าเส้นค่อยๆพันรอบตัวของแคโรลเอาไว้ “พี่ช่วยหน่อย” มิเกลบอกเอ็ดม่าและเอ็ดม่าก็ร่ายเวทเยียวยาเบื้องต้น บรรทัดห้าเส้นที่พันตัวของแคโรลเริ่มรัดร่างของแคโรลไว้แน่น แคโรลมีสีหน้าที่ทรมานเป็นอย่างมาก ซึ่งเบลล่าก็ยังคงจับมือของแคโรลเอาไว้ไม่ห่าง บรรทัดห้าเส้นสีดำของมิเกลที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว ก็ค่อยๆคลายตัวออกอย่างช้าๆ มิเกลทรุดตัวลงกับพื้น หน้าซีดมาก “มิเกล” ไมล์เอลรีบไปดูอาการของมิเกลทันที "เวทนี้มีไอเวทสีดำอยู่เยอะมากเลย ไม่ยักรู้ว่าเดธบลูจะชั่วร้ายขนาดนี้" มิเกลพูดและหอบไปในเวลาเดียวกัน “แกไหวหรือเปล่ามิเกล” เอ็ดม่าถามซึ่งมิเกลก็พยักหน้า “ถ้าไม่ไหวอย่าฟื้น เดี๋ยวร่างกายก็แตกเป็นเสี่ยงๆหรอก แกก็รู้ดีไม่ใช่หรอ” เอ็ดม่าดุมิเกลที่ใครดูก็รู้ว่ากำลังฝืนตัวเองอยู่ “ไม่เป็นไรหรอก” มิเกลพูดจบก็ร่ายเวทแบบเดิมอีกครั้ง เวทสีน้ำเงินก็ค่อยๆซึมเข้าสู่บรรทัดห้าเส้นอีกครั้ง มิเกลทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนเวทสีน้ำเงินในตัวของแคโรลหมด และมิเกลก็กระอักเลือดออกมาทันที “บอกแล้วทำไมไม่ฟัง” เอ็ดม่าขึ้นเสียงใส่มิเกล ซึ่งมิเกลก็ก้มหน้ารับความผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนจะหมดสติไป
ไมล์เอลพามิเกลมาพักฟื้นอยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งมิเกลก็ยังคงไม่ได้สติ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไมล์เอลไม่พูดจาใดๆออกมาเลย และมิเกลก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่แบบนั้น เอ็ดม่าเปิดประตูเข้ามา เอ็ดม่าไม่พูดอะไรกับไมล์เอลและเริ่มลงมือตรวจร่างกายทันที “ข้างในช้ำนิดหน่อย ถ้ามิเกลใช้เวทรักษาแคโรลอีกซักห้าครั้งมันก็คงจะไม่รอด” เอ็ดม่าพูดบอกไมล์เอลว่าอย่างนั้น “แล้วมิเกลจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” ไมล์เอลถามอาการของมิเกลด้วยความเป็นห่วงที่ปิดไม่มิด เอ็ดม่าลุกและเดินไปกอดไมล์เอลอย่างอบอุ่น “ไม่หรอกและก็จะไม่มีคนในกลุ่มเราที่เป็นอะไรอีกแล้ว” เอ็ดม่าบอกกับไมล์เอล ซึ่งไมล์เอลก็พยักหน้าอย่างเข้าใจและทั้งคู่ก็เดินออกไปจากห้องไป
‘เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย’ แคโรลพูดในใจทันทีที่ฟื้นและหันไปมองข้างๆซึ่งตอนนี้เบลล่านั่งหลับอยู่เก้าอี้ข้างๆเตียง แคโรลค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมานั่งและจ้องมองเบลล่าอยู่แบบนั้น แคโรลยิ้มบางๆให้เบลล่าที่นั่งหลับอยู่และแคโรลก็ลุกออกจากเตียงไปคุกเข่าอยู่ๆข้างเบลล่า “ฉันรักเธอนะเจ้าหญิง” เมื่อพูดจบแคโรลก็โน้มตัวสัมผัสที่ปากของเบลล่าด้วยอวัยวะส่วนเดียวกันและหยิบผ้าห่มมาห่มตัวเบลล่าและเดินออกไป ทันทีที่แคโรลเดินออกมาก็เห็นภาพที่คุ้นตาซึ่งนั่นก็คือไลล่าวิ่งไล่อีฟสองคนนี้ยังเป็นแบบนี้เสมอ แคโรลยิ้มให้กับภาพตรงหน้า “แคโรลเธอฟื้นแล้ว” ไลล่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจจนปิดไม่มิดและทั้งอีฟ ไลล่า เอ็ดม่าและไมล์เอลก็วิ่งเข้ามาถามแคโรลกันใหญ่ว่าเป็นยังไงบ้างรวมถึงหนึ่งปีที่หายไปนั้นแคโรลเป็นอย่างไรบ้าง แคโรลเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะและคนที่ฟังก็ดูจะมีความสุขเช่นเดียวกัน "เธอก็ยังเหมือนเดิมเลยนะแคโรล ทำให้คนอื่นยิ้มได้เสมอเลย ฉันคิดว่าเธอจะเปลี่ยนไปแล้วซะอีก" อีฟพูดตามที่ตนเองคิดและแน่นอนว่าแคโรลก็ยิ้มและหัวเราะให้กับทุกๆคน “มิเกลไปไหนล่ะ ฉันไม่เห็นเลย” แคโรลถาม “ยังไม่ฟื้นเลยแคโรล” ไมล์เอลตอบ ซึ่งก็เรียกความสงสัยจากแคโรลได้ว่ามิเกลไปทำอะไรมา “มิเกลเป็นอะไร” แคโรลถามด้วยเสียงนิ่งๆ “ดูดเวทเดธบลูอะไรนั่นออกจากตัวเธอน่ะ” ไมล์เอลยังคงทำหน้าที่ตอบคำถามได้อย่างดี ซึ่งแคโรลก็พยักหน้าและขอตัวไปดูอาการมิเกล
แคโรลเข้ามาอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่มิเกลพักอยู่ “เฮ้ ฟื้นได้แล้วน่ามิเกล” แคโรลพูดออกไปเสียงดังซึ่งมิเกลก็ขยับตัวเล็กน้อยและค่อยๆปรือตามองแคโรล “ไงผู้พิทักษ์” มิเกลทักแคโรลอย่างอารมณ์ดี มิเกลบิดขี้เกียจสองสามครั้งและค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง “ขอบใจนายมากที่ช่วยฉัน” แคโรลพูดไปยิ้มไป ซึ่งมิเกลก็ยิ้มให้แคโรลเช่นกัน “ต้องช่วยอยู่แล้ว ถ้าเธอตายไปนี่ลำบากฉันต้องไปหาผู้พิทักษ์ใหม่นะ” มิเกลพูดไปขำไปซึ่งแคโรลก็ขำตามไปด้วยเช่นกัน “แล้วจะเอายังไง อีกไม่กี่วันโรงเรียนก็เปิดแล้วพวกเบลล่าต้องกลับโรงเรียน” แคโรลถามมิเกล ซึ่งมิเกลก็ทำหน้าครุ่นคิดและตอบออกไปว่า “ก็ให้พวกนั้นกลับวันนี้เลยโดยที่เราสองคนก็จะกลับไปด้วย” มิเกลพูดอย่างมั่นใจ ซึ่งแคโรลก็พยักหน้ารับและขอตัวไปเก็บของทันที “แล้วเราจะได้เจอกันอีกพระราชาไอเดนและเจ้าชายเกเบียล” มิเกลพูดกับตัวเองจบก็ลุกออกจากเตียงไปเก็บของเช่นกัน
ความคิดเห็น