คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Kill End. 6 ของขวัญปริศนา
“ครบรอบหนึ่งปีที่แกจากไปแล้วนะเอ็ดมัน” เอ็ดม่าพูดพร้อมกับวางช่อดอกกุหลาบสีแดงสดไว้และเอ็ดม่าก็ค่อยๆนั่งลงข้างๆหลุมศพ หลังจากเหตุการณ์ที่พระราชาไอเดนบุกมาเมื่อครั้งที่แล้วก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้วที่เอ็ดมันจากไป “วันนี้ฉันมาหาแกคนเดียว แกไม่ต้องน้อยใจหรอกนะว่าทำไมเพื่อนๆถึงไม่มาด้วย” เอ็ดม่าพูดไปยิ้มไป “เพื่อนของแกวันนี้มีสอบเลื่อนชั้นกันน่ะ เดี๋ยวนี้เบลล่าเก่งขึ้นเยอะเลยนะในเรื่องเวทป้องกันฉันว่าต่อให้ไลล่ายิงปืนใหญ่ใส่นะเกราะของเบลล่าก็ไม่แตกแล้วแหละ อ่ะและก็อีกเรื่องหนึ่งเบลล่ากำลังคบกับลูกชายของท่านผู้นำเมืองวินวาลี่ดูเหมาะสมกันดีนะ” เอ็ดม่าเริ่มเล่าเรื่องหนึ่งปีที่หล่อนได้ไปพบมาให้หลุมศพเอ็ดมันฟัง “และเจ้าเบบี๋ตอนนี้มันเริ่มโตแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่งองแงแล้วนะฉันเก่งใช่ไหมล่ะที่เลี้ยงมันมาได้ จริงๆต้องขอบคุณเมโลดี้และไมล์เอลแหละที่ช่วยกันเลี้ยงเจ้าเบบี๋เป็นอย่างดี” เอ็ดม่าเล่าไปยิ้มไป “ฉันไม่รู้ว่าแกเคยได้ยินเวลาไมล์เอลเล่นเปียโนหรือเปล่านะแต่ฉันอยากจะบอกแกว่าตอนนี้ไมล์เอลเล่นเปียโนเพราะมากๆ บางทีถ้าแกยังอยู่แกควรจะไปข้อคำแนะนำจากไมล์เอลนะแกจะได้ฝึกดาร์กบัลลาดได้เสียที” เอ็ดม่ายังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ “ส่วนอีฟกับไลล่านะสองคนนี้ก็ยังคงทะเลาะกันอยู่บ่อยๆแต่เวลามีปัญหานะสองคนนี้ก็ช่วยกันได้ดีจนฉันยังอดแปลกใจไม่ได้เลย และอีฟฝีมือพัฒนาขึ้นมากเลยเพราะได้เมโลดี้ฝึกให้ฉันว่าต่อให้เป็นแกก็คงจะหลบกระสุนห้าลูกติดไม่ได้แล้วแหละ ส่วนไลล่าไม่ได้ยิงปืนใหญ่เป็นอย่างเดียวแล้วนะ ฉันว่าหล่อนใช้มีดสั้นได้เก่งเกือบๆจะเท่าฉันเลยก็ยังว่าฉันเก่งนี่น่าถ้าไลล่าจะเก่งก็ไม่แปลกเพราะว่าฉันเป็นคนสอนเองกับมือ” เอ็ดม่าเล่าถึงความสามารถของเพื่อนๆ ให้หลุมศพเอ็ดมันฟังอย่างคาดหวังว่าสุดท้ายแล้วเอ็ดมันคงจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของเพื่อนๆ “ฉันว่าแกอาจจะอยากฟังเรื่องของแอนเดรียซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรหรอก ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้วพอกลับไปฉันก็ไปถามแอนเดรียว่าทำไมถึงปล่อยให้เกเบียลมาทำลายงานได้ แต่ในตอนนั้นแอนเดรียก็เถียงเสียงแข็งเลยนะว่า ‘พี่เกเบียลอยู่กับฉันตลอดเวลา’ แอนเดรียยืนยันว่าแบบนั้นและนั่นแหละมันคล้ายๆกับเป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆระหว่างแอนเดรียและพวกเราและใช่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่บอกแอนเดรียเรื่องคิลเลอร์ รีเบล” เอ็ดม่ายังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ จากท้องฟ้าที่มืดจนตอนนี้เริ่มมืดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว “แต่แกรู้ไหมว่าพวกฉันก็ไปป่วนทางราชวงศ์ไว้ค่อนข้างเยอะมากทีเดียวแต่ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าเป็นพวกฉันเพราะเวลาพวกฉันเข้าไปทำร้ายทหารในปราสาทพวกฉันจะปิดหน้าปิดตาตลอดเลยและทิ้งเพียงสัญลักษณ์ KR เท่านั้นพร้อมกับเอามีดปักลงไปเกเบียลและราชาไอเดนหัวเสียมากเลยถ้าแกอยู่ฉันว่ามันต้องดีกว่านี้แน่ ฉันคิดถึงแกนะน้องชายและเพื่อนๆแกก็คิดถึงแกเหมือนกับฉันนั่นแหละ ไว้ฉันจะมาหาแกใหม่วันนี้ฉันไปก่อนนะ รักแกนะเอ็ดมัน” เอ็ดม่าพูดจบก็ค่อยๆลุก และเดินออกไปจากสุสานโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคนกำลังจ้องมองหล่อนอยู่ในมุมมืดของสุสาน
เอ็ดม่าเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า ก๊อกๆ “ค่ะ” เอ็ดม่าขานตอบและค่อยๆลุกไปเปิดประตูซึ่งก็พบกับเอียนลูกน้องคนสนิทของพ่อ “คุณหนูครับมีของส่งมาถึงคุณหนูครับ” เอียนลูกน้องคนสนิทของพ่อพูดว่าอย่างนั้นซึ่งเอ็ดม่าก็มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยื่นไปมือไปรับกล่องของขวัญมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณสั้นๆ เอ็ดม่าปิดประตูและเดินกลับเข้ามาในห้อง “ใครกันนะที่ส่งของขวัญมาให้” เอ็ดม่าพูดกับตัวเอง พูดเสร็จเอ็ดม่าก็วางกล่องของขวัญเอาไว้และค่อยๆบรรจงแกะกล่องของขวัญออก สิ่งที่เห็นก็คือเอ็นพร้อมกับถุงมือปริศนาเอ็ดม่าหยิบเอ็นขึ้นมาดูอย่างพิจารณา “อาวุธสังหารหรอ” เอ็ดม่ายังคงพูดกับตัวเองต่อไปก่อนที่เอ็ดม่าจะคิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้เอ็ดม่าก็สังเกตุเห็นกระดาษแผ่นเล็กอยู่ในกล่อง เอ็ดม่าค่อยๆหยิบขึ้นมาเปิดดู “ลายมือคุ้นๆ” เอ็ดม่าบอกกับตัวเองซึ่งเอ็ดม่ารู้สึกติดใจกับตัวหนังสือมากแต่สุดท้ายก็เลิกสนใจและมาให้ความสนใจกับตัวหนังสือบนกระดาษแทน
“ใช้อาวุธนี่ให้เกิดประโยชน์ ฝึกให้ชำนาญ
และไม่นานจะได้ใช้ความสามารถอันนี้
อย่ากลับไปหากยังฝึกไม่ได้”
เนื้อหาในกระดาษมีเพียงแค่สามบรรทัดเท่านั้น ไม่ได้อธิบายเลยว่าทำไมต้องฝึกแล้วใครคือผู้ที่ส่งเอ็นและถุงมือมา เฮ้อ! เอ็ดม่าถอนหายใจแรงๆ ‘ปิดแค่สิบวันจะฝึกสำเร็จได้ยังไง’ เอ็ดม่าบ่นในใจอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วเอ็ดม่าก็หยิบถุงมือขึ้นมาใส่เอ็ดม่ารู้สึกพลังเวทในตัวไหลแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เอ็ดม่าจ้องมองที่มือตัวเองอย่างเหลือเชื่อและหยิบเอ็นขึ้นมาพันมือและนั่นยิ่งทำให้เอ็ดม่าแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อหยิบเอ็นแล้วคล้ายกับว่าเอ็ดม่าสามารถที่จะใช้เอ็นเส้นนี้กับสิ่งของในห้องได้ทุกอย่าง เอ็ดม่าเห็นทางในการที่จะวางกับดักโดยใช้เอ็นหรืออะไรที่เกี่ยวกับเอ็นเส้นนี้ทั้งหมด “นี่มันอะไรกัน” เอ็ดม่าพูดกับตัวเองทั้งที่ยังตกใจอยู่ เอ็ดม่าเดินไปยังประตูและลองผูกเอ็นกับลูกบิดประตูและใช้ปลายอีกข้างนึงไปผูกติดกับขอบหน้าต่างเมื่อเอ็นกระทบกับแสงไฟ เอ็ดม่าไม่สามารถมองเอ็นได้ด้วยตาเปล่าและในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเอ็ดม่าอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่สำหรับอาวุธสังหารอันนี้ฉันชอบมันนะและพลังเวทที่อัดเข้ามาฉันคงต้องขอบคุณสิ่นะคนแปลกหน้า” เอ็ดม่าพูดด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังมากไม่มีใครรู้ว่าเอ็ดม่านั้นพูดกับใครหรือพูดกับตัวเองแต่คนที่แอบมองเอ็ดม่าอยู่นั้นยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“นี่ยัยอีฟอย่าตะกละให้มันมากจะได้ไหมยะ” ไลล่าบ่นอย่างหัวเสียซึ่งอีฟก็ไม่ได้สนใจไลล่าเท่าไรนะแถมยังแลบลิ้นให้ไลล่าอีกหนึ่งที ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ “อย่าไปว่าอีฟเลยคงจะหิวแหละทดสอบตั้งนานนะ” เบลล่าผู้เปรียบเสมือนแม่พระสำหรับอีฟ อีฟพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะก้มหน้ากินต่อซึ่งเบลล่าก็มองดูเพื่อนอย่างเอ็นดูจะมีก็เพียงแต่ไลล่าเท่านั้นที่ส่ายหน้าให้กับอีฟ “วันนี้สิ่นะครบหนึ่งปีที่สองคนนั้นจากไปแล้ว” ไลล่าพูดเสียงนิ่ง ซึ่งเบลล่าก็พยักหน้า “น่าเสียดายนะที่พวกเราไม่ได้ไปป่านนี้พี่เอ็ดม่าคงจะถึงดาราโคเรียบร้อยแล้วแหละ” เบลล่าพูดบ้างแม้จะเป็นคำพูดประโยคยาวแต่เบลล่าก็ดูจะเศร้าลงนิดหน่อยที่นึกถึงเพื่อนทั้งสองคนเมื่ออีฟเห็นดังนั้นจึงตบไหล่เบลล่าเบาๆเบลล่ายิ้มให้เพื่อนทั้งสองคน “พวกเธอมีใครสอบไม่ผ่านหรือเปล่าเนี่ย” ไลล่าถามอย่างอยากรู้ “เก่งขนาดฉันพูดเลยว่าผ่านอยู่แล้วย่ะ พี่เมโลดี้เป็นโค้ชพิเศษให้ฉันเลยนะ” อีฟพูดจบก็ยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ “ฉันก็ผ่านเหมือนกัน” เบลล่าพูดพร้อมกับมอบรอยยิ้มและชูสองนิ้วขึ้นทั้งอีฟ ไลล่าและเบลล่าก็หัวเราะกันอย่างชอบใจ “ทำไมพวกเธอต้องมีท่าประจำตัวกันด้วยล่ะ” ไลล่าถามพร้อมกับหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง “และเธอล่ะผ่านหรือเปล่า” เป็นอีฟที่ถามไลล่าบ้างซึ่งแน่นอว่าไลล่าก็ผ่าน “จะไม่ผ่านได้ยังไงพี่เอ็ดม่าติวเข้มฉันเลยนี่น่า” ไลล่าพูดพร้อมกับสะบัดผมอีกหนึ่งทีซึ่งเบลล่าและอีฟก็มองหน้ากันและหัวเราะออกมาอีกครั้งและทั้งสามก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยเพราะตอนนี้พวกเธอว่างถึงว่างมาก
“ไมล์เอลทางนี้” เบลล่าโบกมือหยอยๆให้ไมล์เอลที่ทำท่าทางเงอะๆงักๆอยู่ ซึ่งไมล์เอลก็รีบวิ่งมาโต๊ะไม้ที่สวนสาธารณะหลังตึกเรียนที่พวกเบลล่า อีฟและไลล่าได้นั่งกันอยู่ก่อนแล้ว “สอบเป็นไงบ้างไมล์” และเป็นไลล่าที่ถามไมล์เอลทันทีที่ไมล์เอลวิ่งมาถึงที่โต๊ะ “ร้อยคะแนนเต็มเลยแหละ” ไมล์เอลพูดพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับเพื่อนทั้งสามคน ไมล์เอลค่อนสนิทกับเบลล่า อีฟและไลล่าได้อย่างรวดเร็วอาจจะเป็นเพราะความเปิ่นส่วนตัวของไมล์เอลทำให้อีฟชอบแกล้งไมล์เอลนักและไมล์เอลก็ไม่เคยโกรธเพื่อนใหม่เลยเมื่อโดนแกล้งกลับหัวเราะเสียด้วยซ้ำ เลยทำให้มิตรภาพระหว่างไมล์เอลและพวกของเบลล่ามันไม่มีช่องว่างอีกต่อไป “ก็ควรอยู่หรอกเดี๋ยวนี้เธอเล่นเปียโนได้เพราะมากๆเลยนี่น่า” เบลล่าพูดชมไมล์เอลซึ่งไมล์เอลก็ยิ้มให้เบลล่าจนตาปิด เบลล่าก็พึ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าเวลาที่ไมล์เอลมีความสุขมากๆไมล์เอลจะยิ้มจนตาก็ยิ้มตามไปด้วยและมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ทุกคนยิ้มตามได้ไม่ยากเลย “ทำไมเธอถึงเล่นได้เพราะแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นล่ะ เธอมีเคล็ดลับอะไรบอกมาซะดีๆหรือว่าจะมีความรัก” เป็นอีกครั้งที่อีฟแกล้งแซวไมล์เอลเรื่องที่เธอเล่นเปียโนได้เพราะขึ้นแบบก้าวกระโดดมากทีเดียว ความสามารถในการเล่นดนตรีในตอนนี้ถือว่าสูงพอจะไปสอบเป็นโจ๊กเกอร์ของราชวงศ์ได้เลยเว้นเสียแต่ว่าไมล์เอลอยู่ในคิลเลอร์ รีเบลไม่มีทางอยู่แล้วที่จะเอาความสามารถไปช่วยพวกราชวงศ์ “ฉันเปล่านะ แค่ฉันมีความสุข เสียงดนตรีที่ฉันเล่นมันก็คงจะมีความสุขเหมือนกันนั่นแหละ” ไมล์เอลอธิบายอย่างงงๆให้เพื่อนฟังซึ่งตอนแรกที่รู้จักกันใหม่ๆไม่ค่อยมีใครเข้าใจไมล์เอลเท่าไรเพราะเป็นคนที่ตอบอะไรจะต้องให้คนที่ฟังมาคิดอีกที "เอาเป็นว่าพวกเราเข้าใจนะไมล์" อีฟพูดก่อนจะทำสีหน้าเศร้าเพื่อแกล้งไมล์เอลและก็เป็นไลล่าที่ ป้าป!ฟาดเข้าที่ไหล่อีฟโทษฐานแกล้งเพื่อนได้ตลอดเวลาแต่ไมล์เอลต้นเหตุก็ส่งรอยยิ้มให้กับทุกคนเช่นเดิมจากตอนนี้ที่อีฟแกล้งไมล์เอลกลายเป็นไมล์เอลนั่งหัวเราะอีฟที่กำลังวิ่งหนีฝ่ามือของไลล่าอยู่ส่วนเบลล่าที่ตอนนี้นั่งหัวเราะไม่หยุดพวกเธอทั้งสี่มีความสุขกับชีวิตปัจจุบันที่เป็นอยู่เลยไม่ได้สนใจเลยซักนิดว่าสายตาสองคู่กำลังจับจ้องอยู่คู่แรกที่เต็มไปด้วยความอิจฉากับอีกคู่ที่เต็มไปด้วยความรักและความหวังดี
หลังจากที่ทั้งสี่นั่งคุยกันจนฟ้าเริ่มจะมืดทั้งสี่ก็ได้ข้อสรุปว่าวันหยุดที่ทางโรงเรียนหยุดให้สิบวันจะไม่กลับบ้านแต่จะอยู่ที่โรงเรียนหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับตึกทั้งอีฟและไลล่าก็เข้ามายังตึกเอ็มที่ภายในถูกดีไซน์ให้เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดและนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตึกที่ไม่มีบันไดขึ้นตึกแต่คงจะไม่ได้มีรูปปั้นเพื่อโยนนักเรียนขึ้นไปแบบตึกเจ
ตึกเอ็มเป็นตึกที่ทันสมัยที่สุดในห้าตึก อีฟและไลล่าเดินตรงเข้าไปในผ้าม่านที่อยู่กลางห้องโถง กี๊ดกึก ตึง! เสียงสิ้นสุดลงทั้งอีฟและไลล่าก็ได้เดินเข้าห้องไปอันที่เรียบร้อย มันคือเครื่องย้ายมวลสารขนาดเล็กคล้ายๆกับเป็นเวทมนต์มากกว่าทันทีที่มีคนเดินเข้าไปในม่านร่างกายก็จะถูกย้ายไปตามโปรแกรมที่ได้ตั้งเอาไว้ทันที ที่ตึกเอ็มมีแต่อะไรที่มันนำสมัยอาจจะเป็นเพราะเป็นตึกของนักเรียนที่ฐานะทางบ้านรวยจึงทำให้มีเครื่องแบบนี้ออกมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย
หลังจากที่อีฟเข้าห้องไปก็ได้เข้าไปชำระร่างกาย อีฟเดินออกมาก็ต้องประหลาดใจกับกล่องของขวัญที่วางอยู่ในห้องเพราะซึ่งตอนแรกมันไม่มี อีฟรีบแต่งตัวและเดินมาเปิดกล่องดูในที่สุด อีฟตาโตทันที่เห็นของในกล่องมันคือปืนรุ่นเดียวกับของเธอแต่เพียงมันเล็กกว่า จับถนัดมือกว่าและมันมีสองกระบอกและภายในกล่องไม่ได้มีเพียงแค่ปืนอย่างเดียวแต่มีแหวนเงินเรียบๆสองวงซึ่งใส่ได้กับนิ้วชี้ของอีฟพอดิบพอดี อีฟมองดูแหวนบนนิ้วตัวเองก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นและสายตาอันดีของอีฟก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นน้อย อีฟรีบหยิบมันขึ้นมาดูทันที
“ปืนคู่นี้จงฟังเสียงของมันให้ดี จงรวมกันให้เป็นหนึ่ง
และจะเข้าใจมัน มองมันให้เห็น
แล้วจะใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
ข้อความสามบรรทัดที่อีฟอ่านหลายรอบทวนไปทวนมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ว่าต้องการจะสื่ออะไร อีฟเลิกอ่านกระดาษและลองหยิบปืนมาสำรวจดูซึ่งปืนคู่สองกระบอกนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากกระบอกเดิมของเขาเลยอีฟใส่ที่เก็บเสียงและลองยิงดูก็รู้สึกว่ามันน่าประหลาดใจ ทั้งๆที่ปืนมีกระบอกเล็กกว่า แรงถีบน้อยกว่าแต่กระสุนที่พุ่งออกไปกลับมีไอเวทชะโลมอยู่เต็มกระสุนทั้งๆที่อีฟยังอัดพลังเวทเข้าไปไม่เป็นด้วยซ้ำและที่สำคัญผนังไม่เป็นรอย อีฟเริ่มมองว่ามันประหลาดทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่ากระสุนเมื่อกี้รุนแรงมากแค่ไหนอาจจะทำให้ผนังเป็นรูยังทำได้แต่ทำไมกำแพงถึงไม่มีรอยอะไรเลยล่ะ อีฟมองปืนคู่นี้อย่างสนใจอีฟถือมือกระบอกนี้อย่างกระฉับกระเฉง ‘ให้ฟังเสียงของมันงั้นหรอ’ อีฟพูดในใจก่อนจะค่อยๆหลบตาลงห้องทั้งห้องเกิดความเงียบทันที ‘เจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่’ เสียงปริศนาที่ดังขึ้นภายในจิตใจของอีฟ ‘ใช่’ อีฟตอบไปว่าแบบนั้น ‘คุณเป็นใคร’ อีฟถามออกไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะได้คำตอบหรือไม่ ‘รู้จักไหมผู้ดูแล’ เสียงปริศนายังคงดังขึ้นต่อเนื่องภายในจิตใจของอีฟ ซึ่งอีฟก็พูดในใจต่อเพื่อทำความรู้จัก ‘ไม่’ คำตอบสั้นๆของอีฟสร้างความเงียบและความน่าอึดอัดใจให้เกิดขึ้นภายในห้องเสียจริงแม้อีฟจะอยู่ห้องเพียงลำพังแต่อีฟก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่มีมากเหลือเกิน ‘งั้นเจ้ากับข้าคงต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักกันนานเลยทีเดียว’ เมื่อเสียงปริศนาพูดเสร็จ อีฟก็ไม่สามารถติดต่อกับเสียงปริศนาได้อีกซึ่งมันสร้างความหงุดหงิดให้แก้อีฟมาก “ใครเป็นคนเอามาให้กันนะ คอยดูละกันสิบวันต่อจากนี้ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าให้ได้เลย” อีฟพูดกับปืนกระบอกใหม่อย่างสนใจมากทีเดียว
ไลล่าก็เช่นเดียวกันหลังจากที่ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อมีกล่องของขวัญมาวางไว้บนโต๊ะ “ใครกัน” ไลล่าเดินเช็ดผมและนั่งมองกล่องของขวัญยังกับมองว่ามันจะระเบิดตอนไหนอย่างนั้นแหละ และในที่สุดไลล่าก็ตัดสินใจที่จะเปิดกล่อง ไลล่าหยิบของที่อยู่ในกล่องซึ่งก็คือปิ่นปักผมขึ้นมา ‘เอ่อ ปิ่นปักผม’ ไลล่าดูจะไม่เข้าใจว่าปิ่นปักผมจะทำอะไรได้และไลล่าก็หยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
“นำไว้ติดตัวอย่าให้ห่าง ฝึกให้คล่องแคล่ว
และยามจำเป็นจะได้ใช้มัน”
เมื่ออ่านจบไลล่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากะปิ่นปักผมที่เป็นไม้ธรรมดาจะทำอะไรได้ ไลล่าลองใช้ปิ่นเก็บผมดูซึ่งไลล่าก็เริ่มคิดว่ามันมีบางอย่างที่แปลกไปจากเดิมความคิดของไลล่านั้นเหมือนกับคิดได้ไม่สิ้นสุด พูดง่ายๆเหมือนว่าไลล่าฉลาดขึ้นคล้ายกับว่าเป็นอัจริยะ ไลล่าสามารถคิดและปรับใช้ได้ทันที “เจ๋งดีนะ” ไลล่ายิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะลองอะไรไปเรื่อยๆ ไลล่าดึงปิ่นปักผมออกมาควงเล่นตามนิ้วมือและไลล่าค่อยๆจับปิ่นปกผมให้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นก่อนจะเล็งไปที่ประตู ปัก! ไลล่าขว้างปิ่นไปที่ประตูอย่างแม่นยำ ไลล่าเดินไปสำรวจผลงานตัวเองอย่างชอบใจ “พลังเวทเยอะชะมัดและก็คมมากด้วย” ไลล่าพูดคนเดียวอย่างเหลือเชื่อ ไลล่าดึงปิ่นปักผมออกจากประตูและลูบตามปิ่นอย่างพิจารณาไลล่าพบว่ามันก็แค่ปิ่นปักผมธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไร ไม่ได้มีความคมและไลล่าก็เงยมองที่ประตูซึ่งก็พบว่ามันเป็นรูเหมือนกับเวลาขว้างมีดไม่มีผิดเพี้ยนไลล่ามองอย่างเหลือเชื่อก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่ว่าใครเป็นคนให้ ฉันจะเก็บไว้ไม่ให้ห่างตัวเลย” คำพูดที่ออกมาจากปากไลล่าเหมือนเป็นคำสัญญาอย่างไงอย่างนั้น
เบลล่าหลังจากที่แยกกับเพื่อนๆก็ตรงดิ่งกลับหอเลย ตึกวิชของเบลล่าภายในตกแต่งสไตล์โรมันซึ่งมันก็เหมาะกับคนในตึกนี้ดีตึกนี้ไม่มีเครื่องช่วยย้ายเหมือนตึกเอ็มแต่ใช้ท่องคาถาเอาเหมือนตึกเจนั่นก็คือ โอลเลวิสต้า แต่ไม่มีเจต่อท้ายเหมือนกับตึกเจ ที่ตึกเจมีคำว่าเจ ต่อท้ายนั่นเป็นเพราะว่าคาถานี้แต่เดิมเป็นของพวกนักเวท เมื่อเบลล่าก้าวเข้ามาภายในตึกเบลล่าก็ไม่รอช้าในการที่จะพูดคาถานี้ไปเหมือนเบลล่าพูดเสร็จเบลล่าก็เข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อย เบลล่าอยากจะทิ้งตัวนอนให้รู้แล้วรู้รอดถ้าสายตาไม่ได้ไปสะดุดกับกล่องของขวัญปริศนาที่อยู่ในห้องซะก่อน "ใครเอามาให้กันนะ" เบลล่าหยิบกล่องขึ้นมาพร้อมกับมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่พบใคร เบลล่าจึงตัดสินใจเปิดดูในกล่องนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลยมีเพียงแต่กระดาษหนึ่งใบเท่านั้น
“จงฝึกพลังเวทให้หนักขึ้น และจงเลือกสายที่จะต้องการ
รีบฝึกก่อนที่อะไรมันจะสายไป เพราะ …
จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก”
เบลล่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘ใครเอามาแกล้งนะ’ เบลล่านึกอย่างอารมณ์เสียแต่เบลล่าก็ลองมาคิดดูว่ามันก็จริงอย่างที่จดหมายว่านั่นแหละตัวเธอเองควรจะเลือกสายเวทที่ต้องการได้แล้วแล้วสายเวทที่เธอถนัดที่สุดนั่นก็คือป้องกัน เบลล่าจมอยู่กับความคิดตัวเองซักพักก่อนจะยิ้มออกมา ‘สายป้องกันหน้าจะเหมาะกับเราที่สุด’ เบลล่ายิ้มเป็นเด็กๆที่ตัดสินใจได้และเบลล่าก็ใช้มือลูบสร้อมรูปกังหันอย่างลืมตัว ‘เธอว่าไงแคโรล ถ้าเธอยังอยู่เธอจะให้ฉันเลือกสายอะไร’ เบลล่าพูดในใจก่อนจะยิ้มออกมาและเป็นรอยยิ้มที่มีแต่ความเศร้า
ไมล์เอลกลับห้องอย่างเหนื่อยล้าและไมล์เอลก็ยังคงเลือกวิธีขึ้นห้องโดยการให้รูปปั้นตัวตลกโยนขึ้นไปเหมือนเดิมเมื่อถึงหน้าห้องไมล์เอลก็เห็นกล่องของขวัญสีขาววางอยู่ไมล์เอลถือและเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะหันไปมองห้องตรงข้ามที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว เมื่อเข้าในห้องไมล์เอลก็วางกล่องของขวัญไว้และเดินไปอาบน้ำเมื่อเสร็จไมล์เอลจึงนั่งลงและบรรจงแกะกล่องของขวัญเหมือนกับกลัวว่ามันจะขาด ไมล์เอลเปิดกล่องออกมาก็พบว่ามันคือแหวนสี่เหลี่ยมสีทองสี่วงด้วยกัน ในแต่ละวงสลักเป็นรูปคลื่น ลม ไฟและดิน ไมล์เอลยังคงจ้องมองแหวนทั้งสี่วงอย่างพิจารณาและหยิบกระดาษสีขาวขึ้นมาอ่าน
“อย่าถอดแหวน เพราะเมื่อใดที่แหวนอยู่ไม่ครบทั้งสี่
จะไม่สามารถใช้เสียงดนตรีเพื่อควบคุมได้
ฝึกให้ชำนาญ และอย่าเสียการควบคุม”
คำพูดที่บอกมาในแผ่นกระดาษไม่ช่วยทำให้ไมล์เอลเข้าใจได้ซักนิดแต่ไมล์เอลก็เลือกที่จะลองใส่แหวนดู ไมล์เอลใส่แหวนทั้งสี่วงไว้ที่มือข้างขวาทั้งหมดเริ่มจากนิ้วชี้ไมล์เอลใส่แหวนลม คลื่น ไฟและดินตามลำดับ และเริ่มไล่นิ้วไปบนอากาศเสียงดนตรีค่อยๆดังขึ้นมาไมล์เอล รู้สึกได้ถึงไอเวทที่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากจากแหวนทั้งสี่นิ้ว เมื่อไมล์เอลเล่นดนตรีเวทไปซักพักแหวนที่นิ้วชี้ก็มีแสงสีครีมอ่อนๆ และไมล์เอลก็รับรู้ได้ถึงลมที่พัดผ่านเข้ามา จากนิ้วชี้ไปยังนิ้วกลางก็มีละอองน้ำมากระทบกับร่างกายของไมล์เอลซึ่งนั่นทำให้ไมล์เอลรู้ตื่นเต้นมากทีเดียว ไมล์เอลหยุดเล่นดนตรีเวทเสียดื้อๆและถอดแหวนออกหนึ่งนิ้วและเริ่มเล่นดนตรีเวทอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ไม่เกิดอะไรขึ้น ไมล์เอลเข้าใจเนื้อความในแผ่นกระดาษทันที “ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ถ้าคุณเลือกให้ฉันควบคุมธาตุทั้งสี่ฉันก็จะฝึกมันอย่างเต็มที่” ไมล์เอลพูดออกมาเสียงดังโดยหวังคนที่นำกล่องของขวัญมาให้จะได้ยิน
เช้าวันต่อมาอีฟและเพื่อนๆได้ออกมาเจอกันที่สวนสาธารณะหลังตึกเรียนซึ่งเนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดทำให้มีนักเรียนที่เข้ามาในสวนสาธารณะของโรงเรียนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น อีฟและเพื่อนพากันไปนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวเดิม หน้าตาแต่ละคนดูอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนทั้งๆที่ควรจะนอนพักกันอย่างเต็มอิ่ม
“ทำไมพวกเธอดูอดนอนกันมาเลย” เบลล่าถามขึ้นหลังจากได้เห็นหน้าเพื่อนแล้ว “ขนาดไมล์ยังเป็นไปด้วยเลย นี่พวกเธอไปทำอะไรกันมา” เบลล่าถามอย่างสงสัย “ไลล่านึกยังไงถึงใช้ปิ่นปักผมน่ะ” เบลล่าผู้ที่ดูจะมีคำถามเต็มไปหมด เพราะเพื่อนหล่อนแต่ละคนดูจะแปลกไป “อีฟเธอใส่แหวนด้วยหรอ ไมล์ก็อีกคน” เบลล่าชี้ไปที่เพื่อนแต่ล่ะคนซึ่ง เพื่อนๆนั้นก็หาววอดๆกันยกใหญ่ และก็เป็นไลล่าที่ตอบ “เมื่อคืนฉันเจอกล่องของขวัญประหลาด” ไลล่าตอบไปว่าอย่างนั้นซึ่งทั้งอีฟและไมล์เอลก็หันไปมองหน้าไลล่าอย่างพร้อมเพียง “ฉันด้วย” ไมล์เอลและอีฟพูดพร้อมกันก่อนทั้งสามคนจะมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ “พวกเธอก็ได้หรอกล่องของขวัญนั่น” เป็นเบลล่าที่พูดขึ้นบ้าง ทั้งสี่คนมองหน้ากันอย่างสงสัย “ต้องมีใครซักคนที่เป็นคนส่งมาให้แน่ๆ” อีฟตั้งข้อสงสัยซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย “แต่ว่าใครล่ะ” ไมล์เอลถามซึ่งคำถามนี้พาทุกคนไปไม่เป็น ทั้งสี่ตกอยู่ในความเงียบ “ในกล่องของพวกเธอได้อะไร” อีฟถามซึ่งทั้งอีฟ ไลล่าและไมล์เอลก็เล่าถึงความสามารถของของที่ตัวเองได้รับมา เบลล่าฟังก็อดตื่นเต้นตามไปด้วยไม่ได้เพราะของแต่ละชิ้นมีความสามารถแตกต่างกันออกไปทั้งนั้น “แล้วเธอและเบลล่า” อีฟถามซึ่งเบลล่าก็ส่ายหน้าและบอกอีฟว่ากล่องตัวเองนั้นว่างเปล่ามีเพียงกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น “ที่ฉันอยากรู้ตอนนี้คือของที่เราได้มามันสามารถเป็นอาวุธได้ทั้งนั้นและในของแต่ละอย่างก็มีไอเวทอัดอยู่จำนวนมาก” ไลล่าพูดอย่างวิเคราะห์ “ซึ่งคนที่ให้เราต้องการจะให้เราใช้ของพวกนี้ไปทำไม” เมื่อไลล่าพูดจบทุกคนต่างก็ขบคิด แต่ไม่ว่าคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก “ฉันว่าอย่าไปคิดมันเลย ฉันว่าเราควรจะฝึกให้ได้ตามที่ข้อความในกระดาษบอกพวกเธอว่ายังไง” อีฟเสนอซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย “งั้นอีกเจ็ดวันเราค่อยมาเจอกัน พอถึงวันนั้นพี่เอ็ดม่าก็คงจะถึงที่โรงเรียนแล้ว เราค่อยแสดงสิ่งที่เราได้รับมาใหม่ให้พวกพี่เขาดูกันรวมถึงพวกเธอทุกคนด้วย” อีฟพูดประโยคยาวซึ่งทุกคนก็ยิ้มและแยกย้ายกันไปฝึก
เจ็ดวันต่อมาหลังจากแยกย้ายกันไปฝึก “ไงพวกเธอ” เอ็ดม่าที่เดินทางมาถึงมิเดิลไลน์ก็เป็นเวลามืดแล้วได้ทักขึ้นทันทีที่เจอหน้าเหล่าคิลเลอร์ รีเบล ทุกคนต่างยิ้มให้เอ็ดม่าทันทีที่เจอ “พวกเธอมีบางอย่างแปลกไปนะ” เอ็ดม่าทักซึ่งพวกเบลล่า ก็ยิ้มแฉ่งให้เอ็ดม่าเป็นคำตอบ “พวกเราว่าพี่ก็มีบางอย่างที่แปลกไปเหมือนกัน” เบลล่าพูดก่อนจะยิ้มให้เอ็ดม่าอีกครั้ง เบลล่าและพวกตัดสินใจเล่าเรื่องกล่องของขวัญปริศนาให้เอ็ดม่าฟังรวมถึงว่าจะโชว์ให้ดูด้วย เอ็ดม่าก็ยิ้มและบอกว่าตนก็ได้รับเหมือนกัน เอ็ดม่ายินดีเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นฝีมือของสมาชิกในคิลเลอร์ รีเบล
ไลล่าเป็นคนแรกที่ขอโชว์ก่อน ไลล่าเริ่มด้วยการวางแผนการบุกปราสาทครั้งใหม่อย่างแนบเนียนแล้วเชี่ยวชาญคล้ายกับว่าไลล่าได้ไปดูสถานที่จริงมาแล้ว ทุกคนทึ้งมากกับความสามารถที่ฉลาดเกินตัวของไลล่าและการที่ไลล่ามีของสิ่งนี้มาเป็นตัวช่วยก็เหมาะกับไลล่ามากทีเดียว “เธอดูฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อเลย” อีฟพูดขึ้นมาลอย ซึ่งไลล่าก็เบะปากให้อีฟหนึ่งทีก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะกัน
ส่วนไมล์เอลก็ไม่รอช้าหลังจากที่ไลล่าโชว์สิ่งที่ตัวเองได้ฝึกมาเสร็จแล้วก็เริ่มเล่นดนตรีเวทอย่างชำนาญก่อนที่ทุกคนจะรับรู้สึกสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป น้ำที่อยู่ในบ่อก่อตัวกันเป็นกำแพงน้ำสูง เช่นเดียวกับลมฟ้าอากาศที่ตอนนี้ครึ้มเหมือนกับมีเมฆมากและพื้นดินที่ส่งตัวไมล์ให้อยู่บนที่สูงภายในพริบตาและสุดท้ายไมล์เอลเสกไฟลูกน้อยๆให้ลอยไปรอบๆพวกเธอทุกคน “ไมล์มันสวยมากเลย” เบลล่าร้องทักอย่างมีความสุขและสายตาก็ยังคงจับจ้องที่ไฟลูกน้อยๆนั้นอยู่
“ตาฉันบ้างล่ะนะ” เบลล่าบอกว่าอย่างนั้นก่อนจะร่ายเวทป้องกันมาคุมรอบตัว “ไลล่ายิงปืนใหญ่มาที ขอแบบแรงที่สุด” เบลล่าบอกไลล่าว่าอย่างนั้น ซึ่งไลล่าเองก็วิตกกังวลอยู่มากทีเดียวเพราะเกราะที่เบลล่าสร้างขึ้นมันก็เหมือนเกราะเดิมที่ไลล่าสามารถยิงให้เกราะแตกได้ มันดูบางและไม่มั่นคงเอาเสียเลย “มั่นใจหรือเปล่าเบลล่า” ไลล่าถามเบลล่าออกไปซึ่งเบลล่าก็พยักหน้าตอบทั้งรอยยิ้ม เมื่อเบลล่ามั่นใจขนาดนี้ ไลล่าก็ไม่รอช้าอีกต่อไปหยิบปืนใหญ่ย่อส่วนและตั้งค่าพลังไว้ที่สูงสุดก่อนจะเล็งไปที่เกราะของเบลล่าและ ตุ้ม! ไลล่ายิงออกไปเกิดควันลอยฟุ้งอยู่เต็มพื้นที่ “เบลล่าเธอโอเคหรือเปล่า” ไลล่ารีบตะโกนถามออกไปซึ่งเงียบ ไลล่าและเพื่อนทุกคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ต่างมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด แต่แล้วเมื่อควันจางหายไปก็พบว่าเบลล่าและเกราะยังอยู่สภาพเดิมเกราะไม่เสียหายและไม่มีรอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น “สุดยอด” อีฟพูดขึ้นซึ่งนั่นก็ทำให้เบลล่ายิ้มแก้มปริ “เธอทำได้ยังไงน่ะเบลล่า” ไลล่าถามอย่างเหลือเชื่อ “ฉันคงจะเลือกสายถูกกับตัวเองแล้วล่ะ” เบลล่ายิ้มให้เพื่อนๆอีกครั้งซึ่งทุกคนดูจะเห็นด้วย
“ตาเธอแล้วอีฟ” ไลล่าบอกให้อีฟแสดงให้ดูได้แล้วซึ่งอีฟก็หยิบมือคู่ใจกระบอกใหม่ขึ้นมา “อีฟเธอเปลี่ยนปืนหรอ” ไลล่าถามทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว อีฟเพียงแค่พยักหน้าให้ ไลล่ารู้สึกได้ว่าตอนนี้อีฟดูนิ่งและสงบมากกว่าปกติเสียอีกไม่ใช่แค่ไลล่าคนเดียวที่รู้สึกแต่เป็นทุกคนที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอีฟ “เอาล่ะนะ” อีฟพูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และ ปัง ปัง ! อีฟยิงกระสุนไปที่เอ็ดม่าและไมล์เอล แต่ทั้งคู่ไม่มีทีท่าว่าจะหลบกระสุนเลย กระสุนทั้งสองนัดพุ่งตรงไปด้วยความเร็วสูงพร้อมกับไอเวทแต่กระสุนทะลุผ่านตัวของเอ็ดม่าและไมล์เอลไปโดยที่ทั้งสองไม่เป็นอะไร “ทำไมล่ะ” ไมล์เอลถามอย่างไม่เข้าใจ อีฟเก็บปืนเข้าก่อนจะบอกว่า “เพราะฟรานไง” อีฟตอบง่ายๆ “ฟรานคือใคร” ไลล่าถามบ้าง “คืองี้นะปืนคู่สองกระบอกนี้มีผู้ดูแลซึ่งฉันเป็นคนตั้งชื่อให้เอง ในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมกระสุนที่มีความรุนแรงมากขนาดนี้กลับไม่สร้างความเสียหายให้กับกำแพงห้องของฉันเลยแต่ตอนนี้ที่ฉันรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟรานแล้วฉันเลยเข้าใจว่าปืนกระบอกนี้จะไม่สามารถยิงคนบริสุทธิ์ได้” เมื่ออีฟอธิบายเสร็จทุกคนก็ร้องอ๋อทันที “ดีเหมือนกันนะ” เบลล่าพูดซึ่งอีฟก็พยักหน้า
“พี่เอ็ดม่าล่ะคะจะไม่แสดงให้พวกเราดูหน่อยหรอ” เป็นเบลล่าที่ถามเอ็ดม่าออกไป เอ็ดม่าส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ยังไม่ถึงเวลา” เอ็ดม่าตอบมาสั้นๆแค่นั้น ซึ่งทั้งเบลล่า ไมล์เอล ไลล่าและอีฟต่างก็พากันเสียดาย เอ็ดม่าที่มองทุกคนเล่นกันด้วยรอยยิ้ม ‘เอ็ดมันเพื่อนแกทุกคนเก่งขึ้นมากเลย’ เอ็ดม่ายิ้มอย่างภูมิใจ “พี่เอ็ดม่ายิ้มไรหรอคะ” ไมล์เอลถาม “ไม่มีไรหรอก” เอ็ดม่าตอบและไปรวมวงสนทนากับเพื่อนๆ ไมล์เอลก็เล่นดนตรีเวท เสียงเพลงเบาทำให้บรรยากาศตอนนี้ดูครื้นเครงอย่างบอกถูกแล้วไหนจะลมที่พัดผ่านเบาและแสงจากเปลวไฟที่ประดับไว้บนอากาศ
ทั้งห้าคนคุยกันโดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องพวกหล่อนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรอย่างมาก “มีความสุขกันให้พอ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส” คนในเงามืดคนนั้นพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าโกรธหรือเกลียดกันแน่แล้วคนในเงามืดนั้นก็เดินจากไป
“นี่พวกเรา บุกปราสาทคืนนี้เลยไหมฉันอยากจะลองแผนที่ฉันคิดมา” ไลล่าเสนอ “จะดีหรอมันไม่ผลีผลามเกินไปหรอกเหรอ” ไมล์เอลทักท้วงเพราะเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปคืนนี้มันเหมือนกับความรู้สึกลึกๆข้างในบอกว่าอย่าพึ่งไปคืนนี้เลย “พี่เอ็ดม่าว่าไงคะ” เบลล่าหันไปถามความเห็นเอ็ดม่าที่นั่งเงียบมาซักพักใหญ่แล้ว “ฉันยังไงก็ได้ ถ้าจะบุกคืนนี้ฉันก็พร้อมอยู่แล้ว” คำพูดของพี่เอ็ดม่าทำให้ทุกคนในกลุ่มต่างพากันมั่นใจมากขึ้น ยกเว้นไมล์เอลคนเดียวเธอยังคงยืนยันว่าบางอย่างในตัวเธอบอกว่าไม่ให้ไป “ฉันว่าอย่าเลยนะ วันนี้พี่เมโลดี้และเบบี๋ก็ยังไม่มาด้วย” ไมล์เอลพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวเพื่อนๆซึ่งมันไม่ได้ผล “ไมล์เชื่อใจฉันสิ่ ฉันไม่ใช่ไลล่าคนเดิมแล้วนะ” ไลล่าพูดพร้อมกับตบบ่าไมล์เอลเพื่อให้ไมล์เอลสบายใจซึ่งไมล์เอลก็ยิ้มตอบกลับไป “เราจะผ่านคืนนี้ไปได้แน่นอน” ไลล่าพูดอีกครั้งซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย คิลเลอร์ รีเบลวางมือรวมกันก่อนจะ เฮ้! ส่งเสียงดังเพื่อเป็นกำลังใจและแรงที่จะสู้ต่อไป
ทั้งห้าสาวซึ่งตอนนี้ได้มายืนอยู่ที่หน้าปราสาทด้วยชุดสีดำล้วนพร้อมกับหน้ากากปิดหน้าอย่างที่เคยทำทุกครั้ง “วันนี้ที่ปราสาทมันเงียบแปลกๆหรือเปล่า” ไมล์เอลทักท้วงอีกครั้ง “ก็ดีแล้วนะ ไม่มีทหารอยู่หน้าปราสาทเราจะได้เข้าไปได้ง่าย เผลอๆเราอาจจะได้เข้าไปในตัวปราสาทก็ได้นะ” อีฟเสนอความคิดแต่ไมล์เอลกลับส่ายหน้า “ถึงเราจะเข้าไปได้ก็จริงอยู่แต่เราไม่รู้แผนที่ข้างในว่าเป็นอย่างไร พวกเรายังไม่เคยเข้าไปนะ” ไมล์เอลยังคงมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองว่าคืนนี้ไม่ควรจะบุกเข้าไปทำร้ายทหารเหมือนทุกๆครั้ง “ฉันก็เห็นด้วยกับไมล์นะ นี่มันเงียบเกินไป” เบลลล่าบอกว่ายังงั้น ส่วนเอ็ดม่านั้นได้แต่นิ่งเงียบ “แต่ถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้นะ” อีฟยังคงรั้นที่จะไปต่อให้ได้ “งั้นเราจะรออะไรบุกเข้าไปเลยสิ่” เอ็ดม่าที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น เอ็ดม่ารู้ดีว่าคืนนี้มันไม่ปกติจริงๆแต่เธอแค่อยากจะรู้ว่าข้างในเตรียมต้อนรับอะไรพวกเธอไว้ต่างหากแล้วทั้งห้าสาวก็ค่อยเคลื่อนกายไปตามมุมมืดของปราสาท
ความคิดเห็น