คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Kill End. 5 : คิลเลอร์ รีเบล (Killer Rebel)
หลังจากเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจทั้งหกคนก็ใช้ชีวิตตามปกติส่วนเบบี๋ก็อยู่ในความดูแลของเอ็ดม่า ทุกคนเห็นพร้อมต้องกันว่าจะจัดงานศพให้กับเพื่อนทั้งสองในอีกสามวันข้างหน้าแม้ซากศพจะไม่เหลืออยู่แล้วก็ตาม
แอนเดรียหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังคงคบกับเจ้าชายเกเบียล “น้องแอนเดรียต้องเข้าใจนะครับว่ามันเป็นหน้าที่” เจ้าชายเกเบียลบอก ซึ่งแอนเดรียก็รับฟังและเข้าใจ แอนเดรียมีอาการโศกเศร้าอยู่เล็กน้อยสำหรับการจากไปของทั้งสองคนผิดกับคนอื่นๆ ทั้งไลล่าและอีฟก็มีอาการที่เรียกว่าความเศร้ารบกวน ไลล่าผู้รู้ทุกอย่างที่วันๆเอาแต่พูดแต่ตั้งแต่ทั้งสองคนจากไปไลล่าก็ดูเฉื่อย ทำอะไรช้า ไม่มีสมาธิเลย อีฟก็เช่นกันจากที่เป็นคนพูดมากก็กลายเป็นคนพูดน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ร่าเริง ยิงปืนไม่เข้าเป้าไม่เหมือนเมื่อก่อน ส่วนที่หนักสุดเห็นจะเป็นเบลล่าที่ถึงกับร่างกายอ่อนแอและสูบผอมลงไปเยอะเพราะเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กต้องมาตายจากไปและเบลล่าก็สวมสร้อยคอที่แคโรลให้ไว้ด้วย
เอ็ดม่าตัดสินใจตั้งตัวเป็นศัตรูต่อราชวงศ์ทันทีที่ตัวเองมีสติหลังจากเสียทั้งเอ็ดมันและแคโรลไป เอ็ดม่าเลิกคบเจ้าชายเกเบียลเป็นเพื่อนและใช้เวลาหลายวันในการทำใจซึ่งแน่นอนว่าเอ็ดม่าไม่สามารถทำใจได้สำหรับการตายของน้องชายคนเดียวของเธอ “เอ็ดม่า” เสียงเรียกอ่อนโยนจากคนที่เอ็ดม่าก็รู้ว่าใคร หล่อนหันหน้าไปตามต้นเสียงซึ่งก็เห็นสองพี่น้องตระกูลเจ ดิลาสที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วง เมโลดี้เข้าใจเอ็ดม่าดีว่าเสียใจมากแค่ไหนแต่ผู้พิทักษ์อย่างเธอก็คงจะทำอะไรมากไม่ได้นอกจากอยู่เป็นเพื่อนๆ ไมล์เอลน้องสาวของเมโลดี้เริ่มบรรเลงดนตรีเวทขึ้นเบาๆ เป็นเสียงเพลงที่ไพเราะและดูเศร้าโศกในเวลาด้วยกันสำหรับการตายของเอ็ดมันครั้งนี้ไมล์เอลที่ได้รับข่าวมาก็เสียใจอยู่ไม่น้อย ในตอนที่เมโลดี้บอกข่าวการตายของเอ็ดมันให้ไมล์เอล ตอนแรกไมล์เอลดูจะไม่เชื่อแต่พอเห็นสีหน้าของพี่สาวตนเองแล้วจึงเชื่อว่าพี่ไม่ได้ล้อเล่นอย่างแน่นอน
“แล้วเรื่องงานศพล่ะจะเอายังไง” เมโลดี้ถามเอ็ดม่าที่ตอนนี้ดูจะขาดสติ “ฉันว่าจะจัดที่บ้านฉัน” เอ็ดม่าตอบเสียงอ่อยๆ “ต้องไปจัดไกลถึงดาราโคเลยหรอ” เมโลดี้ถามเพราะระยะทางจากเมืองมิดเดิลไลน์ไปยังเมืองดาราโคนั่นถ้าไปด้วยฟารีเซอร์ธรรมดาก็ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะถึงเว้นเสียแต่จะเป็นฟารีเซอร์ระดับสูงที่จะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงครึ่งวันหรือสองวันแต่จะไม่เกินนี้แน่นอน เอ็ดม่าพยักหน้าเป็นคำตอบแก่เมโลดี้ “แต่ไม่มีศพน้องเธอ เราจัดในเมืองนี้ก็ได้นิ่” เมโลดี้เสนอความเห็นเพราะเขาไม่คิดว่ามันจะจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปยังดาราโคเลยด้วยจำนวนคนแล้วเป็นเรื่องลำบากที่จะต้องเดินทางไกลและใช้เวลานาน ซึ่งเอ็ดม่าก็ดูจะเข้าใจเรื่องความลำบากได้เป็นอย่างดี เอ็ดม่าส่งสีหน้าเศร้าๆไปให้ซึ่งเมโลดี้ก็จำใจยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้ “งั้นอีกสามวัน ฉันจะไปบอกให้พวกเพื่อนน้องเธอเตรียมตัวนะ” เมโลดี้พูดจบ ไมล์เอลก็ขอตัวออกไปบ้าง พอทั้งสองคนออกไปเอ็ดม่าก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “แค้นนี้ต้องชำระ”
สามวันหลังจากนั้นก็ถึงกำหนดที่จะต้องไปดาราโคเพื่อจัดงานศพของเอ็ดมันและแคโรล เอ็ดม่าให้ฟารีเซอร์ของที่บ้านมารับ “ไงเจ้าคาน” เอ็ดม่าลูบหัวเจ้าเสือดาวที่เป็นฟารีเซอร์ของตระกูลดิออร์ ส่วนคนอื่นๆก็ออกจะกลัวๆเจ้าคานกันนิดหน่อย “แอนเดรียยังไม่มาหรอ” เอ็ดม่าที่กำลังรอคนมาให้ครบถามขึ้น “ค่ะ เห็นบอกจะอยู่กับ” เบลล่าเป็นคนตอบก่อนจะเงียบลงเมื่อต้องพูดชื่อคนที่สั่งฆ่าเพื่อนของหล่อน จากสีหน้าเศร้าโศกเปลี่ยนเป็นสีหน้าโกรธอย่างรวดเร็วเมื่อเอ็ดม่ารู้เหตุผลที่แอนเดรียไม่มา แต่เมโลดี้ส่ายหน้าให้ซึ่งเมโลดี้ก็ทำได้แค่เดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งบนหลังเจ้าคานและคนที่เหลือก็ทยอยมากันจนครบและเริ่มออกเดินทาง
ระหว่างการเดินทางไปเอ็ดม่ากำหนดเวลาให้เจ้าคานไปถึงเมืองดาราโคพรุ่งนี้เช้าซึ่งเท่ากับว่าพวกเธอใช้เวลาเดินทางกันหนึ่งวันเต็มๆ แต่ทุกคนดูจะตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้เพราะเมืองดาราโคไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเหมือนกับวินวาลี่หรือเป็นเมืองอุตสาหกรรมเหมือนโซยรินและโดยเฉพาะไมล์เอลที่ได้เดินทางมางานนี้อย่างเต็มใจก็ดูจะสนใจวิวทิวทัศน์ข้างทางเป็นอย่างมาก และตลอดการเดินทางไมล์เอลก็บรรเลงดนตรีเวทให้ทุกคนได้สนุกรื่นเริงและไม่นานคนทั้งเจ็ดคนก็ได้นอนหลับพักผ่อนกัน
เช้าที่สดใสไมล์เอลที่สะลึมสะลือตื่นก่อนจะมองไปยังสภาพแวดล้อมตรงหน้าที่มีแต่ความมืดถึงแม้จะเป็นตอนเช้าแต่ที่เมืองดาราโคนั้นก็มีเพียงแต่ความมืดเข้าปกคลุมถ้าเทียบกับเมืองมิดเดิลไลน์แล้วเหมือนกับตอนหัวค่ำ ระยะเวลาที่ดาราโคมีแค่สิบสองชั่วโมงเท่านั้นและมีเฉพาะกางคืนแต่การนับวันต้องผ่านไปสองคืนก่อนถึงจะถือว่าเป็นหนึ่งวัน และในที่สุดการเดินทางมายังดาราโคก็เป็นอันสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าคานจอดที่หน้าบ้านของตระกูลดิออร์อย่างคุ้นเคยและนายใหญ่อย่างเอ็กซิสก็ได้ออกมาต้อนรับพวกเด็กๆด้วยสายตาที่เป็นมิตร เอ็กซิสยิ้มให้กับเบลล่าที่มีท่าทีกลัวเขาแต่เพราะรอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้นอดไม่ได้ที่เบลล่าจะส่งยิ้มกลับไปเช่นกัน เอ็ดม่าเชิญทุกๆคนเข้าไปในบ้าน ในบ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนักแต่กลับยิ่งเดินเข้าไปได้รับแต่ความอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือบ้านของตระกูลนักฆ่า
“พ่อคะเราจะจัดงานที่ไหนคะ” เอ็ดม่าถามผู้เป็นพ่อทันทีที่แยกกับเพื่อนเพื่อน “มอทัลสแควร์” เอ็กซิสพูดเสียงเนิบ ซึ่งเอ็ดม่ามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย “ทำไมจัดที่มีคนเยอะแบบนั้นล่ะคะ หนูกลัวว่าถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมาเราจะไม่สามารถปกป้องชาวเมืองได้นะคะ” เอ็ดม่าถามพ่ออย่างไม่เข้าใจ ซึ่งผู้เป็นพ่อก็เพียงส่งยิ้มมาให้เท่านั้น “ลูกไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาทำลายพิธีหรอก ที่นี่บ้านเกิดเรานะลูก” พูดจบเอ็กซิสก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เอ็ดม่าอีกครั้งหนึ่งซึ่งเอ็ดม่าก็ยิ้มคืนให้อย่างอ่อนโยนไม่แพ้กันเวลาเดินไปอย่างรวดเร็วซึ่งทั้งเอ็ดม่าและเอ็กซิสได้จัดเตรียมสำหรับการทำพิธีศพในแบบฉบับนักฆ่า โดยมีเพื่อนๆที่มาด้วยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ
และก็ถึงเวลาที่จะจัดงานที่มอทัลสแควร์สวนสาธารณะกลางใจเมืองเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก คนในเมืองดาราโคต่างออกมาร่วมงานนี้กันอย่างหนาแน่นเพราะตระกูลนักฆ่าเป็นตระกูลที่คนในเมืองรู้จักดีถึงแม้จะน่ากลัวแต่ทุกคนในเมืองก็รู้กันว่าเมื่อมีอันตรายตระกูลดิออร์ก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือทุกครั้งไป เอ็ดม่าและตระกูลนักฆ่าใส่ชุดที่ใช้ในการทำภารกิจมายืนรวมกันอยู่ในมอทัลสแควร์และบรรดาเพื่อนๆที่ใส่ชุดดำมายืนอยู่ในลานแห่งนี้ ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มืดที่สุดของดาราโคทำให้พวกของเบลล่ามีปัญหาในการมองเห็นแต่ทุกๆคนก็จับมือกันไว้เพราะกลัวหลง
เอ็กซิสเดินเข้ามาในงานตามทางที่ได้กำหนดไว้และเอ็กซิสขยับปากเบาๆก็มีไฟลุกโชนล้อมแขกที่มาร่วมงานซึ่งเบลล่าและเพื่อนๆดูจะตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยเห็นอะไรที่ดูน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ไฟจะแรงแค่ไหนแต่มันไม่ได้สร้างความร้อนให้กับคนที่อยู่ข้างในเลยแม้แต่น้อย “พี่เมโลดี้คะ เมืองนี้มีแต่อะไรน่ากลัวไปหมดเลย” ไมล์เอลซึ่งกระซิบกับเมโลดี้แค่สอง ซึ่งเมโลดี้ก็พยักหน้าเห็นด้วย ไมล์เอลที่อยู่ในชุดเดรสสีดำเปลี่ยนลุคใหม่ด้วยการปล่อยผมให้ยาวลงมาทำให้ผิวของหล่อนดูขาวรับกับแสงไฟที่ลุกโชนอยู่ในเวลานี้มากทีเดียว เอ็กซิสยืนสงบอยู่บนแท่นพิธีมานานสักครู่แล้วก่อนจะเงยหน้าและมองบรรดาแขกทุกคน “สวัสดีชาวดาราโกทุกท่าน วันนี้ข้าในฐานะนายใหญ่ของตระกูลนักฆ่าดิออร์ได้รู้สึกซาบซึ้งทุกท่านที่มางานของลูกชายอันเป็นที่รักของข้า นักฆ่าอย่างพวกเรานั้นพวกท่านคงจะรู้จักเป็นอย่างดีว่าโหดร้ายมากแค่ไหนแต่พวกท่านก็รู้ดีใช่หรือไม่ว่าพวกเรานั้นก็มีหัวใจ ความรู้สึก จิตใต้สำนึกเหมือนพวกท่านทุกคน” เมื่อเอ็กซิสกล่าวมาถึงตอนนี้ไฟที่ลุกโชนก็ดับลง เอ็กซิสยกคิ้วข้างซ้ายขึ้นสูงเล็กน้อยด้วยความแปลกใจรวมถึงชาวดาราโคที่มาร่วมงานด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเอ็กซิสก็ยังคงพูดต่อ “และทุกท่านก็คงจะทราบดีถึงสาเหตุการตายของลูกชายข้า ในฐานะที่ข้าเป็นนายใหญ่ของตระกูลนักฆ่าข้าขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่าข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก” เอ็กซิสพูดมาถึงตรงนี้ก็ได้รับรู้ถึงความผิดปกติอย่างจริงจังและเขาไม่สามารถที่จะทำเป็นไม่รับรู้ต่อไปไม่ได้แล้วเพราะรังสีของความเกลียดชังของแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้ที่ซึ่งจะเดินทางมาถึงในอีกไม่กี่นาทีแรงมากแม้จะอยู่กันคนละเมืองก็ยังสามารถรู้สึกได้ เอ็กซิสไม่รอช้าอีกต่อไปก่อนจะบอกให้ลูกน้องทุกคนล้อมชาวเมืองที่มาร่วมงานไว้
“เอ็ดม่าเกิดอะไรขึ้น” เมโลดี้ถามเอ็ดม่าด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าวิตกกังวลมาก เอ็ดม่าแสดงสีหน้าอย่างหวาดกลัวอย่างมากเป็นครั้งแรกที่เมโลดี้เห็นเอ็ดม่าเป็นแบบนี้ “ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร และมันก็ใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว” เอ็ดม่าบอกเมโลดี้ออกไปแบบนั้นซึ่งเมโลดี้ก็ดูจะไม่เข้าใจอยู่ดีแต่เมโลดี้ก็พอจะเดาได้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก แต่ยังไม่ทันที่ความกลัวของเอ็ดม่าจะสิ้นสุดลงทางด้านหลังของพวกเอ็ดม่าที่ยืนอยู่นั้นเกิดวงเวทขนาดใหญ่พร้อมกับการปรากฎตัวของพระราชาไอเดน ร่างสูงใหญ่ ผมยาวสลวยกับชุดราชวงศ์สีขาวแบบเดียวกับเจ้าชายเกเบียล ชาวเมืองดาราโคที่มาร่วมงานถึงกับขวัญหนีดีฟ่อวิ่งหนีพระราชาไอเดนอย่างไม่คิดชีวิต
เอ็กซิสเห็นท่าไม่ดีแน่จึงวิ่งมาประจันหน้ากับพระราชาไอเดนด้วยความรวดเร็วซึ่งเรียกรอยยิ้มจากพระราชาไอเดนได้เป็นอย่างดี ทางเอ็ดม่าที่สงสัยว่าทำไมพระราชาไอเดนถึงได้มาที่นี่และต้องการอะไรแต่เอ็ดม่าก็ยังมีความกลัวอยู่และไม่นานเกินรอนักก็เกิดวงเวทขนาดกลางอีกหลายวงพร้อมกับการมาของทหารชุดเกราะของราชวงศ์และวงเวทสุดท้ายมีขนาดใหญ่เท่าๆกับของราชาไอเดนเลยแต่คนที่เดินออกมาทำให้เอ็ดม่าที่กลัวอยู่ถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อคนที่เดินออกมาคือเจ้าชายเกเบียลนั่นเอง
เมื่อเจ้าชายเกเบียลเดินออกมาสายตาของเขาได้จับจ้องไปที่กลุ่มของเอ็ดม่า เจ้าชายเกเบียลเยียดยิ้มให้กับเอ็ดม่าหนึ่งทีก่อนจะเดินไปยืนข้างๆผู้เป็นพ่อ “พ่อครับคนพวกนั้นแหละครับที่บุกไปช่วยนักโทษสองคนที่โดนประหาร” เจ้าชายเกเบียลพูดพร้อมกับมองไปทางพวกของเอ็ดม่าซึ่งราชาไอเดนก็ยิ้มรับ “อ่า เอ็กซิสเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม” ราชาไอเดนพูดซึ่งเอ็กซิสก็พยักหน้า “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คงไม่ให้ท่านพาตัวพวกลูกสาวไป” เอ็กซิสพูดก่อนจะยิ้มให้ราชาไอเดนหนึ่งที “เอ็กซิสพวกเราตั้งใจจะมาเจรจานะ อย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย” คำพูดที่เหมือนจะเป็นคำขอร้องเสียมากกว่าจากราชาไอเดน แต่เอ็กซิสก็ยังคงส่ายหน้าอยู่ดี “ท่านแน่ใจหรือว่าจะมาเจรจาแล้วเหตุใดถึงได้นำทหารมาเยอะขนาดนี้” เอ็กซิสพูดอย่างไม่เกรงกลัวชายตรงหน้าซักนิดแม้ชายตรงหน้าจะมีศักดิ์เป็นถึงพระราชาก็เถอะ คำพูดของเอ็กซิสเรียกเสียงหัวเราะของราชาไอเดนและเจ้าชายเกเบียลได้ “ก็เพราะว่าข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ยอมส่งตัวลูกสาวให้ยังไงล่ะ” ราชาไอเดนพูดและหัวเราะอีกหนึ่งครั้ง “เฮ้อ” เอ็กซิสถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะบอกว่า “ยังไงท่านก็ต้องการมาฆ่าพวกลูกสาวของฉันที่นี่อยู่แล้ว” เอ็กซิสที่ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยจะสบอารมณ์พูดขึ้นและคำพูดของเอ็กซิสก็ทำให้ราชาไอเดนหัวเราะเสียงดังเข้าไปอีก “ใช่ ใช่แล้วเมื่อเจ้ารู้อย่างนี้ก็ดี” ราชาไอเดนพูดจบก็ชูมือให้ทารเริ่มบุกได้
ชางเมืองดาราโคร้องขอชีวิตจากทหารราชวงศ์แต่นั่นก็ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ทหารราชวงศ์ไล่ฆ่าประชาชนในเมืองทุกคน ทางด้านเอ็กซิสก็บอกให้ลูกน้องช่วยเหลือชาวเมืองอย่างเต็มที่และเอ็ดม่าก็จ้องเจ้าชายเกเบียลอย่างเคียดแค้นและไม่ใช่แค่เอ็ดม่าแต่รวมถึงเบลล่า ไลล่า อีฟ เบบี๋ ด้วย เมื่อเจ้าชายเกเบียลเห็นแล้วถึงกับยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปประจัญหน้ากับพวกเอ็ดม่า “อยากฆ่าฉันมากงั้นสิ่” เจ้าชายเกเบียลทำเสียงเหยียดซึ่งมันทำให้เอ็ดม่าเลือกที่จะไม่ทนอีกต่อไป เอ็ดม่าวิ่งเข้าไปต่อยหน้าเจ้าชายเกเบียลครั้งนึง เจ้าชายเกเบียลเซถอยหลังไปนิดหน่อย พร้อมกับเลือดที่ค่อยๆไหลออกจากมุมปาก “เธอ!” เจ้าชายเกเบียลโกรธจนแทบคลั่งที่เอ็ดม่าต่อยหน้าเขาและเจ้าชายก็ไม่รอช้าอีกต่อไป เจ้าชายเกเบียลวาดมือขึ้นเหนือหัวและท่องเวทบางอย่าง มือของเจ้าชายมีแสงสีน้ำเงินเข้ม เจ้าชายฟาดมันลงกลางอากาศและเอ็ดม่าก็กระเด็นออกไป ร่างของเอ็ดม่ากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงหล่อนกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย เมโลดี้และพวกที่เหลือรีบวิ่งตามมาดู “พี่เอ็ดม่า” เป็นเบลล่าที่ตกใจกับสภาพของเอ็ดม่าในตอนนี้ “ใช้ไวท์เชนรักษาตัวเองสิ่ยัยบ้า” เมโลดี้พูดเสียงดังจนแทบจะเป็นตะโกนใส่เอ็ดม่าอยู่แล้วแต่ถึงอย่างนั้นเอ็ดม่าก็ยังยิ้มมาให้ทุกๆคนเช่นเดิมแต่เจ้าชายเกเบียลก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือเจ้าชายวาดมือขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เบลล่ากางเวทป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ทั้งอีฟและไลล่าก็เตรียมอาวุธพร้อมสู้แล้วเช่นกัน เจ้าชายเกเบียลยิ้มเหยียดอีกหนึ่งครั้งก่อนจะเพิ่มความใหญ่ของแสงสีน้ำเงินนั้นและฟาดมันลงกับอากาศเช่นเคย แสงสีน้ำเงินลอยหลุดจากมือเจ้าชายและแยกออกเป็นลูกไฟสีน้ำเงินสี่ลูกก่อนจะวิ่งชนเวทป้องกันที่เบลล่าสร้างไว้ด้วยความรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าที่ใช้กับเอ็ดม่า เวทป้องกันของเบลล่าแตกละเอียดรวมถึงร่างของเบลล่าที่ตอนนี้มีสภาพแย่กว่าเอ็ดม่าเสียอีก เบลล่าหมดสตินอนกองอยู่ที่พื้น เมโลดี้เห็นท่าไม่ดีจึงให้ไมล์เอลไปดูอาการของเบลล่าก่อน เมโลดี้มองคนที่เหลืออย่างคิดหนักเพราะคงไม่มีใครที่จะมาต่อกรกับเจ้าเกเบียลได้แน่แล้วยิ่งเวทลึกลับสีน้ำเงินซึ่งไม่รู้ว่ามันคือเวทชนิดอะไรและสามารถทำอะไรได้บ้าง ยิ่งทำให้เมโลดี้คิดหนักเข้าไปอีก “นี่ จะเอายังไงต่อไปจะสู้หรือว่าจะถอย” อีฟที่ยืนสังเกตอยู่นานถามขึ้น “ฉันว่าเราไม่มีทางเลือกหรอก” ไมล์เอลตะโกนบอกเพื่อนซึ่งทั้งไลล่าและเมโลดี้ก็ดูจะเห็นด้วย เพราะตอนนี้เจ้าชายเกเบียลร่ายเวทสีน้ำเงินนั้นอีกแล้วและที่สำคัญตอนนี้เวทอันนั้นแยกออกเป็นลูกไฟสิบลูกลอยเคว้งอยู่กลางอากาศและมันก็พร้อมที่จะพุ่งลงมาทันที ไลล่าจับมือกับอีฟแน่นส่วนเมโลดี้ที่หมดสิ้นหนทางเอาตัวรอดก็คุกเข่าข้างๆเอ็ดม่าและไมล์เอลที่ดูอาการเบลล่าอยู่นั้นก็ดึงเจ้าเบบี๋มากอด
ลูกไฟสีน้ำเงินทั้งสิบพุ่งเข้ามายังเมโลดี้ อีฟ ไลล่า ไมล์เอล เอ็ดม่าที่รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับตัวได้ เบลล่าที่นอนหมดสติและเบบี๋ที่อยู่ในอ้อมกอดของไมล์เอลทุกๆคนหลับตาอย่างยอมรับชะตากรรม แต่ทันใดนั้นเองชายนิรนามก็ถือขวานยักษ์มารับลูกไฟไว้ทั้งหมด เจ้าชายเกเบียลตกใจมากที่มีคนต้านพลังเวทของเขาได้ “หึ เวทของพวกตระกูลราชวงศ์กระจอกชะมัด” ชายมาใหม่พูดเหยียดหยามเวทของเจ้าชายเกเบียล แต่เจ้าชายเกเบียลก็ยิ้ม “แกเป็นใครฉันไม่สน ต่อให้รับพลังเวทของฉันได้แต่พ่อของยัยกบฎนี่ก็ต้องตายอยู่แล้ว” เจ้าชายเกเบียลบอกชายแปลกหน้าว่าอย่างนั้น แต่คำพูดของเจ้าชายเกเบียลทำให้ชายแปลกหน้าหัวเราะลั่น “พ่อของนาย อ่าราชาไอเดนสิ่นะ เจ้าคิดจริงหรอว่าราชาไอเดนจะฆ่าราฟาเอลได้” ชายแปลกหน้าพูด ซึ่งเจ้าชายเกเบียลก็รู้สึกตะหงิดๆนิดหน่อยที่ได้ยินชื่อราฟาเอล “เจ้าไม่รู้จักราฟาเอลสิ่นะ แต่เจ้าน่าจะรู้จักอีกชื่อเอ็กซิสไงล่ะ” ชายนิรนามยังคงพูดต่อและทุกสายตาก็ยังจับจ้องชายที่มาใหม่คนนี้ พูดจบเจ้าเกเบียลก็ดูจะนิ่งไป “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ” เมโลดี้ที่ยังดูจะมีสติอยู่ถามขึ้น ชายแปลกหน้าหันมามองกลุ่มเมโลดี้เล็กน้อยและค่อยๆหันไปมองเบลล่าที่สลบสไล “เจ้าหนูคนนั้น” ชายแปลกหน้าพูดก่อนจะเดินหันหลังให้เจ้าชายเกเบียลและเดินตรงไปหาเบลล่าที่นอนสลบอยู่ ไมล์เอลใช้ตัวบังไว้อย่างไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าที่มาใหม่แต่ชายแปลกหน้าก็ไม่สนผลักไมล์เอลออกไป ชายแปลกหน้าประคองเบลล่าขึ้นมาก่อนจะวางมือทาบบนหน้าผาก ชายแปลกหน้าแสดงสีหน้าโล่งอกอย่างเห็นได้ชัดและชายแปลกหน้าก็เสกลูกไฟสีส้มขนาดจิ๋วอยู่บนนิ้วชี้และค่อยๆนำลูกไฟจิ๋วนั้นเข้าไปในปากของเบลล่า
เบลล่าร่างกระตุกถี่ทันทีที่ลูกไฟเข้าไปภายในปาก ไมล์เอลกอดร่างเบลล่าแน่นก่อนจะหันไปมองหน้าเมโลดี้เพื่อขอความช่วยเหลือแต่เมโลดี้ส่ายหน้า หลังจากที่ร่างกายของเบลล่ากระตุกอยู่นานไอสีน้ำเงินก็ค่อยๆลอยออกจากปาก “พ้นขีดอันตรายแล้ว” ชายแปลกหน้าพูดพร้อมกับมองหน้าไมล์เอล และชายแปลกหน้าก็ทำแบบเดียวกันกับเอ็ดม่า เมื่อเสร็จเอ็ดม่าก็กลับมาขยับตัวได้อีกครั้งแม้ว่าร่างกายจะไม่เต็มร้อยก็ตาม และชายแปลกหน้าก็หันไปประชัญหน้ากับเจ้าชายเกเบียลอีกครั้งนึง “กลับไปเถอะ เพราะเจ้าไม่มีทางชนะข้าได้” ชายแปลกหน้าพูดอย่างมีชัยซึ่งเจ้าชายเกเบียลก็ดูจะรู้ข้อนี้ดีว่าตนมีพลังไม่ถึงครึ่งของชายตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ ไม่ทันไรก็เกิดวงเวทขึ้นอีกครั้งข้างๆชายแปลกหน้าและเป็นเอ็กซิสที่เดินออกมายืนข้างๆ ทางเจ้าชายเกเบียลก็เช่นกันราชาไอเดนเดินออกมาจากวงเวทมาอยู้ข้างๆเจ้าชายเกเบียล ชายแปลกหน้าและเอ็กซิสหันมามองหน้ากันก่อนจะหันไปมองสองพ่อลูกจากราชวงศ์อีกครั้ง
“ท่านกลับไปเถอะ” เอ็กซิสพูดอย่างใจเย็น “ไม่ว่าอย่างไรพวกฉันก็จะไม่ปล่อยให้พวกท่านนำตัวใครคนใดคนหนึ่งออกจากอาณาเขตของดาราโคอย่างแน่นอน” เอ็กซิสพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเช่นเดิม “เจ้าต้องการจะเป็นกบฎต่อราชวงศ์รึเอ็กซิส” ราชาไอเดนถามด้วยความเกรี้ยวกราดซึ่งเอ็กซิสก็ให้ความเงียบเป็นคำตอบ “เจ้าต้องการทำสงครามกับข้าซึ่งเจ้าก็น่าจะรู้ดีไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะต้องแพ้” ราชาไอเดนยังคงพูดด้วยอารมณ์เช่นเคยซึ่งเอ็กซิสก็ดูจะรู้ถึงข้อนี้ดี “ฉันไม่สน” เอ็กซิสตอบราชาไอเดนไปว่าอย่างนั้น “งั้นก็ดีตั้งแต่นี้ไปข้าจะประกาศสงครามกับเมืองของเจ้า” ราชาไอเดนพูดจบก็หายตัวไปเลย เหลือไว้เพียงแต่เจ้าชายเกเบียลและเหล่าทหารนั้นที่ดูเผินๆแล้วเหมือนชาวเมืองดาราโคจะโดนเหล่าทหารทำร้ายแต่ถ้าดูดีๆแล้วกลับเป็นพวกทหารตั้งหากที่ตายกันเกลื่อนและนั่นก็สร้างความแปลกให้กับเจ้าชายเกเบียลในทันทีที่เห็น “อารอนส่งแขกทีสิ่” เอ็กซิสพูดจบก็เดินไปอุ้มเบลล่าและพาเอ็ดม่าและคนอื่นๆออกไปจากพื้นที่นี้อย่างรวดเร็ว “เจ้าช่วยกางวงเวทและไปซะ” อารอนพูดอย่างไม่ใยดีซึ่งเจ้าชายเกเบียลดูจะไม่พอใจแต่ก็บอกให้ทหารที่ยังมีชีวิตกลับปราสาททั้งเจ้าชายเกเบียลและทหารหายตัวไปในพริบตา
เอ็กซิสพาเบลล่าเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อนก่อนจะให้ลูกน้องมาปฐมพยาบาลให้กับเบลล่าที่ยังคงไม่ได้สติ ส่วนเอ็ดม่าที่ร่างกายเริ่มกลับมาแข็งแรงปกติเพราะใช้เวทรักษาตัวเองอยู่เป็นระยะ อีฟและไลล่าก็เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าเบบี๋ที่ตอนนี้ดูเจ้าเบบี๋จะสนุกกับการวิ่งหนีอีฟและไลล่าอยู่ ด้านสองสาวตระกูลเจ ดิลาสก็เป็นคนที่ทำให้บรรยากาศดูอ่อนโยนลงจากเสียงดนตรีของเธอทั้งสองคน
“พวกเธอทุกคน” เอ็ดม่าเรียกทุกๆคนให้มารวมกัน ไมล์เอลและเมโลดี้ร่ายดนตรีเวทเอาไว้ก่อนจะเดินไปหาเอ็ดม่า อีฟและไลล่าก็เช่นกันไลล่าจูงมือเบบี๋มาด้วยส่วนเบลล่านั้นยังคงไม่ได้สติอยู่ “ฉันขอโทษที่ทำให้พวกเธอทุกคนมีปัญหากับทางราชวงศ์” เอ็ดม่าเงียบและใช่ทุกคนต่างรู้ดีว่าการมีปัญหากับราชวงศ์นั้นมันจะมีผลกระทบต่อครอบครัวของพวกเธอทุกคนอย่างอีฟและไลล่ามีผลกระทบต่อการทำธุรกิจส่งออกเป็นอย่างมากเพราะครอบครัวของทั้งคู่เป็นตระกูลส่งออกชั้นแนวหน้าของเมืองตนเอง และสองพี่น้องตระกูลเจ ดิลาสก็เป็นถึงตระกูลนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในมิเดิลไลน์และที่ดูจะมีผลกระทบมากที่สุดก็คงจะเป็นเบลล่าที่ยังนอนไม่ได้สติเพราะครอบครัวของเธอเป็นถึงท่านผู้นำของเมืองและการที่เบลล่าอยู่ในราชชื่อผู้เป็นกบฎต่อราชวงศ์จะส่งผลทำให้ครอบครัวของเบลล่าลำบาก “แต่พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงไปฉันจะให้พ่อช่วยพวกเธอทุกคน” เอ็ดม่าส่งยิ้มหวานให้กับทุกคนแต่มันกลับเป็นยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน “เอ็ดม่าเราเป็นเพื่อนกันนะอีกอย่างฉันก็เป็นคนไปช่วยเธอเองด้วย” เมโลดี้พูด “เธอไม่ต้องมารับผิดชอบปัญหาของฉันหรอก” เมโลดี้พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเหมือนเคย “แต่เมโลดี้เธอนึกถึงผลที่มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอบ้างไหม” เอ็ดม่าขึ้นเสียงใส่เมโลดี้และนั่นก็ทำให้เมโลดี้เงียบลงทันที “แต่ฉันจะไม่ทิ้งพี่เอ็ดม่าหรอกค่ะ” เบลล่าพูด เบลล่าค่อยๆยันตัวขึ้นมาไลล่าและอีฟเข้าไปพยุงเบลล่าที่ยังดูมึนๆเพราะพึ่งได้สติมา “เบลล่าแต่ครอบครัวของ..” เบลล่าไม่รอให้เอ็ดม่าพูดจบ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันคิดว่าพ่อแม่ของฉันก็คงจะมีความสามารถอยู่พอตัวไม่งั้นคงขึ้นเป็นท่านผู้นำไม่ได้หรอก ฉันเคยกลัวแต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวอะไรอีกแล้วค่ะ” เบลล่าพูดด้วยเสียงหนักแน่นจนเอ็ดม่ายังอดทึ้งไม่ได้ “ฉันก็คงไม่ทิ้งเธอเหมือนกันแหละทั้งฉันและไมล์เอล เรารู้จักกันมานานแล้วฉันเป็นผู้พิทักษ์เธอด้วย” เมโลดี้พูดและยิ้มให้เอ็ดม่าอีกหนึ่งที ไมล์เอลก็ส่งยิ้มไปให้เอ็ดม่าเช่นกันพร้อมกับชูสองนิ้วให้เอ็ดม่าอีกด้วย “เราสองคนคงไม่ทิ้งให้เบลล่าเพื่อนของพวกเราไปเผชิญปัญหาแบบนี้คนเดียวหรอกจริงไหม เธอว่าไงไลล่า” อีฟซึ่งถามความเห็นของไลล่า “ใช่ฉันไม่ปล่อยให้เบลล่าไปมีอันตรายคนเดียวไม่ได้หรอกย่ะ” ไลล่าพูดจบก็โผเข้ากอดเบลล่าอีกครั้งซึ่งอีฟก็มากอดด้วยอีกคน “ทุกคนทำไม” เอ็ดม่าพูดไม่ออกน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “พี่ก็เหมือนคนในครอบครัวของพวกเรา ตั้งแต่เอ็ดมันและ ..” เบลล่าหยุดพูดเมื่อต้องพูดถึงชื่อเพื่อนคนสนิทที่ได้ตายจากไปแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาดื้อๆ “ตั้งแต่เอ็ดมันและแคโรลตายไปพวกเราก็สนิทกันมากขึ้นพี่เอ็ดม่าก็มาช่วยพวกเราหลายอย่าง ยังเรื่องที่พวกเราไปบุกปราสาทมาพี่อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้นะว่าพี่ให้พ่อของพี่ช่วยและเรื่องแค่นี้พี่จะให้เราทิ้งพวกพี่ไปได้ยังไง” เบลล่าพูดและยิ้มจริงใจให้กับเอ็ดม่าไปอีกครั้ง “ขอบคุณทุกคนมากนะ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน” เอ็ดม่าพูดจบก็ร้องไห้อีกแล้ว “เธอเนี่ยไม่น่าเป็นนักฆ่าได้เลยจริงๆ ขี้แยชะมัด” เมโลดี้พูดจบก็หัวเราะลั่นและทุกคนก็หัวเราะตามๆกันไปเสียงดนตรีที่คลอเบาๆทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดเริ่มเปลี่ยนเป็นความสุขได้ไม่ยาก “ทุกคนเรามาตั้งชื่อเฉพาะของพวกเราดีม่ะ” ไลล่าเสนอซึ่งเอ็ดม่าและคนอื่นๆดูจะเห็นด้วย “ชื่อไรดีล่ะ” อีฟถาม “คิลเลอร์ รีเบล เท่ห์ดีนะ” เอ็ดม่าบอกซึ่งทุกคนซึ่งทุกคนก็ทำสายตาวาววับเป็นเชิงว่าชอบ “คิลเลอร์เปรียบเสมือนเป็นตัวฉัน ส่วนรีเบลก็หมายถึงพวกเราทุกคน” เอ็ดม่าอธิบายให้ฟัง “กบฏนักฆ่าตลกดีนะ” ไมล์เอลที่นั่งฟังอยู่เงียบๆก็พูดขึ้นมาเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ “พวกเราต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะห้ามบอกใครที่ไม่ได้อยู่ที่นี่โดยเด็ดขาด” เอ็ดม่าสั่งเสียงขาดซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยและค่ำคืนนี้ก็เป็นค่ำคืนที่ทำให้ทุกคนมีความสุขแม้จะผ่านอะไรมาเยอะแต่ถ้าเรายังมีกันและกันมันก็จะกลายเป็นคืนที่มีความสุขได้เสมอเพราะพวกเราจะผ่านเรื่องแย่ๆไปได้แน่นอนถ้าไม่ทอดทิ้งกัน
ความคิดเห็น