คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : KILL END. 3 สัตว์อัญเชิญในตำนาน
“ลูกชายของข้า เจ้าเลือกถูกแล้วที่เลือกเส้นทางสายนี้” เสียงทุ้มของชายแปลกหน้า “มิเกล” เสียงทุ้มยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ปลดปล่อยข้าแล้วเจ้าจะรู้ความจริงทุกอย่าง” ชายแปลกหน้าพูดจบเอ็ดมันก็รู้สึกเจ็บปวดรอยสักขึ้นมาทันที เขาสดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความกลัวตั้งแต่จำความได้เอ็ดมันไม่เคยกลัวอะไรแต่การที่เขาฝันประหลาดๆในครั้งนี้เขารู้สึกกลัว เอ็ดมันก้มมองที่รอยสักก็ต้องตกใจที่แขนของเขามีรอยสักเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าอัศจจรรย์แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาในช่วงแรก เอ็ดมันมองรอยสักที่พึ่งเกิดขึ้นที่แขนของอย่างไม่เข้าตัวอักษรภาษาอังกฤษหกตัวเล็กๆที่เรียงอยู่ใต้เคียวว่า M.HARZA เอ็ดมันยังคงรู้สึกเจ็บแต่มันเป็นความเจ็บที่สามารถทนได้ เอ็ดมันหลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเหมือนรูปปั้นนั้นโยนใครขึ้นมาอีกแล้ว ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดของหญิงสาวที่ทำให้เอ็ดมันปวดหูมาก เอ็ดมันเปิดประตูออกไปดู ก็เห็นหญิงสาวที่ยืนเอามือเท้าประตูและหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยผู้หญิงคนนั้นอยู่ห้องตรงข้ามกับเอ็ดมัน “เฮ้เธอ” เอ็ดมันปิดประตูและตะโกนเรียกผู้หญิงที่อยู่ห้องตรงข้าม ซึ่งแม่นางก็หันซ้ายหันขวาอย่างตกใจ พอหญิงสาวหันมาหน้ามาทางเอ็ดมัน เขาถึงกับจะหลุดขำทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างเฉิ่ม เปิ่น โบราณ ดูจากแว่นสีดำหนาเตอะที่สวมใส่แต่ตาสีฟ้าเทาดูสวยมาก ผมตรงสีครีมยาวที่เรียบร้อยเกินเหตุ พร้อมกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นผูกโบสีฟ้าและกระโปรงยาวสีครีม ‘ดูเฉิ่มจังผู้หญิงคนนี้’ เอ็ดมันคิดในใจและกลั้นหัวเราะสุดๆ หญิงสาวหันหน้ามาถามเชิงว่ามีอะไร ดูจากสีหน้าแล้วหล่อนยังคงตกใจกับการโยนขึ้นมาบนห้องอยู่ เอ็ดมันเห็นดังนั้นจึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ฉันเป็นเด็กใหม่ชื่อเอ็ดมัน ดิออร์” เอ็ดมันแนะนำตัวเองก่อนอย่างแปลกใจตัวเอง อีกฝ่ายหนึ่งก็ดูจะแปลกใจเช่นกันแต่ก็ส่งยิ้มเปิ่นๆมาให้เอ็ดมัน “ฉันก็เป็นเด็กใหม่ชื่อไมล์เอล เจ ดิลาส” ไมล์เอลแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร เอ็ดมันเลิกคิ้ว เขาทบทวนอยู่ในหัวนิดๆ เจ ดิลาส “เธอมาจากตระกูลนักดนตรีหรอ” เอ็ดมันตะโกนออกไป เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะตะโกนทำไมทั้งๆที่ฝั่งตรงข้ามมันไม่ได้อยู่ห่างกันมากเลยถ้ามีทางให้ข้ามไม่เกินสิบก้าวก็ถึงแล้ว หญิงสาวพยักหน้าถี่ยิบเอ็ดมันเห็นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ไมล์เอลดูจะไม่เข้าใจว่าเอ็ดมันยิ้มอะไรแต่หล่อนก็ไม่ได้ถามออกไป “ไมล์เอล เธอก็ชอบห้องที่มีแสงสีดำเหมือนกันหรอ” เอ็ดมันยังคงถามต่อ เขาเริ่มไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมาจริงๆแล้ว ตั้งแต่เขาได้รอยสักใหม่มาเขาก็ดูจะเป็นคนอัธยาสัยดีพูดเยอะอย่างตอนนี้ที่เป็นอยู่ ไมล์เอลทำหน้างงๆก่อนจะตอบว่า “ไม่เห็นจะมีแสงอะไรเลย ฉันเข้าห้องได้รึยัง” ไมล์เอลดูจะเบื่อการตอบคำถามของชายหนุ่มตรงหน้า เอ็ดมันได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเลิกลั่กแล้วก็ทำมือว่าเชิญตามสบาย หญิงสาวเข้าห้องไปแล้วแต่เอ็ดมันดูจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาเบื่อการที่จะต้องนั่งอยู่ในห้องบางที่เพื่อนเขาอาจจะพาเขาออกไปเดินเล่นก็เป็นได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเอ็ดมันก็ตะโกนถามรูปปั้นตัวตลกถึงวิธีการลงไปข้างล่างซึ่ง รูปปั้นก็บอกว่าให้กระโดดลงมาเลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอ็ดมันซื่อหรืออย่างไรจึงกระโดดลงตามที่รูปปั้นนั้นบอกจริงๆแต่ในช่วงที่ใกล้จะถึงพื้นอยู่แล้วเอ็ดมันกลับรู้สึกถึงพลังเวทบางอย่างที่กางเอาไว้นานแล้วมันช่วยชะลอความเร็วที่พุ่งลงมาและในที่สุดเอ็ดมันก็ลงสู่พื้นอย่างครบสามสิบสอง เอ็ดมันหันหน้าไปทางรูปปั้น แต่เหมือนรูปปั้นจะรู้ทัน “เวทชะลอความเร็วน่ะ” รูปปั้นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไหนๆก็จะไปข้างนอกช่วยไปหาซื้อเครื่องดนตรีซักชิ้นเถอะ ตอนที่ข้าคุยกับเจ้าตอนนั้นข้าไม่เห็นเครื่องดนตรีในสัมภาระเจ้า” รูปปั้นตัวตลกเอาแต่สั่งๆเอ็ดมันอย่างเดียวจนเอ็ดมันเริ่มไม่ค่อยสบอารมณ์ “อ่าแล้วเวลากลับช่วยพูดว่า ‘โอเลวิสต้าเจ’ ด้วย” เอ็ดมันดูจะสงสัยว่าทำไมต้องพูด “เวทเคลื่อนที่ไปหน้าห้องของเจ้าหรือเจ้าอยากจะถูกข้าโยนทุกครั้งไปก็ได้” เอ็ดมันก็ยิ้มออกมาน้อยๆรู้สึกดีที่ไม่ต้องถูกโยน “ตอนพูดนึกถึงหน้าห้องตัวเองไว้ด้วยล่ะ ฮาๆ” รูปปั้นตัวตลกหัวเราะดังลั่นซึ่งเอ็ดมันก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้เขาคิดว่าควรจะไปหาเพื่อน ตึกเจอยู่ทางซ้ายสุดไล่มาทางขวาต่อไปเป็นตึกเอฟถัดจากตึกเอฟไปทางขวาเป็นตึกเอ็มถัดไปอีกเป็นตึกวิชและสุดท้ายเป็นตึกเอช เอ็ดมันเดินไปที่ตึกเอฟ ตึกเอฟดูแตกต่างจากตึกที่เขาอยู่มาก มีบันไดวนที่สูงมากคาดว่าคนอยู่ชั้นบนคงเหนื่อยที่จะเดินและไม่มีรูปปั้นที่เอาแต่คอยสั่งนู่นสั่งนี่ ที่นี่ดูจะเป็นพวกครอบครัวนักสู้ หยิ่งผยองในตัวเองและของใช้ที่นี่ดูดีมีระดับ ดูทันสมัยกว่าตึกเจที่เขาอยู่มากเอ็ดมันสังเกตหลายคนที่เดินผ่านเขาดูจะสนใจเขามากอาจจะเป็นเพราะเขาทำหน้างงงวยอยู่แบบนั้นก็เป็นได้ “น้องชายนายมายืนทำอะไรแถวนี้” หญิงสาวสูงโปร่งผมสีทองผิวสีแทน ดูน่าเกรงขามซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นรุ่นพี่ในสายนี้ เดินเข้ามาถามเอ็ดมันที่เห็นมองไปมองมาอยู่นาน “ถ้าเป็นนักสู้ก็เดินขึ้นไปเก็บสัมภาระซะ แต่ถ้าไม่ใช่ก็บอกความต้องการของนายมา” หญิงสาวตรงหน้ายังพูดจาฉะฉานเหมือนเดิม “ฉันมาหาเพื่อนชื่อแคโรล” เอ็ดมันบอกความต้องการของตัวเองออกไป หญิงสาวก็ทำหน้าคิดว่ารุ่นน้องคนไหนที่ชื่อแคโรลเพราะเด็กรุ่นนี้มีเยอะมากใช่ว่าจะจำได้หมด “นายนักฆ่า!!!!!!!!!!!” เสียงดังแปดหลอดที่ดังมาจากชั้นสิบห้า แคโรลนั่นเองที่ตะโกนลงมา รุ่นพี่คนนั้นใช้สายตาวิเคราะห์เอ็ดมันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะอนุญาตให้ขึ้นไปหาแคโรลได้ ซึ่งเอ็ดมันก็ใช้ความสามารถของนักฆ่าวิ่งไป ไม่มีใครทันเห็นเงาด้วยซ้ำเขาก็มาถึงหน้าของแคโรลแล้ว ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็มองอย่างสนใจมากทีเดียว
“นายมีอะไรถึงได้มาหาฉันถึงที่นี่” แคโรลถามอย่างสงสัยไม่นึกว่าเพื่อนนักฆ่าจะมาหาถึงนี่ ใครๆในโรงเรียนแห่งนี้ต่างก็รู้ว่าตึกของนักสู้ไม่ใช่ตึกที่ใครจะเข้าก็ได้ แม้แคโรลจะสงสัยว่าเอ็ดมันเข้ามาได้ยังไงแต่ก็คงไม่ได้ถามออกไป เอ็ดมันยิ้มให้แคโรลหนึ่งทีก่อนทำท่าจะพูดก็ชะงักลงเมื่อเหลือบไปเห็นสร้อยที่คอของแคโรล เอ็ดมันมีสีหน้าตื่นตกใจในแบบที่แคโรลก็ไม่เคยเห็นมาก่อน “ตอนแรกฉันจะให้พาฉันไปเดินเล่น” เอ็ดมันตอบไปตามความจริง ซึ่งแคโรลก็ตะโกนว่าเขาว่ามันใช่เรื่องไหม ทดสอบมาก็เหนื่อยจะไปเดินเล่นอะไรของนาย บลาๆ สารพัดคำที่แคโรลใช้ต่อว่าเขา “แต่ตอนนี้ฉันว่าเรามาคุยเรื่องสร้อยที่อยู่บนคอเธอดีกว่า” เอ็ดมันที่มีหน้าเรียบขึ้นอย่างกะทันหันตั้งแต่เห็นสร้อย แคโรลเม้มปากเป็นเส้นตรงพยักหน้านิดนึงก่อนจะบอกให้เอ็ดมันไปรอข้างล่างเดี๋ยวตามลงไป เอ็ดมันเดินลงข้างล่างอย่างใจเย็น ใช่! สร้อยเส้นนั้นเป็นสร้อยของพ่อเขาแน่นอนและแคโรลมีสร้อยเส้นนั้นได้ยังไง เอ็ดมันคิดยังไงก็คิดไม่ออก แคโรลใช้เวลาไม่นานก็ลงมาหาเอ็ดมันที่ตอนนี้ออกมารอหน้าตึกแล้ว ทั้งสองเดินออกนอกโรงเรียนไปยังร้านร็อคกี้เหมือนเดิม นั่งโต๊ะเดิม สั่งเหมือนเดิม แต่เพียงวันนี้มีแค่สองคน เอ็ดมันยังทำหน้านิ่งเหมือน แคโรลก็มีสีหน้ากังวลไม่ต่างกัน
“เธอเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหน” เป็นฝ่ายเอ็ดมันเองที่ดูร้อนใจเปิดฉากถามก่อนฝ่ายแคโรลก็อ้ำๆอึ้งๆเหมือนไม่กล้าเล่าให้ฟัง “เฮ้อ” แคโรลถอนหายใจออกมาก่อนจะเล่าเรื่องในวัยเด็กของหล่อนกับเบลล่าให้ฟัง ซึ่งเอ็ดมันได้ฟังก็ยิ้มไม่หุบ จนแคโรลต้องถามว่าเขายิ้มอะไรเอ็ดมันจึงหยุดยิ้มแต่ดูใบหน้าที่มีความสุขของเอ็ดมันแล้วแคโรลก็รู้สึกดี “นักฆ่าคนนั้นพ่อฉันเอง” เอ็ดมันพูดพร้อมกับยิ้มเห็นฟัน ซึ่งแคโรลก็ดูจะตกใจไม่น้อย แต่จริงๆแล้วถ้าดูดีๆเอ็ดมันก็มีส่วนคล้ายพ่อมากอยู่ “นายพอรู้ไหมทำไม พ่อนายถึงให้สร้อยฉัน” แคโรลถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ไม่เข้าใจซักนิดเดียวว่าทำไมถึงได้เลือกสายนักสู้ เป็นคำถามธรรมดาแต่เอ็ดมันก็ยิ้มอีกครั้ง ยิ้มอีกแล้ว แคโรลเริ่มไม่แน่ใจว่าเพื่อนนักฆ่าของเขาสติดีหรือเปล่าและไอ้นักฆ่าที่เงียบขรึม เย็นชาวันนั้นมันหายไปไหนซะแล้ว “ฉันว่าฉันรู้” เอ็ดมันตอบพร้อมกับยิ้มน้อยลงเหมือนกับอ่านความคิดแคโรลได้ “พ่อฉันเป็นนักสู้ที่เก่งมากที่สุดในอาณาจักรแล้วแหละถ้าตามความรู้สึกฉัน” เอ็ดมันยิ้มอย่างภูมิใจ “และที่เขาให้เธอก็หมายความว่าเธอจะกลายเป็นนักสู้ที่ดีและเก่งในอนาคต” เอ็ดมันอธิบายอย่างง่ายเพื่อให้คนฟังเข้าใจและก็ดูเหมือนแคโรลจะเข้าใจ เธอแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเธอเนี่ยนะจะกลายเป็นนักสู้ที่เก่งจะเป็นไปได้หรอ แคโรลแทบไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อเพราะชายตรงหน้าเป็นลูกของชายที่ให้สร้อยเขามา
“เธอดูแลเจ้าหญิงของเธอได้แน่นอนแคโรล” เอ็ดมันเหมือนจะแซวเรื่องวัยเด็กของคนตรงหน้า ซึ่งได้ผลแคโรลหน้าขึ้นสีทันที แคโรลกำลังจะอ้าปากว่าเอ็ดมันแต่ดันเหลือบไปเห็นเจ้าหญิงของเธอมากับผู้ชาย ห๊ะ ผู้ชาย! แคโรลหน้าหงอยลงทันทีที่เห็นเบลล่าและผู้ชายนิรนามเดินเข้ามาในร้าน ชายผมสีน้ำตาล ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเดินเคียงคู่มากับเบลล่าอย่างสนิทสนม เอ็ดมันเห็นอาการหงอยของแคโรลก็ยิ่งมั่นใจแน่นอนว่า นักสู้คนนี้หลงรักเจ้าหญิงแน่ๆ “เข้าไปทักสิ่” เอ็ดมันแนะนำ ซึ่งแคโรลที่มีสีหน้าหงอยมากถึงมากที่สุดได้แต่ส่ายหน้า ช่วงเวลานี้ในร้านร็อคกี้คนเยอะมากเต็มไปด้วยนักเรียนของโรงเรียนมิเดิลไลน์เต็มไปหมด จึงไม่แปลกนักที่เบลล่าจะไม่เห็นพวกเขา “ทำไมล่ะ” เอ็ดมันถามอย่างข้องใจ “ฉันไม่มีอะไรไปสู้เขาน่ะสิ่” เอ็ดมันยังไม่เข้าใจสิ่งที่แคโรลพูดออกมา “เขาเป็นลูกของท่านผู้นำเมืองวินวาลี่ เมืองของฉันเอง” แคโรลมีสีหน้าที่เศร้าอย่างเห็นได้ชัด “ครอบครัวฉันไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเบลล่าแต่เราก็สนิทกันและผู้ชายคนนั้นเป็นนักรบกลอย่างที่เบลล่าชอบ” เอ็ดมันเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ตอนเด็กๆแคโรลอยากเป็นนักรบกลก็เพราะเบลล่าชอบแต่เพราะอยากปกป้องเบลล่าตามคำพ่อบอกแคโรลจึงตัดสินใจเรียนสายนักสู้ สายนักรบกลต้องมีฐานะที่ร่ำรวยมากๆไม่ใช่ใครเรียนก็ได้เพราะไหนจะค่าอุปกรณ์ต่างๆที่จะต้องดูแล ณ จุดนี้เอ็ดมันยอมรับว่าเขาหงุดหงิดแทนแคโรลอยากจะเดินเข้าไปต่อยหน้าหมอนั่นซักป้าป แต่ดูแล้วคงไม่มีอะไรดีขึ้น เบลล่าที่คุยกับลูกผู้นำเมืองวินวาลี่อย่างออกรสดูเธอมีความสุขสุดๆ
“เอ็ดมัน” นี่เป็นครั้งแรกที่แคโรลเรียกชื่อเขา “เก็บเป็นความลับได้ไหม มันคือความลับของฉัน” เอ็ดมันพยักหน้า และแตะไหล่แคโรล “ฉันจะบอกความลับของฉันให้แลกกัน” เอ็ดมันพูดจบก็ถกแขนเสื้อให้เห็นรอยสักแคโรลดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย เอ็ดมันเริ่มเล่าว่าตั้งแต่เขาอายุสิบห้าเขานอนหลับอยู่ก็ฝันถึงผู้ชายคนนึงหน้าตาเหมือนพ่อเขาเด๊ะ พูดอะไรไม่รู้เขาไม่ได้ยินเสียงแล้วเขาก็รู้สึกเจ็บที่แขนเจ็บมากๆมันเป็นความรู้สึกที่ทรมาน เอ็ดมันร้องอย่างเจ็บปวดและเสียงดังมากจนพ่อของเขาต้องเข้ามาในห้องแล้วจึงเห็นว่าตัวเอ็ดมันเองถูกเลือกโดยเวทต้องห้ามแล้วซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่นักฆ่าจะถูกเลือกแต่ก็ไม่ใช่นักฆ่าทุกคนที่จะได้รับเลือก และเอ็ดมันก็เล่าว่าเขาฝึกไปได้สี่บทแล้วเหลืออีกบทหนึ่งจะครบและยังเล่าเรื่องที่ไปหาแอนเดรียและเจอเจ้าชายเกเบียลได้สู้กับทหารของเขา รวมถึงฝันวันนี้ที่ทำให้เขาได้รอยสักเพิ่มขึ้นมาอีกและทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวเอง หลังจากที่แคโรลฟังเอ็ดมันเล่า แคโรลก็หัวเราะทันที ใช่เธอเห็นด้วยที่ตั้งแต่เอ็ดมันไปหาเขาที่ตึกเอ็ดมันดูเป็นมิตรขึ้นและไม่พูดอะไรเย็นชาหรือพูดแค่เพียงสองสามคำแต่พูดทียาวเยียดและยิ้มเก่งมากๆ “เอ็ดมันมีคนเคยบอกนายไหมว่า” แคโรลหยุดพูด ซึ่งเอ็ดมันทำหน้าสงสัยเรียกเสียงหัวเราะจากแคโรลได้เป็นอย่างดี “ว่าเวลานายยิ้มนายดูดีกว่าเวลาไม่ยิ้มตั้งเยอะ” แคโรลพูดไปขำไปซึ่งเอ็ดมันได้ยินดังนั้นก็ขำด้วยอีกคนเสียงของทั้งสองคนคงดังพอจนทำให้เบลล่าที่ไม่ได้สนใจใครนอกจากผู้ชายตรงหน้าหันไปตามเสียงหัวเราะได้ แล้วเบลล่าก็แปลกใจมากที่เห็นแคโรลกับเอ็ดมันมาที่ร้าน เบลล่าบอกกับชายตรงหน้าว่าขอตัวไปหาเพื่อนก่อนชายตรงหน้าก็ดูจะไม่ว่าอะไรและขอตัวกลับก่อนซึ่งเบลล่าก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินไปหาแคโรลและเอ็ดมันที่นั่งคุยกันและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พวกนายมานานหรือยังเนี่ย” เสียงที่เบลล่าทีแคโรลคุ้นหูเป็นอย่างดี แคโรลหุบยิ้มทันที เอ็ดมันก็มีท่าทีแปลกไปเช่นกัน และก็เป็นฝ่ายเอ็ดมันที่บอกว่ามานานแล้ว เบลล่าชวนเอ็ดมันคุยเหมือนทุกครั้งซึ่งเบลล่าก็เห็นความเปลี่ยนไปของเอ็ดมันเช่นกันแต่ที่เปลี่ยนไปสุดๆเห็นจะเป็นเพื่อนเธอสมัยเด็กที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาตั้งแต่เธอมานั่งทั้งๆที่ก่อนที่เธอจะมานั่งยังเห็นคุยกับเอ็ดมันอย่างสนุกสนานแท้ๆ “เอ็ดมันจะไปไหนต่อไหม” แคโรลที่เงียบไปนานถามขึ้น เอ็ดมันรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่อึดอัดจากคนทั้งสองคน เอ็ดมันพยักหน้าและบอกว่าเขาต้องไปหาซื้อเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นซึ่งเบลล่าก็ดูจะตกใจมากที่เอ็ดมันเรียนสายโจ๊กเกอร์แต่เบลล่าก็ไม่ได้พูดอะไร ทั้งสามเดินออกจากร้านซึ่งตลอดการเดินทางไปร้านขายเครื่องดนตรีทั้งสามก็เงียบมาตลอด “แคโรลเธอยากเข้าไปดูอุปกรณ์ของพวกนักรบกลไหม” เอ็ดมันที่ถามแคโรลเพราะตอนนี้พวกเขาทั้งสามกำลังเดินผ่านร้านของสายนักรบกลอยู่ แคโรลพยักหน้าอย่างดีใจก่อนจะลากเอ็ดมันเข้าไปในร้านซึ่งเบลล่าที่มีสีหน้าเศร้าสุดๆในตอนนี้เดินตามเข้าไปอย่างเงียบๆ
“อยากได้อันไหนเลือกเลยครับคุณหนูทั้งหลาย” เสียงชายแก่ ท่าทางใจดีเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในร้าน สายตาของแคโรลไปหยุดอยู่ที่มีดบินระเบิดที่มีความพิเศษคือระเบิดได้ เป็นเครื่องมือที่อันตรายทั้งความเร็วและอานุภาพการทำลายล้างก็ยังสูงอีกด้วย เอ็ดมันเห็นแคโรลสนใจจึงเดินเข้าไปสอบถามราคาและแอบซื้อมาให้ชุดนึงซึ่งใครเล่นอาวุธนี้จะต้องอยู่ในฐานะเงินเหลือเฟือเหลือใช้เพราะใช้ไปก็หมดเว้นแต่จะไม่ตั้งให้มันระเบิดซึ่งแน่นอนก็จะไม่ต่างจากมีดบินธรรมดา เอ็ดมันแอบเดินไปหาเบลล่าที่ตอนนี้เหมือนอยู่คนเดียว แคโรลก็มัวแต่สนใจอุปกรณ์ต่างๆของพวกนักรบกลอยู่ เอ็ดมันยื่นซองหนังที่ข้างในเป็นมีดบินระเบิดให้เบลล่า เบลล่ารับมาอย่างงงๆ เอ็ดมันกระซิบเบาให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “เอาไปให้แคโรลสิ่ จะได้คุยกัน” เบลล่าได้ยินก็ไม่เข้าใจว่าแคโรลไม่คุยกับตนเรื่องอะไร แต่เบลล่าก็ทำตามคำแนะนำของเอ็ดมัน
ทั้งสามเดินออกมาจากร้านโดยที่แคโรลและเบลล่าไม่คุยกันเหมือนเดิม เอ็ดมันส่งสัญญาณให้เบลล่าเดินไปหาแคโรลซึ่งเบลล่าก็ไม่รอช้าเบลล่ายืนซองหนังให้ แคโรลที่ดูจะงงๆแต่ก็รับซองหนังมาอย่างดีใจ “ไม่คุยกับฉันเพราะฉันไม่เข้าไปทักใช่ไหม” แคโรลหันไปมองหน้าเบลล่าที่รู้สึกผิด เอ็ดมันที่อยู่ในเหตุการณ์นึกอยากจะจับหัวเบลล่าโขกกับพื้นถนนเสียตรงนี้คนอะไรไม่ได้รู้เรื่องเลยจริงๆ เอ็ดมันจึงเดินนำทั้งคู่ให้ห่างมากกว่าเดิมเพื่อที่จะให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน แคโรลผู้ซึ่งมีความคิดตรงกับเอ็ดมันก็ได้แต่ถอนหายใจและบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรและก็กลับไปคุยกับเบลล่าเหมือนเดิมไม่นานทั้งสามก็มาหยุดที่ร้านขายเครื่องดนตรี
ทั้งสามเปิดประตูเข้า “มิเกลงั้นหรอ” ทันทีพวกเอ็ดมันเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรี สตรีร่างท้วมก็พูดคำว่า ‘มิเกล’ ออกมา ‘มิเกลอีกแล้วชื่อนี้มันทำไมนะ’ เอ็ดมันคิดในใจ สตรีร่างท้วมส่งยิ้มให้ทั้งสามคนและบอกว่าให้เอ็ดมันลองเลือกเครื่องดนตรีดูว่าชิ้นไหนถูกใจส่วนร่างสตรีท้วมตอนนี้หายเข้าไปหลังร้านเป็นอันที่เรียบร้อย เอ็ดมันพยายามมองหาเครื่องดนตรีที่เขาคิดว่าจะถูกใจแต่มันไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นไวโอลิน เปียโน กีต้าร์ แซ็กโซโฟน บลาๆอีกมากมาย เอ็ดมันรู้สึกว่าเครื่องดนตรีพวกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อเขา ไม่นานนักสตรีร่างท้วมก็กลับมาพร้อมกล่องกำมะหยี่เล็กๆ สตรีร่างท้วมส่งยิ้มให้เขา “เจอที่ถูกใจไหมจ๊ะ หนุ่มน้อย” สตรีร่างท้วมถามเขาอย่างร่าเริงซึ่งเอ็ดมันส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะเขาไม่เจอที่ถูกใจเลยจริงๆ สตรีร่างท้วมยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยื่นกล่องกำมะหยี่กล่องเล็กๆนั้นให้ เอ็ดมันรับมาเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นสร้อยสีเงินและที่สำคัญจี้เป็นรูปแซ็กโซโฟน ทั้งๆที่ภายในร้านมีแซ็กโซโฟนอยู่มากมายแต่เขากลับไม่เลือกแต่พอได้จับสร้อยอันนี้เขารู้สึกถึงพลังเวทบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในสร้อยเส้นนี้ “ปกติเขาจะใช้เวทเรียกเครื่องดนตรีน่ะ” สตรีร่างท้วมบอกทำให้เขานึกไปถึงผู้หญิงที่เจอวันแรกที่เสกฮาร์ปขึ้นมานั่งเล่นอย่างสบายใจ “แต่สร้อยเส้นนี้มีความพิเศษมากๆอยู่ในตัว ลองใส่สิ่จ๊ะ” สตรีร่างท้วมบอกให้เขาใส่ซึ่งเขาก็ใส่ทันทีจี้รูปแซ็กโซโฟนยาวมาถึงกลางอก แล้วสร้อยก็เรืองแสงออกมาแต่เป็นแสงสีดำที่ดูสว่างอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นดังนั้นสตรีร่างท้วมก็ยิ้มให้เอ็ดมันอย่างอ่อนโยน “หนุ่มน้อยรู้ไหมว่า เครื่องดนตรีน่ะมันจะเป็นคนเลือกเจ้าของเอง” สตรีร่างท้วมสวมกอดเอ็ดมันซึ่งเอ็ดมันก็ได้รับความรู้สึกอบอุ่นจากผู้หญิงตรงหน้า “แล้วต้องทำยังไงถึงจะเรียกเครื่องดนตรีออกมาได้คะ ครับ” เอ็ดมันพูดมีหางเสียงเป็นครั้งแรก เพื่อนที่มาด้วยกันดูจะแปลกใจแต่ก็ยิ้มให้เอ็ดมันเช่นเคย “ตั้งชื่อมันสิ่จ๊ะ” สตรีร่างท้วมเอ่ยออกมา เอ็ดมันทำสีหน้าตกใจ ‘ตั้งชื่อให้เครื่องดนตรีเนี่ยนะ’ เอ็ดมันขึ้นเสียงอยู่ในใจ แต่สตรีร่างท้วมก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่ได้พูดเล่น “ถ้าคิดชื่อได้แล้วให้เพ่งสมาธิและพูดชื่อออกมา” สตรีร่างท้วมอธิบาย เอ็ดมันตั้งสมาธิและเพ่งสมาธิให้อยู่ที่จี้กลางอกแต่เอ็ดมันไม่สามารถคิดชื่ออกได้ในเวลานี้ เพื่อนเขาทั้งสองเห็นท่าที่เอ็ดมันทีดูเป็นกังวลนั้นก็พอจะเดาออก “โฟรเตซิลเวอร์ เป็นไง” แคโรลเสนอชื่อออกซึ่งเอ็ดมันก็ดูจะไม่ถูกใจชื่อนี้เท่าไร เบลล่าที่พิจารณาสร้อยเส้นนี้อยู่นานแล้วก็อดสงสัยไม่ได้เพราะสร้อยเส้นนี้มีพลังเวทเยอะ จัดว่าเยอะมากๆ “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าสร้อยเส้นนี้มีความพิเศษอย่างอื่นอีกไหมนอกจากเป็นเครื่องดนตรี” เบลล่าถามอย่างสงสัยซึ่ง สตรีร่างท้วมก็ยิ้มอย่างตื่นเต้นที่มีคนจับพลังเวทนี้ได้ สตรีร่างท้วมพยักหน้าก่อนจะอธิบายให้ฟัง “ใช่จ้ะ นอกจากจะเปลี่ยนเครื่องดนตรีแล้วยังเป็นสัตว์อัญเชิญด้วย” เบลล่ามีสีหน้าตกใจที่รู้ว่าสร้อยเส้นนี้เป็นสัตส์อัญเชิญด้วย สัตว์อัญเชิญก็เหมือนสัตว์เลี้ยงของนักเวททั่วไปแต่กว่าจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองต้องเรียนเวทได้ในระดับสูงแล้วและพลังเวทก็ต้องสูงด้วยเช่นกัน “เป็นตัวอะไรคะ” เบลล่ายังคนถามต่อ เอ็ดมันและแคโรลที่ดูจะตื่นเต้นมากกว่าตกใจก็มองดูสร้อยเส้นนี้อย่างดีใจเหมือนกับเด็กๆ เอ็ดมันที่รับรู้ถึงเวทแฝงได้นานแล้วแต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นสัตว์อัญเชิญ พอได้รู้จึงตกใจเข้าไปใหญ่ “หมาป่าจ้ะ” พอสตรีร่างท้วมบอกเท่านั้นแหละ เบลล่าก็ดูจะตกใจเข้าไปใหญ่ หมาป่า! เป็นสัตว์ที่มีความซื่อสัตย์มากๆแถมยังแข็งแกร่ง มีพละกำลังเยอะยากมากถ้าจะจับมาเป็นสัตว์เลี้ยง “ชื่อเบบี๋สิ่” เบลล่าเสนอ ซึ่งเอ็ดมันก็กระพริบตาปริปๆก่อนจะยิ้มให้เบลล่าหนึ่งที “ฉันชอบชื่อนี้นะ” เอ็ดมันพูดจบก็ยังคงยิ้ม แคโรลที่ก็ดูจะชอบชื่อนี้เป็นพิเศษเช่นกัน “เอาชื่อนี้แหละ” เอ็ดมันพูดอย่างจริงจังก่อนจะตั้งสมาธิอีกครั้ง “เบบี๋” เอ็ดมันพูดชื่ออีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง สร้อยที่ใส่มีแสงสว่างขึ้น สว่างจนไม่มีใครสามารถลืมตาดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทุกๆคนหยุดนิ่ง
“ป๊ะป๋า” เสียงใสๆของเด็กชายดังขึ้น เอ็ดมันหาต้นตอของเสียงก็พบว่าข้างกายมีเด็กชายอายุราวๆสี่ขวบยืนเปลือยอยู่ “ป๊ะป๋า” เด็กน้อยตาสีน้ำตาลอ่อนกับผมสีขาวที่พึ่งจะขึ้นไม่เยอะจ้องมองเขาอยู่ เบลล่า แคโรลและสตรีร่างท้วมที่อยู่ในเหตุการณ์อึ้งไปตามๆกัน สตรีร่างท้วมอาสาจะไปหาเสื้อผ้ามาให้เด็กใส่และก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านเช่นเดิม “หนูน้อยทำไมเรียกเพื่อนของเราว่าป๊ะป๋าล่ะ” เบลล่าถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ก็ป๊ะป๋าเป็นคนที่เบบี๋เลือกไง” ท่าทางน่าเอ็นดูของเด็กคนนี้ดูน่ารักเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นแม้คำตอบจะไม่ได้ตรงคำถามเท่าไร ส่วนคนที่โดนเรียกป๊ะป๋าที่ตอนนี้เงียบกริบจนลืมไปแล้วว่ายืนอยู่ เอ็ดมันค่อยๆขยับมาลูบหัวเด็กชายก่อนจะยิ้มให้ “ทำไมนายเป็นคนล่ะ แล้วเครื่องดนตรีฉันอยู่ไหน” เอ็ดมันดึงแก้มเบบี๋เต็มแรง เบลล่าที่ยืนมองถึงกับส่ายหัวในความขี้เล่นของเพื่อนนักฆ่าที่เปลี่ยนเป็นคนละคน เบบี๋มองเอ็ดมันอย่างอ้อนๆ “เครื่องดนตรีของป๊ะป๋า ก็ยังอยู่ที่คอไง” เอ็ดมันก้มมองที่อกของตัวเองตามที่เบบี๋บอก ใช่!จี้รูปแซ็กโซโฟนยังอยู่ที่กลางอกเขาอยู่เลย “ป๊ะป๋านึกถึงเครื่องดนตรีสิ่” เบบี๋พูดและเอื้อมมือไปจับมือเบลล่ากับแครโรล ทั้งคู่ยิ้มเอ็นดูเบบี๋ซึ่งเบบี๋ก็น่ารักจริงๆ เอ็ดมันนึกถึงเครื่องดนตรีตามที่เบบี๋บอกไม่นานควันสีดำก็ลอยอยู่บริเวณสร้อยและในที่สุดแซ็กโซโฟนเครื่องดนตรีของเอ็ดมันก็ลอยมาอยู่ในมือเขาในที่สุด เอ็ดมันทำหน้าดีใจเหมือนมันเป็นสิ่งที่ทำยาก “ป๊ะป๋าเลือกเบบี๋ซักทีสิ่” เด็กน้อยหันมาบอกเอ็ดมันซึ่งเอ็ดมันดูจะไม่เข้าใจก็ในเมื่อ เมื่อกี้เลือกแล้วไม่ใช่หรอ เหมือนเด็กน้อยจะรู้ว่าป๊ะป๋าของมันไม่เข้าใจ “เลือดของป๊ะป๋าไง” เอ็ดมันทำหน้าอ๋อทันที ก่อนจะหยิบมีดมากรีดที่รอยเดิมและเลือดก็ค่อยๆไหล
เบบี๋ยื่นแขนซ้ายของมันไปทาบที่แขนขวาเกิดแสงสีดำขึ้น เอ็ดมันรู้สึกร้อนไปทั้งร่างกายมันเจ็บปวดแต่กลับโหยหาความเจ็บปวดนี้ แคโรลที่มองภาพตรงหน้าดูจะไม่เข้าใจเท่าไรผิดกับเบลล่าที่แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด แครโรลยื่นไปจับมือเบลล่าไว้ “มันเป็น..” แหมือนเบลล่าจะพูดไม่ออกดูจะตรงใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในระหว่างนั้นสตรีร่างท้วมก็กลับมาพอดี “โอ้ สัตว์อัญเชิญในตำนาน” สตรีร่างท้วมเหมือนกับเผลอพูดออกมา “สัตว์อัญเชิญในตำนานคืออะไร” แคโรลที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ถามขึ้น ซึ่งเบลล่าตอนนี้ก็หน้าซีดจนกว่าจะตอบคำถามได้ “มันก็คือสัตว์ที่ไม่ได้จะมาเป็นกันง่ายๆถึงหมาป่าจะจับยากแต่ในระดับสูงก็มีเยอะแต่เจ้าเด็กนี่เป็นมนุษย์หมาป่ายังไม่มีใครเคยมีและยังแสงตอนนี้ที่เป็นสีดำมันเหมือนกับจอมมารไม่มีผิดแต่ของจอมมารไม่ใช่มนุษย์หมาป่าแต่เป็นมังกร” สตรีร่างท้วมตอบแทบเบลล่าและที่สำคัญหล่อนดูจะไม่ตกใจ แคโรลได้ยินดังนั้นก็มีหน้ากังวลอยู่มากทีเดียวเพราะเขารู้เรื่องราวของจอมมารมาบางส่วนและตอนนี้เขาก็กำลังกลัวและสับสนแต่ที่แปลก ‘ทำไมสตรีร่างท้วมถึงดูไม่ตกใจเลยล่ะ’ แคโรลคิดในใจ
แสงสีดำหายไปแล้วพร้อมๆกับร่างเอ็ดมันที่หมดสติร่วงลงกับพื้น ส่วนเบบี๋ร่างกายปกติทุกอย่าง แคโรลและเบลล่าเดินเข้าไปหาเอ็ดมันทันทีที่ร่างกระทบกับพื้นแต่เบบี๋กลับห้ามเอาไว้บอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเลือก อีกเดี๋ยวป๊ะป๋าก็จะฟื้น ตอนนี้เรื่องในร้านดูจะวุ่นวายและบานปลายขึ้นเรื่อยๆ และไม่นานเกินรอเอ็ดมันก็ค่อยๆรู้สึกตัว แสงของโคมไฟทำให้เอ็ดมันถึงกับต้องยกมือมาบังดวงตา เขายันตัวขึ้นมานั่งมองซ้ายมองขวาก็เห็นทุกๆคนอยู่กันครบแล้วเบบี๋ที่ใส่ขุดเสื้อผ้าเด็กผู้ชายแล้ว เขาหงายแขนขวาขึ้นปรากฏรอยแผลขนาดกลางเป็นรูปตัวเอ็มซึ่งเขาใช้มือแตะ ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร “ป๊ะป๋า” เบบี๋วิ่งเข้ามาสวมกอดซึ่งเอ็ดมันก็กอดเบบี๊เช่นกันมันคงเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ
“ท่านครับ ตอนนี้มันได้ทำพันธะสัญญากับสัตว์ในตำนานแล้วขอรับ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น ฝ่ายคนที่ได้รับรู้ถึงกับมีสีหน้าเป็นกังวลทันทีก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นโกรธอย่างรวดเร็ว “งั้นหรอ” เสียงเนิบๆที่บ่งบอกถึงความเย็นชาได้เป็นอย่างดี “งั้นมันก็คงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสียงเนิบๆยังพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัวเหมือนเคย ทหารคนสนิทพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบ “ฉันไม่มีทางให้แกกลับมาขัดขวางฉันหรอก” ชายน้ำเสียงเนิบพูดกับตัวเองก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งเอ็ดมัน เบบี๋ แคโรลและเบลล่าได้เดินทางกลับไปยังโรงเรียนซึ่งตอนนี้ท้องฟ้าเป็นดำแล้ว ทั้งสี่คุยกันอย่างสนุกสนาน ทั้งสามคนดูจะชอบเบบี๋มาก เบบี๋ก็ดูจะชอบป๊ะป๋าและเพื่อนป๊ะป๋ามันมากเหมือนกัน อยู่ๆ เอ็ดมันก็หยุดเดินซะดื้อๆ แคโรลหันกลับมามองหน้าเอ็ดมันอย่างไม่เข้าใจ “หยุดทำไมเอ็ดมัน” แคโรลถามขึ้น เบลล่าก็หันมามองด้วยเช่นกันส่วนเจ้าเบบี๋วิ่งกลับไปกอดขาป๊ะป๋าแน่น “พวกเธอกลับไปก่อนฝากเจ้าเบบี๋ด้วย” เอ็ดมันพูดเสียงนิ่ง แคโรลก็ยังคงไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ” เบลล่าเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างแต่เอ็ดมันเงียบไม่ยอมตอบ จนกระทั่งมีชายในชุดเกราะสีดำมีตราของราชวงศ์ สิบคนเดินออกมาล้อมพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ “ออกมาจนได้” แคโรลและเบลล่าแน่ใจว่าเขาไม่ได้ยินน้ำเสียงที่น่ากลัวของเอ็ดมันมากนานแล้วอย่างน้อยๆก็วันนี้ เอ็ดมันกราดสายตาใส่ทหารชุดดำอย่างเกรี้ยวกราด “นี่มันตราราชวงศ์” เบลล่ากระซิบกับแคโรลเบาๆ แคโรลพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้แล้ว “ปล่อยเพื่อนฉันไป” เอ็ดมันพูดเสียงนิ่งดูไม่มีท่าทีหวาดกลัวใด ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้าของพวกทหารพูดออกมาว่า “ไม่ได้คนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าห้ามเหลือทิ้งไว้” ชายทหารพูดเหมือนโดนล้างสมอง เขาดูเหม่อลอยเหมือนไม่มีสติหรือบางทีอาจจะโดนสะกดจิต เอ็ดมันพยายามวิเคราะห์สิบคนตรงหน้า “เบลล่ากางเวทป้องกัน” เอ็ดมันพูดจบก็ไม่รอช้าอีกต่อไปหล่อนกางเวทให้คลุมตัวเธอ แคโรลและเบบี๋
ไม่รอช้าอีกต่อไปเหมือนทหารนายแรกเสกทวนขึ้นมาพร้อมกับโจมตีเอ็ดมันอย่างช่ำชอง นายทหารพุ่งทวนใส่อย่างพริ้วไหวและแน่นอนว่าเอ็ดมันก็หลบได้แต่ทหารสองนายที่ถือโซ่ลูกตุ้มมาเหวี่ยงใส่เอ็ดมันอย่างดุดันเช่นกัน ในระหว่างที่เอ็ดมันกำลังใช้มือปัดทวนและใช้เท้าตะปบโซ่ลูกตุ้มทั้งสองอันด้วยเท้าเดียวเพื่อแสดงความเนื้อชั้นอย่างเห็นได้ชัดว่านายทหารพวกนี้ไม่มีฝีมือจะล้มเขาด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ไม่ระวังนายทหารที่ดูจะเป็นหัวหน้ายิงหน้าไม้ใส่เอ็ดมัน ลูกดอกพุ่งออกไปราวกับปืนกล เอ็ดมันไม่สมารถหลบได้ทั้งหมด ฉึก ฉึก ฉึก! สามบาดแผลที่ที่โดนไปที่ต้นขาขวา แขนซ้ายและเฉี่ยวที่ท้องมันจะไม่ใช่บาดแผลที่รุนแรงมากถ้าลูกดอกที่พุ่งเข้ามาไม่อัดพลังเวทไว้เต็มเอียดแบบนี้ ความเร็วในการหลบหลีกอาวุธของเอ็ดมันลดลงอย่างมาก เอ็ดมันหลับตาก่อนจะพึมพำที่ปากเหมือนตอนที่สู้คราวนั้น แต่ครั้งนี้แปลกไปไม่มีใครได้ยินเสียงเพลงมีแต่เขาเท่านั้นที่รับรู้ว่าบทเพลงนี้แสนเกรี้ยวกราดมากเพียงใด ยิงท่องความน่ากลัวของเอ็ดมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เบลล่าขนลุกโดยที่ไม่รู้ตัว แน่นอนว่าคนที่สัมผัสถึงพลังเวทที่รุนแรงขนาดนี้ต้องเป็นเบลล่าและเบบี๋ที่ดูเหมือนจะถูกลืมไปจากเหตุการณ์แล้ว กระสุนเวทที่ประดับไว้กลางอากาศมากกว่าสิบนัดเล็งไปที่ทหารชุดดำทุกคน พลังไอเวทที่เป็นสีดำ เบลล่ารับรู้ได้ถึงพลังความน่ากลัวของมัน มันน่ากลัวกว่าตอนสู้กับทหารของเจ้าชายและมันแรงกว่าแค่เพียงนัดเดียวก็ส่งไปโลกแห่งความตายได้ ทหารสิบนายที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็นกระสุน ทหารสามคนที่ยังไม่เลิกโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดจี้ที่คอของเขาก็เรืองแสงเอ็ดมันที่ยังคงร่ายเวทก้มมามองที่อก เขาไม่ค่อยเข้าใจแต่เขาก็เลือกที่จะเสกแซ็กโซโฟนออกมา เคร้ง!เสียงกระทบกันระหว่างโซ่ลูกตุ้มและแซ็กโซโฟนที่ตอนนี้เอ็ดมันรับรู้ว่ามันสามารถที่จะมาใช้เป็นอาวุธได้ เอ็ดมันสู้อย่างหนักแน่นก่อนจะกระโดดถอยไปตั้งรับอย่างเหนื่อยล้า “ป๊ะป๋าเล่นดนตรีสิ่” เบบี๋ตะโกนบอกเอ็ดมันซึ่งดูยังงงแต่ว่าเอ็ดมันก็เป่าแซ็กโซโฟน เสียงเพลงดังขึ้นอย่างอ่อยๆ เนิบช้าฟังดูแล้วไพเราะแต่ยิ่งฟังภายในใจกลับสั่นไหว ทหราสิบนายที่ได้ยินเหมือนกับต้องมนต์สะกดไม่มีใครขยับไปไหนได้ เอ็ดมันมองภาพตรงหน้าอย่างทึ่งๆแต่ก็ยังไม่หยุดเป่า เบบี๋ที่ตอนนี้ร่างสั่นสะท้านจนเบลล่าต้องรีบลดเวทป้องกันลง ไม่นานเบบี๋ก็กลายร่างเป็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่เดินไปข้างหน้าเอ็ดมันก่อนจะหมอบกราบหนึ่งครั้งและหันตัวกลับมามองทหารสิบนายที่ตอนนี้เหมือนจะได้สติแล้ว ด้านแคโรลและเบลล่าดูจะตกใจที่เห็นเบบี๋กลายเป็นหมาป่าตัวใหญ่ เบบี๋ที่กลายเป็นหมาป่าร่างยักษ์ไปแล้วนั้นขู่ ฟ่อๆ ใส่ทหารทั้งสิบนาย เอ็ดมันที่เป่าทำนองเพลงในดาร์ดบัลลาดทำให้เสียงเพลงที่ฟังยิ่งดุดัน อ๊ากกกกกกก! ทหารนายนึงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดพลางลงไปดิ้นลงกับพื้นเลือดเริ่มไหลออกจากหูจมูกและกระอัดเลือดออกมาที่สุดทหารอีกเก้านายที่เหลือเห็นแล้วเริ่มผวาแต่ก็ยังไม่ลดละที่จะโจมตี
ทหารทวนคนเดิมกระโดดเพื่อหวังจะแทงเบบี๋ได้ในกระบวนท่าเดียว เบบี๋ก็กระโดดงับคอทหารทวนคนนั้นอย่างช่ำชอง ทหารชุดเกราะดับไปอีกหนึ่ง ทหารที่เหลืออีกแปดนายเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่กจะเอายังไงต่อดี กระสุนเวทถูกร่ายขึ้นมาใหม่อีกครั้งแต่คราวนี้นอกจากจะเป็นสีดำแล้วยังมีไอสีแดงเลือดอยู่รอบๆไอสีดำอีกหนึ่งที และไม่ทันที่ทหารตกลงว่าควรจะต้องทำยังไงฝนกระสุนก็พุ่งไปยังทหารทั้งแปดนายอย่างบ้าคลั่ง เบลล่าและแคโรลเบิกตากว้างเพราะเขาพึ่งจะเคยเห็นพลังเวทที่มีพลังทำลายล้างมากขนาดนี้ กระสุนแล้วกระสุนเล่าที่ทะลุผ่านตัวทหารไปทีละนายฝังลงพื้นเกิดระเบิดอย่างต่อเนื่อง ควันสีขาวลอยฟุ้ง แต่ไม่นานควันก็ค่อยๆจางหายไป เอ็ดมันมองทะลุควันพวกนั้นทหารที่ยังยืนอยู่ได้มีเพียงคนเดียวไม่ใช่ ไม่ใช่ทหารสิบคนนั้นแต่เป็นคนแปลกหน้าคนใหม่ ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก่อนจะปรบมือ “การแสดงครั้งนี้สนุกจริงๆ” เสียงเล็กๆที่ไม่เหมาะจะเป็นผู้ชายเอาซะเลย เอ็ดมันเลิกคิ้วอย่างตั้งคำถามส่วนเบบี๋ก็เอาแต่ขู่ตลอด หลังจากควันจางจึงเห็นชายหนุ่มมีอายุผมสีเขียวใส่แว่นกลมและสวมใส่ชุดเหมือนพวกไวกิ้ง เบลล่าและแคโรลไม่รอช้าวิ่งมาสมทบกับเอ็ดมันและกางเวทป้อมกันขึ้นอีกครั้ง เรียกรอยยิ้มจากชายไวกิ้งได้เป็นอย่างดี “ดูเป็นเพื่อนที่รักกันดี” ชายไวกิ้งยังหัวเราะอยู่อย่างเดิม เอ็ดมันไม่รอช้าเขาท่องเวทแทนที่จะเป่า เอ็ดมันขยับปากอีก “อ๊ะ อย่าพึ่งท่องสิมิเกล” ชายไวกิ้งคนนั้นพูด เอ็ดมันหยุดท่องทันทีที่ได้ยินคำว่ามิเกล มิเกลอีกแล้ว “มิเกล ข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้าหรอก” ชายไวกิ้งยังคงพูดต่อ “ข้านำภารกิจมาให้” ก่อนจะยิ้มให้เอ็ดมันอย่างอ่อนโยนแต่ถึงอย่างนั้นเบลล่าก็ยังคงไม่ลดเวทป้องกัน “ปลดปล่อยจอมมารซะ นี่คือภารกิจที่แปดสิบเอ็ดของเจ้า” ชายไวกิ้งพูด “ภารกิจฉันคือการฆ่าคนไม่ใช่ปลดปล่อยใคร” เว้นววรคนิดนึงก่อนจะบอกต่อว่า ”และฉันก็ไม่รับภารกิจจากคนแปลกหน้า”เอ็ดมันพูดเสียงเด็ดเดี่ยว ชายไวกิ้งส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าชื่อเดียโก ฮาร์ซา” พอเดียโกพูดจบเอ็ดมันก็มีสีหน้าตกใจทันที “ฮาร์ซา มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน” เอ็ดมันตะโกนถามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อยากรู้หรอ” เดียโกยิ้มอย่างมีชัย “อยากรู้ก็รับภารกิจของฉันสิ่” พูดจบเดียโกก็หายตัวไป เบลล่าลดเวทป้องกันออกก่อนจะเข้ามาดูอาการเอ็ดมันที่โดนลูกดอกอัดพลังเวท แผลที่ตอนนี้เริ่มเลือดไหลมากกว่าเดิม พวกเขาคิดถึงแอนเดรียทันทีแต่เอ็ดมันกลับบอกว่าแอนเดรียรักษาไม่ได้ ขืนไปตอนนี้มีหวังโดนสอบปากคำอีกซึ่งเบลล่าและแคโรลก็เห็นด้วย ส่วนเบบี๋ที่ตอนนี้กลายร่างกลับเป็นเด็กอีกครั้งมองป๊ะป๋ามันด้วยน้ำตาคลอเป้า เอ็ดมันเห็นแล้วก็อดจะลูบหัวอย่างเอ็นดูไม่ได้
“เอ็ดมัน” เสียงที่เอ็ดมันอยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ “พี่” เอ็ดมันมองหน้าพี่สาวที่มีสีหน้าตกใจสุดๆ “แกไปทำอะไรมาอีกแล้ว มีเลือดท้วมตัวอีกแล้วนะ ฮึก” พี่สาวที่เข้มแข็งของเขาถึงกับร้องไห้ออกมาในที่สุด เอ็ดม่าต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่พาน้องเขามาในเมืองหลวงนี้น้องของหล่อนเจ็บตัวหนักกว่าเวลาออกไปทำภารกิจเสียอีก “พี่อย่าร้องสิ่” เอ็ดมันรีบเช็ดน้ำตาให้กับพี่สาวทันที เอ็ดม่ารู้สึกแปลกๆกับท่าทีของน้องชายแปลกไปน้องขายเขาอ่อนโยนก็จริงเวลาอยู่กับครอบครัวแต่นี่มันอ่อนโยนเกินไปและเอ็ดม่าก็เริ่มร่ายเวทเยียวยาให้น้องชายจนแผลหายเป็นปกติแต่อาจจะต้องนอนพักอีกวันสองวัน “แล้วพี่หาฉันเจอได้ยังไง” เอ็ดมันถามออกไป ผู้เป็นพี่อธิบายว่าไปนี่มันดึกมากแล้วและรุ่นพี่ในสายโจ๊กเกอร์ นักสู้และนักเวทบอกว่ามีรุ่นน้องที่ยังไม่กลับหอและไม่ได้อยู่ในอณาเขตโรงเรียนทั้งหมดสามคนก็เลยคิดว่าเป็นเอ็ดมันจึงอาสาออกมาตามหาและก็เจอเอ็ดมันเลือดโชก เอ็ดมันยิ้มเป็นเชิงขอโทษพี่สาวซึ่งเอ็ดม่าดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไร “เอ็ดมันมีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังไหม” เอ็ดม่าถามเอ็ดมัน เอ็ดมันพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนจะเล่าทุกๆอย่างที่เกิด เอ็ดม่าก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “แกรับภารกิจเถอะ ฉันก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน” พี่สาวของตัวเองพูดขนาดนี้เอ็ดมันก็จึงพยักหน้ายอมรับที่จะรับภารกิจนี้เสียที “กลับโรงเรียนเถอะ” เอ็ดม่าพูดก่อนจะเดินนำและอยู่ๆก็หยุดเดิน “เอ็ดมันฉันขอยืมเบบี๋ไปกอดซักคืนสิ่ เด็กอะไรไม่รู้น่ารัก” เอ็ดมัน แคโรล และเบลล่าถึงกับเหวอที่อยู่ๆสาวนักฆ่าก็มีท่าทีหลุดโลกอะไรแบบนี้ซึ่งเอ็ดมันก็ไม่ได้ว่าอะไร และเบบี๋ก็ดูจะชอบซะด้วย ‘เป็นสัตว์อัญเชิญที่ขี้อ้อนจริงๆนะ’ เอ็ดมันคิดในใจก่อนจะเดินยิ้มๆไปพร้อมกับทุกๆคน
เอ็ดมันกลับเข้ามาในตึกเจอย่างเหนื่อยๆ เขายืนจ้องรูปปั้นตัวตลก “ทำไมถึงเรียกฉันว่ามิเกล” เอ็ดมันตะโกนถามเสียงดัง รูปปั้นตัวตลกขยับตัวเล็กน้อยเหมือนโดนรบกวนการพักผ่อน “แล้วเจ้าอยากให้ข้าตอบว่าอะไร” รูปปั้นตัวตลกถามอย่างยอกย้อน “รู้อะไรตอบมา” เอ็ดมันเสียงเข้มขึ้นทันที รูปปั้นตัวตลกพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ได้นะ” เอ็ดมันพยักหน้าให้กับคำพูดของรูปปั้นตัวตลก “ตระกูลของเจ้าไม่ใช่ดิออร์ แต่เป็นเพียงชื่อที่ราฟาเอล ไม่สิ เอ็กซิสเป็นคนเปลี่ยนเพื่อปกป้องเจ้า” รูปปั้นเว้นวรรคก่อนจะพูดต่อว่า “จริงๆแล้วตระกูลของเจ้าคือตระกูลฮาร์ซามันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าตระกูลของจอมมารแต่ตระกูลฮาร์ซาก็เป็นนักฆ่าด้วยเจ้าเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม” เอ็ดมันฟังมาถึงตรงนี้เขาชักเริ่มใจไม่ดีซะแล้ว “มิเกล ราฟาเอลน่ะเป็น…” ไม่ทันที่รูปปั้นตัวตลกจะพูดจบก็กลับไปยืนนิ่งๆซะอย่างนั้น เมื่อเอ็ดมันหันไปมองด้านหลังก็พบกับหญิงสาวสุดเปิ่นห้องฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
หญิงสาวห้องตรงข้ามถ้าจำไม่ผิดกำลังเดินเข้ามา “เธอ” เอ็ดมันที่ตอนแรกโกรธเป็นฟืนไฟเพราะจะได้รู้ความจริงอยู่แล้วแต่กลับชะงักเมื่อใบหน้าเรียวๆที่สะท้อนกลับแสงจันทร์นั้นดูดีซะจนต้องเก็บคำต่อว่าเอาไว้ แว่นหนาเตอะไม่มีอยู่บนใบหน้า ดวงตาสีฟ้าเทาที่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาบดบังอีกต่อไปทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ “หวัดดีนายห้องตรงข้าม” ไมล์เอลทักเสียงใส เอ็ดมันก็พยักหน้าให้ “ขึ้นไปข้างบนพร้อมกันไหม” เอ็ดมันพยักหน้าอีกครั้ง เอ็ดมันมองไปที่รูปปั้นตัวตลกซึ่งตอนนี้ก็กำลังมองเขาด้วยท่าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มจนน่าสงสัย เอ็ดมันเห็นหญิงสาวทำท่าจะปีนขึ้นไปบนมือรูปปั้นตัวตลก เอ็ดมันได้แต่ส่ายหน้า ‘ไม่ได้รู้เรื่องเลยจริงๆ ยัยเฉิ่ม’ เอ็ดมันคิดในใจและเดินไปดึงมือไมล์เอลให้มายืนข้างตน ซึ่งไมล์เอลก็ดูจะงงๆอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยอมมายืนข้างๆเอ็ดมันโดยไม่ขัดขืนอะไร “โอลเลวิสต้าเจ” สิ้นเสียงเอ็ดมัด
ทั้งคู่ก็มายืนหน้าห้องเอ็ดมัน ซึ่งไมล์เอลก็ยังดูตกใจ “แล้วฉันจะข้ามไปได้ยังไง” ไมล์เอลถามเสียงแผ่ว เอ็ดมันก็กำลังคิดหาวิธีอยู่เช่นกัน เอ็ดมันเอาตัวพิงประตูไว้และวิ่งก้าวเดียวและกระโดดไปจับขอบพื้นของประตูของห้องไมล์เอลก่อนจะยันตัวขึ้นได้อย่างสวยงาม เอ็ดมันส่งสัญญาณว่าให้กระโดดตามเขามาแต่ไมล์เอลส่ายหน้ารัว ‘ใครจะไปกล้ากระโดดกันอีตาบ้า’ ไมล์เอลแอบบ่นในใจ “มาสิ่ไม่ตกหรอก” ไม่ว่าเอ็ดมันจะพูดยังไงไมล์เอลก็ยังคงส่ายหัวรัวๆเหมือนเคย เอ็ดมันจ้องตากับไมล์เอล “เชื่อใจฉันสิ่” ประโยคซึ้งๆถูกปล่อยออกไป ไมล์เอลหน้าขึ้นสีทำไมไม่รู้แต่หล่อนก็ก้มหน้าและพยักหน้า ไมล์เมลพิงประตูอย่างที่เอ็ดมันทำก่อนจะวิ่งก้าวเดียวและกระโดดออกไป ฮึบ! เอ็ดมันที่จับขอบพื้นไว้และอีกมือจับแขนของไมล์เอล หล่อนกระชับมือให้จับแขนเอ็ดมันให้แน่นเพราะกลัวตก ตอนนี้ทั้งเขาและเธอกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ เอ็ดมันใช้พละกำลังดึงให้ไมล์เอลเอื้อมไปจับพื้นได้โชคดีที่ไมล์เอลตัวค่อนข้างเล็กจึงไม่เป็นปัญหาเรื่องน้ำหนัก เอ็ดมันชันตัวขึ้นไปนั่งก่อนจะดึงไมล์เอลที่หน้าซีดขาวเพราะความกลัว “เธอไปพักผ่อนเถอะ” เอ็ดมันลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือไปรับคนตรงหน้า ไมล์เอลวางมือลงบนมือของเอ็ดมันแรงดึงของเอ็ดมันทำให้ไมล์เอลลุกขึ้นอย่างง่ายดาย ไมล์เอลเปิดประตูเข้าไปในห้องและส่งยิ้มมาให้เอ็ดมันอีกครั้ง “ขอบคุณและฝันดีนะมิเกล” เสียงอ่อนของหญิงสาวที่กำลังจะปิดประตูลงต้องชะงักเมื่อเอ็ดมันพุ่งมาขวางประตูไว้อย่างรวดเร็ว “ทำไมเธอเรียกฉันว่ามิเกล” เอ็ดมันถามเหมือนขึ้นเสียงหน่อยๆ ส่วนไมล์เอลก็ไม่เข้าใจว่าจะมาขึ้นเสียงใส่ทำไม “ก็นายยืนคุยกับรูปปั้นเมื่อกี้เขาเรียกนายมิเกลนิ่” ไมล์เอลตอบฉะฉานทำให้เอ็ดมันรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้โกหก “เรียกฉันว่าเอ็ดมันสิ่” เอ็ดมันบอกก่อนจะถอยออกมาจากประตูหนึ่งก้าว หญิงสาวยิ้มหวานให้ก่อนจะบอกว่า “แต่ฉันชอบชื่อมิเกลมากกว่า” พูดจบไมล์เอลก็เขย่งตัวหอมแก้มเอ็ดมันเบาๆเพียงแค่พอปลายจมูกสัมผัสกับแก้มเท่านั้นและรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้ถูกกระทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะกระโดดกลับไปที่ห้องของเขาเอง เอ็ดมันล้มตัวลงนอนโดยที่ยังไม่อาบน้ำ ‘วันนี้มีเรื่องมากวนใจเยอะจริงๆโดยเฉพาะเธอยัยเฉิ่ม’ เอ็ดมันคิดในก่อนยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีและเข้าสู้นิทราไปในที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------------------
Talk: หูยยย หายไปตั้ง 5 วันแน่ะ แบบว่า 555
เรียนหนักอ่านี่ พูดจริงเลย - -"
ล่ะขอบคุณคนอ่านเหมือนเดิมงับบ ^^"
ความคิดเห็น