คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Kill End. 2 เวทต้องห้ามของโจ๊กเกอร์
เช้าวันใหม่แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาต่างหน้าต่างทำให้ผู้ไม่ชอบแสงตื่นขึ้นอย่างจำใจ เอ็ดมันลืมตาก็พบว่าตัวเองเจ้าของห้องกำลังนอนซบเขาอยู่ ตึกตัก เอ็ดมันใจเต้นแรงอีกครั้งที่ได้อยู่ใกล้แอนเดรียมาก เอ็ดมันมองหน้าของแอนเดรียที่กำลังหลับทำให้เอ็ดมันหน้าขึ้นสีอย่างเลี่ยงไม่ได้ เอ็ดมันพยายามจะไม่สนใจโดยการมองไปที่อื่นแต่ทำไม่ได้เพราะลมหายใจอุ่นๆของหญิงสาวรดอยู่ที่ต้นคอของเขา ‘นายนักฆ่า บอกไว้ก่อนเลยนะ แอนเดรียมีเจ้าของแล้วอย่าริอาจล่ะ’ เสียงของไลล่าดังเข้ามาอยู่ในโสตประสาทของเขาทันที เอ็ดมันมองหญิงสาวที่ซบอกเขาอย่างช่างใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปสะกิดแอนเดรียเบาๆ แต่ไม่ได้ทำให้แอนเดรียตื่น เอ็ดมันไม่กล้าทำอะไรต่อได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้น
ก๊อก ๆๆๆๆๆๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัวๆ “แอนเดรียเปิดประตูให้พี่หน่อยครับ” เสียงที่เอ็ดมันพอจะคุ้นหูอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เอะใจอะไร แอนเดรียที่ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แอนเดรียมองที่ประตูและเอ็ดมันสลับกัน “นายใช้เวทล่องหนได้นานแค่ไหน” แอนเดรียที่ตอนนี้หายสะลึมสะลือแล้วเอ่ยถามเอ็ดมัน เอ็ดมันชูสี่นิ้วเป็นคำตอบ แอนเดรียพยักหน้า “งั้นใช้เลย” แอนเดรียพูดจบร่างของเอ็ดมันก็ล่องหนหายไป แอนเดรียเดินไปเปิดประตูก็พบชายหนุ่มผมสีดำมีดวงตาสีเงินเหมือนกับของแอนเดรียแต่ของชายคนนี้ดูเยือกเย็นกว่าชุดที่ขาวล้วนที่ดูเหมือนคนในราชวงศ์กษัตริย์นั้นทำให้เอ็ดมันเริ่มคลายความสงสัยลง “คะ พี่เกเบียล” แอนเดรียถามพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ พอเอ็ดมันได้ยินชื่อก็ถึงกับร้องอ๋ออยู่ในใจที่แท้ก็เจ้าชายเกเบียล แล้วมาทำอะไรในห้องของแอนเดรียล่ะ เอ็ดมันนึกสงสัย “พี่มาปลุก ลงไปทานข้าวครับ” เจ้าชายเกเบียลตอบก่อนจะใช้มือลูบหน้าหญิงสาว ซึ่งหญิงสาวก็ยิ้มรับกับท่าทางนั้น “คิดถึง” เจ้าชายเกเบียลพูดพร้อมกับเกาแก้มเขินๆ แอนเดรียเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้กับความน่ารักของผู้ชายตรงหน้า “เหมือนกันค่ะ” แอนเดรียพูดจบ เจ้าชายเกเบียลโอบหญิงสาวก่อนโน้มตัวไปหอมแก้มแอนเดรีย เอ็ดมันที่ตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนเกินไปแล้ว ทำไมตอนนี้เขาถึงได้โมโห ไม่ชอบใจซักนิดแม้จะปล่อยเอฟเฟคออกไปบ้าง แต่เขาทำได้เพียงใช้เวทล่องหนต่อไป “เดี๋ยวพี่ไปรอที่โต๊ะทานข้าวนะครับ” เจ้าชายเกเบียลที่ทำท่าจะเดินออกไปก็หยุดเดิน “หรือจะให้พี่รอข้างในครับ” ชายหนุ่มยิ้มกรุ่มกริ่ม แอนเดรียรีบส่ายหน้าและรีบดันตัวเกเบียลออกไป แอนเดรียปิดประตูและล็อคกลอนอย่างดี ถึงแม้ชายหนุ่มจะออกไปแต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะรอดเข้ามา ไม่นานเสียงหัวเราะก็หายไปพร้อมเจ้าตัว
“ทำไมเจ้าชายถึงมา” เอ็ดมันที่คลายเวทลงถามขึ้น แอนเดรียทำสีหน้ายิ้มๆก่อนจะตอบ “เขาเป็นแฟนฉันเอง” แอนเดรียยิ้มให้เอ็ดมันหนึ่งที เอ็ดมันก็ยิ้มให้เช่นกัน ไม่ทันไรเอ็ดมันก็กระอักเลือดออกมาอีก “ขอโทษนะ” คำพูดห้วนๆออกมาจากปากหญิงสาว “นายยังไม่หายดี” แอนเดรียทำหน้ารู้สึกผิดก่อนจะร่ายเวทเกิดแสงสีขาวที่มือเหมือนเดิมแต่เอ็ดมันส่ายหน้า “ทำไมล่ะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ถ้าเธอใช้เวทรักษาฉันอีก” เอ็ดมันพูดอย่างยากลำบาก “ร่างกายเธอจะรับไม่ไหว” เอ็ดมันค่อยๆนั่งลงบทโซฟาตัวเดิม แอนเดรียเดินไปนั่งใกล้ๆเอ็ดมันก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดให้ เอ็ดมันยิ้มน้อยๆให้หญิงสาว
เขาจับแขนซ้ายของตัวเองและถกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น แอนเดรียมองรอยสักที่แขนของเอ็ดมันอย่างตั้งใจ “นี่มัน” แอนเดรียร้องออกมาด้วยความตกใจทันทีที่นึกบางอย่างออก เอ็ดมันพยักหน้า “เวทต้องห้ามของโจ๊กเกอร์” เอ็ดมันพูดก็ดึงเสื้อลงมาปิดแขนตามเดิม “เวทของโจ๊กเกอร์มันอันตรายมากนะ” นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นแอนเดรียพูดกับเขาด้วยการใส่อารมณ์เช่นนี้ เอ็ดมันพยักหน้าให้แอนเดรียอีกครั้งเขามองหน้าของแอนเดรียที่หน้าซีดเหมือนว่าหล่อนกำลังจะเป็นลม “ฉันฝึกไม่ได้บทเดียวคือดนตรีและทุกครั้งฉันก็จะมีอาการกระอักเลือดแบบนี้ ฉันจำเป็นต้องฝึกให้ได้ทั้งห้าบท” แอนเดรียที่ตั้งใจฟังจนลืมไปว่ามีคนรออยู่ “ทำไมนายต้องฝึก นายอาจตายได้” ถึงแม้คำพูดจะห้วนแค่ไหนแต่เอ็ดมันก็รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่เจ้าตัวพยายามซ่อนอยู่ “ฉันถูกเลือกโดยเวทต้องห้าม ฉันเลี่ยงไม่ได้มันเป็นหน้าที่” เอ็ดมันยื่นมือไปจับมือหญิงสาวที่ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธใดๆ เอ็ดมันหลับตาและเสียงดนตรีก็ดังขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ อ่อนโยนและเร่าร้อน “ไพเราะมาก” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เมื่อเพลงหยุดเอ็ดมันก็กระอักเลือดออกมา เอ็ดมันส่งยิ้มให้แอนเดรียอย่างเหนื่อยล้า “พี่สาวฉัน สายเดียวกับเธอ” เอ็ดมันส่งยิ้มไปให้แอนเดรียอีกหนึ่งที “ตอนที่พี่อายุสิบห้าพี่ฉันถูกเลือกโดยเวทไวท์เชน เธอรู้จักใช่ไหม” แอนเดรียพยักหน้า “พี่ฉันเป็นนักฆ่าแต่เขาก็ช่วยคน ตระกูลของเราจะมีสองหน้าที่ คือนักฆ่ากับสิ่งเวทต้องห้ามเลือก” แอนเดรียพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ทำไมนายเลือกเองไม่ได้ นายควรจะเป็นอะไรก็ตามที่นายอยากเป็นสิ่” แอนเดรียพูดสิ่งที่คิดออกไป เอ็ดมันรู้สึกได้ตั้งแต่แอนเดรียเจอเจ้าชายเกเบียลเธอก็ช่างพูดมากขึ้น เอ็ดมันได้แต่ส่ายหน้าเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเขาถึงเลือกไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาล่ะมั้งที่ลิขิตให้เขาเดินทางสายนี้ “พี่นายต้องมีพลังเวทสูงมาก ถึงฝึกเวทต้องห้ามบทนั้นได้” แอนเดรียมีสีหน้าที่ตื่นเต้นเพราะคนที่จะฝึกเวทไวท์เชนได้ต้องมีพลังเวทที่เกินคนธรรมดาหรือพวกมารนั่นแหละ แต่เอ็ดมันกลับส่ายหน้า “ไม่ พี่ฉันมีพลังเวทน้อยกว่าฉันเสียอีก” เอ็ดมันยิ้มให้กับแอนเดรียหนึ่งที “พ่อฉันบอกว่าคนที่เวทต้องห้ามเลือกนั่นหมายความว่าเหมาะสม” แอนเดรียพยักหน้าเพราะหล่อนก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาเหมือนกันว่าเวทต้องห้ามจะเลือกคนที่เหมาะสม “พ่อฉันเป็นนักสู้ แม่กับพี่ฉันเป็นสายเยียวยา” เมื่อเอ่ยถึงแม่แววตาของเอ็ดมันเศร้าลงทันที “แม่นาย” แอนเดรียพูดไม่ทันจบเอ็ดมันก็พยักหน้ามาเป็นคำตอบ “เสียตอนที่วันเกิดฉันสองขวบ วันนั้นพ่อกับแม่มีภารกิจ” เอ็ดมันเสียงสั่นเครือเล็กน้อย แอนเดรียจับมือของเอ็ดมันอย่างเห็นใจ “ฉันต้องลงไปแล้ว” เอ็ดมันพยักหน้า “อีกเจ็ดวันเจอกันที่โรงเรียนนะเจ้าหญิง” เอ็ดมันใช้เวทล่องหนอีกครั้งก่อนจะเดินออกไปทางประตู แอนเดรียมองเอ็ดมันที่จากไปแล้วก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัว
เอ็ดมันที่พาตัวเองออกมาจากบ้านแอนเดรียได้แล้วก็พบทหารยามที่มีมากกว่าเดิมหลายเท่านัก มีทั้งนักสู้และนักเวทเต็มไปหมด “เอ็ดมัน” เสียงเรียกที่เอ็ดมันคุ้นเคยเป็นอย่างดี “พี่” เอ็ดมันมองพี่สาวของเขา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ เขาคิดในใจ “แกมาทำอะไรที่นี่” เอ็ดม่าถามอย่างสงสัย “ทำไมมีเลือดเปอระเสื้อ” พี่สาวช่างสังเกตถามอย่างร้อนรน “ฝึกเวท” เอ็ดมันตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เอ็ดม่ามองน้องชายตัวดีอย่างจับผิด “เข้าไปกับฉัน” เอ็ดม่าลากน้องชายเข้าไปในบ้าน
“เอ็ดม่า พาใครมา” เสียงของเจ้าชายเกเบียลเอ่ยทักทันทีที่สองพี่น้องเข้าไปถึงห้องรับแขก “ดูหน้าสิ่” เอ็ดม่าบังคับให้น้องนั่งลงข้างๆตัวเอง “แฟนหล่อเชียว” เจ้าชายเกเบียลเอ่ยยิ้มๆ เอ็ดม่าถึงกับส่ายหัวแรงๆ “นี่น้องฉัน” หน้าเอ็ดม่าที่ตอนนี้คิ้วผูกโบเป็นอันที่เรียบร้อย ส่วนเอ็ดมันสีหน้าไม่สู้ดีตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าชาย “เอ็ดมัน นี่เจ้าชายเกเบียลเพื่อนฉัน” เอ็ดม่าแนะนำตัวแทน “นี่เอ็ดมันน้องฉัน” เอ็ดม่ายังทำหน้าที่เป็นคนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม เอ็ดมันส่งยิ้มให้เจ้าชายอย่างง่ายๆก่อนจะกลับมานั่งทำหน้านิ่งตามเดิม “เกเบียลมีเสื้อให้น้องฉันเปลี่ยนไหม” ด้วยความที่เอ็ดม่าหวังดีต่อน้องชายจึงถามออกไป เจ้าชายเกเบียลส่ายหน้าหนึ่งทีก่อนจะกระซิบกระซาบกับลูกน้อง ไม่นานลูกน้องก็มาพร้อมเสื้อเชิ้ตสีดำธรรมดา เรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ เอ็ดมันรับเสื้อ “ขอบคุณ” เอ็ดมันกล่าวขอบคุณเจ้าชาย เจ้าชายเพียงพยักหน้าให้ เอ็ดมันเดินไปเปลี่ยนเสื้อ ใช้เวลาไม่นาน เอ็ดมันก็ออกมาเสื้อเชิ้ตสีดำช่างดูเหมาะกับเขามากกว่าสีขาวเสียอีก
ในระหว่างที่เอ็ดมันกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะก็เจอกับแอนเดรียพอดี “ทำไมนายยังอยู่” แอนเดรียที่มีสีหน้าตกใจถามขึ้น เอ็ดมันไม่ตอบอะไรเขาเดินนำแอนเดรียมาที่โต๊ะก่อนจะนั่งลงๆข้างพี่สาว “แอนเดรียเชิญนั่งครับ” เจ้าชายขยับเก้าอี้ให้แอนเดรีย แอนเดรียยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณก่อนจะนั่งลง “นี่เพื่อนพี่ ชื่อเอ็ดม่าส่วนนั่นน้องชายเขา” เจ้าชายแนะนำสองพี่น้องให้แอนเดรีย แอนเดรียจำใจยิ้มให้เอ็ดม่าเพราะเอ็ดม่าส่งยิ้มมาให้เธอไม่หยุด ผิดกับเอ็ดมันที่ทำหน้านิ่งจนอุณหภูมิในห้องนี้ต่ำลงเรื่อยๆ เมื่อเอ็ดม่ารู้สึกได้ดังนั้นจึงหยิกน้องชายไปหนึ่งที เอ็ดมันจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างจำใจ “ส่วนนี่แอนเดรียแฟนฉัน” เจ้าชายแนะนำเสร็จเอ็ดมันถึงกับสำลักน้ำ ทุกสายตาบนโต๊ะอาหารจับจ้องมาที่เอ็ดมันทันที เอ็ดมันยิ้มและก้มหัวลงเพื่อขอโทษเจ้าชายไม่ว่าอะไรแถมยังหัวเราะให้กับความซุ่มซ่ามของเขาอีกจะมีก็เพียแต่นักสู้ที่อยู่ใกล้ๆเจ้าชายเท่านั้นที่ส่งสายตาเหยียดยามมาเป็นระยะๆซึ่งเอ็ดมันก็ไม่สนใจอะไร ทั้งสี่คนทานข้าวยังเงียบๆจะมีก็เสียงหัวเราะกันระหว่างเอ็ดม่าและเจ้าชายเกเบียลเท่านั้นที่ดูจะสนิทกันมาก ส่วนแอนเดรียก็ส่งยิ้มอ่อนๆให้กับแฟนหนุ่มตลอด นักสู้ที่ส่งสายตาเหยียดหยามดูจะไม่พอใจเอ็ดมันอย่างมาก นักสู้คนนั้นก้มกระซิบข้างๆหูเจ้าชาย รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าเจ้าชายทันที “เอ็ดม่าจะว่าอะไรไหม ถ้าทหารคนสนิทฉันอยากประลองกับน้องชายเธอ” เจ้าชายเกเบียลส่งยิ้มไปทางเอ็ดมัน
เอ็ดม่าดูน้องชาย ถึงแม้ว่าร่างกายจะบอบช้ำแต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เอ็ดม่าพยักหน้าให้เจ้าชายหนึ่งทีแต่ “ไหวไหม” เสียงห่วงใยจากพี่สาวดังขึ้น เอ็ดมันพยักหน้ารับ เรียกรอยยิ้มจากเจ้าชายได้เป็นอย่างดี “ดี งั้นเริ่มเลย” เจ้าชายพูดจบ นักสู้และเอ็ดมันได้เดินมายังสนามประลองด้านหลังเนื่องจากที่นี่มีทหารเยอะจึงจำเป็นมากที่จะมีสนามประลอง ถ้าเอ็ดมันสังเกตดีๆจะเห็นว่าที่ข้อมือมีสิ่งที่คล้ายๆกับกำไลแต่เป็นยางพิเศษเส้นใหญ่ๆสีขาว นักสู้คนนั้นถอดเสื้อคลุมออก ร่างกายเปลือยท่อนบนของนักสู้เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่สามารถทำให้ผู้หญิงหลงใหลได้ไม่ยาก เอ็ดมันเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆเพราะหัวสมองดันคิดไปว่าถ้าไลล่ามาเห็นจะต้องเคลิ้มแน่ๆ
ทั้งสองยืนดูเชิงกันมาซักพักแล้ว แต่ยังไม่มีใครเปิดฉากต่อสู้ก่อนเลยนักสู้ยกมือขึ้นมาตั้งการ์ดเตรียมพร้อมผิดกับเอ็ดมันที่ยืนนิ่งๆเหมือนไม่รับรู้อะไร เหมือนว่าความอดทนของนักสู้สิ้นสุดลง นักสู้เปิดฉากโจมตีก่อนเรียกรอยยิ้มจากเจ้าชายได้เป็นอย่างดีและแอนเดรียตอนนี้นั่งซบแฟนหนุ่มอยู่ตั้งใจดูมากๆ เอ็ดม่าที่สังเกตอาการของน้องชายก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ การโจมตีของนักสู้เป็นไปอย่างดุดัน ทั้งหมัด เข่า ศอก เท้า นักสู้คนนี้แข็งแกร่ง เอ็ดมันไม่สามารถประเมินนักสู้คนนี้ได้เลยแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ลำบากเลยซักนิดที่จะจัดการนักสู้ในกระบวนท่าเดียว เอ็ดมันหลบหมัดซ้าย ขวาตามด้วยเท้าอีกระยะๆ มวยคู่นี้ดูจะน่าเบื่อเพราะมีฝ่ายรุกเพียงฝ่ายเดียว แต่เอ็ดมันก็ยังคงหลบไปเรื่อยๆถึงแม้ว่าปากจะพึมพำบางอย่างแต่นักสู้คนนี้ก็ไม่ได้กลัว
การต่อสู้ที่ดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ นักสู้รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดกับสภาพแวดล้อมไม่ใช่แค่นักสู้ ทั้งเจ้าชายเกเบียลและแอนเดรียก็รู้สึกเช่นกัน เอ็ดม่าที่ได้แต่ยิ้มมาซักพักแล้วก็ยังคงนั่งนิ่งดังเดิมไม่มีอาการตกใจใดๆทั้งสิ้น “ฮู ฮู้ ฮา เหอออ” เสียงดนตรีที่ดังขึ้นไม่มีใครทราบว่าดังมาจากไหน นักสู้ที่ผ่อนการโจมตีลงเพราะแรงเริ่มหมด เอ็ดมันเห็นก็ยิ้มและปากก็ยังขยับต่อไปเสียงดนตรีดังขึ้นเรื่อยๆ สีตาของเอ็ดมันบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีใครทราบ เสียงดนตรีที่คนฟังยังรับรู้ได้ถึงความรุนแรงสีหน้าของเจ้าชายเป็นกังวลเล็กน้อยแต่ยังคงมองการต่อสู้ต่อไป เอ็ดมันใช้ความเร็วสูงสุดวิ่งไปข้างๆที ข้างหลังที จนวนรอบตัวนักสู้ เอ็ดมันเห็นความหวาดกลัวในแววตานักสู้ผู้นี้ เอ็ดมันกลับมายืนเฉยๆตามเดิมปล่อยโอกาสให้นักสู้เป็นคนโจมตีเข้ามา นักสู้เห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วโดยไม่ทันสังเกตรอบตัวเลยว่ามีกระสุนเวทลอยอยู่รอบตัว นักสู้พุ่งเข้าไปหาเอ็ดมันจนเกือบจะโดนตัว เพียงอีกนิดเดียวเท่านั้น เอ็ดมันก็หายตัวไปอยู่ด้านหลังของนักสู้เสียแล้ว กระสุนเวทที่บัดนี้พุ่งเข้าหาร่างของนักสู้อย่างบ้าคลั่ง ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก อ๊ากกก! สี่นัดที่พุ่งผ่านทะลุตัวของนักสู้ไป นักสู้ได้แต่ร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนา ปกติถ้าโดนกระสุนธรรมดาก็แย่แล้วแต่นี่เป็นกระสุนเวทต้องห้ามที่มีไอพลังสีดำ ความเจ็บปวดจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ยังเหลือกระสุนเวทอีกสี่นัด กระสุนทั้งสี่พุ่งเข้าหานักสู้อีกครั้งหมายจะปลิดชีพของคนตรงหน้า “พอแล้ว” เจ้าชายตะโกนออกมาอย่างรีบร้อน เอ็ดมันที่ได้ยินเสียงยุติการประลองก็ยิ้มอย่างมีชัยกระสุนที่กำลังพุ่งเข้าหานักสู้นั้น กระทบกับบรรทัดห้าเส้นสีดำที่ตอนนี้เป็นวงเวทขนาดปานกลางพันบริเวณรอบๆตัวของนักสู้กระสุนเวทเมื่อกระทบกับบรรทัดห้าเส้นสีดำแล้ว เสียงดนตรีที่คลออยู่ก็หยุดลง
เอ็ดมันเดินไปดูอาการของนักสู้ นักสู้คนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสมากๆ เอ็ดมันกลับมาทำหน้านิ่งอีกครั้งก่อนจะอุ้มร่างนักสู้เดินผ่านเจ้าชาย แอนเดรียและเอ็ดม่าเข้าไปในบ้าน เอ็ดมันเลี้ยวขวาก็พบห้องปฐมพยาบาลเอ็ดมันวางร่างของนักสู้ไว้บนเตียงคนป่วย เลือดที่ยังไม่หยุดไหลทำให้เอ็ดมันรู้สึกแย่ เขาคงจะเล่นแรงเกินไป เอ็ดมันนึกโทษตัวเอง เอ็ดม่าที่เข้ามาเพื่อไปดูอาการของนักสู้ เจ้าชายเกเบียลมองเอ็ดมันทั้งตกใจและเสียใจ เอ็ดม่าใช้เวทรักษาอาการเบื้องต้นรักษา แต่ชายนักสู้ก็ไม่มีอาการดีขึ้นเลย เอ็ดม่าใช้เวทบทอื่นที่สูงกว่าเดิมก็มีอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยยังไม่พ้นขีดอันตราย “ออกไปก่อนทุกคน” เอ็ดม่าสั่งเสียงเข้ม ทั้งเจ้าชายและแอนเดรียก็ยืนมองอย่างช่างใจก่อนจะเดินออกไป
เอ็ดมันที่ยังยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้อยู่ เอ็ดม่าเห็นดังนั้นจึงเข้าไปกอดเอ็ดมัน “เขาจะไม่เป็นอะไร” เอ็ดม่าพูดปลอบเอ็ดมัน เอ็ดมันพยักหน้าแต่สีหน้าก็ยังไม่ดีขึ้น “พี่จะใช้เวทไวท์หรอ” เอ็ดมันเอ่ยถามซึ่งเอ็ดม่าส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ฉันอยากช่วย” เอ็ดมันที่ยังรู้สึกผิดพูดออก เอ็ดม่าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนโยนให้น้องชายหนึ่งที “เอาสิ่“ สิ้นเสียงเอ็ดม่า เสียงดนตรีก็ดังขึ้นอีก แต่เป็นเสียงดนตรีที่อ่อนโยนมากๆ เอ็ดม่าที่ร่ายเวทแล้วเช่นเดียวกัน เอ็ดม่าใช้มือซ้ายทาบที่อกของนักสู้เกิดแสงสีขาวขึ้นที่มือข้างซ้ายร่างกายของนักสู้กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะนอนนิ่งเหมือนเดิม เอ็ดม่าใช้มือขวาลูบตามส่วนต่างๆที่ได้รับบาดเจ็บ แสงสีฟ้าที่มาจากมือข้างขวาค่อยๆทำให้เลือดหยุดไหลและบาดแผลผสานกัน เอ็ดมันที่ตอนนี้ยังร่ายเวทก็เกิดเป็นบรรทัดห้าเส้นสีขาวบริสุทธิ์ พันร่างของชายนักสู้เอาไว้ นักสู้มีสีหน้าทรมานทันทีที่บรรทัดห้าเส้นพันตัว แต่ไม่นานสีหน้าของนักสู้ก็ผ่อนคลายลง การรักษาดำเนินไปอย่างช้าๆและในที่สุดเสียงเพลงก็หยุดลง นักสู้ที่ได้รับการรักษาอยู่ในขั้นที่ปลอดภัยหายห่วงทั้งได้รับเวทรักษาขั้นสูงจากเอ็ดม่าแต่ก็ยังไม่ได้สูงขนาดจำเป็นต้องใช้เวทไวท์เชนอาจจะเป็นเพราะน้องชายผู้ที่อัดไอมืดเข้าตัวชายคนนี้โดยใช้กระสุนเป็นตัวทะลวงยื่นมือเข้ามารักษาด้วยทำให้เอ็ดม่าไม่จำเป็นที่ต้องใช้เวทที่สูงมากกว่านี้ พลังการรักษาของเอ็ดมันถือว่าค่อนข้างสูงแต่นานๆจะใช้ได้ทีซึ่งเอ็ดมันก็ไม่ค่อยสนใจเพียงแค่ฝึกสำเร็จจะได้ใช้หรือไม่นั่นไม่สำคัญ แต่ด้านการต่อสู้เอ็ดมันใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วต่อให้ไม่จำเป็นต้องใช้เวทต้องห้ามในการประลองครั้งนี้ เอ็ดม่าก็เชื่อเป็นอย่างมากว่าเอ็ดมันต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เอ็ดม่าของตัวออกไปบอกเจ้าชายเรื่องอาการปลอดภัยของทหารคนสนิทเอ็ดมันก็หยักหน้าให้ไปเพราะจากนี้คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกแล้ว
บรรยากาศนอกห้องปฐมพยาบาลเต็มไปด้วยความอึดอัดแต่เอ็ดม่ากลับมองว่ามันเป็นภาพที่หายาก เจ้าชายเกเบียลที่นั่งไม่ห่างกับหวานใจเท่าไรสีหน้าเศร้าสร้อยของเขาเดาได้อย่างเดียวว่ากำลังโทษตัวเองอยู่ แอนเดรียก็ทำหน้าที่แฟนคอยโอบกอดและปลอบได้อย่างยอดเยี่ยม เอ็ดม่าเห็นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนนอกจากคนในครอบครัว “ทหารของนายปลอดภัยแล้วนะ” เอ็ดม่าพูดกับเจ้าชาย เจ้าชายทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกและเดินเข้ามากอดเอ็ดม่าเพื่อขอบคุณเป็นการใหญ่ เอ็ดม่ายิ้มและส่ายหน้า “ฉันแค่รักษาแผลภายนอก” เอ็ดม่ายิ้มทันทีที่เห็นเจ้าชายเกเบียลทำสีหน้าแปลกใจ “เวทเธอรักษาได้แค่นั้นเองหรอ” เจ้าชายแกล้งแซวเล่น ก่อนจะ ป้าปป ! เอ็ดม่าฟาดมือเข้าไปที่แขนเจ้าชายทันที “ไม่ใช่ย่ะ ฉันออกจะเก่ง” เอ็ดม่าพูดชมตัวเอง ซึ่งเจ้าชายก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะเขารู้ว่าเพื่อนของเขาคนนี้ใช้เวทรักษาเก่งขนาดไหน “เวทที่มีพลังมืดขนาดนั้น” เจ้าชายเกเบียลทำหน้าหนักใจ เอ็ดม่าตบไหล่เจ้าชายและส่งยิ้มให้ “ดาร์กบัลลาดเวทต้องห้ามของโจ๊กเกอร์ เวทของจอมมาร” เอ็ดม่าพูดอย่างที่เจ้าชายคิดจริงๆ เวทต้องห้ามเป็นสิ่งผิดกฎเพราะมันมีพลังมาก นักเวท ผู้เยียวยาและโจ๊กเกอร์จำนวนมากต่างต้องจบชีวิตลงเพราะเพียงฝึกเวทต้องห้าม เพียงเพราะอยากเป็นใหญ่และที่เลวร้ายที่สุด นักเวท ผู้เยียวยาและโจ๊กเกอร์บางพวกถึงกับคลั่งฝึกเวทต้องห้ามอย่างหนักเพื่อที่จะปลุกจอมมารออกมาให้ได้แต่สุดท้ายก็แทบจะไม่มีใครฝึกได้ บางคนถึงกับเป็นบ้ามีจำนวนน้อยมากที่จะฝึกสำเร็จ
“ยังไม่สามารถทำอะไรได้หรอก” เอ็ดม่าบอก “เอ็ดมันฝึกได้สี่บทยังไม่ครบ” เอ็ดม่ามีสีหน้าสลดทันทีที่พูดถึงน้องชาย เอ็ดมันที่ยืนฟังเจ้าชายเกเบียลและเอ็ดม่าคุยกันนานแล้วก็เดินออกมา “อีกแค่บทเดียว” เอ็ดมันที่พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าเกเบียลมองหน้าเอ็ดมันก่อนจะยิ้มให้ “นายเก่งมากที่ฝึกมาได้ขนาดนี้ เหลือบทอะไรที่ยังฝึกไม่ได้” เจ้าชายเกเบียลสร้างความแปลกใจให้กับเอ็ดมันเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดไว้แล้วว่ายังไงเจ้าชายก็ต้องจับเขา เผลอๆอาจจะโดนประหารเพราะความสามารถที่เกินตัว “ดนตรี” เอ็ดมันตอบเสียงนิ่ง ใช่! เขายังฝึกไม่ได้อยู่บทเดียวทั้งๆที่มันเกือบจะได้อยู่แล้วแต่สุดท้ายก็เจ็บตัว “ลองมีความรักดูสิ่อาจจะสำเร็จก็ได้” เจ้าชายพูดพร้อมกับหันไปมองแอนเดรียที่ส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ “ถ้าฝึกครบทุกบทแล้ว” เจ้าชายเกเบียลเหมือนต้องการจะสื่อบางอย่างให้เอ็ดมันรับรู้แต่เพียงเอ็ดมันไม่เข้าใจ “เวทบทนี้มีเพียงจอมมารคนเดียวที่ฝึกสำเร็จ ถ้านายฝึกสำเร็จอีกคนฉันหวังว่านายคงจะไม่เลือกเส้นทางแบบจอมมารนะ” คำพูดของเจ้าชายมันเหมือนเป็นคำขอร้องซะมากกว่าไหนจะใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนเหลือเกิน “นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคต” เอ็ดมันพูดพร้อมกับร่ำลาคนอื่นๆ ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไปพักผ่อน ‘เจ้าชายเกบียลเป็นคนดีกว่าที่คิดหรือว่าแค่เพียงใส่หน้ากากนะ’ เอ็ดมันคิดในใจ
ในสนามหญ้าที่มีลมอ่อนๆพลิ้วไหวอยู่นั้น “ยะ ยะ ย๊า” เสียงหญิงสาวกำลังฝึกพลังกายอยู่ หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีทอง ดวงตาสีเขียวที่เห็นถึงความมุ่งมั่น หยาดเหงื่อที่ไหลตามใบหน้าช่างดูให้เธอคนนี้น่าหลงใหลนัก แคโรลใส่เสื้อยืดกางเกงผ้าธรรมดา แม้ตอนนี้เหงื่อจะทำให้เห็นรูปร่างของเธอชัดขึ้นก็ตามแต่เธอก็ยังคงฝึกต่อไป โดยไม่ได้รับรู้ถึงการมาของ “แคโรลลลลลลลลลลลลล” เสียงเรียกดังๆ ที่ทำให้ท่าเตะชะงักไป แคโรลหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่เขาคุ้นเป็นอย่างดี แคโรลคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีทันทีที่เห็น “ไม่สนใจเลยนะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลพูดพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่ แคโรลรู้เป็นอย่างดีว่าหญิงสาวตรงหน้าแค่แกล้งเขาเล่นเท่านั้น “แกล้งอีกแล้วนะ เบลล่า” แคโรลพูดเสร็จก็ขยี้หัวเบลล่า เบลล่ายิ้มแฉ่งให้แคโรลทันที เบลล่ากับแคโรลสนิทกันมาตั้งแต่เด็กเพราะว่าเมืองที่อยู่ใกล้กัน แล้วพ่อแม่ของทั้งคู่ยังรู้จักและสนิทกันมาก ฐานะทางบ้านของแคโรลและเบลล่าต่างกันโดนสิ้นเชิง ทางแคโรลพ่อทำหน้าที่เป็นคนดูแลซึ่งไม่มีใครรู้ว่าหน้าที่ที่แท้จริงของพ่อแคโรลนั้นคืออะไรและแม่ทำหน้าที่เป็นคนส่งสาร์น ส่วนเบลล่าพ่อและแม่เป็นท่านผู้นำของเมือง แต่เบลล่าก็ไม่ได้มองข้อแตกต่างตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่โต เบลล่าจึงมาหาแคโรลที่บ้านบ่อยครั้ง เมื่อครั้งเบลล่าและแคโรลยังเป็นเด็ก ‘แคโรล รู้ไหมว่าฉันน่ะอยากเป็นเจ้าหญิงมากเลยนะ’ เด็กน้อยเบลล่าพูดกับเพื่อนสนิทของตน ‘เธอจะเป็นได้ยังไง เธอไม่ใช่ลูกพระราชาซะหน่อย’ เด็กน้อยแคโรลพูดในสิ่งที่ตนเองคิด โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทไม่ได้สนใจคำพูดของเขาซักนิดเดียว เด็กน้อยเบลล่าเพ้อฝันว่าอยากจะเป็นเจ้าหญิงอยู่เป็นเดือนๆแต่แล้ววันนึง ‘แคโรลไปเล่นกันเถอะ’ เด็กน้อยเบลล่าเอ่ยชวนเพื่อนสนิท ซึ่งแคโรลก็ตอบรับคำชวนด้วยรอยยิ้ม ‘เบลล่าจะไปถึงไหน พ่อฉันเคยบอกว่าป่านั่นมันอันตรายมากเลยนะ มีพวกนักฆ่าด้วยแหละ’ เด็กน้อยแคโรลทำปากเบะ แต่เบลล่าไม่สนใจ แถมยังออกแรงลากแคโรลเข้าไปจนได้
ทั้งคู่เล่นอยู่ในป่าเป็นเวลานานจนกระทั่งฟ้ามืดลง ‘เบลล่าฉันว่ากลับกันเถอะ’ เด็กน้อยแคโรลที่เห็นท้องฟ้ามืดแล้วจึงชวนเบลล่ากลับ ซึ่งเบลล่าก็ตกลงทั้งคู่ใช้เวลานานแต่ก็ยังหาทางออกจากป่าไม่ได้ ‘อ้ากกกกกกกกกกกกก ปล่อยฉันไปเถอะ’ เด็กน้อยทั้งสองได้ยินเสียงร้องขอชีวิตจากใกล้ๆนี้ เด็กทั้งสองมองหน้ากันทั้งคู่ได้ยินการฆ่าที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก สิ้นเสียงร้องของผู้หญิงคนนั้นเงียบลง เด็กทั้งสองก็จับมือกันและวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตขอเพียงออกจากป่านี้ให้ได้ แต่เหมือนกับจะถึงคราวซวยของเด็กสองคนนี้ เมื่อนักฆ่าคนนั้นกำลังยืนมองเด็กทั้งสองอยู่ด้านหน้าเหมือนเขาเตรียมต้อบรับลูกแกะที่กำลังโดนเชือด เด็กทั้งสองหยุดวิ่งเสียงหอบของทั้งคู่ดังขึ้น เนื่องจากวิ่งมาเป็นเวลานาน ชายนักฆ่าเดินตรงเข้ามาเด็กทั้งสอง เบลล่าที่น้ำตาร่วงเพราะความกลัว แคโรลเห็นดังนั้นจึงพาดึงร่างของเด็กน้อยเบลล่าไปหลบอยู่ด้านหลังตัวเอง นักฆ่าเห็นภาพก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ‘เข้ามาเลย ฉันมะ ไม่กลัวแกหรอก’ เด็กน้อยตะโกนออกไปถึงแม้ว่าปากจะบอกว่าไม่กลัวแต่ร่างกายกลับสั่น พูดตะกุตะกักซะอย่างนั้น แคโรลตั้งการ์ดพร้อมสู้ถึงแม้ว่าจะกลัวแต่เด็กน้อยแคโรลจะไม่ถอยหนีไปไหน ‘ฉันจะปกป้องเธอเองนะ เจ้าหญิง’ แคโรลหันไปพูดกับเบลล่าที่ตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว นักฆ่าเดินมาใกล้ๆแคโรลก่อนจะย่อตัวลงให้เท่ากับแคโรล ‘หนูน้อย อยากปกป้องเจ้าหญิงหรอคะ’ นักฆ่าเอ่ยถาม เด็กน้อยแคโรลพยักหน้าและยังไม่ยอมลดมือลง นักฆ่ายิ้มให้กับเด็กน้อยทั้งสอง ‘เป็นนักสู้ไหม จะได้ปกป้องเจ้าหญิงได้ไง’ นักฆ่าลูบหัวแคโรลอย่างอ่อนโยน แคโรลมองนักฆ่าอย่างไม่ไว้ใจ ‘ไม่เอา เป็นนักสู้ไม่เท่ห์เลย’ แคโรลน้อยเถียงออกไปอย่างใจกล้า เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี ‘แล้วหนูน้อยอยากเป็นอะไร’ นักฆ่ายังคงต่อบทสนทนาออกไป ‘อยากเป็นนักรบกล เท่ห์มากๆ’ นักฆ่ายิ้มให้กับความใสสื่อของเด็กเหลือเกิน นักฆ่าหยิบสร้อยเส้นนึงออกมาสร้อยเส้นนั้นเป็นเป็นรูปกังหันลม ‘หนูน้อยถ้าเมื่อไร หนูอยากจะเป็นนักสู้ให้เอาสร้อยเส้นนี้ขึ้นมาใส่นะ มันจะช่วยหนู’ นักฆ่าพูดพลางยื่นสร้อยให้กับเด็กสาวก่อนจะพูดอีกหนึ่งประโยคว่า ‘จงเป็นนักสู้ที่ดี และแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องเจ้าหญิงให้ได้นะหนูน้อย’ เด็กน้อยแคโรลรับสร้อยเส้นนั้นมา เมื่อสัมผัสกับสร้อยแคโรลก็สลบและเบลล่าก็สลบตามไป ทั้งคู่ตื่นมาอีกทีก็อยู่ตรงสนามหญ้า แคโรลล้วงไปในกระเป๋ากางเกงก็เจอสร้อยที่นักฆ่าคนนั้นให้ หลังจากเรื่องวันนั้นทั้งคู่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ส่วนแคโรลเองก็เก็บสร้อยเส้นไว้ลับที่สุดและจะไม่มีใครหามันเจอ
“แคโรล” เสียงตะโกนจากเบลล่าทำให้แคโรลสดุ้ง “เหม่ออะไรอยู่” เบลล่าถามอย่างไม่สบอารมณ์ แคโรลส่ายหัวและส่งยิ้มให้กับเบลล่า เบลล่าเอื้อมมือมาจับมือแคโรลไว้หลวมๆ “ใส่สร้อยเส้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร” เบลล่าที่พึ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่คอของเพื่อนเอ่ยถามขึ้น “เมื่อคืนหลังจากแยกกับพวกเรานั่นแหละ” แคโรลกระชับมือของเบลล่าให้แน่นขึ้น “ตัดสินใจแน่แล้วหรอ” เบลล่าถามอย่างรู้ใจเพราะว่าแท้จริงแล้วแคโรลอยากเป็นนักรบกลมาก ซึ่งแคโรลก็ยิ้มบางๆให้เบลล่าก่อนจะพูดคำที่ทำให้เบลล่ายิ้มอย่างมีความสุข “ฉันจะปกป้องเธอเองนะ เจ้าหญิง” พูดจบเบลล่าก็ซบไหล่แคโรลที่ยอมเป็นหมอนจำเป็นอย่างเต็มใจ
เจ็ดวันที่สงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายต่างพากันมารวมตัวที่โรงเรียนมิดเดิลไลน์โรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในอาณาจักร เอ็ดมันก็เช่นกันเขาเดินไปถึงหน้าโรงเรียนเขาเห็นคนจำนวนไม่มาก ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ตึกทรงกลมที่อยู่ตรงกลางดูเด่นเป็นสง่ามีตึกทรงแปลกประหลาดอีกห้าตึกที่ล้อมตึกทรงกลมนั้นอยู่ น้ำพุเวทที่อยู่ตรงกลางโรงเรียนได้รับความสนใจมาก เพราะเมื่อใดที่ใครแตะน้ำ น้ำพุก็จะเปลี่ยนสีตามอารมณ์คนๆนั้นทันที แต่เอ็ดมันก็ทำเพียงแค่เดินผ่าน ถัดไปอีกเอ็ดมันเห็นกลุ่มคนห้าคนที่แต่งตัวซ่อมซ่อ ผู้หญิงผมสีเทาในกลุ่มหันมาสบตากับเอ็ดมันก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรเอ็ดมันก็ยิ้มตอบทันทีแล้วคนกลุ่มนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลงโดยใช้พลังเวทที่ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู เอ็ดมันฟังก็รู้สึกได้ทันทีว่าคนพวกนี้เป็นโจ๊กเกอร์อย่างแน่นอน หญิงผมเทาวาดมือขึ้นบนหัว ฮาร์ปก็ปรากฎออกมา หญิงสาวเล่นฮาร์ปนั้นอย่างไพเราะด้วยมือเปล่า เอ็ดมันจ้องหญิงสาวคนนั้นตาไม่กระพริบคล้ายว่าเอ็ดมันถูกมนต์สะกดเข้าแล้ว แม้หญิงสาวผมเทาจะไม่งามเท่ากับแอนเดรียแต่ว่าหญิงผมเทาคนนี้มีเสน่ห์น่ามองเหมือนโดนมนต์สะกดอยู่ตลอดเวลา ไหนจะดวงตาสีเทานั่นอีกช่างเป็นดวงตาทีเข้ากับสีผมเสียจริง จมูกและปากเล็กๆ เข้ากับใบหน้าที่เรียวเว้าได้สัดส่วนจริงๆเพียงเสียงดนตรีหยุดลงหญิงผมเทาก็เดินเข้ามาหาเอ็ดมัน หญิงสาวยิ้ม “ฮาย” หญิงสาวทักทาย เอ็ดมันยิ้มรับน้อยๆ “นายได้ยินดนตรีพวกเราด้วยหรอ” หญิงสาวพูดอย่างดีใจ เอ็ดมันก็พยักหน้าอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงดนตรีชัดมากๆ “นายต้องได้รับเลือกเป็นโจ๊กเกอร์แน่นอน” หญิงสาวพูดจบก็เดินหันหลังไปทันที เสียงดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง เอ็ดมันไม่เข้าใจเสียงออกจะดังขนาดนี้ใครๆก็ได้ยินไม่ใช่หรอ?
เอ็ดมันยังคงเดินต่อไปเรื่อยจนถึงทางเข้าตึกทรงกลม ภายในประดับด้วยโคมไฟหลายสิบอันทำให้ภายในอาคารมีแสงส้ม เอ็ดมันเดินไปเรื่อยๆก็เจอกับเพื่อนใหม่ของเขา “นายนักฆ่า’ เสียงที่เอ็ดมันคุ้นเคยเหลือเกินเพราะเธอคนนี้อธิบายที่สายต่างๆให้ฟังตั้งนาน “’ไลล่า” เอ็ดมันเผลอยิ้มแฉ่งอย่างลืมตัว ไลล่าเห็นดังนั้นก็อดตกใจไม่ได้ ทั้งคู่เดินเข้ามาหากัน “คนอื่นๆล่ะ” เอ็ดมันถาม ไลล่าส่ายหน้า ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆตามเส้นทาง บนฝาผนังมีรูปวาดมากมาย ทั้งผนังยังเป็นหินขนาดใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงยุคกลาง “นายนักฆ่า ฉัน ..” ไลล่าเสียงหายไปซักอย่างนั้น เอ็ดมันหันหน้าไปมองเห็นไลล่ามีสีหน้ากังวลอย่างที่เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนน “กลัวบททดสอบวันนี้จัง” ในที่สุดไลล่าก็พูดความรู้สึกที่น่าอายแบบนี้ออกไป ซึ่งเอ็ดมันก็ส่ายหน้าทันทีเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรต้องกลัว ไลล่ามายิ้มให้ก่อนจะจูงมือเอ็ดมันไปที่ห้องโถงใหญ่
ในตอนนี้ที่ห้องโถงใหญ่มีนักเรียนอยู่ประมาณหนึ่งร้อยคนที่กำลังรอรับการทดสอบอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากๆอาจจะเป็นเพราะยังเช้าอยู่ ไลล่าลากเอ็ดมันมาตรงโต๊ะลงทะเบียนซึ่งตอนนี้มีคนสองสามคนที่ต่อแถวอยู่เมื่อถึงคิวของเอ็ดมัน เขาก็ยื่นมือไปรับกระดาษ เอ็ดมันอ่านลายละเอียดอย่างถี่ถ้วน เขากรอกลงไปอย่างไม่รีบอะไรเมื่อเสร็จเอ็ดมันก็ยื่นให้กับหญิงแก่ ผิวเหี่ยว ใส่แว่นหนาเตอะ หล่อนมองเอ็ดมันก่อนจะบอกว่า “เธอนำของไปเก็บที่หอตึกเจได้เลย” หญิงแก่พูดกับเขา เอ็ดมันพอจะรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอาจารย์ล่ะมั้ง และไม่ต้องทดสอบก่อนหรอ มีคำถามผุดขึ้นในใจเอ็ดมันมากมาย เอ็ดมันบอกลาไลล่าที่ก็ งง เหมือนกันที่เอ็ดมันได้เข้าหอเลยแต่ไลล่าก็ส่งยิ้มให้และไปเตรียมตัวทดสอบต่อ
เอ็ดมันมาถึงตึกเจที่รูปทรงประหลาดเหนือจินตนาการจะมองเป็นรูปทรงกลมก็มองได้จะมองเป็นสี่เหลี่ยมมันก็ใช่ เอ็ดมันเลิกใช้จินตนาการของเขาและเข้าไปในตึก ภายในตึกเป็นสีดำแบบที่เขาชอบมีรูปปั้นตัวตลกอยู่ตรงกลางทั้งห้องเป็นพื้นโล่งๆไม่มีบันไดแต่กลับมีประตูอยู่ที่ผนังพร้อมกับพื้นปูนที่ยื่นออกมาสำหรับเป็นที่ยืน จากที่สังเกตตึกนี้คงจะมีหลายชั้นเพราะเอ็ดมันเงยหน้าขึ้นเห็นมีประตูอยู่เต็มไปหมดและสูงขึ้นเรื่อย ‘แล้วจะขึ้นไปได้ยังไงล่ะ แต่เดี๋ยวนะ’เอ็ดมันพูดในใจอย่างตกใจ ถ้าเขาสังเกตไม่ผิดรูปปั้นนั้นมันเหมือนจะขยับได้ !!!??
“โอ้วววว” เสียงแหลมๆดังขึ้น เป็นเสียงที่พูดให้ถูกเหมือนเสียงแม่มดในภาพยนตร์ยังไงยังงั้น “เลือดโจ๊กเกอร์ในตัวเจ้าแรงมากทีเดียวหนุ่มน้อย” รูปปั้นที่ไม่ระบุเพศหญิงหรือเพศชายยืนคุยกับเอ็ดมัน เอ็ดมันที่ยังคงตกใจกับรูปปั้นขยับได้เท่านั้นไม่พอยังพูดได้อีก ‘ที่เมืองนี้ชักจะมีอะไรประหลาดเกินไปแล้ว’ เอ็ดมันคิดในใจ
“เจ้าเข้ามาที่นี่โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆใช่หรือไม่” รูปปั้นตัวตลกเลิกคิ้วสูง ซึ่งเอ็ดมันก็ตอบไปว่าใช่เรียกรอยยิ้มของรูปปั้นตัวตลกดูน่าขนลุกกว่าของเขาหลายสิบเท่าเลย “ทายาทจอมมารงั้นหรอเนี่ย” รูปปั้นตัวตลกยังพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจอยู่ดี “ฉันชื่อเอ็ดมัน ดิออร์” เอ็ดมันตอบอย่างฉะฉานจริงๆแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องจอมมารอะไรเลยด้วยซ้ำเพียงแต่รู้ว่าเขาเป็นคนที่เก่ง โหดเหี้ยมและยิ่งใหญ่มาก “ตระกูลนักฆ่าของเจ้าชื่อเสียงโด่งดังมากทีเดียวนะ” รูปปั้นตัวตลกก็ยังคงพูดต่อไปเหมือนกับเขารู้ความลับอะไรบางอย่างงั้นแหละ “เจ้าควรขึ้นไปเก็บของที่ห้องของเจ้าได้แล้ว” พูดจบรูปปั้นก็ยื่นมือออกมา เอ็ดมันทำหน้างงซึ่งมันดูจะขัดใจรูปปั้นตัวตลกมากทีเดียว “เลือดเจ้า” รูปปั้นตัวตลกพูดพร้อมกับกวักมือเรียกเอ็ดมันซึ่งเอ็ดมันก็เข้าใจทันที เอ็ดมันหยิบมีดสั้นที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระมากรีดแขนข้างขวาของตัวเองทันที เลือดของเอ็ดมันค่อยๆไหลลงไปที่มือของรูปปั้นตัวตลกทีละหยด เอ็ดมันให้เลือดไปในปริมาณที่มากพอที่จะทำให้เค้าหน้าซีดแล้วเจ้ารูปปั้นตัวตลกก็เหมือนจะไม่ยังพอแต่เอ็ดมันก็ยังคงให้เลือดต่อไป
“พอแล้ว” รูปปั้นตัวตลกพูด มีแสงสีขาว สีดำและสีแดงอยู่ที่มือของรูปปั้น รูปปั้นตัวตลกมองอย่างพอใจ “เอาล่ะได้เวลาส่งเจ้าขึ้นห้องแล้ว” เอ็ดมันแสดงสีหน้าไปเข้าในคำพูดของรูปปั้นแต่แล้วก็ต้องร้องอ๋อเมื่อรูปปั้นทำสัญญาณให้ขึ้นมาบนมือ ทีแรกเอ็ดมันคิดว่าเขาคงจะใช้เวทอะไรซักอย่างเพื่อส่งตัวเขาขึ้นไปยังชั้นบนแต่ไม่ทันที่ความคิดของเอ็ดมันจะสิ้นสุดลงรูปปั้นก็ขยับมือต่ำลงก่อนจะโยนเอ็ดมันขึ้นไป เอ็ดมันที่ตอนนี้อยู่ในช่วงอึ้งและตกใจก็ได้พบว่าตัวเองลอยเคว้งอยู่ในอากาศเสียแล้ว “หนุ่มน้อยเลือกมาซักห้องหนึ่งห้องที่มีแสงน่ะ แค่คิดก็จะได้เข้าไปอยู่ในนั้น” คำแนะนำของรูปปั้นทำให้เอ็ดมันเห็นสามห้องที่อยู่เรียงจากต่ำไปสูงเรืองแสงอยู่ห้องที่ต่ำที่สุดมีแสงสีดำออกมา เลยขึ้นไปหน่อยเป็นแสงสีขาวและเลยชั้นสีขาวไปอีกเป็นชั้นที่มีแสงสีแดงอยู่ ห้องสีขาวเขาคงตัดทิ้งไปเลยเพราะเขาไม่ชอบเอ็ดมันใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจเลือกห้องสีดำมันอยู่ไม่สูงจากพื้นที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่นี้เท่าไรคงประมาณสามชั้นจากตรงนี้ หลังจากที่เขาได้คิดและเลือกห้องแสงสีดำแล้วเขาก็มายืนอยู่ตรงบริเวณที่พื้นปูนยื่นห้องมา “โชคดีนะมิเกล” รูปปั้นตัวตลกพูดชื่อที่ไม่ใช่ชื่อเขาออกมาจังหวะนั้นเอ็ดมันไม่สนใจใดๆอีกเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับห้องขนาดเล็กที่สามารถอยู่คนเดียวและเตียงเดี่ยวที่สำหรับนอนคนเดียวอยู่ตรงกับประตู เอ็ดมันรู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อยที่ห้องของเขามีหน้าต่างอยู่ใกล้กับเตียง ทางด้านขวามือของเขามีประตูซึ่งเอ็ดมันเป็นสำรวจดูแล้วพบว่ามันเป็นห้องน้ำรวมที่อาบได้แค่ครั้งคนเท่านั้น ตรงหน้าต่างมีโต๊ะคาดว่าคงใช้สำหรับเขียนงานหรือจดงาน ตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่อยู่ปลายเตียงแต่คนละฝั่งกับเตียงดูเป็นตู้เสื้อผ้าเก่าที่ไม่น่าจะมีใครใช้มานานแล้วเอ็ดมันจัดของเข้าตู้เสื้อผ้าทันทีที่กระเป๋าสัมภาระโดนโยนขึ้นมาแล้ว หลังจากจัดของเสร็จเรียบร้อยเขาก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่มีผ้าปูที่นอนสีขาวและผ้าห่มสีเขียว เอ็ดมันนอนทับลงไปทั้งอย่างนั้นก่อนจะหลับไปเพราะเสียเลือดมาก
------------------------------------------------------------
Talk : -ขอบคุณสำหรับคนที่เข้ามาอ่านมากๆนะค้าบ
^^" บท 2 มาแล้ว รีบอ่ะ ::
ยาวเหมือนเดิม และคำถามเดิม ยาวไปไหมอ่าา ??
ความคิดเห็น