คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Kill End. 4 ผู้พิทักษ์
สายๆของการเปิดเรียนเอ็ดมันดูจะตั้งใจเรียนกับวิชาดนตรี เอ็ดมันเริ่มจากการไล่โน้ตของแซ็กโซโฟนที่เขาพึ่งได้มาเมื่อวาน ค่อนข้างเป็นสายที่อิสระในห้องโถงของการเรียนนักเรียนอยู่หกคนรวมทั้งสี่ชั้นปีในตอนนี้ หลังจากเช้าที่แสนวุ่นวายเมื่อเอ็ดมันตื่นแต่เช้าและตะโกนถามรูปปั้นว่าชั้นเรียนอยู่ตรงไหนและคำตอบที่ได้มาก็คือถัดนี้ไปอีกสิบชั้นเอ็ดมันไม่มีปัญหาใดๆ แต่พี่สาวตัวแสบของดันเอาเบบี๋มาคืนแต่เช้าทำให้การไปเรียนมีอุปสรรค ‘เบบี๋จะตามป๊ะป๋าไปเรียน’ เบบี๋ไม่ยอมฟังป๊ะป๋าของมันที่บอกให้อยู่ห้อง งองแงจะตามไปอย่างเดียวซึ่งเอ็ดมันปวดหัวมาก เอ็ดมันจึงหลอกล่อว่าเดี๋ยวคืนนี้จะพาไปเที่ยวกับแคโรลและเบลล่าอีก เบบี๋ตัวน้อยจึงยอมอยู่ในห้องแต่โดยดี
กลับมาสู่ห้องเรียนปันจุบันที่เป็นห้องโถงกว้างเกินความจำเป็นสำหรับคนในสาย ภายในห้องไม่ได้ตกแต่งอะไร จริงๆเหมือนห้องที่ยังตกแต่งไม่เสร็จเพราะยังมีอุปกรณ์ก่อสร้างที่วางระเกะระกะผนังเป็นสีครีมกับพื้นสีขาวซึ่งดูจืดชืดในความคิดเอ็ดมัน หญิงสาวเล่นฮาร์ปที่เขาเจอเมื่อวานก็แอบส่งยิ้มให้เขามาอย่างบ่อยครั้งจนบางครั้งเอ็ดมันก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถัดไปจากหญิงสาวก็ชายหนุ่มผมแดงที่นั่งเป่าทรัมเป็ตแต่สายตาไม่ได้สนใจโน้ตตรงหน้า ต่อไปอีกชายหนุ่มผมสีดำที่ยืนเป่าฟรุ๊ทอยู่ริมหน้าต่างบางทีเขาอาจจะคิดว่าเป็นนายแบบอยู่ก็ได้ ต่อมาหญิงสาวผมสั้นสีครีมที่นั่งสีไวโอลินอยู่คนนี้ดูปกติที่สุด ถัดมาเรื่อยๆหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่กำลังรัวกลองชุดด้วยอารมณ์ที่มันส์สุดขีด เอ็ดมันมองคนพวกนี้ด้วยทีท่าที่หนักใจเหลือเกิน เอ็ดมันที่อยู่ตรงมุมมืดสุดของห้องไล่สายตาไปทีละคนแต่ก็ยังไม่เจอคนที่เขาอยากจะเจอและเอ็ดมันก้มหน้าเป่าแซ็กโซโฟนต่อไป
ปัง! ประตูห้องถูกเปิด เอ็ดมันเงยหน้ามองตามเสียงที่ดังขึ้นมาก็เจอคนที่เขาต้องการจะเจอ ผมสีครีมที่ยุ่งน่าจะเพราะความรีบของเธอทำให้เธอดูเปิ่นมากกว่าเดิมแต่สิ่งเหล่านี้เรียกรอยยิ้มจากเอ็ดมันผู้ซึ่งอยู่มุมห้องได้เป็นอย่างดี หญิงสาวที่มาใหม่ก้าวยาวๆไปหาผู้หญิงที่สีไวโอลินอยู่ เอ็ดมันมองตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ “พี่เมโลดี้” หญิงสาวที่เข้ามาใหม่เรียกเสียงดัง คนโดนเรียกละจากโน้ตที่เล่นอยู่หันมองตามเสียงก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันแรกก็สายแล้วหรอเรา” เมโลดี้รูปหัวไมล์เอลอย่างเอ็นดู “ค่ะ เมื่อคืนหนูคิดอะไรนิดหน่อยเลยนอนไม่หลับ” ไมล์เอลแจ้งเหตุผลให้ฟังซึ่งก็ดูจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะหน้าที่โทรมกว่าปกตินิดหน่อยและขอบตาที่คล้ำนั่นอีก ไมล์เอลมองหาที่ซ้อมอยู่ซักพักก็เจอเอ็ดมันทีกำลังมองตนอยู่ ไมล์เอลยิ้มน้อยๆให้กับเมโลดี้ก่อนจะเดินไปทางที่เอ็ดมันยืนอยู่ เอ็ดมันส่งยิ้มให้ไมล์เอลอย่างเป็นมิตรไมล์เอลก็เช่นกัน เมลโลดี้เดินตามไมล์เอลมาติดๆและเมโลดี้ก็บอกให้ไมล์เอลลองเล่นเปียโนดูแต่ผลที่ออกมาคือยังไม่ดีพอแม้เอ็ดมันที่ตั้งใจฟังจะคิดว่าเพราะมากก็ตาม เอ็ดมันเห็นไมล์เอลก้มหัวตลอด เมื่อคุยกันเสร็จไมล์เอลก็นั่งที่เปียโนเพื่อบรรเลงเพลงอีกครั้งคราวนี้เมโลดี้ก็เล่นไวโอลินด้วยทั้งคู่เล่นด้วยกันเพราะอย่างเหลือเชื่อมันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนตอนที่เขาพยายามจะฝึกดาร์กบัลลาดมันอ่อนโยนและไพเราะกว่านั้นมันเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง เอ็ดมันมองหญิงสาวทั้งสองคนอย่างเหลือเชื่อไม่ใช่เอ็ดมันที่ให้ความสนใจแต่ยังเป็นคนทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนในตอนนี้ ทั้งคู่เล่นจบทั้งห้องปรบมือให้ ทั้งคู่ยิ้มรับให้กับเสียงปรบมือ
‘แคโรลรู้ไหมลูกว่าจอมมารเป็นคนยังไง’ เสียงทุ้มของผู้เป็นพ่อดังขึ้น เด็กน้อยแคโรลส่ายหัวหลายครั้งเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นพ่อได้เป็นอย่างดี ‘พ่อเป็นผู้พิทักษ์ของเขา เขาทั้งเก่งและเป็นคนดี แต่ลูกรักคนทุกคนก็มีด้านไม่ดีในตัวเองทั้งนั้นจอมมารก็เช่นกันนะลูก’ ผู้เป็นพ่อลูบหัวเด็กน้อยแคโรล ‘และพ่อไปรู้จักกับคนไม่ดียังไงคะ’ เด็กน้อยแคโรลถามซึ่งผู้เป็นพ่อก็ยิ้มให้ก่อนจะตอบว่า ‘คนที่เวทต้องห้ามเลือกนั้นจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์เฉพาะคนที่เวทต้องห้ามเลือกไม่ใช่พวกที่ฝึกเวทโดยมิชอบ ผู้พิทักษ์ทำหน้าที่คล้ายๆเป็นผู้ดูแล จอมมารเลือกพ่อและพ่อภูมิใจมากๆที่จอมมารเลือกพ่อเป็นผู้พิทักษ์’ ผู้เป็นพ่อยังคงเล่าต่อไป แม้เด็กน้อยแคโรลจะไม่เข้าใจว่าพ่อมาเล่าเรื่องจอมมารให้ฟังทำไมแต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเรื่องของคนดังที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะจอมมารคิดจะเป็นศัตรูต่อราชวงศ์ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของจอมมารเพียงแต่ทุกคนเรียกเขาว่าจอมมาร ‘พ่อคะหนูอยากเป็นผู้พิทักษ์บ้างจัง’ เด็กน้อยแคโรลพูดและกอดผู้เป็นพ่อแน่น ซึ่งผู้เป็นก็ยิ้มให้ ‘จะเป็นไหวหรอเรา คนที่เวทต้องห้ามเลือกน่ะน่ากลัวมาก’ สิ้นเสียงพ่อแล้วพ่อแคโรลก็หัวเราะเสียงน่ากลัว เพราะเสียงหัวเราะที่น่ากลัวนั่นทำให้เด็กน้อยแคโรลไม่กล้าที่จะนอนคนเดียวไปหลายคืน
พลั่ก! “ตั้งใจซ้อมหน่อย” เสียงรุ่นพี่ที่เดินมาเตะแคโรลที่กำลังนั่งเหม่อเรื่องสมัยเด็กเข้าอย่างจัง แคโรลนอนราบไปกับพื้นอย่างน่าอนาถใจ วันนี้ทั้งวันแคโรลไม่มีสมาธิในการซ้อมพลังกายเลย เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานที่ดูจะเกี่ยวข้องกับจอมมารทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้รู้จักจอมมารแต่เขากลับกลัวและอยากลองในเวลาเดียวกันเพราะเรื่องสมัยเด็กที่พ่อเป็นคนเล่าให้ฟังและบางทีอาจจะช่วยพ่อของแคโรลได้ก็เป็นได้ แคโรลพยายามจะตั้งใจซ้อมมากขึ้นทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่มีสมาธิทำให้ตัวเขาเองเกิดอาการบาดเจ็บอย่างหนักที่แขนข้างขวา รุ่นพี่ในสายรีบพาตัวแคโรลไปยังตึกเอชทันที
แคโรลถูกนำตัวไปยังตึกเอชเรียบร้อยแล้วก็ได้รุ่นพี่ในสายนั้นเป็นคนรักษาให้ไม่นานอาการบาดเจ็บก็ลดลงจนไม่รู้สึกเจ็บอีก “แคโรลทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” เสียงเพื่อนสนิทแอนเดรียถามขึ้นหลังจากเดินมาเจอแคโรลโดยบังเอิญ “พอดีฝึกจนได้รับบาดเจ็บที่แขนน่ะ” แคโรลตอบก็จะส่งยิ้มให้แอนเดรีย แอนเดรียส่ายหน้าให้เพื่อนของตัวเอง “เรียนวันแรกเป็นไงบ้าง” แคโรลถามแอนเดรีย “ก็ตามสบายมากเลย เห็นพรุ่งนี้ต้องเรียนรวมกันทุกสายใช่ไหม” แอนเดรียถามซึ่งแคโรลก็พยักหน้า “ฉันไปก่อนนะแอนเดรียและเดี๋ยวคาบหน้าเจอกัน” แคโรลพูดจบก็ก้มลงไปหอมแก้มแอนเดรียซึ่งแอนเดรียก็มีทีท่าเขินอาย แคโรลเป็นคนอัธยาสัยดีอย่างนี้กับทุกๆคนจึงไม่แปลกที่เพื่อนๆในกลุ่มจะรักแคโรลมาก
ที่ร้านร็อคกี้ร้านเดิม โต๊ะตัวเดิมคนมานั่งก็ยังเป็นคนเดิม แคโรลซึ่งได้ชวนเอ็ดมันออกมาตามลำพังแต่มีเจ้าเบบี๋พ่วงเข้ามาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เอ็ดมันนายเคยได้ยินเรื่องผู้พิทักษ์ไหม” แคโรลที่นั่งเงียบอยู่นานถามขึ้น ซึ่งเอ็ดมันก็ละจากการเล่นกับเบบี๋เงยหน้าขึ้นมามองแคโรล ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “พ่อของฉันเคยบอกว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของจอมมาร” แคโรลบอก ซึ่งเอ็ดมันก็ทำหน้าอย่างไม่เข้าใจ “เห็นพ่อบอกว่ามีหน้าที่ดูแลจอมมาร” แคโรลยังคงพูดต่อซึ่งดูเหมือนเอ็ดมันจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อน “ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นข้อมูลให้นายได้ นายรับภารกิจแล้วนิ่” แคโรลพูดก่อนจะฉีกยิ้มให้เอ็ดมันหนึ่งที “และฉันก็อยากเป็นผู้พิทักษ์ด้วย” พูดเสร็จแคโรลก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย ซึ่งเอ็ดมันเห็นแล้วก็ต้องยิ้มตามไปด้วยส่วนเจ้าเบบี๋ที่พยายามมองหน้าแคโรลอย่างไม่ลดละ ในที่สุดแคโรลก็เงยหน้าขึ้นมาทำให้เห็นใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อยซึ่งก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
“แล้วนายจะเริ่มภารกิจจากอะไรล่ะ นายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจอมมารเลยไม่ใช่หรอ” แคโรลที่ตอนนี้จับเบบี๋มานั่งตักถามเอ็ดมัน “เริ่มที่พ่อของเธอดีไหมล่ะ เขาเป็นผู้พิทักษ์ไม่ใช่หรอ” เอ็ดมันเสนอความคิด ซึ่งสีหน้าแคโรลก็ดูจะเศร้าลงนิดหน่อยก่อนจะพูดบอกว่า “พ่อของฉันเขาโดนผนึกไว้กับจอมมาร” สีหน้าของแคโรลไม่ดีขึ้นเลยแต่เจ้าเบบี๋ก็ใช้มือจับหน้าแล้วโยกไปโยกมาจนแคโรลยิ้มออกมาจนได้ “ขอโทษนะ” เอ็ดมันเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ฉันว่านายควรจะหาที่มาของชื่อนายก่อน” แคโรลเสนอความคิดที่มันน่าจะพอเป็นไปได้ “มิเกลน่ะหรอ” เอ็ดมันถามทั้งที่ก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วและแคโรลก็พยักหน้าอีกทีเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าเอ็ดมันคิดถูก
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีทหารชุดเกราะของราชวงศ์หลายสิบนายเดินเข้ามาในร้าน ชุดเหมือนพวกเมื่อคืนที่ทำร้ายเขาทั้งสองมองหน้ากันอย่างกับอ่านใจกันออกและทันใดนั้นเองเจ้าเกเบียลก็เดินเข้ามา เจ้าชายมอบยิ้มให้กับคนทุกคนแต่สำหรับเอ็ดมันแล้วมันดูเสแสร้งไม่เหมือนกับตอนที่เจอที่บ้านแอนเดรียเลยแต่ก่อนที่ความคิดของเอ็ดมันจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เจ้าชายเกเบียลก็ตะโกนเสียงดังว่า “เมื่อคืนมีได้มีการสังหารทหารสิบนาย เป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมและดุร้าย” เจ้าชายเกเบียลเว้นวรรคก่อนจะพูดต่อ “ข้าเป็นตัวแทนของพระราชาไอเดน เจ้าชายเกเบียล เดอะ รอยัลขอจับเอ็ดมัน ดิออร์ มีโทษถือว่าเป็นพวกกบฎ” เมื่อเจ้าชายพูดเสร็จทั้งเอ็ดมันและแคโรลดูเหมือนจะตกใจมากทั้งๆที่เหตุการณ์เมื่อคืนมันไม่ใช่แบบนี้ “ต้องจับเผาทั้งเป็นถือว่าคบค้าสมาคมกับพวกมาร” สิ้นเสียงเจ้าเกเบียลแล้วก็มีเสียงโห่ร้องยินดีมาจากทั่วสารทิศในร้านและทหารก็กรูกันเข้ามาล้อมโต๊ะเอ็ดมันไว้และตามมาด้วยเจ้าชายเกเบียลที่เดินมาถึงโต๊ะแล้ว แคโรลมองเจ้าชายเกเบียลด้วยสายตาที่ตัดพ้อและผิดหวัง
เอ็ดมันลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเจ้าชายเกเบียล “จะจับฉันไปเผา แน่ใจหรอว่าทำได้” คำพูดท้าทายที่เอ็ดมันเป็นคนพูดทำให้เจ้าชายมองหน้าเอ็ดมันอย่างเกี้ยวกราดพอสมควรแต่นั่นก็เรียกรอยยิ้มจากเอ็ดมันได้ สงครามประสาทคราวนี้ดูจะไม่ลดละแต่อย่างใด “ฉันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเอง” แคโรลที่อยู่ดีๆก็ตะโกนขึ้นมาเรียกเสียงฮือฮาจากรอบๆและสร้างความแปลกใจให้กับเจ้าชายเกเบียลไม่น้อย “แคโรล” เจ้าชายเกเบียลเรียกอย่างแปลกใจ “ใช่ค่ะ ฉันเองที่เป็นคนช่วยเอ็ดมันเมื่อคืน” แคโรลพูดจาฉะฉาน “งั้นเธอทำให้พี่ไม่มีทางเลือกนะแคโรล” เจ้าชายเกเบียลที่ดูเริ่มจะมีอารมณ์เดือดบ้างแล้วในตอนนี้ “ค่ะ เมื่อคืนฉันอยู่กับเอ็ดมัน” แคโรลพูดย้ำอีกหนึ่งครั้ง “แคโรลเธอทำอะไรของเธอ” และในที่สุดเอ็ดมันก็ทนไม่ไหว “จับฉันไปคนเดียวก็พอ ยัยนี่ไม่เกี่ยว” เอ็ดมันหันไปพูดกับเจ้าชายเกเบียลอย่างเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างนั้นแคโรลไม่ยอม “ไม่ค่ะ พี่เกเบียลเมื่อคืนฉันอยู่ด้วยจริงๆ ขอโทษนะคะที่ทำให้ผิดหวัง” เมื่อแคโรลพูดจบเอ็ดมันก็ไม่คิดจะเถียงต่ออย่างน้อยพี่สาวเขาก็ต้องปรากฎตัวไหนจะเพื่อนๆอีกอาจจะเป็นเครื่องต่อรองก็ได้ “จับพวกเขาทั้งสามคนไปขัง” พอเจ้าชายเกเบียลพูดจบเอ็ดมันและแคโรลก็มีสีหน้าไม่ยอมขึ้นมา “พี่เกเบียลจะจับเด็กตัวน้อยๆไปด้วยหรอคะ” แคโรลตะโกนถามเสียงดังซึ่งดูเอ็ดมันก็จะไม่ยอมให้เจ้าชายจับเจ้าเบบี๋ไปเช่นกัน
เรื่องที่ดูน่าจะสงบแล้วแต่กลับกลายจะวุ่นวายอีกครั้งเมื่อทั้งเอ็ดม่าและเบลล่าเดินเข้ามาในร้าน “เบลล่า” แคโรลเรียกเสียงอ่อยรวมถึงเอ็ดมันที่มองพี่สาวของตนด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เช่นกัน เอ็ดม่าหันหน้าไปมองเจ้าชายเกเบียลเพื่อนชายคนสนิท “ทำไมนายไม่ตรวจสอบก่อน” เสียงนิ่งๆที่เอ็ดม่าพูดออกไปเจ้าชายเกเบียลรับรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนของตนกำลังโกรธรวมถึงเอ็ดมันที่รู้ว่าพี่สาวตัวเองกำลังโกรธ “ท่านพ่อบอกมาไม่มีทางผิดพลาดหรอก” ถึงแม้ใครๆจะเห็นว่าเจ้าชายกลัวเอ็ดม่าแค่ไหนแต่เสียงที่ปล่อยออกมากลับดูมั่นใจและไม่ยอมลดละอย่างแน่นอนเหมือนกับอยากจะลองดีกับผู้หญิงตรงหน้า ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมามีเพียงแต่ความเงียบเท่านั้นที่เข้าปกคลุมร้านร็อคกี้ในเวลานี้
เบลล่าที่เดินเข้าไปหาแคโรลพร้อมทั้งกอดแคโรลแน่นถามด้วยสายตาว่าทำไมทำแบบนี้ น้ำใสๆที่เริ่มจะคลอเบ้าเบลล่าทำให้แคโรลอดที่จะเช็ดน้ำตาของเบลล่าให้ไม่ได้ แคโรลยิ้มให้เบลล่าก่อนจะกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ฉันจะไม่เป็นอะไรแต่เชื่อฉันสิ่ว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ” เมื่อพูดจบแคโรลก็ยิ้มให้เบลล่าอีกครั้งซึ่งเบลล่าก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ส่วนเอ็ดม่าที่กำลังจ้องหน้าเจ้าชายอย่างหาเรื่องอยู่นั้นก็ไม่ทำให้เจ้าชายเปลี่ยนคำตัดสินโทษแต่อย่างใดและสุดท้ายก็เป็นเอ็ดม่าที่เลิกจ้องหน้าและเดินเข้าไปหาน้องชายคนเดียวอย่างเอ็ดมัน "พี่" คำเรียกสั้นๆของเอ็ดมันทำให้เอ็ดม่าโผเข้ากอดอย่างไม่อายใคร “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก พี่ก็รู้ว่าฉันคนเดียวสามารถฆ่าทหารพวกนี้ให้ตายหมดด้วยซ้ำ” เอ็ดมันพูดกับเอ็ดม่าซึ่งเอ็ดม่าก็รู้ว่ามันเป็นความจริงทั้งหมด เอ็ดม่าสะบัดหน้าไปหาเจ้าชายเกเบียลก่อนจะถามว่า “จะเผาน้องฉันวันไหน” เสียงเล็กๆแต่ดูทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายมองหน้าเอ็ดม่าซึ่งตอนนี้ความกลัวได้หายไปแล้ว “วันพรุ่งนี้ตอนพระอาทิตย์ขึ้น” เจ้าชายพูดจบแล้วส่งสัญญาณให้ทหารจับเอ็ดมันและแคโรลออกไป “ส่วนเด็กคนนั้นฉันจะปล่อยไปแล้วกัน” เจ้าชายเกบียลว่าอย่างนั้นและเดินตามทหารออกไป
“พี่สาวเอ็ดมันคะ” เบลล่าเรียกเสียงอ่อน “คือเราจะทำอย่างไรดีคะ” เบลล่ายังคงถามต่อ เอ็ดม่าหันมามองหน้าเบลล่าที่ดูเคร่งเครียดไม่ต่างจากตัวเองเลย “เมื่อคืนพวกทหารพวกนั้นเป็นคนที่บอกว่าจะฆ่าพวกเรา” เบลล่ายังคงพูดต่อ “ฮึก ละ และเอ็ดมันก็ปกป้องพวกเราไว้” เบลล่าร้องไห้ออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้จะว่าเธอเห็นแก่ตัวก็ได้ถึงแม้ว่าเธอจะอยากโดนจับไปเหมือนแคโรลแต่เพราะทางบ้านมีตำแหน่งที่สูงจึงเป็นเรื่องยากเพราะมันจะเกี่ยวกับตำแหน่งในอนาคตของครอบครัวเธอด้วย เจ้าเบบี๋ที่สังเกตการณ์อยู่นานก็เดินมากอดเบลล่าไว้ เอ็ดม่าที่ตอนแรกก็ตกใจแต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปปลอบเบลล่าด้วยเช่นกัน “คืนนี้พี่จะบุกพระราชวัง” เอ็ดม่าพูดเสียงดังฟังชัดซึ่งเรียกความตกใจให้แกเบลล่าพอสมควร “ว่าไงนะคะ” เบลล่าถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “พี่จะบุกพระราชวัง เธอจะเอาด้วยไหมสาวน้อย” เอ็ดม่าพูดจบ เบลล่าก็รู้ทันทีว่าคนๆนี้ไม่ได้พูดเล่น เบลล่าลังเลอยู่ไม่นานก็ยิ้มให้เอ็ดม่าที่รอฟังคำตอบอยู่ “ค่ะ ฉันเอาด้วย” และทั้งสองคนกับอีกหนึ่งสัตว์อัญเชิญก็สุมหัววางแผนคืนนี้กัน
“แอนเดรียยยย” เสียงเรียกยาวๆ “ไงอีฟ” แอนเดรียที่โดนอีฟพุ่งเข้ากอดอย่างรวดเร็วเอ่ยขึ้น “คิดถึง ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันที่ทดสอบ” อีฟพูดพร้อมกับเอาหัวไปคลอเคลียกับไหล่แอนเดรียไม่หยุดเรียกทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากแอนเดรียได้เป็นอย่างดี "แต่เธอยังมีไลล่าที่เรียนสายเดียวกับเธอนะ" แอนเดรียพูดว่างั้น ซึ่งอีฟก็เบะปากอย่างนอยด์ๆ “ก็เจอแต่ยัยไลล่าผู้รู้ทุกอย่างนั่นแหละ ถึงได้น่าเบื่อไง” อีฟพูดจบแอนเดรียก็หัวเราะพอเป็นพิธี “วันนี้เจอแคโรลด้วยขี้เล่นเหมือนเดิม” แอนเดรียบอกอีฟอย่างนั้น “วันนี้พวกเธอไม่มีเรียนกันหรอตอนเช้าน่ะ” อีฟถามอย่างไม่เข้าใจ “มีสิ่แต่แคโรลเขาบาดเจ็บเลยมารักษาที่ตึกฉัน” แอนเดียพูดเสร็จอีฟก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นั้น ไลล่าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้พอดี “พวกเธอ” ไลล่าเรียกด้วยความเหนื่อยก่อนจะเป็นแอนเดรียที่ถามว่ามีอะไร ส่วนอีฟดูจะชินกับท่าทางที่แสนรีบร้อนนี้ไปซะแล้ว “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” ไลล่าพูดแต่ก็ยังคงมีอาการหอบอยู่ดี “ใจเย็นก่อนสิ่ มีอะไรก็ค่อยๆพูด” แอนเดรียพูดเตือนเพื่อน “ยัยนี่ก็เกิดเรื่องใหญ่ทุกวันนั่นแหละอย่าไปสนใจเลย” อีฟที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้นมา ซึ่งไลล่าก็ฟาดมือลงบนไหล่อีฟด้วยความรุนแรง “เรื่องใหญ่จริงๆ” ไลล่ายังคงไม่ลดความพยายามที่จะบอก “เอ็ดมันกับแคโรลโดนเจ้าชายเกเบียลจับไปแล้ว” เมื่อไลล่าพูดเสร็จทั้งอีฟและแอนเดรียก็ดูจะตกใจมากจริงๆเพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้วนะ ถึงจะมาล้อเล่นมันก็ดูจะแรงเกินไป “ทำไมถึงโดนพี่เกบียลจับล่ะ” แอนเดรียที่ได้สติก่อนถามไลล่า ซึ่งไลล่าก็เราเรื่องที่ตนรู้จากคนที่เขาพูดเรื่องนี้กันเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดังมากๆถึงแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นไม่นานแต่ข่าวก็ดังไปทั่วทุกสารทิศ “เอ็ดมันกับแคโรลเนี่ยนะจะไปฆ่าทหารราชวงศ์” อีฟตะโกนเสียงดังอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ซึ่งทั้งแอนเดรียและไลล่าก็ดูจะเห็นด้วย “ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน” ไลล่าพูดแนวเดียวกับอีฟเช่นกันและแน่นอนว่าแอนเดรียก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “และก็อีกอย่าง” ไลล่าพูดขึ้นมาเหมือนนึกอะไรออก “พี่ของเอ็ดมันกับเบลล่าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนะตอนที่เจ้าชายจับตัวเอ็ดมันกับแคโรลไป” อีฟพุ่งเข้าไปเขย่าตัวไลล่าทันทีที่ไลล่าพูดจบ “ทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้” อีฟตะโกนใส่ไลล่า “ก็คนมันลืมนิ่” ไลล่าก็ตะโกนกลับไปเช่นกันและก่อนที่ทั้งสองจะตะโกนใส่กันไปมามากว่านี้แอนเดรียก็พูดขึ้นมา “งั้นเรารีบไปตามหาตัวเบลล่าเถอะ” แอนเดรียพูดจบทุกคนก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
คุกใต้ดินในพระราชวัง “เอ็ดมันเอาไงต่อดีล่ะ” เสียงแผ่วเบาที่แทบจะเป็นกระซิบในระหว่างทางที่เดินไปยังห้องขัง ซึ่งเอ็ดมันก็เงียบเป็นคำตอบและทหารก็ได้พาทั้งเอ็ดมันและแคโรลไปขังอยู่ด้วยกันก่อนที่ทหารทั้งหลายจะเดินกลับออกไป ไม่มีทหารคนไหนเฝ้ายามแต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะกรงเหล็กที่ขังทั้งสองคนอยู่นั้นได้โดนร่ายเวทอยู่เวทแห่งแสงที่แข็งแกร่งมาก ไม่มีทางที่จะออกไปได้เว้นแต่จะมีเวทที่แข็งแกร่งกว่านี้และทั้งห้องขังที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินโอกาสหนีน้อยมาก
“เวทไรท์เอ็กซ์” เอ็ดมันพูดพร้อมกับประเมินลูกกรงตรงหน้า “เราคงออกไปไม่ได้” เอ็ดมันพูดด้วยความสิ้นหวังสุดๆ “เอ็ดมัน” แคโรลมองหน้าเอ็ดมันอย่างท้อถอยเช่นกันขนาดเอ็ดมันยังบอกว่าออกไปไม่ได้มันก็คงหมดหวังแล้วจริงๆ “เธอไม่น่าตามฉันมาเลยจริงๆ” เอ็ดมันมองหน้าแคโรลด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้แต่แคโรลกับส่ายหัวและฉีกยิ้มให้เอ็ดมันหนึ่งที “ฉันภูมิใจนะ ถ้าเกิดจะต้องมาตายพร้อมนาย” เอ็ดมันไม่เข้าใจสิ่งที่แคโรลพยายามจะสื่อ “ฉันคิดว่านายคือลูกของจอมมาร” แคโรลยังคงพูดข้อสันนิษฐานของตัวเองต่อไป “แล้วพ่อของนายน่ะอาจจะมีพี่หรือน้องที่เป็นจอมมาร แต่จอมมารโดนผนึกพ่อนายเลยเลี้ยงดูนายตั้งแต่เล็กๆแล้วให้นายเรียกว่าพ่อ นายคิดว่าไงข้อสันนิษฐานแบบนี้” เอ็ดมันมองแคโรลด้วยสายตาที่เหลือเชื่อเพราะมันมีความเป็นไปได้มากทีเดียว “แต่ถึงนายไม่ใช่ลูกของจอมมารฉันก็ยินดีนะ” แคโรลพูดแล้วฉีกยิ้มที่จริงใจมากๆให้เอ็ดมันไปอีกหนึ่งที
ทามกลางความมืดของคืนนี้สองสาวและหมาป่าหนึ่งตัวกำลังย่องเงียบไปตามเงาเสาเพื่อบดบังตนเองจากทหารยาม “พี่คะนั่นทางเข้าไปยังชั้นใต้ดินค่ะ” เบลล่าพูดจบเอ็ดม่าก็เดินนำทั้งสองไปยังหน้าประตูนั้นทันที แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆเจ้าชายเกเบียลก็ปรากฏตัว สองสาวมีสีหน้าตกใจนิดหน่อยซึ่งเรียกรอยยิ้มจากเจ้าชายเกเบียลได้เป็นอย่างดี “ฉันว่าแล้วว่าพวกเธอต้องบุกมาช่วยพวกกบฎ” เจ้าชายเกเบียลมองหน้าเอ็ดม่าก่อนจะหันไปมองหน้าเบลล่าที่ตอนนี้เริ่มซีดแล้ว “แล้วพี่ก็ผิดหวังในตัวเธอมากจริงๆที่เธอก็มาด้วยเบลล่า” เจ้าชายเกเบียลพูดต่อไป ทั้งเอ็ดม่าและเบลล่าหันมามองหน้ากันอย่างกับอ่านใจกันออกว่านี่มันไม่ใช่เจ้าชายเกเบียลที่พวกเธอรู้จักแน่ๆหรือที่ผ่านมาเจ้าชายเกเบียลใส่หน้ากากมาตลอด “ฉันรู้ว่าพวกเธอคงไม่กลับ” ทันทีที่เจ้าชายเกเบียลพูดจบทหารชุดเกราะสีดำเหมือนเมื่อคืนก็เดินออกมาแต่ไม่ใช่แค่สิบนายเหมือนเมื่อคืนแต่นับคราวๆก็ประมาณเกือบห้าสิบนาย แม้เอ็ดม่าจะเชื่อในฝีมือตัวเองแต่ห้าสิบคนก็เยอะเกินไป ถึงแม้จะมีเบบี๋แต่ก็ยังมีเบลล่าที่ยังใช้เวทโจมตีได้ไม่คล่องด้วย “ทหารพวกนี้ไม่ได้อ่อนหัดเหมือนพวกเมื่อคืน ขอให้สนุกกับปาร์ตี้เลือดในคืนนี้นะครับสาวๆ” ถึงแม้มันจะดูเป็นคำพูดที่สุภาพแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่
ฝ่ายทหารเปิดฉากโจมตีก่อนซึ่งเจ้าชายเกเบียลก็ยืนดูอยู่อย่างเพลิดเพลินราวกับว่าเขากำลังดูโชว์อยู่อย่างนั้น เอ็ดม่าหลบทหารทวนคนแล้วคนเล่าก่อนจะมีดสั้นซึ่งเป็นอาวุธที่หล่อนถนัดที่สุดเฉือนเข้าที่ต้นขาของทหารหลายนาย ตามด้วยเบบี๋ที่พอเห็นทหารเหล่านั้นเสียหลักก็กระโดดงับหัวอย่างง่ายดาย เบลล่าถึงแม้จะโจมตีไม่ได้เรื่องแต่หล่อนก็คอยระวังหลังให้เอ็ดม่าและเบบี๋เสมอและหลายครั้งที่เบลล่าปล่อยเวทน้ำแข็งใส่ทหารจนตัวแข็งและใช้เวทลูกไฟซ้ำไปอีกทีทั้งสามกำจัดทหารไปทีละนายเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายดาย ซึ่งเจ้าชายเกเบียลดูจะไม่ชอบใจนัก
ทั้งสามทั้งสู้และเบลล่ารับหน้าที่ป้องกันไปโดยปริยายแต่ทหารก็ดูจะไม่ลดน้อยลงเลย “พี่เอ็ดม่าระวัง” เบลล่ากางเวทป้องกันไม่ทัน ฉึก! “เมโลดี้!!!!!!” เอ็ดม่าตะโกนออกมาทั้งโกรธทั้งตกใจแทนที่คนจะโดนแทงจะเป็นตนแต่กลับไม่ใช่ เบลล่าเห็นท่าไม่ดีจึงกางเวทป้องกันคลุมร่างทั้งตัวเอง เบบี๋ เอ็ดม่าและเมโลดี้อีกคน “เธอมาได้ยังไง” เอ็ดม่าประคองร่างของเมโลดี้เอาไว้และพยายามมากที่จะกลั้นน้ำตาไว้ “ฉันเป็นผู้พิทักษ์เธอนะ ทำไมถึงชอบให้สะกดรอยตามมาอยู่เรื่อย” เมโลดี้ยิ้มให้เอ็ดม่า ถึงบาดแผลของเมโลดี้จะไม่ทำให้ถึงตายแต่เพราะทหารพวกนี้ร่ายเวทไว้ที่อาวุธทั้งหมด บาดแผลจึงค่อนข้างหนัก บาดแผลของเมโลดี้ไม่ได้ทำให้ตายทันทีแต่จะทำให้ทรมานอย่างช้าและในที่สุดอาจจะถึงตายได้ เอ็ดม่ามองดูเมโลดี้ที่ตอนนี้เหมือนกำลังต่อสู้กับบาดแผลของตัวเองอยู่ “เบลล่ากางเวทป้องกันเอาไว้ให้แน่นหนาที่สุด” เอ็ดม่าตะโกนสั่งเบลล่าซึ่งเบลล่าก็พยักหน้ารับและเพิ่มความแข็งแกร่งของเวทป้องกันเข้าไปอีก และเอ็ดม่าก็ไม่รอช้าอีกเอ็ดม่าพึมพำบางอย่าง ร่างของเมโลดี้ร้องโหยหวญเหมือนกับขอร้องให้หยุดการกระทำนี้เสียทีแต่เอ็ดม่าก็ยังไม่หยุดแต่อย่างใด เอ็ดม่าใช้มือข้างขวาทาบไว้ตรงบาดแผลและที่มือของเอ็ดม่าก็มีอ่อร่าสีดำเป็นเส้นเล็กๆพันมือเอ็ดม่าไว้ เอ็ดม่าพยายามดูดเวทที่อยู่ในตัวเมโลดี้ให้หมด แต่คงทำไม่ได้เพราะถ้าจะทำเช่นนั้นเอ็ดม่าจำเป็นต้องใช้เวทไวท์เชน ซึ่งตอนนี้คงไม่เหมาะนักที่จะใช้ เมื่อเอ็ดม่าดูดเวทสีดำในตัวเมโลดี้ไปนิดหน่อยแล้วนั้น เมโลดี้ก็มีสีหน้าที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ปิดแผลเถอะ เอ็ดม่า” เมโลดี้เอื้อมมือมาจับมือเอ็ดม่าไว้เอ็ดม่าก็พยักหน้าก่อนจะร่ายเวทอีกบทเพื่อปิดบาดแผล “พี่คะ เกราะกำลังจะแตกแล้วค่ะ นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เอ็ดม่าเงยหน้าไปมองเบลล่าที่มีสีหน้าซีดเผือกเพราะใช้เวทเกินตัวไป
เอ็ดม่าใช้เวลาพอสมควรในการพยุงตัวเมโลดี้ขึ้นมา “เบลล่าลดเกราะสิ่” เอ็ดม่าสั่งเบลล่าแต่เหมือนเบลล่าจะอยู่ในภาวะไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว เอ็ดม่าตกใจเป็นอย่างมากเพราะเบลล่ายังคงกางเกราะไว้อยู่โดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ทหารก็พยายามที่จะตีเกราะมากขึ้นเรื่อยๆ “เมโลดี้ทะลวงเกราะออกไปได้ไหม” เอ็ดม่าถามเมโลดี้ที่ดูจะเป็นความหวังสุดท้ายซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ช่างน่าผิดหวัง เอ็ดม่าเห็นเจ้าเบบี๋กำลังใช้ตัวเองพุ่งกระแทกเกราะแต่เกราะก็ดูไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “เบลล่า” เอ็ดม่าลองเรียกดูซึ่งผลลัพธ์ก็คือนิ่ง “เบลล่า” เอ็ดม่าจับตัวและเรียกเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเอง บึ้ม! เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นโชคดีที่ยังมีเกราะของเบลล่ากางไว้อยู่ ทหารที่อยู่รอบเกราะตายเกลื่อนแต่นั่นมันก็ยังไม่ลดจำนวนทหารลงไป
ทันทีที่เกิดระเบิดเจ้าชายเกเบียลก็เดินหลบมุมและกำลังจะเดินกลับไปยังตัวพระราชวังเว้นเสียแต่ว่าเสียงที่ดังขึ้นนี้เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยนัก “พี่เกบียลคะ” เสียงนิ่งๆที่เกเบียลคุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้เกเบียลหยุดการเคลื่อนไหวและหันกลับมามองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนรักของเขาและเพื่อนๆอยู่ตรงที่ๆเอ็ดม่ายืนอยู่ "ห้าสิบต่อสี่ ไม่สิ่ต้องบอกว่านับไม่ถ้วนจะถูกกว่า" แอนเดรียเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังเป็นอย่างมาก เจ้าชายเกเบียลที่ใบ้รับประทานเป็นอันที่เรียบร้อยแล้วตอนนี้ อีฟและไลล่าไปประคองร่างเบลล่าที่หมดสติหลังจากการระเบิดสิ้นสุดลงเกราะของเบลล่าก็แตกออก ส่วนเอ็ดม่าก็ยังพยุงเมโลดี้และแอนเดรียที่ยืนอยู่ข้างหน้ากับเจ้าเบบี๋ “สั่งทหารของพี่ให้ไปให้หมดเดี๋ยวนี้ค่ะ” แอนเดรียพูดเสียงเย็น ซึ่งเจ้าชายก็ดูจะไม่สนใจแอนเดรียเลยไม่แต่น้อย “คงไม่ได้หรอกครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าจัดการทหารที่เหลือหมดพี่ก็จะไม่เรียกออกมาอีกแล้วกัน” พูดจบเจ้าชายเกเบียลก็เดินจากไป
เอ็ดม่าประเมินดูทหารตรงหน้าที่มีทั้งหมดร้อยกว่านายกับพรรคพวกของตัวเองถึงจะมีเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังถือว่ายากต่อการรับมืออยู่ดี เอ็ดม่าสั่งให้แอนเดรียพาเบลล่าไปหน้าประตูทางเข้า “รักษาเบลล่าที” เอ็ดม่าสั่งแอนเดรียซึ่งแอนเดรียก็พยักหน้ารับ เอ็ดม่าและคนที่เหลือเริ่มต่อสู้อีกครั้ง เมโลดี้ที่แยกไปยังพื้นที่ว่างใกล้ๆกับทหารก่อนจะเสกไวโอลินขึ้นมาสี บทเพลงเต็มที่ไปด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด ทหารที่ตายไปแล้วกลับค่อยลุกขึ้นมาตามเสียงเพลง ทหารเหล่านั้นเข้าฟันพวกเดียวกันอย่างไม่ลดละ “เอ็ดม่ารีบจัดการซะ ฉันใส่ท่าไม้ตายได้แค่ทีเดียวเท่านั้น” เมโลดี้ตะโกนบอกเอ็ดม่าและหันกลับไปสีไวโอลินต่อ
อีฟหยิบปืนคู่ใจของตนออกมาก่อนจะเริ่มยิ่งไปที่หัวของทหารอย่างแม่นยำและทางด้านไลล่าก็เช่นกันหล่อนหยิบปืนใหญ่คู่ใจฉบับพกพาและยิ่งใส่ทหารเป็นวงกว้าง เอ็ดม่าเห็นจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้นเพราะมีการโจมตีที่เป็นวงกว้าง เอ็ดม่าและเบบี๋ไม่รอช้า เอ็ดม่าเฉือนเส้นเลือดใหญ่ที่คอทหารเหล่านั้นอย่างชำนาญราวกับมันเป็นเรื่องปกติที่เธอทำ ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเอ็ดม่าและความสามารถในการฆ่าศัตรูในมีดเดียวทำให้จำนวนทหารลดลงไปอย่างรวดเร็ว เบบี๋คอยขย้ำทหารที่ยังไม่ตายและดูเหมือนเจ้าเบบี๋จะชอบมาก
แอนเดรียที่คอยมองเหตุการณ์อยู่ก็รู้สึกเบาใจถึงแม้จะเสียใจเรื่องเจ้าชายเกเบียลแต่นี่ก็ยังไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้น แอนเดรียเริ่มรักษาเบลล่า โชคดีที่เบลล่าแค่หมดสติไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงมาก แอนเดรียจึงรักษาเบลล่าได้อย่างรวดเร็ว “อะ แอนเดรีย” ทันทีที่เบลล่ารู้สึกตัวก็ต้องตกใจที่เห็นแอนเดรียอยู่ตรงหน้าและที่สู้กับทหารก็ยังมีเพื่อนทุกๆคน แอนเดรียยิ้มอ่อนโยนให้เบลล่า “พวกเธอมากันได้ไง” เบลล่าถามแอนเดรียและแอนเดรียก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะเล่าว่า
ณ เวลาหัวค่ำของวันนี้ ‘นั่นเบลล่านิ่’ อีฟชี้ให้เพื่อนๆทั้งสองคนดู ทั้งสามคนตัดสินใจจะเดินเข้าไปหาแต่ ‘พร้อมจะบุกเข้าไปหรือยัง’ เอ็ดม่าถาม ซึ่งเบลล่าก็พยักหน้าเป็นคำตอบ ทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน ‘อย่าบอกนะว่าเบลล่าคิดจะบุกพระราชวังน่ะ’ ไลล่าพูดออกอย่างที่ตนคิดซึ่งทุกคนก็คงจะคิดแบบไลล่านั่นแหละ ‘ฉันจะตามไป’ อีฟพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง ‘ฉันด้วย’ ไลล่าหันไปมองหน้าอีฟก่อนจะพยักหน้าให้กัน ‘แต่..’ ไม่ทันที่แอนเดรียจะได้พูดอะไร อีฟก็พูดตัดมาซะก่อนว่า ‘เราเป็นเพื่อนเบลล่ากับแคโรลมานานแล้วนะ ไม่มีทางที่แคโรลจะทำเรื่องบ้าๆแบบนั้นและการที่เบลล่าจะบุกไปช่วยมันก็เป็นข้อยืนยันยังดีไม่ใช่หรอว่าแคโรลกับเอ็ดมันไม่ผิดจริงแต่อาจจะถูกใส่ร้าย’ อีฟพูดจาฉะฉานจนไลล่ายังอดทึ้งไม่ได้ซึ่งไลล่าก็เห็นด้วยเป็นอย่างมากแล้วในที่สุดแอนเดรียก็ตกลงทั้งสามจึงตามเบลล่าไป
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ” แอนเดรียที่เล่าให้เบลล่าฟัง เบลล่าก็อดยิ้มไม่ได้ที่เพื่อนๆเป็นห่วงและตามมาช่วย เบลล่าจึงตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง แอนเดรียเข้าใจในทันทีว่าทั้งเอ็ดมันและแคโรลถูกใส่ร้าย ทั้งสองนั่งคุยกันไม่นานเบลล่าก็ขอตัวไปสู้บ้าง ทั้งหกคนกับอีกหนึ่งตัวสู้กันอย่างไม่ถดถอยถึงจำนวนทหารจะไม่เพิ่มขึ้นแล้วแต่มันก็ยังเป็นจำนวนที่มากเกินไปสำหรับคนหกคนและอีกหนึ่งสัตว์อัญเชิญอยู่ดี
ทั้งเอ็ดมันและแคโรลก็ยังนั่งคุยกันอยู่ในคุกใต้ดินอยู่เหมือนเดิม มีทั้งเสียงหัวเราะและความเครียดเกิดขึ้นในบางบทสนทนา “ฉันยังไม่ทันได้เป็นผู้พิทักษ์เลย ต้องมาตายซะแล้ว” แคโรลพูดยิ้มๆซึ่งเอ็ดมันก็ยิ้มเช่นกัน “เธอมาเป็นผู้พิทักษ์ฉันสิ่” เอ็ดมันพูดซึ่งแคโรลก็ทำหน้าดีใจทันที “จริงหรอ” เอ็ดมันพยักหน้าหนึ่งทีซึ่งแคโรลก็ยิ้มหน้าบานเหมือนเด็กได้ขนมยังไงยังงั้น “แล้วรับผู้พิทักษ์ต้องทำยังไงล่ะ” เอ็ดมันถามแคโรลซึ่งแคโรลก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่รู้
ครืน โครม ! กำแพงหินที่ที่ล้อมรอบกรงขังอยู่นั้นพังทลายไม่เป็นท่า “คิดถึงพี่ไหม” เสียงที่เอ็ดมันคุ้นเคยเป็นอย่างดี “พี่” เอ็ดมันยิ้มออกและหันไปมองเอ็ดม่าและเพื่อนๆที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมแต่ละคนมีเลือดอาบเต็มตัวไปหมด โดยเฉพาะพี่สาวของเอ็ดมันที่ดูจะอาการหนักสุด “โอ้ ร่ายเวทไรท์เอ็กซ์เอาไว้ด้วยหรอ” เอ็ดม่าทำท่าคิดหนักเพราะถ้าไม่มีเวทชนิดนี้ร่ายอยู่คงจะพาเอ็ดมันหนีได้สบายแล้ว “แล้วจะพาตัวน้องเธอออกมาได้ยังไง” เมโลดี้ที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
“พี่รู้ไหมว่ารับผู้พิทักษ์ทำยังไง” เอ็ดมันถามเอ็ดม่าที่กำลังคิดวิธีออกจากกรงขัง เอ็ดม่ามองหน้าเอ็ดมันก่อนจะตอบว่า “ใช้เลือดให้ถูกกันและคนที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์ก็ต้องปฏิญาณว่าจะจงรักภักดี” เอ็ดม่าตอบ ซึ่งเอ็ดมันก็พยักหน้าก่อนจะหันไปยิ้มให้แคโรล
เอ็ดมันหยิบมีดสั้นแบบเดียวกับเอ็ดม่าขึ้นมาและบรรจงกดมีดไปให้เกิดแผลให้เลือดออก เลือดของเอ็ดมันหยดลงที่พื้น เอ็ดมันยื่นมีดให้แคโรลเช่นกันแคโรลก็ใช้กรีดแขนให้เลือดไหลลงไปในที่เดียวกับเอ็ดมัน เกิดแสงสีครีมอ่อนๆ “ฉันนามแคโรล มอริชขอปฏิญาณตนเป็นผู้พิทักษ์และจะจงรักภักดีจะไม่หลีกหนียามเกิดอันตรายแต่จะอยู่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ตลอดไป” เมื่อแคโรลพูดจบแสงสีครีมก็พุ่งเข้าหาตัวแคโรลและแคโรลก็ล้มหมดสติไป เพื่อนๆพากันตกใจมาก แต่เมโลดี้กลับบอกให้อยู่เงียบๆ “มันเป็นขั้นตอนค้นหาตัวเอง” เมโลดี้พูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะจมกับความคิดของตัวเอง
ภายในห้องสีขาวมีเพียงแคโรลเท่านั้นที่ยืนอยู่ แคโรลไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรบางทีเขาอาจจะตายแล้วก็เป็นได้ แคโรลลองต่อยกำแพงดูซึ่งพบว่ากำแพงกับยืดหยุ่นตามแรงที่เขาส่งไปได้และแคโรลก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด แต่แล้วภาพความจำในวัยเด็กก็ถูกฉายขึ้นบนกำแพงสีขาว ภาพความทรงจำวันที่แคโรลได้เจอกับนักฆ่า แคโรลพยายามตะโกนบอกเด็กน้อยทั้งสองคนว่าอย่าไปทางนั้น ไม่งั้นจะเจอกับนักฆ่าผู้ที่ทำให้อนาคตของแคโรลเปลี่ยนไปหมด แต่เหมือนกันว่าเด็กน้อยทั้งสองจะได้ยินเสียงของแคโรลเลยซักนิด แคโรลยืนมองภาพในวัยเด็กก่อนจะยิ้มออกมาทันทีที่เด็กน้อยเบลล่าไปหลบอยู่ข้างหลังและแล้วภาพก็หายไป
แต่กลับมีเสียงหญิงชราใหญ่ๆทุ้มๆขึ้นมาแทน “ถ้าวันนั้นในวัยเด็กของเจ้า เจ้าต้องเลือกระหว่างปกป้องตัวเองกับปกป้องสาวน้อยข้างหลังนั้นเจ้าจะปกป้องใคร”เมื่อเสียงหญิงชราเงียบไปแล้ว ความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องนั้นและแคโรลก็ยิ้มออกมาก่อนจะตอบออกไปอย่างฉะฉานว่า “เจ้าหญิงสิ่ ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ฉันก็ต้องปกป้องเจ้าหญิงอยู่แล้ว” เมื่อแคโรลพูดจบตอนนั้นเองที่แคโรลรู้สึกว่าร่างกายตัวเองอุ่นขึ้นและภาพทุกอย่างในห้องสีขาวกลับเบลอจนหายไปและสติของแคโรลก็ดับวูบ
แคโรลค่อยๆลืมตามาก็พบกับเอ็ดมันที่กำลังนั่งจ้องมองอยู่ “เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของเอ็ดมันที่ดูห่วงใยอย่างเปิดเผย “ฉันสลบไปหรอ” แคโรลถามซึ่งเอ็ดมันก็พยักหน้า เบลล่าและเพื่อนๆที่อยู่ข้างนอกก็ส่งสายตาเป็นห่วงมาเช่นกัน แคโรลยิ้มให้กับทุกคนเป็นเชิงว่าสบายมากเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี “โอ้ย” แคโรลร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเกิดรอยไหม้ตรงข้อมือข้างขวากลายมาเป็นรอยสักแบบเดียวกับของเอ็ดมันแต่ของแคโรลเป็นรูปหัวใจดวงน้อยๆอยู่ด้วยที่ข้อมือ เมโลดี้กับเอ็ดม่าเห็นก็ส่งยิ้มให้ “พลังใจ” เมโลดี้พูดออกมา แคโรลหันไปมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ “เธอคงจะเห็นความรักเป็นเรื่องใหญ่สิ่นะ และเธอก็เป็นนักสู้ทำให้เธอมีพลังกายแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากต่อจากนี้เธอก็ลองหาท่าไม้ตายดูและแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นจากความรัก” เมโลดี้พูดพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ซึ่งดูเป็นเรื่องที่น่ายินดี “เอาล่ะพักเรื่องที่น่ายินดีไว้ก่อน เราต้องหาวิธีที่จะพาตัวสองคนนั้นออกมาดีกว่า เหลือเวลาไม่มากแล้ว” เอ็ดม่าพูดซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
เวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆเบบี๋ที่ตอนนี้กลายร่างกลับเป็นคนแล้วก็นอนหนุนตักเบลล่าอยู่ ฟ้าก็ใกล้สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ “พี่” เอ็ดมันเรียกเอ็ดม่าเสียงอ่อย “ถ้าฉันไม่ได้กลับไป…” เอ็ดม่าไม่รอให้เอ็ดมันพูดจบ เอ็ดม่าพูดทั้งน้ำตา “ไม่ แกต้องกลับไปกับฉัน” เอ็ดม่ายกมือมาเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลไม่ยอมหยุดจนเมโลดี้ต้องมาปลอบ ส่วนแคโรลที่นั่งคุยกับเพื่อนๆโดยมีเบลล่ามองดูอยู่ห่างๆนั้นถึงแคโรลจะยิ้มแต่ใครๆก็ดูออกว่าเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเหลือเกิน “ฉันว่าพวกเธอควรจะกลับได้แล้วนะ ก่อนที่พวกเธอจะโดนไปด้วย” แคโรลพูดพร้อมกับยิ้มให้บรรดาเพื่อนๆอีกหนึ่งครั้งแต่ดูเหมือนเพื่อนๆจะไม่ยอมกลับและเบลล่าก็เดินมา “เจ้าหญิง” แคโรลเรียกแล้วก็ยิ้มให้แต่รอยยิ้มก็ต้องหุบลงเมื่อเบลล่าร้องไห้ “ร้องไห้อีกแล้วหรอ” แคโรลพูดพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิดที่สุด “ไหนบอกว่าจะไม่เป็นไร” เบลล่าพูดทั้งที่ยังก้มหน้าคำพูดของเบลล่าทำให้แคโรลพูดไม่ออก “ขอโทษนะ” คงจะเป็นคำพูดที่ดีที่สุดในตอนนี้สำหรับแคโรล แคโรลกระชากสร้อยกังหันออกมาก่อนจะไถลสร้อยไปให้เบลล่าที่อยู่ข้างนอก “เผื่อว่าฉันไม่ได้ออกไป เธอเก็บเอาไว้คิดถึงฉันนะ” แคโรลที่ตอนนี้เริ่มจะมีน้ำตาออกมาบ้างแล้วเมื่อพูดเสร็จ แคโรลก็เดินไปหาเอ็ดมันที่ตอนนี้มีอาการซึมเศร้าไม่ต่างกัน
เอ็ดม่าตัดสินใจบอกให้ทุกคนออกจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้วไม่งั้นอาจจะไม่ทัน เอ็ดมันที่เห็นดังนั้นจึงจับที่สร้อยคอของตัวเองและในที่สุดมันก็แปรสภาพมาเป็นแซ็กโซโฟน เอ็ดมันค่อยๆเป่าออกไปช่างเป็นเสียงดนตรีแห่งความเศร้าโดยแท้จริง ทั้งเอ็ดมันและแคโรลเห็นว่าทุกคนออกไปหมด เอ็ดมันจึงหยุดเป่าแซ็กโซโฟ “แคโรล เราเปิดเรียนได้สามวันเราสองคนก็ต้องมาตายแล้วยังงั้นหรอ” คำพูดของเอ็ดมันเรียกเสียงหัวเราะของแคโรลได้เป็นอย่างดี
ทางด้านเอ็ดม่าและเพื่อนๆของเอ็ดมันหลังจากที่ออกจากพระราชวังมาอย่างปลอดภัยแล้วก็ไม่มีใครเลยซักคนเดียวที่จะกลับหอ ทั้งเจ็ดคนมายังพื้นที่ส่วนกลางของเมืองที่ซึ่งจะเป็นที่ที่ใช้เผาเอ็ดมันและแคโรลในวันนี้ ทุกๆคนล้วนภาวนาให้ทั้งสองหนีได้แต่นั่นคงจะมีแต่ปาฏิหารย์เท่านั้นแหละเพราะในบรรดานักเรียนไม่มีใครจะมีเวทแข็งแกร่งขนาดจะทำให้เวทไรท์เอ็ซก์พังทลายได้ ในพื้นที่ส่วนกลางมีโบสถ์ตั้งอยู่และตรงที่เผาจะมีระเบียงยื่นออกมา ทั้งเจ็ดคนยืนมองอยู่อย่างนั้นและแล้วเวลานั้นก็มาถึง บริเวณรอบที่จัดมีเสาเป็นรูปไม้กางเขนตั้งอยู่สองเสาด้วยกัน
เจ้าชายเกเบียลเดินออกมายืนตรงระเบียงซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินสี่ชั้น วันนี้เจ้าชายเกเบียลแต่งตัวด้วยชุดประจำราชวงศ์ชุดสีขาวที่ดูบริสุทธิ์นั้นช่างเหมาะกับใบหน้าของเขาจริงๆ “วันนี้พวกเราชาวมิดเดิลไลน์จะทำการเผาพวกมาร ที่ริอาจเป็นกบฎต่อราชวงศ์” เจ้าชายพูดจบทั้งเอ็ดมันและแคโรลก็ถูกทหารจับมัดตึงอยู่บนเสาเรียกเสียงโห่ร้องขับไล่จากประชาชนที่มาร่วมงานได้อย่างดี “เผาพวกมันซะ” สิ้นเสียงเจ้าชายเกเบียลไฟก็ถูกจุดขึ้น ร่างของเอ็ดมันและแคโรลต่างดิ้นพล่านเพราะความร้อนและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา เอ็ดม่าที่ยืนดูถึงกับร้องไห้ออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นลำบากเมโลดี้ต้องหันไปปลอบ และเพื่อนๆคนอื่นๆก็ทนดูกับสภาพที่เห็นไม่ได้เช่นกันทุกคนต่างร้องไห้ ส่วนเบลล่าที่กำสร้อยขอของแคโรลไว้แน่นก่อนที่ทุกๆอย่างจะดับวูบไป
ความคิดเห็น