ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF)Identity V 3P |花落就枯萎。🍂#wuchangjoseph

    ลำดับตอนที่ #3 : หยาดน้ำฟ้าชะล้าง 3/4

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 63


    #ย้อนซากบุปผา

    เกือบครบสัปดาห์ที่โจเซฟมาอยู่ที่แคว้นนี้ในเมืองโบราณแห่งนี้ ไม่มีวี่แววของเหตุการณ์สำคัญหรือเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด เห็นได้ก็จะมีแต่เพียงสองพี่น้องลูกขุนนางในวังหลวงแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเขาตั้งแต่เที่ยงจนกระทั่งค่ำก็พากันเดินตระเวนไปที่นู่นที่นี่ไม่ซ้ำกัน

    เมื่อเย็นวานเซี่ยปี่อานและฟ่านอู๋จิ่วเล่าให้เขาฟังว่าแคว้นแห่งนี้ภายนอกนั้นก็เหมือนแคว้นอื่นทั่วไป แต่เพราะใต้แคว้นแห่งนี้มีเหมืองทองและแร่ธาตุมากมายแคว้นอื่นจึงต้องการที่จะส่งไส้ศึกมาล้วงข้อมูลและยึดครองอำนาจในที่สุด ทว่าความสามารถของแม่ทัพนักรบจึงปกป้องคุ้มครองแคว้นนี้จนถึงทุกวันนี้ แต่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนในวังหลวงนั้นต่างหวาดกลัวและเตรียมแผนตั้งรับเพื่อให้ประชาชนนั้นใช้ชีวิตอย่างสบายใจ

    “จวบจนตะวันจะลับฟ้าแล้วหนา เหตุใดเจ้ายังมิเตรียมพร้อม”

                เสียงของร่างโปร่งเจ้าของผมสีเข้มดังขึ้นข้างหลังของร่างบางที่กำลังนั่งพับผ้านุ่งเข้าตู้ไม้เก่า เมื่อวานเจี๋ยเฟิน เขาและพี่ชายได้ตกลงนัดพบกันวันนี้ตอนค่ำ แต่เขากลับมาถึงก่อนพี่ชายและก่อนเวลานัดเสียอย่างนั้น จึงถือวิสาสะขออนุญาติแม่อี้ฉือเข้ามาหาเจี๋ยเฟินถึงหอนอนของเจ้าตัว ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าเข้าหอนอนของสาวงามแบบนี้จะผิดประเพณี

    แต่มันก็น่าลองผิดอยู่หรอกหนา

    เพียงแต่เกรงกลัวพี่เซี่ยดุว่าเท่านั้นแล

    “ฉันเพิ่งจะช่วยคุณย่าปิดร้าน คุณบอกว่าจะมาหลังจากนี้นี่?” มือขาววางผ้าลงบนตักแล้วพับมันปากก็พลางถามผู้บุกรุก 

    “ท่านพ่อของพี่เซี่ยเรียกเขาคุย ข้าก็สิ้นกิจก่อนพี่ชาย จึงควบม้ามาหาเจ้าก่อน” 

    “ขี่ม้ามาเลยหรอ? วันนี้จะพาฉันไปไกลอีกล่ะสิ” 

    ดวงตาสีน้ำข้าวช้อนมองฟ่านอู๋จิ่วที่เดินตรงมานั่งตรงข้ามกับเขา หลังจากวันที่สองพี่น้องรู้อายุของโจเซฟ ทั้งสองก็บอกให้เขานั้นพูดแบบเป็นกันเองมากกว่าทางการ ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยทราบว่าเป็นกันเองกับทางการของพวกเขามันเป็นอย่างไร ทำได้แค่พูดเท่าที่จะแปลความหมายได้ และซ้ำยังกล้าสบตาคมของพวกเขาทั้งสองอีกด้วย

    “ปีกกล้าขาแข็ง กล้าพูดขึ้นเยอะเลยหนาแม่นาง ทบผ้าของเจ้าไปเถิด ข้าจักนั่งมอง” อู๋จิ่วยิ้มบางออกมา

    “ฉันทำอยู่แล้ว …ซ่อนอะไรไว้? ” 

    “เจ้าเห็นด้วยหรือ ข้าซ่อนไม่เนียนหรือนี่”

    “คุณน่ะเหมือนเด็ก ฉันอ่านทางคุณออกนะอู๋จิ่ว” 

                ฟ่านอู๋จิ่วจุดยิ้มมุมปากพร้อมส่ายศีรษะเอ็นดูให้กับร่างบางตรงหน้าที่ชะเง้อคอมองไปยังสิ่งของที่เขานำติดมาด้วย เขาทำเพียงนำมันถือไว้แล้วนำมือไขว้หลังเท่านั้น พอร่างบางถามดังนั้นมือหนาก็ยื่นมันออกมาตรงหน้าเจ้าของใหม่ของมันทันที

    “กล่อง?”

    ข้างในนี้มีของสำคัญของแม่ข้าอยู่

    “ข้ามอบให้เจ้า”

    “ข้าเห็นว่ามันเหมาะสมกับเจ้า” มือหนาเปิดกล่องสีเขียวเข้มฉลุลายทองออก แล้วบรรจงหยิบของข้างในออกมาให้โจเซฟดู

    ปิ่นปักผมนี่?” โจเซฟมองปิ่นทองในมือของอู๋จิ่วพลางยกมือขึ้นปฏิเสธของสำคัญชิ้นนี้

    “อย่าปฏิเสธข้าเลยหนาเจี๋ยเฟิน ปิ่นปักผมนี่ ท่านแม่ข้ามอบให้ข้า เพื่อหวังว่าสักวัน ข้าจะมอบให้ผู้ใดที่เห็นสมควรว่าเขาผู้นั้นจะได้รับมัน”

    “และเจ้าก็สมควรได้รับมัน

    “ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก ” โจเซฟปฏิเสธเสียงแข็ง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินอ้อมเก็บเสื้อผ้าที่พับไว้ ใบหน้าหวานฉายแววกังวลใส่ตู้ไม้ตรงหน้า เขากังวลหากใจมันเกิดสั่นรัวไปมากกว่านี้..

    “งั้นข้าขอฝากไว้ที่เจ้า” ร่างบางหันไปประจัญหน้ากับร่างโปร่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน สายตาสองคู่สบประสานกัน ตาหวานแสดงออกถึงความกังวลชัดเจน และตาคมก็แสดงออกถึงความแน่วแน่เช่นกัน อู๋จิ่วอยากจะมอบปิ่นทองนี้ให้กับโจเซฟได้เก็บไว้ มันจะทำให้เขาอุ่นใจว่าหากร่างบางตรงหน้านั้นได้กลับไปยังที่ๆจากมา เขาจะยังอยู่กับร่างบางเสมอ

    “ก็ได้ แต่ ฉันจะต้องได้คืนให้คุณนะ” เมื่อโจเซฟตอบตกลงฟ่านอู๋จิ่วก็ยกยิ้มกว้างทันที

    “ให้ข้าเกล้าผมให้เจ้า”

    เสียงทุ้มดูจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันควัน ขายาวก้าวไปยังโต๊ะกระจกข้างหน้าต่างพร้อมหยิบหวีขึ้นมาในมือ โจเซฟหันไปมองภาพนั้นก็เห็นภาพซ้อนทับของลูกสุนัขตัวโตที่ฝรั่งเศสบ้านเกิดของเขา นิสัยซุกซนของฟ่านอู๋จิ่วช่างขัดกับภาพลักษณ์อันแสนดุนั่นเหลือกัน ริมฝีปากสีชมพูยิ้มออกมา เจ้าของรอยยิ้มหวานก้าวเดินไปนั่งที่พนักพิงหน้ากระจกส่งผลให้คนที่ยืนคอยหน้ากระจกนั้นใจเต้นระส่ำ

    “คุณไม่ปวดเข่าหรอ พื้นมันแข็ง”

    “หาปวดไม่ ข้าก็นั่งแบบนี้มาตั้งแต่ยังโดนที่เซี่ยดุว่าข้าเอาแต่เล่นซน” ร่างโปร่งที่กำลังนั่งคุกเข่าพร้อมสางผมสีอ่อนตรงหน้าตอบ

    “ตอนเด็กๆพี่ชายฉันก็ดื้อเหมือนคุณ ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เขาเริ่มแก่แล้ว” โจเซฟอมยิ้ม

    “เจ้ามีพี่ชายด้วยหรือ?”

    “มีสิ ชื่อเจอเรมี่ เขาตัวใหญ่มากเลย เหมือนคุณ” ไม่ว่าเปล่าแขนยาวในเสื้อปกคอจีนสีขาวก็ทำทีท่ากางออกมาให้เท่ากับขนาดของพี่ชาย ทำเอาอู๋จิ่วเอ็นดูไปเป็นรอบที่หนึ่งร้อยของเย็นนี้ 

    สองสามวันมานี้คนตัวขาวเหมือนกับคลายความกังวลที่ย้อนกลับมาอดีตลง แล้วเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติของชาวบ้านสมัยนี้ เขาเริ่มพูดเริ่มเจรจา ทุกคำพูดล้วนน่าฟัง และน่าสนทนาด้วย ทำเอาสองพี่น้องหน้างอเมื่อมีคนนอกเข้ามาทักทายหรือชวนเจี๋ยเฟินของพวกเขาคุยเสมือนโดนแย่งของเล่นชิ้นโปรด หรืออาจจะเป็นเพราะโจเซฟยิ้มออกมาอย่างง่ายดายโดยเจ้าตัวไม่รู้สึกตัวสักนิด

    “เจอเรมี่หรือ เขาเหมือนข้าอย่างไร?”

    “เหมือนลูกสุนัขตัวโต แสนดื้อที่หนึ่ง”

    “นี่หรือว่า??”

    “เก่งมากฟ่านอู๋จิ่ว เจอเรมี่เปนสุนัข” สิ้นเสียงหวานพูดจบร่างบางก็หัวเราะร่าออกมา 

    “เหตุใดเจ้าถึงนับญาติกับสุนัข .. แปลกจริง” 

    แม้เสียงทุ้มจะส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ใบหน้ากลับแต้มด้วยยิ้มบางๆ มือหนาหยิบปิ่นทองขึ้นมาจากกล่องไม้ฉลุทอง บรรจงปักมันไว้กับมวยผมท้ายทอยของร่างตรงหน้า 

    ฟ่านอู๋จิ่วเลื่อนใบหน้าลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเจี๋ยเฟินก้มลงมองเข้าไปในกระจกเพื่อที่จะตรวจสอบผลงานของตน แต่สายตากลับมองที่ดวงตาสีน้ำข้าวเสียอย่างนั้น ทำเอาคนโดนจ้องในกระจกตัวเกร็ง ใบหน้าขึ้นสี โจเซฟไม่เคยโดนจ้องมองด้วยสายตาแสนเล้าโลมแบบนี้มาก่อน..

    “หน้าเจ้าแดง” เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหูอันร้อนผ่าวของร่างบาง

    “ร้อนหรือ?” ไม่ว่าเปล่ามือข้างที่ถือหวีก็เก็บปรอยผมสีอ่อนทัดใบหูขาว มืออีกข้างที่ว่างก็จับไหล่บางไล้ลงไปยังสะโพกบาง จมูกโด่งหันเข้าหาแก้มใสขึ้นสีบัวชมพูระเรื่อหวังจะดอมดมดอกบัวดอกนี้

    ตราบชีพนี้ ขอเชยชิดแต่เจ้า..

     

    ข้าคิดว่าพวกเข้าจักเตรียมพร้อมกันสิ้นแล้วเสียอีก

    ผลั่ก!

    “โอ๊ย! แม่นางง ใยผลักข้าแรงเช่นนี้เล่า? เอวข้า.. ”

    “ขอโทษนะอู๋จิ่ว..” 

                สิ้นสุรเสียงมากด้วยอำนาจของเซี่ยปี่อ่านที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงทางเข้าหอนอนของร่างบาง มือขาวที่แน่นิ่งอยู่บนตักก็ยกขึ้นผลักเข้าที่อกของคนตัวสูงที่ทำทีเหมือนจะหอมแก้มเขาให้ออกห่างยืนขึ้นเต็มความสูงเดินไปหยิบผ้าแพรผืนโปรดมาไว้ในมือ ขาสวยย่างสามขุมหันไปบอกสองพี่น้องผู้ดีว่าจะออกไปรอข้างนอก  ทิ้งให้เจ้าของผมสีอ่อนผู้พี่ย่างก้าวเข้าไปหาผู้น้องที่ล้มลงกันพื้น

    “เจ็บหรือไม่ฟ่านอู๋จิ่ว?” ร่างสูงประคับประคองผู้น้องให้ยืนทรงตัว

    “เจ็บซีท่านพี่ เห็นตัวกระจ้อย แรงอย่างกับแม่ทัพปีกขวา” อู๋จิ่วจับเอวตัวเองแล้วมองคาดโทษท่านพี่ที่เข้ามาขัดช่วงเวลาตักตวงของตน

    “สมควรเจ้าแล้ว ..หากข้ารู้ว่าเจ้าจักมาก่อนแล้วฉวยโอกาสหลายต่อหลายอย่างกับเขา ข้าจักไม่รอท่านพ่อว่าความจบแล้วตรงมาหาเจ้า ” เซี่ยปี่อานก้มลงไปพูดข้างหูให้ได้ยินกับเพียงสองคน

    “หึ เห็นทีท่านพี่ต้องตามข้าให้ทันแล้วล่ะหนา” อู๋จิ่วเย้ย

     

    “ห่างกันหน่อยดีหรือไม่ท่านพี่เซี่ย”

    “ข้าจักตกอานม้าอยู่แล้วฟ่านอู๋จิ่ว”

                ปี่อานเอ็ดน้องชายในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังควบม้ากัน โดยอาชาตัวใหญ่สีน้ำตาลเงางามนามเซียวไคถูกร่างสูงผู้น้องควบ และอาชาสีขาว มีเจ้านายและร่างบางอีกร่างกำลังควบอยู่ โดยโจเซฟนั่งข้างหน้าของปี่อานที่นั่งรั้งหลังเพื่อง่ายต่อการบังคับเจ้าเซียวไห่ 

    ทั้งสองพี่น้องตกลงว่าจะพาร่างบางไปชมน้ำตกไม่ไกลจากหลังวังมากนักตอนค่ำ หลังจากที่คิดกันอยู่ในตำหนักคืนวาน ท่านแม่ทัพตงก็โผล่เข้ามาเล่าถึงน้ำตกหลังวัง แม่ทัพตงว่านภายามมืดของน้ำตกแห่งนั้นงามจนแทบจะร้องไห้ เขาทั้งสองจึงอยากมาดูให้เห็นกับตานักว่าจะงามอย่างที่แม่ทัพตงโม้แค่ไหน

    “เหตุใดข้าต้องมากุมบังเหียนอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้” อู๋จิ่วพูดเสียงติดไม่พอใจ

    “เหตุเพราะเจ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่เอว และเซียวไคของเจ้านั้นพยศง่าย หากเกิดพยศเจ้าจักเอาอยู่หรือ”

    “ข้ายอม”

                คนผู้น้องละสายตาจากผู้พี่ก่อนจะเลื่อนมามองใบหน้าสวยที่ตอนนี้ง้ำงอดูแสนดื้อรั้น คงจักไม่กล้าพูดคุยด้วยเพราะเขินอายที่เกือบจะโดนเขาแต๊ะอั๋งหอมแก้ม แล้วท่านพี่เซี่ยมาพบเห็น ท่าทางขัดเขินนั่นอย่างกับเด็กสาวเพิ่งเคยมีรักแรก 

    “ปิ่นทองของเจ้างาม ฟ่านทำให้หรือ”

    เสียงของปี่อานเรียกให้โจเซฟออกจากภวังค์ของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มือหนาที่บังคับบังเหียนละออกมาข้างหนึ่งก่อนจะโอบเอวบางไว้เนื่องจากเส้นทางไปน้ำตกค่อนข้างขรุขระ มือขาวก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยเกาะทับแขนแกร่งดีกว่าค้ำไว้บนคอของเซียวไห่ เรียกสายตาคมอีกคู่บนอาชาตัวใหญ่สีน้ำตาลมองภาพข้างๆ ภายในอกเต็มไปด้วยความคุกรุ่น

    “ครับ อืม เดี๋ยวฉันจะเอาคืนหลังจากคืนนี้”

    “ยากนักที่ฟ่านจักทำอะไรละเมียดเช่นนี้ เก็บไว้เถิด มิต้องคืน ..วันพรุ่ง ยามดึก จักมีงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง เจ้าปักมันมาให้พวกข้าชมอีกสักวัน” โจเซฟพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

    “ทีข้าให้เจ้า เหตุใดปฏิเสธเล่า”

    “ก็คุณจะให้ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกนะ ….ของๆแม่คุณ ฉันก็อยากให้คุณเก็บไว้ให้คนๆนั้นของคุณมากกว่า” โจเซฟตอบกลับอู๋จิ่วเสียงแผ่ว

    “หึ เจ้าช่างซื่อดังชื่อของเจ้าเสียจริงเจี๋ยเฟิน” ปี่อานว่าพลางกระชับรั้งร่างบางให้เข้าใกล้อกเขาเพราะเข้าใกล้เขตน้ำตกอากาศจึงเริ่มเย็น

    ไม่นานนักอาชาทั้งสองก็หยุดเดินตรงหน้าธารน้ำใสที่กระทบกับแสงจันทร์ ไอน้ำและหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่นั้นแตกต่างจากในเมืองมากโขเพียงแค่เดินออกมาจากวังหลวงไม่ถึงชั่วยาม เสียงน้ำตกกระทบลงกับผืนน้ำ เสียงจิ้งหรีดพยายามแข่งกันร้องเพลง ลมอ่อนพัดโชยมาทำให้รู้สึกหนาวพิกล มือขาวจัดการปรอยผมที่ปลิวตามแรงลมทัดไว้ที่หู จมูกรั้นสูดหายใจเข้าสุดปอดแล้วพ่นลมหายใจออกเสียงดัง พลางแขนแกร่งของคนข้างหลังก็โอบกอดเขาไว้แนบอก

    “หนาวหรือไม่?”

    “ไม่เลย คุณกอดฉันไว้ขนาดนี้ ….ฉันได้กลิ่นดอกโบตั๋น” โจเซฟตอบกลับปี่อานเสียงเบาแล้วหลับตาลง โจเซฟต้องการให้ธรรมชาตินั้นเยียวยาความเหนื่อยล้าและเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงไม่พูดอะไรต่อ

    “มันคงร่วงหล่นลงมาจากข้างบน” ปี่อานว่า พลางเลื่อนสายตามองดอกโบตั๋นในมือที่ร่วงมาบนมือเขาอย่างพอดิบพอดี

    หิ่งห้อยตัวน้อยเริ่มออกมาบินเหนือผิวน้ำ แสดงความสวยงามให้พวกเขาได้เชยชม..

    ไม่นานนักก็มีเสียงขลุ่ยดังคลอเคล้าไปกับเสียงของธรรมชาติอันแสนสงบ

    ทั้งสองเสียงบรรเลงเข้ากันได้อย่างดี 

    ดวงตาสีน้ำข้าวกระทบแสงจันทร์สวยงามมองเจ้าของอาชาตัวสีน้ำตาลข้างกายที่มองเขาก่อนอยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มบาง ฟ่านอู๋จิ่วหยิบขลุ่ยสีเข้มเครื่องโปรดออกมาจากกระเป๋าหลังอานม้าขึ้นมาแนบไว้ที่ริมฝีปาก และเริ่มบรรเลงเพลงขับกล่อม..

    ถ้าหากเลือกสถานที่ที่ทำให้เขามีความสุข นอกจากจะอยู่ในบ้านเช่าตึกแถวในเมืองปารีสอันแสนวุ่นวายแต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบ้าน

    และเมืองนี้ เมืองที่ทำให้เขาต้องคิดไม่ตกในแต่ละวัน จวบจนถึงวันนี้ วันที่เขาได้มีมิตรที่ดีทั้งสอง ที่ทำให้เขานั้นอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก 

    โจเซฟคงจะเลือกเมืองนี้ และตอนนี้ ตอนที่เขาทั้งสามคนสบตากันพร้อมมอบรอยยิ้มและความรู้สึกที่ดีนอกเหนือจากมิตรภาพให้แก่กัน ไม่มีใครบอกใคร 

    แต่รับรู้กันด้วยสายตา…

    หลังจากวันแรกที่พวกเขาพบเจอกัน โจเซฟก็เอาแต่ใจเต้นและไปไม่ถูก เหมือนมีบางอย่างกำลังเชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกันทั้งสามคน เขาไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนเลยสักนิด โจเซฟปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น เขาไม่เคยถือสาหรือนึกระแคงใจสักนิดหากทั้งสองจะมอบความรักให้แก่เขา แม้จะฉุกคิดตามความรู้สึกอยู่เสมอ ว่า ตนนั้นเหลือเวลาไม่มากนัก 

    เป็นเพราะดอกโบตั๋นร่วงหล่นลงมือข้าหรืออย่างไร แม่นางถึงมาปรากฎต่อหน้าข้าทั้งสองเช่นนี้” มือหนาของปี่อานจัดการนำดอกโบตั๋นดอกเล็กทัดไว้ที่หูของโจเซฟ

    “ถ้าหากเจ้ากลับไปที่ที่เจ้าได้จากมา โปรดคำนึงถึงพวกข้าเถิดหนา”

    เสียงนั่น ทำไมมันถึงเศร้าแบบนั้นกันนะ…

     

    “ข้าฝากเจี๋ยเฟินด้วยหนาแม่อี้ฉือ”

                เสียงทุ้มตามมาด้วยชายร่างสูงผมสีดำขลับเดินออกมาจากประตูหอนอนของโจเซฟฝั่งที่เชื่อมกับทางตลาดที่ตอนนี้เงียบสงัดเนื่องจากมืดมากแล้ว ไม่มีใครอยากออกมาเพ่นพ่านยามราตรีนัก 

    หลังจากที่เขาบรรเลงเพลงขลุ่ยจบลงก็เห็นร่างบางนั้นหลับใหลในอ้อมแขนของพี่ชาย อู๋จิ่วนึกอิจฉาแต่หากไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงมากนักเนื่องจากต้องกลับมาทำกิจอันสำคัญได้แต่พากันกันควบม้ากลับมายังในเมือง เขาอาสาพาร่างบางไปนอนบนฟูกแล้วเดินออกมายืนเคียงข้างพี่ชายต่อหน้าผู้ปกครองของนางฟ้าที่เข้าสู่วิมานไปแล้ว

    “ข้าพอรู้ข่าวคราวมาจากสามีข้า ระวังตัวกันด้วยหนาท่านอ๋อง” อี้ฉือว่า

    “อืม กบฏเหล่านั้น จักต้องไม่มีแม้แต่วิญญาณในแคว้นแห่งนี้”

    “ไปเถอะฟ่าน จวบจนจักได้เพลา เราไปช้าเพราะเจ้ามัวแต่มองหน้าของเจี๋ยเฟินยามเขานอน”

     

    “เช้านี้พวกเขายังไม่มาหรอกเจี๋ยเฟิน ชะเง้อมองหาเชียว” 

    “ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้ครับคุณย่า ผมรู้สึก ปวดที่หน้าอก” 

    “เจ้าอาจจะเป็นไข้หวัดเพราะเมื่อคืนพวกเขาพาเจ้าไปตากน้ำค้าง เข้าไปนั่งพักก่อนไม่ดีกว่าหรือ แค่เปิดหน้าร้าน ข้าทำเองได้”

    “….งั้นผมขอตัวนะครับ” 

                โจเซฟถอนหายใจทิ้งทันทีที่นั่งลงหน้าโต๊ะกระจก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเจ็บที่อกเล็กน้อยและเมื่อคืนก็ฝันไม่ดีเอาเสียเลย เขาฝันว่าฟ่านอู๋จิ่วนั้นพลัดตกลงไปในน้ำหลากและเขาช่วยไว้ไม่ทัน แม้แต่เอื้อมมือไปจับกันและกันยังไกลแสนไกล 

    มือสวยหยิบเอาปิ่นทองบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้แนบอก พลางสายตาเลื่อนไปมองกล่องไม้ที่เก็บปิ่นนี้ไว้แล้วนึกอะไรได้ โจเซฟเลือกที่จะมวยผมแล้วนำปิ่นปักไว้เหมือนที่อู๋จิ่วทำให้เมื่อวานเย็น

    ร่างบางผุดลุกยืนเดินไปที่ตู้เก็บหมึกและกระดาษของมู่ไท่กลางบ้าน นำมันเข้ามาเขียนร้อยเรียงภายในห้องของตนเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองได้พบเจอมาตลอดเกือบอาทิตย์ลงในกระดาษเพียงแผ่นเดียว และไม่นานเขาก็เขียนมันเสร็จ แล้วนำมันม้วนลงในกล่องไม้สีเขียวเข้มนี้

    ถ้าหากว่าเขาอยู่ในอดีต 

    ต้องมีสักคนที่ได้อ่านจดหมายถึงตัวเขาฉบับนี้ในอนาคต เพราะเมืองนี้ในอนาคตยังคงอยู่

     

     

    “เช้ามืดนี้ ข้าได้ยินมาว่าคืนวานในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นด้วย”

    “ข้าก็ได้ข่าวมาเช่นกัน ข่าวว่ามีผู้บาดเจ็บด้วยหนา”

    “อยากรู้นัก ว่าใครบังอาจทำเช่นนี้กัน”

    “เขาว่าท่านขันธี..” ก่อนเสียงของชาวบ้านข้างนอกหน้าต่างจะพูดจบก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นที่ประตูอีกฟากเสียก่อน ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันไปหาผู้มาใหม่ 

    ในใจเขาก็นึกหวังว่าผู้บาดเจ็บในวังหลวงจะไม่ใช่ปี่อานและอู๋จิ่ว

    เจี๋ยเฟิน” 

    “ปี่อาน.. ไหนว่าคุณจะมารับตอนค่ำ นี่เพิ่งเช้าเอง” เจ้าของชื่อมองสำรวจไปทั้งร่างกายของคนตัวสูงในชุดสีดำสนิท เขาก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง

    “ภายในวังเกิดเรื่องเล็กน้อย ทำข้าไม่ได้นอนต้องว่าความกับท่านพ่อตั้งแต่จบเรื่อง” ปี่อานเดินเข้ามาใกล้โจเซฟที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขาค้อมตัวลงคุยกับร่างเล็กกว่าด้วยเสียงแผ่วเบา

    “ที่ข้ามารับเจ้าก่อนเพลานัด ข้าและผู้คนของข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”

    “ข้าก็ไม่อยากที่จักทำเช่นนี้ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเหลือเกิน แต่หากท่านพ่อข้าเห็นพ้องกับท่านแม่ว่าสมควรมีเจ้าในแผนการนี้….ข้ามิอาจปฏิเสธ ”

    “ฉันจะช่วยคุณเท่าที่ทำได้” 

    ดวงตาสีน้ำข้าวช้อนมองด้วยความแน่วแน่ ทำเอาปี่อานนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ โจเซฟเอื้อมมือไปกอบกุมใบหน้าของปี่อานไว้อย่างเบามือ นิ้วสวยลูบที่แก้มของปี่อาน โดยที่เขาก็หลับตาน้อมรับสัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้น พลางมือหนาก็จับมืออีกข้างของโจเซฟขึ้นมากุมไว้ ริมฝีปากหนากดจุมพิตลงบนมือสวย

    ดวงตาของปี่อานนั้นดูแดงก่ำเหลือเกิน

    “ไปกันเถิด ท่านพ่อข้าและฟ่านกำลังคอยเราอยู่” ใบหน้าของปี่อานผู้แข็งแกร่งบัดนี้เต็มไปด้วยความกังวล

    “อู๋จิ่วเป็นอะไรรึเปล่า?” โจเซฟก็อดไม่ได้ ถามถึงผู้น้องที่ปกติต้องมาหาเขาก่อนผู้พี่

    “ไว้ถึงตำหนัก ข้าจักเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด”

     

                หลังจากที่ออกมาจากบ้านของโจเซฟ ทั้งสองก็ได้พากันควบอาชาตัวใหญ่สีขาวประจำกายของปี่อานตรงมายังวังหลวง ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นตลอดการเดินทางมายังวัง ม้าขาวยืนหยุดนิ่งหน้าตำหนักหนึ่งภายในวังที่ตอนนี้ผู้คนกำลังทำการตกแต่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเทศการเก็บเกี่ยวในค่ำคืนนี้ ปี่อานลงจากหลังม้ามายืนตรงก่อนจะคอยรับคนตัวบางให้ลงตามมา ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งนำเจ้าเซียวไห่นั้นเดินไปเก็บในคอกม้า 

    “ข้าพาเจ้าลัดเลาะตรงมาที่ตำหนักของฟ่าน จึงไม่เห็นทางเดินมากนัก ข้ากันฟ่านพำนักกันคนละฝั่ง” ปี่อานว่าในขณะที่พวเขาทั้งสองเดินขึ้นบันไดของตำหนักฟ่านอู๋จิ่ว ภายนอกนั้นถูกประดับด้วยสวนไผ่งดงามและธงสีเลือดนกสัญลักษณ์ประจำกายของวงศ์ฟ่าน

     

     

    ขาวสวยตามปี่อานเดินเข้าไปในหอนอนสีขาวสะอาด จมูกรั้นได้กลิ่นคล้ายสมุนไพรและเครื่องหอมคล้ายกลิ่นกายของฟ่านอู๋จิ่วคละคลุ้งกันไปจนปวดจมูก โจเซฟพยายามหายใจทีละน้อยเพื่อสูดให้ชินกับกลิ่น 

    ทั้งคู่ยืนหยุดตรงหน้าที่นอนหลังใหญ่ มือหนาของปี่อานแหวกม่านคลุมเตียงไม้ออก เผยให้เห็นร่างสูงของอู๋จิ่วที่นอนแน่นิ่งเสมือนหยุดหายใจ ร่างเล็กของโจเซฟเมื่อเห็นดังนั้นก็ถลาเข้าไปทรุดนั่งลงบนเตียงทันที ตาสวยมองใบหน้าที่ซีดราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยง 

    “อู๋จิ่ว..ฟะ ฟ่านอู๋จิ่ว เกิดอะไรขึ้น?”

    และแล้วน้ำตาหยาดใสของชายที่ฟ่านอู๋จิ่วคอยรักษาก็หยดลงบนผ้าคลุมเตียงปักลายสวย

    เซี่ยปี่อานที่ยืนอยู่ตรงเสาเตียงก็ทรุดลงนั่งปลายเตียงของผู้น้องเช่นกัน สายตาคมทอดมองหิมะบริสุทธิ์ตรงหน้าของเขาที่สะอื้นออกมาพอให้เขาได้ยิน 

    “ปี่อาน คุณบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?!” โจเซฟก้มหน้าคางชิดอก เอ่ยถามปี่อานเสียงดังพร้อมน้ำตา

    “คืนหลังจากที่พวกข้าส่งเจ้าถึงหอนอน พวกข้าก็ตรงไปยังที่พักของเหล่าขุนนาง …ตัวพวกข้านั้นเป็นราชวงศ์ ตัวข้าเป็นผู้ที่ต้องสืบทอดบัลลังก์แลขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นนี้ ” โจเซฟพยักหน้าเล็กน้อยให้ว่าต่อถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายนัก 

    “มารดาของฟ่านอู๋จิ่วนั้นเป็นสนมของผู้ปกครองแคว้นทางทิศตะวันตก และเป็นพระขนิษฐา(น้องสาว)ของท่านพ่อข้า เมื่อครั้งฟ่านกำเนิดเป็นชาย มารดาของฟ่านนั้นมิได้หวังให้เขานั้นเป็นฮ่องเต้ในแคว้นที่เป็นปรปักษ์กับแคว้นของพระเชษฐา(พี่ชาย)ของตนหลังจากที่ทั้งสองแคว้นนี้เกิดความขัดแย้งกัน จึงได้หอบนำฟ่านมาเติบใหญ่ ที่นี้ ” ปี่อานว่าพลางมองผู้เป็นน้องที่เขาคอยฟูมฟักมาแต่เล็ก 

    “ไม่นานมานี้สายของเราได้ข่าวคราวมาว่าแคว้นตะวันตกนั้นส่งคนมาจักลอบปวงพระชมน์ท่านพ่อของข้าและตัวข้าเอง ” โจเซฟได้ยินดังนั้นจึงนึกคิดไปยังเหตุการณ์ที่สวนวันนั้น ที่มีเงาคนตะคุ่มอยู่ด้านบนและเขาได้สังเกตเห็นและเก็บเงียบ

     

    “ข้ารู้หนาว่าเจ้าเห็นคนเหล่านั้นเมื่อวันที่เราได้พบกันคราแรก ข้าก็เห็นเช่นกันจึงเป็นห่วงในตัวเจ้านัก แต่หากไม่มีเจ้าในวันนั้นที่ทำให้ฝ่ายนั้นเกิดความสงสัยในตัวเจ้า พวกมันคงลงมือสังหารข้าเสียแล้ว ….ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าเจี๋ยเฟิน” เซี่ยปี่อานยกมือเอื้อมไปคว้ามือเรียวบนตักของร่างบางขึ้นมากอบกุมไว้

    “พวกเขาจะฆ่าคุณทำไม?”

    “บุตรชายคนแรกของราชวงศ์นั้นคือฟ่านอู๋จิ่ว เขาต้องครองราชย์ และต้องการรวมแคว้นของข้าเพื่อขยายอำนาจการปกครอง จึงใช้โอกาสที่อู๋จิ่วอยู่ที่นี่ในการลอบสังหารข้าเพื่อให้เขาที่เป็นอ๋องขึ้นปกครองแคว้นนี้แทนข้า แต่เจ้าคนนี้นึกบ้าบิ่นขึ้นมา เขาใช้ท้องรับลูกธนูแทนข้า ..”

    เล่ห์เหลี่ยมนักแต่กลับต้องโดนตลบหลังเอาเสียเอง

    “พอแล้วล่ะ เรื่องที่จะให้ฉันช่วย..” โจเซฟขอให้ปี่อานหยุดพูดเมื่อเอ่ยถึงถึงที่นอนข้างกายตน

    “หลังจากวานเย็นที่ข้าตามไปสมทบเจ้ากับฟ่านที่บ้านเจ้า ตัวข้าและท่านพ่อก็ได้ว่าความกัน ให้เจ้า เป็นฮองเฮาให้กับข้าในค่ำนี้ ข้าหมายความว่า ท่านพ่อข้าจะบอกแก่ประชาชนว่าตัวข้านั้นจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และมีฮองเฮาเคียงคู่ เพื่อดักไส้ศึกอีกคนที่จะลงมือในค่ำนี้เช่นกัน ทำให้คนผู้นั้นสับสนว่าตัวเจ้านั้นคือผู้ใด เหตุใดจึงขึ้นเป็นฮองเฮา แล้วเขาจะเบนความสนใจไปทางเจ้า …”

    ข้าล่ะนึกอิจฉาท่านนักท่านพี่

    “!!”

    ฟ่านอู๋จิ่วที่นอนเกร็งตัวฟังท่านพี่เซี่ยเล่าความให้แก่แม่นางของเขาฟังออกความเห็นบ้าง เขานั้นเพียงแค่หลับไป แต่พอได้ยินเสียงสะอื้นของเจี๋ยเฟิน หัวใจเขากลับกระตุกวูบ อยากเอื้อมมือไปเช็ดหยาดใสที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่โปรดนัก แต่ก็ไม่อยากขัดความพี่ชาย

    พอได้ยินคำว่าฮองเฮาของข้าจากปากพี่เซี่ยนั้นก็ชักอยากลุกขึ้นท้าประลองดาบนัก

    “ฟ่านอู๋จิ่ว ฉัน ฉันคิดว่าคุณ”

    “ตัวข้าตายยากนักแม่นาง อย่าร้องไห้เลยหนา ข้ามิไปไหนหรอก” อู๋จิ่วลุกขึ้นนั่งโดยมีร่างบางนั้นช่วยประคองให้พิงกับพนักเตียง ไม่นานมือขาวก็ละจากมือของปี่อานขึ้นมาตีเข้าที่ไหล่หนาของอู๋จิ่วเสียงดัง

    “โอ๊ยย ข้าเจ็บ”

    “คุณบอกว่าตายยากเองนี่”

    “เหตุใดร้องไห้ดูเศร้าใจแต่ปากกลับยิ้มเสียแบบนี้ล่ะแม่นาง” อู๋จิ่วเอ่ยพร้อมยิ้ม โจเซฟผินหน้าไปคาดโทษปี่อานผู้พี่แทน

    “ตัวข้าก็มิได้บอกว่าเขานั้นสิ้นแล้ว” ปี่อานว่า

    “นิสัยไม่ดีทั้งคู่เลย” โจเซฟพึมพำกับตัวเองก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะบอกให้ผู้พี่นั้นว่าความต่อ

    “หากเขาผู้นั้นสนใจเจ้า เขาจักลงมือที่เจ้าแทน มอบเวลาให้ข้านั้นดักคอยหน้าตำหนักเจ้าและจัดการสั่งสอนผู้นั้นทันที”

    “ใช้ฉันเป็นตัวล่อเพื่อให้คุณลงมือสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันต้องทำยังไงถ้าเขาจะฆ่าฉัน” 

                โจเซฟพนักหน้ารับอีกครั้ง ตัวเขาไม่กังวลเรื่องคนทำร้ายร่างกายหรอกเพราะด้วยหน้าที่การงานของเขาที่ได้รับการฝึกมาแล้วเขาจึงไม่นึกกลัว แต่หากว่าที่นี่นั้นมีวิธีการจัดการที่ต่างออกไปเขาจึงต้องเชื่อฟังมากกว่าเชื่อตนเอง

    “เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นกิจของพวกข้าเถิด …ข้าจักให้นางกำนัลคนสนิทของข้าแต่งองค์และประทินผิวให้เจ้า” ปี่อานว่า

    “แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาค่ำเลยนะ เพิ่งจะหัววันเอง”

    การเป็นฮองเฮาของข้านั้น ข้าจักให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

     

    “งามนักเพคะแม่นางเจี๋ยเฟิน” 

                นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวหลังจากที่ผัดแป้งลงบนใบหน้าของร่างบาง ดวงตาสวยค่อยๆลืมขึ้นมองกระจกตรงหน้าที่สะท้อนภาพใบหน้าตัวเองที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องแป้งหลากชนิด เปลือกตาสีมุข แก้มนางที่ผัดด้วยสีดอกท้อ ปากชมพูอิ่มสีดอกโบตั๋น หน้าผากถูกแต้มด้วยจุดสีแดง เส้นผมสีอ่อนถูกเกล้าขึ้นเก็บพร้อมกับปิ่นหลากหลายชนิดสีทอง กายบางถูกพันด้วยผ้าสีแดงฉลุลายทองขับให้ผิวขาวโดดเด่น เผยให้เห็นลำคอระหงส์และไหล่บางโผล่พ้นออกมา

    “ถึงจะเป็นชาย แต่ร่างนั้นอรชรอย่างกับหญิง ข้ามิได้แต่งกายให้หญิงในวังนี้มานานแล้ว ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” นางกำนัลคนสนิทของปี่อานค้อมศีรษะเล็กน้อย

    “ชุดสำหรับเปิ่นหวางเฟย หรือจะฮองเฮาดีเล่านางเหมย” นางกำนัลส่งยิ้มกันทำเอาโจเซฟยิ้มตามไม่ได้ เขาแปลไม่ออกหรอก แต่หากเขายิ้ม ก็คงจะต้องยิ้มตามไปด้วย

    “ชุดนี้หรอ ? ฉันว่ามันดู เอ่อ หนาวๆที่ไหล่” โจเซฟพูดกับชุดสีแดงสดระบายด้วยขนสัตว์ตรงหน้าที่เขาต้องนำมันสวมทับอีกที

    “ทนเอาหนาเพคะ ในขบวนนั้นเพียงครู่เดียว แล้วก็จักเข้าตำหนักเพคะ”

     

                หลังจากที่นางกำนัลคนสนิทของเซี่ยปี่อานรับตัวโจเซฟไปประทินโฉมได้ไม่นาน คนผู้พี่ก็เริ่มคุยกับผู้น้องเกี่ยวกับแผนการทันที 

    “ได้ความว่าตามนี้ เจ้าไหวแน่หรือ?”

    เซี่ยปี่อานสรุปแผนการและถามน้องชายเกี่ยวกับการแสดงตัวในขบวนแต่งตั้งราชวงศ์ที่รอบข้างเต็มไปด้วยควันจากไฟและหมอกหนาว ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บหนักของฟ่าน เขานึกเป็นห่วงนัก 

    “ข้าไหว ท่านพี่ไปดูเจี๋ยเฟินเถิด ข้าจักพักอีกสักหน่อย เที่ยงวันข้าจักออกไปสมสบ”

    “ให้ทุเลาลงก่อนเถิด เดินเหินก็มิสะดวก ริอาจจักไปมองนางสวรรค์เล่นน้ำ” ปี่อานคิ้วกระตุก

    “ข้ามิปล่อยให้พี่เซี่ยได้เชยชมนางผู้เดียวหรอก”

    “เจ้านี่ช่างจ้อนัก” 

    .

    “เหตุใดเจ้าจึงรับลูกธนูจากขันธีผู้นั้นแทนข้า ฟ่านอู๋จิ่ว …ทั้งที่ตัวข้าต้องรับมัน..”

    “มิใช่แค่พี่ชายหรอกที่ควรปกป้องน้องชาย ข้าก็ทำหน้าที่น้องชายของข้าด้วยเช่นกัน”

     

    #ย้อนซากบุปผา

    twitter : @whereisfreel (notpink)

    เอื้อะ ยาวนานถึงสามวันเลยนะคะตอนนี้ แอบเปลี่ยนพล็อตนิดหน่อยด้วย

    เอาเป็นว่าในตอนนี้ก็มีหลายปมได้ถูกคลี่คลายลง มาส่งแรงกายแรงใจให้พวกคุณๆเขานะคะ  เรื่องภาษาในเรื่องอาจะไม่เป้ะมากเพราะเราพยายามทำให้มันดูอ่านง่ายแต่ก็ยังคงความพีเรียดเอาไว้ ส่วนคำพูดคำจาน้องเจี๋ยเฟินก็จะแบบคนเพิ่งจะฝึกภาษาเล็กน้อยนะคะ 

    คือตอนนี้ดูดพลังมากเพราะเปลี่ยนหลายฉาก ถ้าเปิดเพลงบรรเลงจีนไปด้วยจะได้ฟีลมากที่สุด555555

    ฝากติชมด้วยนะคะ จะจับการแก้บนแล้วแต่เราก็ตั้งใจแต่งมันมากๆเลยค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×