คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ซากบุปผา มิย้อนคืน 4/4 end
#ย้อนซากบุปผา
เสียงฝีเท้าจากรองเท้าหลายคู่หลายขนาดเดินกลบเสียงเครื่องปรับอากาศในพิพิธภัณฑ์อันโอ่อ่ามากด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดินจีนและแคว้นนี้ ท่ามกลางผู้คนที่ฝักใฝ่ความรู้อย่างเคร่งครัด นอร์ตันกลับทำสีหน้าคิดบางสิ่งอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีสมาธิในการเพ่งดูศิลปอันงดงามของแดนนี้เลยสักนิด เขาคิดถึงแต่เพียงว่าคุณโจเซฟนั้นจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ อากาศเริ่มหนาวลงทุกวันจนเขารู้สึกผิดปกติ เพียงเพราะหิมะนั้นไม่ตกทั้งๆที่อากาศเย็นขนาดนี้แล้วแท้ๆ
“เมื่อไหร่จะกลับมากันนะคุณโจเซฟ… เอ๊ะ นั่นมัน ”
นอร์ตันที่กำลังบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อขายาวก้าวไปตามทางจนหยุดพบกับตู้กระจกที่ถูกกั้นไว้ต่างจากตู้อื่นที่สามารถเข้าใกล้ได้ รองเท้าหนังสีดำขลับก้าวเข้าไปใกล้ในทันที สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลวดลายของปิ่นปักผมทองคำห้อยด้วยหยกน้ำงามตัดกับผ้ารองกำมะหยี่สีแดง ลายนี้มันคับคล้ายคับคลากับ.. พลางมือหนาก็หยิบสิ่งของภายในกระเป๋าเป้ของตนขึ้นมาเทียบทันที
กล่องไม้ลวดลายอ่อนช้อยสวยงามนี้ช่างดูเหมือนกับลายบนปิ่นทองคำเสียจนทำเขาอึ้ง กล่องไม้นี้คือกล่องที่บรรจุสารของคุณโจเซฟเอาไว้
“ถ้าเกิดว่าของสองสิ่งนี้มันเหมือนกันขนาดนี้ แปลว่ามันก็ต้องมาจากที่เดียวกัน?”
“ต้องไปหาผู้อำนวยการของที่นี่แล้วสิ”
“ที่นี่อากาศหนาวแบบนี้ทุกปีหรือครับ?”
“ไม่หรอก ตั้งแต่ที่ฉันอยู่มานี่คงเป็นครั้งแรกที่หนาวขนาดนี้ ทวดของฉันเคยเล่าให้ฉันฟังตอนยังเด็กว่าเมืองนี้ไม่เคยหิมะตกเลยแม้จะหนาวแค่ไหน ท่านเล่าไว้ว่าเป็นตำนานเกี่ยวกับแคว้นนี้ …เพราะว่าเมืองนั้นเศร้าเกินไปที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว”
“เป็นเรื่องที่แปลกดีนะครับ” นอร์ตันยกชาร้อนที่ผู้สนทนาของเขาทำมันไว้ให้ขึ้นดื่มระบายความหนาว สายตาก็จับจ้องตามชายแก่ที่กำลังยกกล่องไม้ของเขาขึ้นดู
“อืม กล่องไม้นี่ช่างงดงามเหลือเกินคุณนอร์ตัน ไม่ทราบว่าคุณได้มันมาจากที่ไหนหรือ ?”
ชายมีอายุตำแหน่งผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถามกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มาขอพบเขาอย่างเร่งด่วน มืออวบอ้วนยกของในมือขึ้นอย่างใช้พิจราณา ของชิ้นนี้งดงามมากจนไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของนายช่างที่อยู่ในเมืองนี้ และมันก็ดูมีอายุ กลิ่นไม้ที่เก่าแก่ ยากที่จะหามันไว้ในครอบครองเขาจึงเอ่ยถามคนที่นำมาให้เขา
“หญิงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของที่พักของผมเธอเอามาให้แล้วบอกว่ามีคนนำมันมาฝากไว้ให้ผมและเพื่อนของผม ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าคนที่นำมาให้นั้นเข้าเป็นใคร ผมก็นึกสงสัยเหมือนกันจนกระทั่งเปิดกล่องข้างในดูก็พบกับสารลายมือของเพื่อนผม ”
“เดี๋ยวก่อนนะ ” ชายแก่ยกมือขึ้นขัดคำบอกเล่าของนอร์ตัน
“ครับ?”
“เพื่อนของนายไม่มาด้วยหรือ? ฉันอยากรู้น่ะว่าทำไมถึงเป็นลายมือของเพื่อนนาย” สิ้นคำถามของชายแก่ นอร์ตันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับเล่าข้อมูลบางส่วนตั้งแต่ที่โจเซฟนั้นหายไปจนถึงปัจจุบันนี้ให้กับชายแก่ฟัง
จนกระทั่งจบเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมด ชายแก่จับจ้องใบหน้าของนอร์ตันเพื่อความมั่นใจก่อนจะพยักหน้าแล้วลุกขึ้นไปเปิดกรอบรูปที่หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ตู้เซฟขนาดกลางที่ฝังเข้าไปในกำแพงถูกบดบังสายตาด้วยรูปภาพเขียนสีถูกเปิดออก ข้างในนั้นเต็มไปด้วยหลักฐานประวัติศาสตร์บางชิ้นของแคว้นนี้เอาไว้ ซึ่งเขานั้นได้เก็บรักษามันไว้อย่างดีจากบรรพบุรุษ และตอนนี้มันจะถูกส่งต่อให้กับชายหนุ่มที่เขานั้นไว้วางใจได้จากเรื่องราวทั้งหมดเพียงไม่กี่ชั่วโมง
“อะไรหรือครับ?” นอร์ตันยิ่งมือไปรับกล่องเหล็กฉลุลายมาถือไว้ในมือ
“มรดกจากบรรพบุรุษของฉัน ทั้งหมดในตู้เซฟนั้นล้วนมีเจ้าของที่รอวันกลับสู่มือ ..ฉันคิดว่ากล่องนี้ก็ถึงเวลาของมันแล้ว อยู่มานานกว่าเพื่อนก็เพราะเจ้าของอยู่ไกลเกินมา ฉันไว้ใจนายนะ”
“ครับ งั้นขออนุญาตนะครับ”
นอร์ตันบรรจงเปิดกล่องเหล็กดู แม้ภายนอกจะดูเปิดง่ายแต่กลับเปิดลำบากเพราะไม่ได้ใช้มานานเสียอย่างนั้น สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาของเขานั่นก็คือกระดาษหนึ่งใบที่ถูกคว่ำเนื้อหาของมันเอาไว้ มือหนาหยิบมันออกมาคลี่ออกดู และเขาก็ต้องประหลาดใจทันทีเพราะสิ่งที่ถูกขีดเขียนลงนั้นไม่ใช่ข้อความแต่อย่างใด กลับเป็นรูปภาพของใบหน้ามนุษย์คนหนึ่ง เพียงแค่เสี้ยวใบหน้าเท่านั้น แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย ลายเส้นที่ตวัดนั้นงดงาม เส้นผมที่ถูกทาทับด้วยหมึกสีอ่อน ใบหน้าเรียว จมูกโด่งรั้น ไหนจะดวงตาที่แสนสวยนั่น หากมองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าคนในภาพนี้เป็นใคร
“ดวงใจของข้าเจี๋ยเฟิน …Joseph ?” คิ้วเข้มกระตุกเมื่อเหนตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนคำว่าโจเท่านั้น หากจะให้เข้าทำความเข้าใจล่ะก็ ต้องมีใครสักคนวาดภาพคุณโจเซฟในสมัยนั้นจนตกทอดมาถึงในมือของเขา ประกอบด้วยสารจากคุณโจเซฟเมื่อครั้งก่อน เขาปักใจเชื่อด้วยหลักฐานที่ตาเห็นเสียเต็มประดา
“ฉันก็ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับปิ่นปักผมนั้นมากสักเท่าไหร่หรอกนะ แต่ในบันทึกมีเพียงแค่ว่ามันเคยเป็นของฮองเฮาอีกแคว้นหนึ่งผู้ซึ่งเป็นลูกสาวของจักรพรรดิของแค้วนนี้” ชายแก่ยื่นเอกสารใบหนึ่งให้กับนอร์ตัน ซึ่งเขาก็รับมันมาอ่านอย่าง งงงวย
“ปิ่นนี่จะกลับคืนสู่เพื่อนของนายในพรุ่งนี้เช้าเมื่อเราดำเนินเอกสารเสร็จสิ้นและมันก็คงจะเป็นสิ่งสำคัญของเพื่อนนายแน่ๆพ่อหนุ่ม”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย เหลือเชื่อเลย..”
ยามโพล้เพล้ ขณะนี้ในตัวเมืองถูกย้อมไปด้วยสีส้มจากโคมไฟทั่วบริเวณลานหน้าพระราชวังหลวงจนถึงจตุจักรของชาวบ้าน งานรื่นเริงถูกจัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นจึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินชนไหล่กันขวักไขว่เพื่อเฉลิมฉลองและจับจ่ายซื้อผลผลิตของฤดูเก็บเกี่ยวที่เป็นหัวใจหลักในการจัดงาน เพียงปีนี้นั้นพิเศษมากกว่าปีอื่นๆเนื่องจากมีการประกาศการราชาภิเษกและประกาศการเษกสมรสขึ้นพร้อมกัน
องค์ชายทั้งสองและว่าที่ฮองเฮาที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นโฉมหน้าหน้านั้นปรากฏสู่สายตาประชาชนพร้อมกับข่าวดีของฮ่องเต้ สร้างเสียงโห่เห่ทรงพระเจริญหมื่นปีได้มากโข ไม่ว่าจะเป็นความงามราวกับนางสวรรค์ของฮองเฮา การที่เซี่ยปี่อานนั้นจักได้เษกสมรสก่อนฟ่านอู๋จิ่ว แลการมีพิธีมงคลใหญ่โตเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
เสียงเครื่องดนตรีดังออกมาเคล้ากับบรรยากาศสนุกนานภายในงานตอนค่ำ หญิงสาวออกมาร่ายรำแข่งกันงดงามให้ได้ชม ดนตรีที่ประสานกันได้อย่างดีกับความครึกครื้นพาลให้โจเซฟหรือเจี๋ยเฟินนั้นมีอารมณ์ร่วมกับผู้คนทั้งหลาย แม้เขาจะเป็นชาย แต่มันกลับสวยงามจนเขาอยากจะถอดทึ้งเสื้อผ้าสวยงามแสนเทอะทะไปให้พ้นแล้วลงไปสนุกกับวัฒนธรรมประเพณีของที่นี่ แต่คงได้แค่คิด
“เจ้าอยากลงไปหรือ?” ปี่อานก้มลงถามคนร่างบางข้างกายที่ทำตัวสดชื่นตั้งแต่เมื่อชาวบ้านเริ่มสนุกกัน
“ฉันเห็นว่ามันน่าสนใจดี แล้วก็สวยมากด้วย” ดวงตาสีน้ำข้าวนั้นเว้าวอนเหลือเกินทำเอาปี่อานใจเสียเหมือนกับว่าเขานั้นพรากเอาความสุขของคนข้างกายมาแปรเปลี่ยนให้เป็นหน้าที่ที่เคร่งเครียดชั่วข้ามวันเสียอย่างนั้น
“ตอนนี้เราทำได้เพียงนั่งมอง แต่ถ้าหากเราว่าความกันเสร็จ ข้าแลพี่เซี่ยจักพาเจ้าไปเต้นรำดีหรือไม่ ? ” ฟ่านอู๋จิ่วกล่าว
“ข้ารับเรื่องจากผู้ส่งสารมาแล้วล่ะ เจ้าพร้อมหรือไม่อันฉี?” นางกำนัลในชุดสีขาวเดินเข้ามาประชิดตัวนางกำนัลอีกคนที่กำลังยืนถือถาดเทียนหอมพร้อมกับพูดคำสั่งจากสารฮ่องเต้ให้ฟัง
“ฮ่องเต้บอกว่าให้กำจัดนางออกไปก่อน เหตุว่าฮองเฮาน่ะ มักช่างสังเกตแลระวังหลังให้แก่ฮ่องเต้เสมอ แลไม่ว่าจักเกิดเหตุอันใดขึ้นก็จงทำงานให้เสร็จสิ้น”
“เข้าใจแล้วเจียนเถิง เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ข้าจักเข้าไปแล้ว” เจ้าของชื่ออันฉีทำการพยักหน้ารับคำพูดเพื่อนนางกำนัลของตนผู้ซึ่งเป็นสายจากอีกแคว้นหนึ่งเช่นเดียวกับตน ก่อนจะกระชับถาดในมือแน่นแล้วเดินเข้าไปในตำหนักอาทิตย์ หอนอนของเซี่ยปี่อาน
“ข้านำเครื่องหอมมาให้ท่านแม่นางเจี๋ยเฟิน คืนนี้ท่านจักได้นอนหลับสบาย ขอให้เครื่องหอมนี้ช่วยให้ท่านรู้สึกดี”
ร่างบางที่กำลังใช้หวีสางผมเส้นสวยหน้ากระจกบานใหญ่ละสายตาจากผมของตัวเองแล้วหันไปให้ความสนใจกับนางกำนัลผู้มาเยือนใหม่ โจเซฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเครื่องหอมที่อยู่ข้างหน้าของนางกำนัล มือขาวหยิบก้านคล้ายก้านไม้ขึ้นมาสูดดมเล็กน้อยแล้วระบายยิ้มออกมา
“ขอบคุณ” กล่าวขอบคุณพรางตาสีน้ำข้าวก็มองที่ดวงตาของอันฉีนางกำนัล
ซึ่งนั่นก็ทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย แม้เสียงของฮองเฮาผู้นี้จักหวานและอ่อนนุ่มแต่กลับมีเสียงทุ้มแลเหมือนบุรุษเพศ นางก้มหน้าคางชิดอกทันทีที่ถูกมองกลับมา
“ทรงพระเจริญหมื่นปี”
“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”
“ข้าจักเตรียมไว้ตรงนี้หนาแม่นาง เป็นช่องลมพัดผ่าน หอนอนจักได้อบอวล” อันฉีว่า โจเซฟก็พยักหน้ารับพร้อมกับมองการกระทำของนางกำนัลคนนี้ให้อยู่ในสายตาตลอด จนปากก็ได้พูดออกไป
“รู้ไหม? …ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้ให้ใครสักคนได้รับฟัง อีกไม่นานฉันจะขึ้นเป็นฮองเฮาที่มีประชาชนคอยรักและเคารพ แต่ความรู้สึกตอนนี้ช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน อยากจะรับฟังฉันไหม?”
“ตามประสงค์แม่นาง” อันฉีก้มหน้าคิดอยู่ภายในใจ หากยิ่งยื้อเวลาอยู่นานมากเท่าไหร่ การลงมือก็จะล่าช้ามากขึ้นเท่านั้น หากลงมือกระทำแต่เสียเนิ่นๆในขณะที่ทหารเวรยามยังไม่มาเฝ้ามันจะดีต่อตัวเธอที่จะพ้นผิด แต่หากต้องมานั่งฟังว่าที่ฮองเฮา คงจะต้องคิดหาทางเสียใหม่ แต่ทันทีที่คิดเช่นนั้น เสียงของเจียนเถิงที่รับสั่งมาจากฮ่องเต้จากแคว้นที่ส่งตนมาก็แว่วอยู่ในหู ว่าให้จัดการไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ทำให้นางกำนัลอันฉีถึงกับคิดไม่ตก
“ ฉันมาจากแคว้นอันไกลโพ้น แต่เพราะชะตาที่ทำให้ฉันได้พบกับเซี่ยปี่อานและฟ่านอู๋จิ่วที่นี่ แรกพบฉันรู้สึกประหลาดใจราวกับคุ้นเคย พอได้อยู่ ได้พูดคุยกันหลายสิ่ง ก็ทำให้ฉันรู้ว่าการรักใครสักคนช่างง่ายดายมาก จนคิดโทษตัวเองที่ใจง่าย แต่ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิด … ปี่อานนั้นช่างอ่อนโยน อู๋จิ่วนั้นแข็งกร้าว แต่ทั้งสองกลับเติมเต็มกัน นั่นเป็นสเน่ห์ของเขาทั้งคู่เลยล่ะ ไม่นานนี้พวกเขาได้รับอันตรายที่ฉันไม่รู้ พอมารู้ทีหลังรู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อได้คิดกับตัวเองในช่วงเวลานั้น บางสิ่งชัดเจนขึ้นมา ฉันรู้สึกดีต่อทั้งสองคน มันอาจจะฟังดูแปลกไปหน่อย …แต่ด้วยหน้าที่ เธอคงรู้ว่าต้องเลือกใคร ”
“ทรงเลือกถูกต้องแล้วแม่นาง” อันฉีได้ยินที่ร่างบางตรงหน้าเล่าก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจ แลเป็นประโยชน์สำหรับข้อมูลให้กับฮ่องเต้ของตน
“ถึงช่วงเวลาตกหลุมนั้นสั้น แต่ฉันก็คิดว่าฉันนั้นเลือกตกหลุมรักไม่ผิด” เจ้าของผมสีอ่อนยิ้มบางออกมา “เธอออกไปได้แล้ว ขอบใจนะ” สิ้นเสียงอ่อน ความมืดจากไฟตะเกียงดับก็ได้เข้าปกครองห้อง
“เรื่องนี้ช่างน่าประทับใจยิ่งนักแม่นาง ข้าจักจำมันไว้ ”
ร่างบางบนที่นอนล้มตัวลงด้วยพละกำลังของอันฉี ชิ้นส่วนแหลมคมของอาวุธในมือของนางกำนัลที่อยู่ข้างหลังสะท้อนสู้กับแสงจันทร์ข้างนอก
ครืด ..
ประตูหอนอนเปิดออกพร้อมกับเงาดำมืดขององค์ชายทั้งสอง เครื่องแต่งกายของเพชรฆาตที่ถูกสวมใส่แทนฉลองพระองค์เมื่อเย็นปรากฏสู่สายตาของนางกำนัลไส้ศึกจากอีกแคว้นหนึ่ง
“พาฮองเฮาไปที่ตำหนักหลวง แลล้อมนางกำนัลไว้ ” สุรเสียงทุ้มของเซี่ยปี่อานสั่งการ
“จัดการตรงนี้ให้สิ้นเสีย แล้วนำหัวนางส่งให้นายของมัน!” อู๋จิ่วประกาศกร้าว
เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังของโจเซฟที่ยืนขบคิดบางสิ่งอยู่กลางโถงตำหนักหลวงอันโอ่อ่า เรียกให้ใบหน้าสวยผินไปมองข้างหลัง ปรากฏภาพชายหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตาถึงสองคนเดินประกบเคียงกันมา ร่างบางกลืนนำลายดังอึกราวกับกำลังกดดันหรือกังวลกับสิ่งใดอยู่
“ขออภัยที่ปล่อยให้เจ้าคอยอยู่ในโถงเพียงลำพังอยู่นาน” อู๋จิ่วว่า
“ไม่เป็นไร พวกคุณมีสิ่งที่ต้องจัดการ”
เกิดความเงียบปกคลุมรอบพวกพวกเขาทั้งสามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะกล่าวว่าอึดอัด หรือไม่มีอะไรจะพูดก็ไม่ถูกต้อง ต่างคนต่างกำลังใช้ความคิด และกำลังเรียบเรียงมันออกมา
“เจี๋ยเฟิน” เซี่ยปี่อานเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแลมององค์ชายทั้งสอง
“เรื่องทั้งหมด ..ตั้งแต่คราวที่เราได้พูดคุยกันครั้งแรกภายในสวนส่วนพระองค์หลวง คราที่ข้ารู้ว่าเจ้ามองเห็นพวกที่ซุ่มอยู่ข้างบนผาข้างบนนั่นไม่ไกล เหตุที่เจ้ามิบอกเพราะเหตุที่เจ้ายังมิแน่ใจแลเจ้านั้นพูดกับพวกข้ามิถูก ข้ารับรู้แล้วหนายามที่เจ้ากล้าบอก …” ปี่อานว่าพลางมองเข้าในดวงตาอันบริสุทธิ์ของคนตรงหน้า “ ขอบใจเจ้าอีกคราที่มองเห็นพวกมัน ทำให้ข้าแลอู๋จิ่วนั้นต้องไม่กลายเป็นศพอยู่กลางสวน ” ริมฝีปากหนายิ้มออกมา
“เรื่องของค่ำนี้ก็เช่นกัน นางกำนัลที่ชื่อเจียนเถิง เจ้าอาจมิเคยพบหน้า แต่นางเป็นสายของแคว้นเราที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ”
“ปั่นหัวนางกำนัลอันฉีเสียจนพลาดท่าตกม้าตายง่ายๆเลยล่ะ” เจ้าของดวงตาสีเข้มอย่างอู๋จิ่วเสริม
“มันผ่านไปได้ด้วยดีไหม?” โจเซฟถามด้วยสายตาที่ชายหนุ่มทั้งสองมองไม่ออก
“แม้นจะผ่านไปด้วยดีหรือมิดี แต่มันก็ผ่านแล้ว โปรดวางใจ” มือหนาของปี่อานส่งไปลูบผมสีอ่อนของโจเซฟอย่างปลอบประโลม พร้อมฟ่านอู๋จิ่วที่กอบกุมมือขาวที่เย็นเฉียบเนื่องจากอากาศเย็นไว้สัมผัสมือเล็กอย่างอ่อนโยนแตกต่างจากการจับคันธนูที่แข็งกร้าว
“เซี่ยปี่อาน ฟ่านอู๋จิ่ว ฉันอยากกลับบ้าน ไปส่งฉันได้ไหม?”
อากาศที่เริ่มเย็นลงมาพร้อมกับลมหนาวที่พัดพาเอาความหอมของดอกเหมยมาปะทะกับไอเย็นของลำธารสายกลางของหมู่บ้านแห่งนี้ ดอกโบตั๋นที่เคียงกันแข่งกันอวดโฉมความงามต่อแสงจันทร์ในค่ำคืนนี้ เซี่ยปี่อานเจ้าของผมยาวสีอ่อนที่ถูกรวบไว้บนศีรษะอย่างเช่นเดิมในชุดประจำฤดูเหมันต์สีขาวสะอาดปักด้วยด้ายทองงดงาม แลฟ่านอู๋จิ่วญาติผู้น้อง ผมดำขลับเข้ากับชุดเพชรฆาตอันน่าเกรงขาม นั่งประกบร่างบางตรงกลางเคียงกับผู้พี่
หลังจากที่ขึ้นหลังอาชาตัวใหญ่ทั้งสองไกลจากวังหลวงมามาก ก็เป็นร่างบางเองที่ขอเดินเท้ากลับบ้านมาจนถึงริมแม่น้ำใกล้กับบ้านของตน โจเซฟขอให้พวกเขาหยุดคุยกันที่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับบ้าน เพราะที่ตรงนี้มันเหมือนกับสถานที่ที่เขาจากมามากที่สุดในความทรงจำ
“ฉันรู้นะว่าพวกคุณคิดอะไรกันอยู่ เพียงแค่ไม่ได้บอกฉัน แต่สีหน้าพวกคุณกลับแสดงมันออกมาชัดเจนตั้งแต่เราคุยกันที่โถงของตำหนักหลวง ..” เสียงหวานเอ่ยกลบความเงียบคู่กับเสียงของใบไม้กระทบกัน
“เจ้าพูดถูกเจี๋ยเฟิน พวกข้ามิอาจเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้มิดหรอกหนา” ปี่อานกล่าวสายตาคมที่อ่อนลงจับจ้องที่ทะเลหมอกที่ขึ้นเหนือลำธารตรงหน้า
“พวกข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วคราแรกที่เจ้าได้สบตากับพวกข้า …ข้าคิดว่าเจ้านั้นพิเศษ ช่างน่าแปลกใจที่ข้าแลพี่เซี่ยนั้นช่างคุ้นเคยกับเจ้าราวกับจำความใดได้ว่าเราเคยพบกัน ต้องมีบางสิ่งที่เจ้ามาและต้องจากไป อย่างเช่นที่พวกข้านั้นกลัว กลัวเหลือเกินว่ามันจักมาถึง” อู๋จิ่วหลับตาข่มความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ภายในเอาไว้
“ไม่ช้าก็เร็วที่เจ้าจักได้กลับบ้าน กลับที่ที่เจ้านั้นจากมา …เจ้าคงจักรู้หนาว่าต้องทำเยี่ยงใดต่อ” ปี่อานละสายตาจากสายน้ำที่ไหลเอื่อยมามองใบหน้าสวยจากด้านข้าง ใยดวงตาสวยคู่นี้แลต้องเจ็บปวด
“อืม ต้องกลับแล้วล่ะ ฝากขอบคุณคุณปู่คุณย่าด้วยนะ … แล้วก็ขอบคุณพวกคุณทั้งสองตลอดเวลาไม่นานที่ผ่านมา ฉันมีความสุขมากๆที่ได้รู้จักพวกคุณ ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็ตาม ทันทีที่ฉันเข้าไปทำความรู้จักพวกคุณ ฉันก็ได้เลือกแล้วว่าจะมีพวกคุณในความทรงจำของฉันตั้งแต่นั้น จนตลอดไป ”
โจเซฟยิ้มบางพลางมือขาวก็เอื้อมไปดึงปิ่นปักผมอันสวยของที่อู๋จิ่วนั้นให้มาไว้ในมือ ส่งผลให้ผมสีอ่อนสยายกลางหลังน่ามอง “ปิ่นนี่ คุณให้ฉันมา มันก็คือของฉันแล้ว ..แต่ฉันให้พวกคุณเก็บเอาไว้ ” ว่าแล้วก็ส่งให้อู๋จิ่วนั้นเก็บเอาไว้ในฐานะที่เขานั้นเป็นเจ้าของ
“ฉันหวังไว้ว่า หากเราได้มาพบกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะพรุ่งนี้หรือวันไหนก็ตาม ของสิ่งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจว่าเรานั้นเคยได้พบกัน และได้เคยรัก”
“ข้ารักเจ้า”
เสี่ยงทุ้มของชายหนุ่มทั้งสองดังประสานกันทันทีที่โจเซฟพูดจบ เรียกริมฝีปากบางให้ฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกนั้นเอ่อล้นมากมายเหลือเกิน จนคิดว่าคำพูดนั้นคงไม่เพียงพอกับความรู้สึกทั้งหมดภายในใจเลยแม้แต่น้อย…
“ ฉันก็รักพวกคุณ”
春花秋月何时了
บุบผาจันทราคราใดสิ้น
往事知多少
ความหลังฝังใจมากเพียงใด
ดวงตาสีนิลสองคู่วูบไหวเมื่อเห็นคนข้างกายนั้นหายไปในชั่วพริบตา แลชั่วนิรันดร์ ฟ่านอู๋จิ่วก้มหน้าหลับตาข่มหยาดน้ำใสที่ไหลออกมา ต่างกับเซี่ยปี่อานที่หันมองไปทางต้นโบตั๋นข้างกายของตน ไล่ความเศร้าของตนด้วยสิ่งสวยงามตรงหน้า แต่เปรียบไม่ได้กับนางผู้เป็นที่รักแม้แต่น้อย
小楼昨夜又东风
ลมบูรพาผ่านหอเมื่อคืนวาน
故国不堪回首月明中
สิ้นแผ่นดินสุดจะทานกลางแสงจันทร์
ลมหนาวพัดมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเกล็ดสีขาวหนาวเย็นนั้นจะเข้ามาแทนที่ ให้ได้รับรู้ถึงฤดูใหม่ที่มาเยือนแคว้นแห่งนี้ เกล็ดหิมะสีขาวอันบริสุทธิ์ แลกกับหิมะของพวกเขาไปตลอดกาล …
“ลุกขึ้นยืนเถิดฟ่าน” ปี่อานหันกลับมามองผู้น้องที่ก้มหน้าซบกับหัวเข่าของตัวเอง ในมือกำปิ่นปักผมแน่นจนมือขึ้นข้อขาว เขารับรู้ได้ถึงความเศร้าที่มากมาย เหมือนกับตัวเขาเช่นกัน
“….ข้าทรงตัวไม่อยู่หรอกหนาพี่เซี่ย” อู๋จิ่วยอมเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีนิลที่มีหยาดน้ำใสกระทบกับแสงจันทร์เป็นภาพที่ทำให้ภาพลักษณ์องค์ชายฟ่านจอมเกรี้ยวกราดนั้นหายไปทันที
“ข้าก็เช่นกัน… ข้าจักเข้าไปคุยกับช่างสร้างหลวงให้ทำศาลาริมน้ำที่นี่ หวังว่าที่ที่นางกลับไปยังคงมีสิ่งนี้เหลืออยู่”
“ท่านพี่เป็นพวกชอบตอกย้ำตนหรือย่างไร? สร้างไว้ดูต่างหน้าอย่างนั้นน่ะ” อู๋จิ่วพูดติดตลกทั้งที่ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มสักนิด
雕栏玉砌应犹在
วิหารเวียงวังงามตระการนั้นยังคง
只是朱颜改
เพียงโฉมงามนางอนงค์ที่เปลี่ยนไป
“เจ้าก็เก็บปิ่นของนางเอาไว้ให้ดีล่ะ พร้อมกับรูปวาดของนางที่เจ้าวาดที่น้ำตกนั่น” ปี่อานรับ
“อืม ข้าวาดแลลงสีเอาไว้เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นแต่กลับเสมือนนางอยู่ในภาพวาดเสียอย่างนั้น …ข้าจักหาลืมนางไม่” สิ้นประโยคของผู้น้อง รอบกายก็มีเพียงแต่เสียงของธรรมชาติ
“ลุกขึ้นเถิด เราจักต้องไปกันแล้ว” จนกระทั่งเซี่ยปี่อานต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงจากพื้นดินแล้วเดินไปฉุดผู้น้องให้ลุกยืนตาม ร่างสูงทั้งสองเดินจูงอาชาคู่ใจของตนเดินเคียงกันกลับสู่พระราชวังหลวงเพื่อกลับสู่ที่ของตน
“จากนี้ข้าคงคะนึงถึงนาง..” อู๋จิ่วว่าพลางมองปิ่นปักผมในมือแล้วเก็บมันไว้แนบกาย
“สุดดวงใจ..”
问君能有几多愁
ถามใจนั้นระทมทุกข์มีเท่าใด
恰似一江春水向东流
ดังสายน้ำที่ไหลไปไม่หวนคืน
คริสต์ศักราช 2020
ก็อกๆ
“คุณโจเซฟ!!”
“คุณนอร์ตัน..”
สิ้นเสียงเคาะประตูจากคนข้างนอก นอร์ตันที่นั่งคิดนอนคิดไม่ตกกับเรื่องของคุณโจเซฟทั้งคืนก็ลุกขึ้นไปเดประตูออกทันทีที่เห็นว่าคนข้างนอกนั้นคือเจ้าเรื่องที่ทำให้เขานอนไม่หลับเพราะอาการเป็นห่วงและกังวลใจ พอเปิดประตู นอร์ตันใช้เวลาสำรวจคนร่างบางตรงหน้าที่เปลี่ยนไปได้ไม่นาน เจ้าของผมสีอ่อนที่ถูกปล่อยสยาย ร่างบางที่อยู่ในชุดที่แปลกตา ก็โผเข้ากอดเขาทันทีจนเขานั้นทำตัวไม่ถูก
เสียงสะอื้นดังขึ้นต่อเนื่องเรื่อยๆจนไม่มีท่าทีที่จะหยุด ดวงตาสีสวยแดงก่ำด้วยแรงฤทธิ์ของหยาดน้ำตาตั้งแต่เช้ามืดจนถึงยามสาย คุณโจเซฟนั่งมองออกไปข้างนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยมาร่วมชั่วโมงพร้อมกับน้ำตา ไม่มีเหลือแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่า อาจารย์โจเซฟ อาจารย์มหาลัยที่โด่งดังในเรื่องชีววิทยาของฝรั่งเศส นอร์ตันทำได้แต่เพียงเดินขอชาจากเจ้าของบ้านมาให้คุณโจเซฟเท่านั้น และเขาก็ได้รวบรวมความกล้ามานับชั่วโมงเพื่อที่จะถามไถ่เรื่องที่เขาค้างคา
“คุณโจเซฟครับ”
“…”
“ถึงแม้ว่าผมจะรับรู้เรื่องมาบางส่วน แต่อย่าเสียใจไปเลยนะครับ …เขาคนนั้นต้องกำลังพยายามตามหาคุณโจเซฟอยู่แน่นอน”
“….” โจเซฟชะงักตัวเองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันมาประชันหน้ากับไกด์หนุ่มที่นั่งตรงข้ามตน
“ผมว่าผมควรบอกคุณ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งของบางอย่างและสิ่งที่ผมได้พบเจอ มันน่าเหลือเชื่อจนผมได้คิดทบทวนเรื่องราวเรียงร้อยมันทั้งหมด ”
เสียงของไกด์หนุ่มพูดบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ตนนั้นเจอมารวมถึงเรื่องทรัพย์สินภายในพิพิธภัณฑ์ที่คุณโจเซฟต้องไปติดต่อเรื่องโอนสมบัติส่วนตัว โจเซฟทำเพียงพยักหน้าเป็นการตอบรับเพียงเท่านั้น
“นอร์ตัน” เสียงหวานเอ่ยออกมาเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่
“ครับ?”
“ผมจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย ถ้าหากคุณมีลูกค้าคนอื่นก็สามารถไปได้เลยนะครับ เรื่องค่าใช้จ่ายผมจะจัดการให้เอง”
“ไม่เป็นไรครับ คุณโจเซฟจะอยู่ต่ออีกสักพัก ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเองครับ” ไกด์หนุ่มยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร “แล้ววันนี้เราจะเริ่มทัวร์ไปที่ไหนก่อนดีครับ?” ตั้งแต่ทั้งคู่มาถึงก็ยังไม่ได้เริ่มท่องเที่ยวกันเลยสักนิด และด้วยนิสัยของคุณโจเซฟที่เป็นคนไม่ชอบความเศร้านานนักเขาจึงต้องเอ่ยชวน
“ผมอยากไปพิพิธภัณฑ์” ร่างบางตอบแล้วมองไปที่ศาลาหินก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปเตรียมตัว
“รับทราบครับ เอ่อ เดี๋ยวครับคุณโจเซฟ …ผมลืมเอาสิ่งนี้ให้ ”
นอร์ตันเพิ่งนึกบางสิ่งขึ้นได้ เขาลุกขึ้นยืนสาวเท้าตรงไปหยิบซองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมายื่นให้โจเซฟ ก่อนจะขอตัวไปเตรียมรถข้างนอกเพื่อรอร่างบางเตรียมตัวและใช้เวลากับตนเอง โจเซฟรับซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาเปิดดู
มือขาวยกขึ้นมากุมที่หน้าอกของตัวเองเพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้มันทะลักออกมาอีกครั้ง รูปวาดเขียนสีที่เขามองครั้งแรกก็รู้ว่าเป็นของฟ่านอู๋จิ่วจากตราสัญลักษณ์ พอได้มองมันทั่วทั้งแผ่นก็เห็นชื่อของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษอยู่มันก็ทำให้เขานั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“วาดเอาไว้ไม่เคยเห็นบอกกันเลยนี่ นิสัยไม่ดีจริงๆ ..ฮึก”
“น่าแปลกนะครับ ที่จู่ๆหิมะก็ตกทั้งๆที่ไม่ตกมานานแล้วแท้ๆ”
“?”
“หิมะน่ะครับ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เขาเล่ามาว่าเมืองนี้ไม่เคยหิมะตกอีกเลย เขาพูดว่าเมืองนี้เศร้าเกินไปที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว ”
หลังจากที่โจเซฟและนอร์ตันได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ พวกเขาก็เดินทางไปที่ห้องพักของผู้ดูแลทันทีเพื่อทำการพูดคุยและจัดการเอกสารทรัพย์ให้แก่ร่างบางที่กำลังนั่งฟังเขาเล่าเรื่องของเมืองนี้อยู่เบาะข้างคนขับซึ่งสารถีขับรถก็คือนอร์ตันเอง
ส่วนเรื่องปิ่นปักผมนั้นโจเซฟทำเพียงแค่เซ็นรับการเป็นเจ้าของและคงมันไว้ให้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่อไปเพื่อให้คนรุ่นหลังนั้นได้ศึกษา เพราะมันคือสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้ว่า เซี่ยปี่อานฮ่องเต้ของแคว้นนี้ และองค์ชายฟ่านอู๋จิ่วนั้นรักษาของของเขาไว้อย่างดีแม้เมืองจะถูกยึดด้วยแคว้นอื่นก็ตาม
เมื่อโจเซฟได้เห็นปิ่นปักผมสีสวยนั่นของตัวเอง เขาก็แทบจะน้ำตาไหลอีกรอบแต่ก็ต้องยั้งตัวไว้ สภาพของมันนั้นดูดีเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาได้ส่งมอบให้กับอู๋จิ่ว
“แบบนั้นเองน่ะหรอ … ”
“แล้วก็น่าแปลกอีกนะครับที่จู่ๆก็มีคนอยากได้ปิ่นปักผมนั่นของคุณโจเซฟ” นอร์ตันว่า
“คงจะเป็นนักสะสมของโบราณนั่นแหละ”
เมื่อเขาพูดคุยเกี่ยวกับการยอมรับทรัพย์สมบัติ จู่ๆก็มีสายต่อโทรศัพท์เข้าหาผู้ดูแลเกี่ยวกับปิ่นปักผมชิ้นนี้ และผู้ดูแลก็ได้เล่าว่ามีพ่อค้านักสะสมของโบราณนั้นติดต่อขอซื้อเป็นจำนวนมากด้วยราคาเงินมหาศาลแต่เขาไม่คิดจะขายมันแม้แต่เพียงชิ้นเดียวเพราะสิ่งของนั้นต้องมีเจ้าของ อาจมิใช่สมบัติของบุคคลก็จะเป็นสมบัติของชาติ
“ครั้งนี้มาจากจีนเลยนะครับ แปลกใจจริงๆทำไมถึงต้องการของในชาติตัวเอง” นอร์ตันนึกขันจึงหัวเราะในลำคอ
ตกเย็นในวันอันแสนเหนื่อยล้าของโจเซฟ เขาเลือกที่จะออกมาเดินเล่นพร้อมกับกล้องคู่ใจหลังจากมื้อเย็นจบลงที่ร้านอาหารตรงข้ามที่พักของเขา ขาสวยเดินทอดน่องมาเรื่อยๆจนถึงศาลาหินในครั้งแรกที่เขามาถึงเมืองนี้ ร่างบางก้มลงหยิบดอกเหมยที่พลัดตกลงมาบนม้านั่งก่อนจะนำมันมาทัดที่ใบหู หิมะสีขาวเจ้าปัญหาที่ทำชาวบ้านในระแวกนี้ตกใจที่มันตกลงมากำลังเริ่มปกคลุมพุ่มดอกโบตั๋นรอบข้างศาลาหิน
มือขาวยกกล้องขึ้นมาระดับดวงตา หันกล้องออกไปตรงสะพานหินอีกฟากหนึ่งหามุมที่แสงยามเย็นตกกระทบ นิ้วเรียวจรดลงกดปุ่มชัตเตอร์
แชะ !
“ขอผมซื้อรูปนั้นได้ไหมครับ ?”
“!”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาทำให้คุณตกใจ ”
ทันทีที่โจเซฟยกกล้องขึ้นดูผลงานการถ่ายรูปของตัวเอง ก็มีเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ต้องหันกลับมาดู ร่างบางชะงักกึกจากบุคคลที่ได้เห็นตรงหน้า
ชายหนุ่มชาวจีนร่างสูงสองคนในชุดสูทสุภาพนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตน ทรงผมตัดสั้นที่ถูกเซตขึ้นเปิดเผยใบหน้าที่ชัดเจน ดวงตาคมสีนิล จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับรับกับใบหน้าคมเหมือนกัน แต่กลับมีความแตกต่างกัน ช่างรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้พบกันและจากกันได้ไม่นาน
เซี่ยปี่อาน … ฟ่านอู๋จิ่ว ….?
“คุณโจเซฟ อาจารย์ชีววิทยาประจำมหาลัยที่ฝรั่งเศส ชื่อของคุณถูกขึ้นเป็นผู้ครอบครองปิ่นปักผมสลักทองเมื่อเที่ยงนี้สินะครับ” ผู้ที่หน้าตาละม้ายกับผู้พี่ลุกขึ้นยืนและตรงเข้ามาหาร่างบาง รองเท้าหนังสีขาวสะอาดหยุดอยู่ตรงหน้าของโจเซฟที่กำลังตัวแข็งทื่อ
“ ผมเซี่ยปี่อาน เป็นผู้สืบทอดของบางชิ้นในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตามกฏหมาย คนที่ติดต่อหาผู้ดูแลตอนที่คุณคุยกับเขาอยู่นั่นแหละครับ ” ร่างสูงค้อมหัวลงเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมาทักทายซึ่งโจเซฟเองก็ตอบรับอย่างมีมารยาทก่อนปี่อานจะนั่งลงขนาบข้างเขา ใบหน้าสวยก้มลงซ่อนความดีใจของตนเอาไว้พร้อมกับดวงตาคู่สวยที่มีหยาดน้ำใสคลออยู่
โจเซฟมั่นใจ ว่าเราทั้งสามคนจะจำกันได้อย่างแน่นอน
“ฟ่านอู๋จิ่วครับ น้องชายต่างแม่ของคุณเซี่ย … ” เจ้าของนามอู๋จิ่วย่อลงให้ใบหน้าของตนอยู่ในระดับต่ำกว่าของร่างบางตรงหน้าเมื่อรู้สึกถึงแรงสะอื้น
“ผม ขอโทษที่เสีย ..มารยาท แต่ ฮึก”
“โจเซฟ..อย่าร้องไห้เลยนะ” อู๋จิ่วว่าพลางยกมือบางขึ้นมากอบกุมเอาไว้จรดริมฝากลงบนนิ้วขาวบ่งบอกถึงความโหยหา
ความรู้สึกที่เขานั้นคุ้นเคยเหลือเกิน..
“ได้พบกันอีกครั้งแล้วนะครับ”
“ยินดี ..ที่ได้พบอีกครั้งครับ”
回忆之所以美丽,是因为谁也回不去 。
เหตุที่ความทรงจำนั้นงดงามเป็นเพราะไม่อาจมีใครย้อนกลับไปได้
#ย้อนซากบุปผา
twitter : @whereisfreel (notpink)
*แก้ไขเนื้อเรื่องเล็กน้อย
ขอบคุณทุกคนที่รอคอยนะคะ เราแต่งตอนจบมาประมาณสามสี่แบบได้ และนี่เป็นตอนจบที่เราเลือกนะคะ แงง จะบอกว่ามีspecial ซีนเล็กน้อยค่ะ อดใจรอกันอีกไม่นาน แล้วก็แอบกาซิบนะคะว่าจะมีshort ficเรื่องใหม่แก้บนที่เราไม่ได้ผ่าตัดหัวเข่าค่ะ ดีใจมากเลยคุนแม๊
สุดท้ายนี้ขอบคุณนะะคะที่มอบความรักให้เรื่องนี้ เราตั้งใจแต่งมากๆ อาจจะติดๆขัดๆไปหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการบรรยาย เพราะเราไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่แห่ะๆ ติชมได้นะคะ
เจอกันค่ะ ;)
ความคิดเห็น