คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : หยาดน้ำฟ้าชะล้าง 3/4
#ย้อนซากบุปผา
เกือบครบสัปดาห์ที่โจเซฟมาอยู่ที่แคว้นนี้ในเมืองโบราณแห่งนี้ ไม่มีวี่แววของเหตุการณ์สำคัญหรือเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นแต่อย่างใด เห็นได้ก็จะมีแต่เพียงสองพี่น้องลูกขุนนางในวังหลวงแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเขาตั้งแต่เที่ยงจนกระทั่งค่ำก็พากันเดินตระเวนไปที่นู่นที่นี่ไม่ซ้ำกัน
เมื่อเย็นวานเซี่ยปี่อานและฟ่านอู๋จิ่วเล่าให้เขาฟังว่าแคว้นแห่งนี้ภายนอกนั้นก็เหมือนแคว้นอื่นทั่วไป แต่เพราะใต้แคว้นแห่งนี้มีเหมืองทองและแร่ธาตุมากมายแคว้นอื่นจึงต้องการที่จะส่งไส้ศึกมาล้วงข้อมูลและยึดครองอำนาจในที่สุด ทว่าความสามารถของแม่ทัพนักรบจึงปกป้องคุ้มครองแคว้นนี้จนถึงทุกวันนี้ แต่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนในวังหลวงนั้นต่างหวาดกลัวและเตรียมแผนตั้งรับเพื่อให้ประชาชนนั้นใช้ชีวิตอย่างสบายใจ
“จวบจนตะวันจะลับฟ้าแล้วหนา เหตุใดเจ้ายังมิเตรียมพร้อม”
เสียงของร่างโปร่งเจ้าของผมสีเข้มดังขึ้นข้างหลังของร่างบางที่กำลังนั่งพับผ้านุ่งเข้าตู้ไม้เก่า เมื่อวานเจี๋ยเฟิน เขาและพี่ชายได้ตกลงนัดพบกันวันนี้ตอนค่ำ แต่เขากลับมาถึงก่อนพี่ชายและก่อนเวลานัดเสียอย่างนั้น จึงถือวิสาสะขออนุญาติแม่อี้ฉือเข้ามาหาเจี๋ยเฟินถึงหอนอนของเจ้าตัว ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าเข้าหอนอนของสาวงามแบบนี้จะผิดประเพณี
แต่มันก็น่าลองผิดอยู่หรอกหนา
เพียงแต่เกรงกลัวพี่เซี่ยดุว่าเท่านั้นแล
“ฉันเพิ่งจะช่วยคุณย่าปิดร้าน คุณบอกว่าจะมาหลังจากนี้นี่?” มือขาววางผ้าลงบนตักแล้วพับมันปากก็พลางถามผู้บุกรุก
“ท่านพ่อของพี่เซี่ยเรียกเขาคุย ข้าก็สิ้นกิจก่อนพี่ชาย จึงควบม้ามาหาเจ้าก่อน”
“ขี่ม้ามาเลยหรอ? วันนี้จะพาฉันไปไกลอีกล่ะสิ”
ดวงตาสีน้ำข้าวช้อนมองฟ่านอู๋จิ่วที่เดินตรงมานั่งตรงข้ามกับเขา หลังจากวันที่สองพี่น้องรู้อายุของโจเซฟ ทั้งสองก็บอกให้เขานั้นพูดแบบเป็นกันเองมากกว่าทางการ ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยทราบว่าเป็นกันเองกับทางการของพวกเขามันเป็นอย่างไร ทำได้แค่พูดเท่าที่จะแปลความหมายได้ และซ้ำยังกล้าสบตาคมของพวกเขาทั้งสองอีกด้วย
“ปีกกล้าขาแข็ง กล้าพูดขึ้นเยอะเลยหนาแม่นาง ทบผ้าของเจ้าไปเถิด ข้าจักนั่งมอง” อู๋จิ่วยิ้มบางออกมา
“ฉันทำอยู่แล้ว …ซ่อนอะไรไว้? ”
“เจ้าเห็นด้วยหรือ ข้าซ่อนไม่เนียนหรือนี่”
“คุณน่ะเหมือนเด็ก ฉันอ่านทางคุณออกนะอู๋จิ่ว”
ฟ่านอู๋จิ่วจุดยิ้มมุมปากพร้อมส่ายศีรษะเอ็นดูให้กับร่างบางตรงหน้าที่ชะเง้อคอมองไปยังสิ่งของที่เขานำติดมาด้วย เขาทำเพียงนำมันถือไว้แล้วนำมือไขว้หลังเท่านั้น พอร่างบางถามดังนั้นมือหนาก็ยื่นมันออกมาตรงหน้าเจ้าของใหม่ของมันทันที
“กล่อง?”
“ข้างในนี้มีของสำคัญของแม่ข้าอยู่”
“ข้ามอบให้เจ้า”
“ข้าเห็นว่ามันเหมาะสมกับเจ้า” มือหนาเปิดกล่องสีเขียวเข้มฉลุลายทองออก แล้วบรรจงหยิบของข้างในออกมาให้โจเซฟดู
“ปิ่นปักผมนี่?” โจเซฟมองปิ่นทองในมือของอู๋จิ่วพลางยกมือขึ้นปฏิเสธของสำคัญชิ้นนี้
“อย่าปฏิเสธข้าเลยหนาเจี๋ยเฟิน ปิ่นปักผมนี่ ท่านแม่ข้ามอบให้ข้า เพื่อหวังว่าสักวัน ข้าจะมอบให้ผู้ใดที่เห็นสมควรว่าเขาผู้นั้นจะได้รับมัน”
“และเจ้าก็สมควรได้รับมัน”
“ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก ” โจเซฟปฏิเสธเสียงแข็ง ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินอ้อมเก็บเสื้อผ้าที่พับไว้ ใบหน้าหวานฉายแววกังวลใส่ตู้ไม้ตรงหน้า เขากังวลหากใจมันเกิดสั่นรัวไปมากกว่านี้..
“งั้นข้าขอฝากไว้ที่เจ้า” ร่างบางหันไปประจัญหน้ากับร่างโปร่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน สายตาสองคู่สบประสานกัน ตาหวานแสดงออกถึงความกังวลชัดเจน และตาคมก็แสดงออกถึงความแน่วแน่เช่นกัน อู๋จิ่วอยากจะมอบปิ่นทองนี้ให้กับโจเซฟได้เก็บไว้ มันจะทำให้เขาอุ่นใจว่าหากร่างบางตรงหน้านั้นได้กลับไปยังที่ๆจากมา เขาจะยังอยู่กับร่างบางเสมอ
“ก็ได้ แต่ ฉันจะต้องได้คืนให้คุณนะ” เมื่อโจเซฟตอบตกลงฟ่านอู๋จิ่วก็ยกยิ้มกว้างทันที
“ให้ข้าเกล้าผมให้เจ้า”
เสียงทุ้มดูจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันควัน ขายาวก้าวไปยังโต๊ะกระจกข้างหน้าต่างพร้อมหยิบหวีขึ้นมาในมือ โจเซฟหันไปมองภาพนั้นก็เห็นภาพซ้อนทับของลูกสุนัขตัวโตที่ฝรั่งเศสบ้านเกิดของเขา นิสัยซุกซนของฟ่านอู๋จิ่วช่างขัดกับภาพลักษณ์อันแสนดุนั่นเหลือกัน ริมฝีปากสีชมพูยิ้มออกมา เจ้าของรอยยิ้มหวานก้าวเดินไปนั่งที่พนักพิงหน้ากระจกส่งผลให้คนที่ยืนคอยหน้ากระจกนั้นใจเต้นระส่ำ
“คุณไม่ปวดเข่าหรอ พื้นมันแข็ง”
“หาปวดไม่ ข้าก็นั่งแบบนี้มาตั้งแต่ยังโดนที่เซี่ยดุว่าข้าเอาแต่เล่นซน” ร่างโปร่งที่กำลังนั่งคุกเข่าพร้อมสางผมสีอ่อนตรงหน้าตอบ
“ตอนเด็กๆพี่ชายฉันก็ดื้อเหมือนคุณ ตอนนี้ไม่แล้วล่ะ เขาเริ่มแก่แล้ว” โจเซฟอมยิ้ม
“เจ้ามีพี่ชายด้วยหรือ?”
“มีสิ ชื่อเจอเรมี่ เขาตัวใหญ่มากเลย เหมือนคุณ” ไม่ว่าเปล่าแขนยาวในเสื้อปกคอจีนสีขาวก็ทำทีท่ากางออกมาให้เท่ากับขนาดของพี่ชาย ทำเอาอู๋จิ่วเอ็นดูไปเป็นรอบที่หนึ่งร้อยของเย็นนี้
สองสามวันมานี้คนตัวขาวเหมือนกับคลายความกังวลที่ย้อนกลับมาอดีตลง แล้วเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติของชาวบ้านสมัยนี้ เขาเริ่มพูดเริ่มเจรจา ทุกคำพูดล้วนน่าฟัง และน่าสนทนาด้วย ทำเอาสองพี่น้องหน้างอเมื่อมีคนนอกเข้ามาทักทายหรือชวนเจี๋ยเฟินของพวกเขาคุยเสมือนโดนแย่งของเล่นชิ้นโปรด หรืออาจจะเป็นเพราะโจเซฟยิ้มออกมาอย่างง่ายดายโดยเจ้าตัวไม่รู้สึกตัวสักนิด
“เจอเรมี่หรือ เขาเหมือนข้าอย่างไร?”
“เหมือนลูกสุนัขตัวโต แสนดื้อที่หนึ่ง”
“นี่หรือว่า??”
“เก่งมากฟ่านอู๋จิ่ว เจอเรมี่เปนสุนัข” สิ้นเสียงหวานพูดจบร่างบางก็หัวเราะร่าออกมา
“เหตุใดเจ้าถึงนับญาติกับสุนัข .. แปลกจริง”
แม้เสียงทุ้มจะส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ แต่ใบหน้ากลับแต้มด้วยยิ้มบางๆ มือหนาหยิบปิ่นทองขึ้นมาจากกล่องไม้ฉลุทอง บรรจงปักมันไว้กับมวยผมท้ายทอยของร่างตรงหน้า
ฟ่านอู๋จิ่วเลื่อนใบหน้าลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเจี๋ยเฟินก้มลงมองเข้าไปในกระจกเพื่อที่จะตรวจสอบผลงานของตน แต่สายตากลับมองที่ดวงตาสีน้ำข้าวเสียอย่างนั้น ทำเอาคนโดนจ้องในกระจกตัวเกร็ง ใบหน้าขึ้นสี โจเซฟไม่เคยโดนจ้องมองด้วยสายตาแสนเล้าโลมแบบนี้มาก่อน..
“หน้าเจ้าแดง” เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหูอันร้อนผ่าวของร่างบาง
“ร้อนหรือ?” ไม่ว่าเปล่ามือข้างที่ถือหวีก็เก็บปรอยผมสีอ่อนทัดใบหูขาว มืออีกข้างที่ว่างก็จับไหล่บางไล้ลงไปยังสะโพกบาง จมูกโด่งหันเข้าหาแก้มใสขึ้นสีบัวชมพูระเรื่อหวังจะดอมดมดอกบัวดอกนี้
ตราบชีพนี้ ขอเชยชิดแต่เจ้า..
“ข้าคิดว่าพวกเข้าจักเตรียมพร้อมกันสิ้นแล้วเสียอีก”
ผลั่ก!
“โอ๊ย! แม่นางง ใยผลักข้าแรงเช่นนี้เล่า? เอวข้า.. ”
“ขอโทษนะอู๋จิ่ว..”
สิ้นสุรเสียงมากด้วยอำนาจของเซี่ยปี่อ่านที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงทางเข้าหอนอนของร่างบาง มือขาวที่แน่นิ่งอยู่บนตักก็ยกขึ้นผลักเข้าที่อกของคนตัวสูงที่ทำทีเหมือนจะหอมแก้มเขาให้ออกห่างยืนขึ้นเต็มความสูงเดินไปหยิบผ้าแพรผืนโปรดมาไว้ในมือ ขาสวยย่างสามขุมหันไปบอกสองพี่น้องผู้ดีว่าจะออกไปรอข้างนอก ทิ้งให้เจ้าของผมสีอ่อนผู้พี่ย่างก้าวเข้าไปหาผู้น้องที่ล้มลงกันพื้น
“เจ็บหรือไม่ฟ่านอู๋จิ่ว?” ร่างสูงประคับประคองผู้น้องให้ยืนทรงตัว
“เจ็บซีท่านพี่ เห็นตัวกระจ้อย แรงอย่างกับแม่ทัพปีกขวา” อู๋จิ่วจับเอวตัวเองแล้วมองคาดโทษท่านพี่ที่เข้ามาขัดช่วงเวลาตักตวงของตน
“สมควรเจ้าแล้ว ..หากข้ารู้ว่าเจ้าจักมาก่อนแล้วฉวยโอกาสหลายต่อหลายอย่างกับเขา ข้าจักไม่รอท่านพ่อว่าความจบแล้วตรงมาหาเจ้า ” เซี่ยปี่อานก้มลงไปพูดข้างหูให้ได้ยินกับเพียงสองคน
“หึ เห็นทีท่านพี่ต้องตามข้าให้ทันแล้วล่ะหนา” อู๋จิ่วเย้ย
“ห่างกันหน่อยดีหรือไม่ท่านพี่เซี่ย”
“ข้าจักตกอานม้าอยู่แล้วฟ่านอู๋จิ่ว”
ปี่อานเอ็ดน้องชายในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังควบม้ากัน โดยอาชาตัวใหญ่สีน้ำตาลเงางามนามเซียวไคถูกร่างสูงผู้น้องควบ และอาชาสีขาว มีเจ้านายและร่างบางอีกร่างกำลังควบอยู่ โดยโจเซฟนั่งข้างหน้าของปี่อานที่นั่งรั้งหลังเพื่อง่ายต่อการบังคับเจ้าเซียวไห่
ทั้งสองพี่น้องตกลงว่าจะพาร่างบางไปชมน้ำตกไม่ไกลจากหลังวังมากนักตอนค่ำ หลังจากที่คิดกันอยู่ในตำหนักคืนวาน ท่านแม่ทัพตงก็โผล่เข้ามาเล่าถึงน้ำตกหลังวัง แม่ทัพตงว่านภายามมืดของน้ำตกแห่งนั้นงามจนแทบจะร้องไห้ เขาทั้งสองจึงอยากมาดูให้เห็นกับตานักว่าจะงามอย่างที่แม่ทัพตงโม้แค่ไหน
“เหตุใดข้าต้องมากุมบังเหียนอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้” อู๋จิ่วพูดเสียงติดไม่พอใจ
“เหตุเพราะเจ้าเพิ่งได้รับบาดเจ็บที่เอว และเซียวไคของเจ้านั้นพยศง่าย หากเกิดพยศเจ้าจักเอาอยู่หรือ”
“ข้ายอม”
คนผู้น้องละสายตาจากผู้พี่ก่อนจะเลื่อนมามองใบหน้าสวยที่ตอนนี้ง้ำงอดูแสนดื้อรั้น คงจักไม่กล้าพูดคุยด้วยเพราะเขินอายที่เกือบจะโดนเขาแต๊ะอั๋งหอมแก้ม แล้วท่านพี่เซี่ยมาพบเห็น ท่าทางขัดเขินนั่นอย่างกับเด็กสาวเพิ่งเคยมีรักแรก
“ปิ่นทองของเจ้างาม ฟ่านทำให้หรือ”
เสียงของปี่อานเรียกให้โจเซฟออกจากภวังค์ของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มือหนาที่บังคับบังเหียนละออกมาข้างหนึ่งก่อนจะโอบเอวบางไว้เนื่องจากเส้นทางไปน้ำตกค่อนข้างขรุขระ มือขาวก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยเกาะทับแขนแกร่งดีกว่าค้ำไว้บนคอของเซียวไห่ เรียกสายตาคมอีกคู่บนอาชาตัวใหญ่สีน้ำตาลมองภาพข้างๆ ภายในอกเต็มไปด้วยความคุกรุ่น
“ครับ อืม เดี๋ยวฉันจะเอาคืนหลังจากคืนนี้”
“ยากนักที่ฟ่านจักทำอะไรละเมียดเช่นนี้ เก็บไว้เถิด มิต้องคืน ..วันพรุ่ง ยามดึก จักมีงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง เจ้าปักมันมาให้พวกข้าชมอีกสักวัน” โจเซฟพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ทีข้าให้เจ้า เหตุใดปฏิเสธเล่า”
“ก็คุณจะให้ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกนะ ….ของๆแม่คุณ ฉันก็อยากให้คุณเก็บไว้ให้คนๆนั้นของคุณมากกว่า” โจเซฟตอบกลับอู๋จิ่วเสียงแผ่ว
“หึ เจ้าช่างซื่อดังชื่อของเจ้าเสียจริงเจี๋ยเฟิน” ปี่อานว่าพลางกระชับรั้งร่างบางให้เข้าใกล้อกเขาเพราะเข้าใกล้เขตน้ำตกอากาศจึงเริ่มเย็น
ไม่นานนักอาชาทั้งสองก็หยุดเดินตรงหน้าธารน้ำใสที่กระทบกับแสงจันทร์ ไอน้ำและหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่นั้นแตกต่างจากในเมืองมากโขเพียงแค่เดินออกมาจากวังหลวงไม่ถึงชั่วยาม เสียงน้ำตกกระทบลงกับผืนน้ำ เสียงจิ้งหรีดพยายามแข่งกันร้องเพลง ลมอ่อนพัดโชยมาทำให้รู้สึกหนาวพิกล มือขาวจัดการปรอยผมที่ปลิวตามแรงลมทัดไว้ที่หู จมูกรั้นสูดหายใจเข้าสุดปอดแล้วพ่นลมหายใจออกเสียงดัง พลางแขนแกร่งของคนข้างหลังก็โอบกอดเขาไว้แนบอก
“หนาวหรือไม่?”
“ไม่เลย คุณกอดฉันไว้ขนาดนี้ ….ฉันได้กลิ่นดอกโบตั๋น” โจเซฟตอบกลับปี่อานเสียงเบาแล้วหลับตาลง โจเซฟต้องการให้ธรรมชาตินั้นเยียวยาความเหนื่อยล้าและเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงไม่พูดอะไรต่อ
“มันคงร่วงหล่นลงมาจากข้างบน” ปี่อานว่า พลางเลื่อนสายตามองดอกโบตั๋นในมือที่ร่วงมาบนมือเขาอย่างพอดิบพอดี
หิ่งห้อยตัวน้อยเริ่มออกมาบินเหนือผิวน้ำ แสดงความสวยงามให้พวกเขาได้เชยชม..
ไม่นานนักก็มีเสียงขลุ่ยดังคลอเคล้าไปกับเสียงของธรรมชาติอันแสนสงบ
ทั้งสองเสียงบรรเลงเข้ากันได้อย่างดี
ดวงตาสีน้ำข้าวกระทบแสงจันทร์สวยงามมองเจ้าของอาชาตัวสีน้ำตาลข้างกายที่มองเขาก่อนอยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มบาง ฟ่านอู๋จิ่วหยิบขลุ่ยสีเข้มเครื่องโปรดออกมาจากกระเป๋าหลังอานม้าขึ้นมาแนบไว้ที่ริมฝีปาก และเริ่มบรรเลงเพลงขับกล่อม..
ถ้าหากเลือกสถานที่ที่ทำให้เขามีความสุข นอกจากจะอยู่ในบ้านเช่าตึกแถวในเมืองปารีสอันแสนวุ่นวายแต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบ้าน
และเมืองนี้ เมืองที่ทำให้เขาต้องคิดไม่ตกในแต่ละวัน จวบจนถึงวันนี้ วันที่เขาได้มีมิตรที่ดีทั้งสอง ที่ทำให้เขานั้นอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
โจเซฟคงจะเลือกเมืองนี้ และตอนนี้ ตอนที่เขาทั้งสามคนสบตากันพร้อมมอบรอยยิ้มและความรู้สึกที่ดีนอกเหนือจากมิตรภาพให้แก่กัน ไม่มีใครบอกใคร
แต่รับรู้กันด้วยสายตา…
หลังจากวันแรกที่พวกเขาพบเจอกัน โจเซฟก็เอาแต่ใจเต้นและไปไม่ถูก เหมือนมีบางอย่างกำลังเชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกันทั้งสามคน เขาไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนเลยสักนิด โจเซฟปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น เขาไม่เคยถือสาหรือนึกระแคงใจสักนิดหากทั้งสองจะมอบความรักให้แก่เขา แม้จะฉุกคิดตามความรู้สึกอยู่เสมอ ว่า ตนนั้นเหลือเวลาไม่มากนัก
“เป็นเพราะดอกโบตั๋นร่วงหล่นลงมือข้าหรืออย่างไร แม่นางถึงมาปรากฎต่อหน้าข้าทั้งสองเช่นนี้” มือหนาของปี่อานจัดการนำดอกโบตั๋นดอกเล็กทัดไว้ที่หูของโจเซฟ
“ถ้าหากเจ้ากลับไปที่ที่เจ้าได้จากมา โปรดคำนึงถึงพวกข้าเถิดหนา”
เสียงนั่น ทำไมมันถึงเศร้าแบบนั้นกันนะ…
“ข้าฝากเจี๋ยเฟินด้วยหนาแม่อี้ฉือ”
เสียงทุ้มตามมาด้วยชายร่างสูงผมสีดำขลับเดินออกมาจากประตูหอนอนของโจเซฟฝั่งที่เชื่อมกับทางตลาดที่ตอนนี้เงียบสงัดเนื่องจากมืดมากแล้ว ไม่มีใครอยากออกมาเพ่นพ่านยามราตรีนัก
หลังจากที่เขาบรรเลงเพลงขลุ่ยจบลงก็เห็นร่างบางนั้นหลับใหลในอ้อมแขนของพี่ชาย อู๋จิ่วนึกอิจฉาแต่หากไม่มีเวลาต่อล้อต่อเถียงมากนักเนื่องจากต้องกลับมาทำกิจอันสำคัญได้แต่พากันกันควบม้ากลับมายังในเมือง เขาอาสาพาร่างบางไปนอนบนฟูกแล้วเดินออกมายืนเคียงข้างพี่ชายต่อหน้าผู้ปกครองของนางฟ้าที่เข้าสู่วิมานไปแล้ว
“ข้าพอรู้ข่าวคราวมาจากสามีข้า ระวังตัวกันด้วยหนาท่านอ๋อง” อี้ฉือว่า
“อืม กบฏเหล่านั้น จักต้องไม่มีแม้แต่วิญญาณในแคว้นแห่งนี้”
“ไปเถอะฟ่าน จวบจนจักได้เพลา เราไปช้าเพราะเจ้ามัวแต่มองหน้าของเจี๋ยเฟินยามเขานอน”
“เช้านี้พวกเขายังไม่มาหรอกเจี๋ยเฟิน ชะเง้อมองหาเชียว”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้ครับคุณย่า ผมรู้สึก ปวดที่หน้าอก”
“เจ้าอาจจะเป็นไข้หวัดเพราะเมื่อคืนพวกเขาพาเจ้าไปตากน้ำค้าง เข้าไปนั่งพักก่อนไม่ดีกว่าหรือ แค่เปิดหน้าร้าน ข้าทำเองได้”
“….งั้นผมขอตัวนะครับ”
โจเซฟถอนหายใจทิ้งทันทีที่นั่งลงหน้าโต๊ะกระจก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเจ็บที่อกเล็กน้อยและเมื่อคืนก็ฝันไม่ดีเอาเสียเลย เขาฝันว่าฟ่านอู๋จิ่วนั้นพลัดตกลงไปในน้ำหลากและเขาช่วยไว้ไม่ทัน แม้แต่เอื้อมมือไปจับกันและกันยังไกลแสนไกล
มือสวยหยิบเอาปิ่นทองบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้แนบอก พลางสายตาเลื่อนไปมองกล่องไม้ที่เก็บปิ่นนี้ไว้แล้วนึกอะไรได้ โจเซฟเลือกที่จะมวยผมแล้วนำปิ่นปักไว้เหมือนที่อู๋จิ่วทำให้เมื่อวานเย็น
ร่างบางผุดลุกยืนเดินไปที่ตู้เก็บหมึกและกระดาษของมู่ไท่กลางบ้าน นำมันเข้ามาเขียนร้อยเรียงภายในห้องของตนเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองได้พบเจอมาตลอดเกือบอาทิตย์ลงในกระดาษเพียงแผ่นเดียว และไม่นานเขาก็เขียนมันเสร็จ แล้วนำมันม้วนลงในกล่องไม้สีเขียวเข้มนี้
ถ้าหากว่าเขาอยู่ในอดีต
ต้องมีสักคนที่ได้อ่านจดหมายถึงตัวเขาฉบับนี้ในอนาคต เพราะเมืองนี้ในอนาคตยังคงอยู่
“เช้ามืดนี้ ข้าได้ยินมาว่าคืนวานในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นด้วย”
“ข้าก็ได้ข่าวมาเช่นกัน ข่าวว่ามีผู้บาดเจ็บด้วยหนา”
“อยากรู้นัก ว่าใครบังอาจทำเช่นนี้กัน”
“เขาว่าท่านขันธี..” ก่อนเสียงของชาวบ้านข้างนอกหน้าต่างจะพูดจบก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นที่ประตูอีกฟากเสียก่อน ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันไปหาผู้มาใหม่
ในใจเขาก็นึกหวังว่าผู้บาดเจ็บในวังหลวงจะไม่ใช่ปี่อานและอู๋จิ่ว
“เจี๋ยเฟิน”
“ปี่อาน.. ไหนว่าคุณจะมารับตอนค่ำ นี่เพิ่งเช้าเอง” เจ้าของชื่อมองสำรวจไปทั้งร่างกายของคนตัวสูงในชุดสีดำสนิท เขาก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
“ภายในวังเกิดเรื่องเล็กน้อย ทำข้าไม่ได้นอนต้องว่าความกับท่านพ่อตั้งแต่จบเรื่อง” ปี่อานเดินเข้ามาใกล้โจเซฟที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขาค้อมตัวลงคุยกับร่างเล็กกว่าด้วยเสียงแผ่วเบา
“ที่ข้ามารับเจ้าก่อนเพลานัด ข้าและผู้คนของข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”
“ข้าก็ไม่อยากที่จักทำเช่นนี้ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเหลือเกิน แต่หากท่านพ่อข้าเห็นพ้องกับท่านแม่ว่าสมควรมีเจ้าในแผนการนี้….ข้ามิอาจปฏิเสธ ”
“ฉันจะช่วยคุณเท่าที่ทำได้”
ดวงตาสีน้ำข้าวช้อนมองด้วยความแน่วแน่ ทำเอาปี่อานนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ โจเซฟเอื้อมมือไปกอบกุมใบหน้าของปี่อานไว้อย่างเบามือ นิ้วสวยลูบที่แก้มของปี่อาน โดยที่เขาก็หลับตาน้อมรับสัมผัสอันแสนอ่อนโยนนั้น พลางมือหนาก็จับมืออีกข้างของโจเซฟขึ้นมากุมไว้ ริมฝีปากหนากดจุมพิตลงบนมือสวย
ดวงตาของปี่อานนั้นดูแดงก่ำเหลือเกิน
“ไปกันเถิด ท่านพ่อข้าและฟ่านกำลังคอยเราอยู่” ใบหน้าของปี่อานผู้แข็งแกร่งบัดนี้เต็มไปด้วยความกังวล
“อู๋จิ่วเป็นอะไรรึเปล่า?” โจเซฟก็อดไม่ได้ ถามถึงผู้น้องที่ปกติต้องมาหาเขาก่อนผู้พี่
“ไว้ถึงตำหนัก ข้าจักเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมด”
หลังจากที่ออกมาจากบ้านของโจเซฟ ทั้งสองก็ได้พากันควบอาชาตัวใหญ่สีขาวประจำกายของปี่อานตรงมายังวังหลวง ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นตลอดการเดินทางมายังวัง ม้าขาวยืนหยุดนิ่งหน้าตำหนักหนึ่งภายในวังที่ตอนนี้ผู้คนกำลังทำการตกแต่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเทศการเก็บเกี่ยวในค่ำคืนนี้ ปี่อานลงจากหลังม้ามายืนตรงก่อนจะคอยรับคนตัวบางให้ลงตามมา ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งนำเจ้าเซียวไห่นั้นเดินไปเก็บในคอกม้า
“ข้าพาเจ้าลัดเลาะตรงมาที่ตำหนักของฟ่าน จึงไม่เห็นทางเดินมากนัก ข้ากันฟ่านพำนักกันคนละฝั่ง” ปี่อานว่าในขณะที่พวเขาทั้งสองเดินขึ้นบันไดของตำหนักฟ่านอู๋จิ่ว ภายนอกนั้นถูกประดับด้วยสวนไผ่งดงามและธงสีเลือดนกสัญลักษณ์ประจำกายของวงศ์ฟ่าน
ขาวสวยตามปี่อานเดินเข้าไปในหอนอนสีขาวสะอาด จมูกรั้นได้กลิ่นคล้ายสมุนไพรและเครื่องหอมคล้ายกลิ่นกายของฟ่านอู๋จิ่วคละคลุ้งกันไปจนปวดจมูก โจเซฟพยายามหายใจทีละน้อยเพื่อสูดให้ชินกับกลิ่น
ทั้งคู่ยืนหยุดตรงหน้าที่นอนหลังใหญ่ มือหนาของปี่อานแหวกม่านคลุมเตียงไม้ออก เผยให้เห็นร่างสูงของอู๋จิ่วที่นอนแน่นิ่งเสมือนหยุดหายใจ ร่างเล็กของโจเซฟเมื่อเห็นดังนั้นก็ถลาเข้าไปทรุดนั่งลงบนเตียงทันที ตาสวยมองใบหน้าที่ซีดราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยง
“อู๋จิ่ว..ฟะ ฟ่านอู๋จิ่ว เกิดอะไรขึ้น?”
และแล้วน้ำตาหยาดใสของชายที่ฟ่านอู๋จิ่วคอยรักษาก็หยดลงบนผ้าคลุมเตียงปักลายสวย
เซี่ยปี่อานที่ยืนอยู่ตรงเสาเตียงก็ทรุดลงนั่งปลายเตียงของผู้น้องเช่นกัน สายตาคมทอดมองหิมะบริสุทธิ์ตรงหน้าของเขาที่สะอื้นออกมาพอให้เขาได้ยิน
“ปี่อาน คุณบอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?!” โจเซฟก้มหน้าคางชิดอก เอ่ยถามปี่อานเสียงดังพร้อมน้ำตา
“คืนหลังจากที่พวกข้าส่งเจ้าถึงหอนอน พวกข้าก็ตรงไปยังที่พักของเหล่าขุนนาง …ตัวพวกข้านั้นเป็นราชวงศ์ ตัวข้าเป็นผู้ที่ต้องสืบทอดบัลลังก์แลขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นนี้ ” โจเซฟพยักหน้าเล็กน้อยให้ว่าต่อถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายนัก
“มารดาของฟ่านอู๋จิ่วนั้นเป็นสนมของผู้ปกครองแคว้นทางทิศตะวันตก และเป็นพระขนิษฐา(น้องสาว)ของท่านพ่อข้า เมื่อครั้งฟ่านกำเนิดเป็นชาย มารดาของฟ่านนั้นมิได้หวังให้เขานั้นเป็นฮ่องเต้ในแคว้นที่เป็นปรปักษ์กับแคว้นของพระเชษฐา(พี่ชาย)ของตนหลังจากที่ทั้งสองแคว้นนี้เกิดความขัดแย้งกัน จึงได้หอบนำฟ่านมาเติบใหญ่ ณ ที่นี้ ” ปี่อานว่าพลางมองผู้เป็นน้องที่เขาคอยฟูมฟักมาแต่เล็ก
“ไม่นานมานี้สายของเราได้ข่าวคราวมาว่าแคว้นตะวันตกนั้นส่งคนมาจักลอบปวงพระชมน์ท่านพ่อของข้าและตัวข้าเอง ” โจเซฟได้ยินดังนั้นจึงนึกคิดไปยังเหตุการณ์ที่สวนวันนั้น ที่มีเงาคนตะคุ่มอยู่ด้านบนและเขาได้สังเกตเห็นและเก็บเงียบ
“ข้ารู้หนาว่าเจ้าเห็นคนเหล่านั้นเมื่อวันที่เราได้พบกันคราแรก ข้าก็เห็นเช่นกันจึงเป็นห่วงในตัวเจ้านัก แต่หากไม่มีเจ้าในวันนั้นที่ทำให้ฝ่ายนั้นเกิดความสงสัยในตัวเจ้า พวกมันคงลงมือสังหารข้าเสียแล้ว ….ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าเจี๋ยเฟิน” เซี่ยปี่อานยกมือเอื้อมไปคว้ามือเรียวบนตักของร่างบางขึ้นมากอบกุมไว้
“พวกเขาจะฆ่าคุณทำไม?”
“บุตรชายคนแรกของราชวงศ์นั้นคือฟ่านอู๋จิ่ว เขาต้องครองราชย์ และต้องการรวมแคว้นของข้าเพื่อขยายอำนาจการปกครอง จึงใช้โอกาสที่อู๋จิ่วอยู่ที่นี่ในการลอบสังหารข้าเพื่อให้เขาที่เป็นอ๋องขึ้นปกครองแคว้นนี้แทนข้า แต่เจ้าคนนี้นึกบ้าบิ่นขึ้นมา เขาใช้ท้องรับลูกธนูแทนข้า ..”
เล่ห์เหลี่ยมนักแต่กลับต้องโดนตลบหลังเอาเสียเอง
“พอแล้วล่ะ เรื่องที่จะให้ฉันช่วย..” โจเซฟขอให้ปี่อานหยุดพูดเมื่อเอ่ยถึงถึงที่นอนข้างกายตน
“หลังจากวานเย็นที่ข้าตามไปสมทบเจ้ากับฟ่านที่บ้านเจ้า ตัวข้าและท่านพ่อก็ได้ว่าความกัน ให้เจ้า เป็นฮองเฮาให้กับข้าในค่ำนี้ ข้าหมายความว่า ท่านพ่อข้าจะบอกแก่ประชาชนว่าตัวข้านั้นจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และมีฮองเฮาเคียงคู่ เพื่อดักไส้ศึกอีกคนที่จะลงมือในค่ำนี้เช่นกัน ทำให้คนผู้นั้นสับสนว่าตัวเจ้านั้นคือผู้ใด เหตุใดจึงขึ้นเป็นฮองเฮา แล้วเขาจะเบนความสนใจไปทางเจ้า …”
“ข้าล่ะนึกอิจฉาท่านนักท่านพี่”
“!!”
ฟ่านอู๋จิ่วที่นอนเกร็งตัวฟังท่านพี่เซี่ยเล่าความให้แก่แม่นางของเขาฟังออกความเห็นบ้าง เขานั้นเพียงแค่หลับไป แต่พอได้ยินเสียงสะอื้นของเจี๋ยเฟิน หัวใจเขากลับกระตุกวูบ อยากเอื้อมมือไปเช็ดหยาดใสที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่โปรดนัก แต่ก็ไม่อยากขัดความพี่ชาย
พอได้ยินคำว่าฮองเฮาของข้าจากปากพี่เซี่ยนั้นก็ชักอยากลุกขึ้นท้าประลองดาบนัก
“ฟ่านอู๋จิ่ว ฉัน ฉันคิดว่าคุณ”
“ตัวข้าตายยากนักแม่นาง อย่าร้องไห้เลยหนา ข้ามิไปไหนหรอก” อู๋จิ่วลุกขึ้นนั่งโดยมีร่างบางนั้นช่วยประคองให้พิงกับพนักเตียง ไม่นานมือขาวก็ละจากมือของปี่อานขึ้นมาตีเข้าที่ไหล่หนาของอู๋จิ่วเสียงดัง
“โอ๊ยย ข้าเจ็บ”
“คุณบอกว่าตายยากเองนี่”
“เหตุใดร้องไห้ดูเศร้าใจแต่ปากกลับยิ้มเสียแบบนี้ล่ะแม่นาง” อู๋จิ่วเอ่ยพร้อมยิ้ม โจเซฟผินหน้าไปคาดโทษปี่อานผู้พี่แทน
“ตัวข้าก็มิได้บอกว่าเขานั้นสิ้นแล้ว” ปี่อานว่า
“นิสัยไม่ดีทั้งคู่เลย” โจเซฟพึมพำกับตัวเองก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะบอกให้ผู้พี่นั้นว่าความต่อ
“หากเขาผู้นั้นสนใจเจ้า เขาจักลงมือที่เจ้าแทน มอบเวลาให้ข้านั้นดักคอยหน้าตำหนักเจ้าและจัดการสั่งสอนผู้นั้นทันที”
“ใช้ฉันเป็นตัวล่อเพื่อให้คุณลงมือสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันต้องทำยังไงถ้าเขาจะฆ่าฉัน”
โจเซฟพนักหน้ารับอีกครั้ง ตัวเขาไม่กังวลเรื่องคนทำร้ายร่างกายหรอกเพราะด้วยหน้าที่การงานของเขาที่ได้รับการฝึกมาแล้วเขาจึงไม่นึกกลัว แต่หากว่าที่นี่นั้นมีวิธีการจัดการที่ต่างออกไปเขาจึงต้องเชื่อฟังมากกว่าเชื่อตนเอง
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นกิจของพวกข้าเถิด …ข้าจักให้นางกำนัลคนสนิทของข้าแต่งองค์และประทินผิวให้เจ้า” ปี่อานว่า
“แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาค่ำเลยนะ เพิ่งจะหัววันเอง”
“การเป็นฮองเฮาของข้านั้น ข้าจักให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”
“งามนักเพคะแม่นางเจี๋ยเฟิน”
นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวหลังจากที่ผัดแป้งลงบนใบหน้าของร่างบาง ดวงตาสวยค่อยๆลืมขึ้นมองกระจกตรงหน้าที่สะท้อนภาพใบหน้าตัวเองที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องแป้งหลากชนิด เปลือกตาสีมุข แก้มนางที่ผัดด้วยสีดอกท้อ ปากชมพูอิ่มสีดอกโบตั๋น หน้าผากถูกแต้มด้วยจุดสีแดง เส้นผมสีอ่อนถูกเกล้าขึ้นเก็บพร้อมกับปิ่นหลากหลายชนิดสีทอง กายบางถูกพันด้วยผ้าสีแดงฉลุลายทองขับให้ผิวขาวโดดเด่น เผยให้เห็นลำคอระหงส์และไหล่บางโผล่พ้นออกมา
“ถึงจะเป็นชาย แต่ร่างนั้นอรชรอย่างกับหญิง ข้ามิได้แต่งกายให้หญิงในวังนี้มานานแล้ว ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” นางกำนัลคนสนิทของปี่อานค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ชุดสำหรับเปิ่นหวางเฟย หรือจะฮองเฮาดีเล่านางเหมย” นางกำนัลส่งยิ้มกันทำเอาโจเซฟยิ้มตามไม่ได้ เขาแปลไม่ออกหรอก แต่หากเขายิ้ม ก็คงจะต้องยิ้มตามไปด้วย
“ชุดนี้หรอ ? ฉันว่ามันดู เอ่อ หนาวๆที่ไหล่” โจเซฟพูดกับชุดสีแดงสดระบายด้วยขนสัตว์ตรงหน้าที่เขาต้องนำมันสวมทับอีกที
“ทนเอาหนาเพคะ ในขบวนนั้นเพียงครู่เดียว แล้วก็จักเข้าตำหนักเพคะ”
หลังจากที่นางกำนัลคนสนิทของเซี่ยปี่อานรับตัวโจเซฟไปประทินโฉมได้ไม่นาน คนผู้พี่ก็เริ่มคุยกับผู้น้องเกี่ยวกับแผนการทันที
“ได้ความว่าตามนี้ เจ้าไหวแน่หรือ?”
เซี่ยปี่อานสรุปแผนการและถามน้องชายเกี่ยวกับการแสดงตัวในขบวนแต่งตั้งราชวงศ์ที่รอบข้างเต็มไปด้วยควันจากไฟและหมอกหนาว ด้วยร่างกายที่บาดเจ็บหนักของฟ่าน เขานึกเป็นห่วงนัก
“ข้าไหว ท่านพี่ไปดูเจี๋ยเฟินเถิด ข้าจักพักอีกสักหน่อย เที่ยงวันข้าจักออกไปสมสบ”
“ให้ทุเลาลงก่อนเถิด เดินเหินก็มิสะดวก ริอาจจักไปมองนางสวรรค์เล่นน้ำ” ปี่อานคิ้วกระตุก
“ข้ามิปล่อยให้พี่เซี่ยได้เชยชมนางผู้เดียวหรอก”
“เจ้านี่ช่างจ้อนัก”
.
“เหตุใดเจ้าจึงรับลูกธนูจากขันธีผู้นั้นแทนข้า ฟ่านอู๋จิ่ว …ทั้งที่ตัวข้าต้องรับมัน..”
“มิใช่แค่พี่ชายหรอกที่ควรปกป้องน้องชาย ข้าก็ทำหน้าที่น้องชายของข้าด้วยเช่นกัน”
#ย้อนซากบุปผา
twitter : @whereisfreel (notpink)
เอื้อะ ยาวนานถึงสามวันเลยนะคะตอนนี้ แอบเปลี่ยนพล็อตนิดหน่อยด้วย
เอาเป็นว่าในตอนนี้ก็มีหลายปมได้ถูกคลี่คลายลง มาส่งแรงกายแรงใจให้พวกคุณๆเขานะคะ เรื่องภาษาในเรื่องอาจะไม่เป้ะมากเพราะเราพยายามทำให้มันดูอ่านง่ายแต่ก็ยังคงความพีเรียดเอาไว้ ส่วนคำพูดคำจาน้องเจี๋ยเฟินก็จะแบบคนเพิ่งจะฝึกภาษาเล็กน้อยนะคะ
คือตอนนี้ดูดพลังมากเพราะเปลี่ยนหลายฉาก ถ้าเปิดเพลงบรรเลงจีนไปด้วยจะได้ฟีลมากที่สุด555555
ฝากติชมด้วยนะคะ จะจับการแก้บนแล้วแต่เราก็ตั้งใจแต่งมันมากๆเลยค่ะ
ความคิดเห็น