คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ครั้นแรกพบ ใยถูกชะตา 2/4
#ย้อนซากบุปผา
คริสต์ศักราช 2020
ก็อกๆ
“คุณโจเซฟครับบ! ….ไปไหนแต่เช้าหรือเปล่าเนี่ย”
ไกด์หนุ่มมาถึงหน้าประตูบ้านพักได้ไม่นานก็ตะโกนพร้อมกับการเคาะประตูเรียกคุณโจเซฟที่มักตื่นเช้าเป็นประจำ แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับจากคนข้างใน “งั้นขออนุญาตนะครับ” เนื่องจากทนความเย็นของอากาศข้างนอกไม่ได้ มือหนาล้วงหยิบกุญแจขึ้นมาไขก่อนจะผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าห้องพักนั้นไร้ร่างบาง สงสัยจะออกไปเดินชมบรรยากาศยามเช้าของเมืองโบราณ นอร์ตันยักไหล่เดินเข้าไปถอดเสื้อกันหนาวขนเป็ดแขวนไว้ข้างประตู
“อากาศเย็นจริงๆแฮะ ทั้งๆที่เมืองนี้หิมะไม่ตกมาตั้งนานแล้วแท้ๆ” มือหนากดปรับอุณหภูมิฮีตเตอร์แล้วก้าวเดินไปปิดหน้าต่างใกล้กับเตียงของโจเซฟ ดวงตาคมมองลอดออกไปก็มองเห็นศาลาหินที่คุณโจเซฟไปนั่งเล่นก่อนจะมองเลยขึ้นไปข้างบน
“ดอกเหมยที่นี่สวยจริง ดอกโบตั๋นรอบๆนั่นก็สวย ถ้าหิมะตกคงจะดี .. “
นอร์ตันเดินอ้อมไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงของตัวเองทิ้งคราบไกด์หนุ่มแสนร่าเริง ธุระด่วนในเมืองสูบพลังเขาไปเสียหมด
ในใจนึกห่วงคนตัวขาวที่ไม่รู้ว่าออกไปนานแค่ไหนแต่จิตสำนึกก็บอกว่าอย่าได้ห่วงเพราะคุณโจเซฟเป็นคนไวต่อสถานการณ์ ฉลาดและมีไหวพริบ คนอะไร…
ทั้งสง่างาม..
แถมยัง…
ก็อกๆๆ
ไกด์หนุ่มที่ใกล้เข้าสู่เมืองแห่งความฝันดีดตัวขึ้นมานั่งบนเตียงเพราะเสียงเคาะประตูจากอีกฝั่งหนึ่งของห้องซึงก็คือบ้านของผู้ที่ให้เขาได้พักอาศัยบ้านพักโบราณแห่งนี้ ขายาวเดินไปเปิดประตูไม้ให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน “ครับ?”
“ฉันเห็นกล่องนี้วางอยู่หน้าทางเข้าฝั่งพ่อหนุ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยน่ะ ฉันก็เลยเก็บมาให้กลัวของมันจะหาย กล่องนี้ยิ่งดูเหมือนราคาแพงด้วย” ป้าเจ้าของบ้านพูดพร้อมยื่นกล่องไม้สีเขียวเข้มฉลุลายสีทองมาให้ มือหนายื่นไปรับแล้วก้มศีรษะเพื่อขอบคุณ
“ว่าแต่ ตั้งแต่เช้ามืดเลยหรอครับ?”
“ใช่ ฉันกำลังจะออกไปซื้อของมาทำกับข้าวเลี้ยงพวกพ่อหนุ่มพอดี”
“แล้วป้ารู้ไหมครับว่าคุณโจเซฟออกไปข้างนอกเมื่อไหร่”
“ฉันไม่เห็นหรอกนะ เห็นแค่กล่องนี้ถูกวางไว้ตั้งนานแล้วล่ะ….สักพักก็พากันมาทานข้าวเช้าได้เลยนะ” ป้าเจ้าของบ้านพูดจบก็ถอยหลังเดินออกไป ทิ้งให้ไกด์หนุ่มก้มลงมองกล่องไม้ในมือของเขาด้วยความสงสัยแล้วย้ายตัวเองไปนั่งที่ปลายเตียงของตน
กล่องฉลุทองไม้สีเขียวเข้มนี้ไม่น่าจะเป็นของคุณโจเซฟหรือนักท่องเที่ยวได้ เพราะกล่องลักษณะแบบนี้เหมือนของโบราณที่เขาเคยเห็นในหนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ อาจจะเป็นของชาวบ้านแถวนี้ที่ลืมไว้ หรืออาจจะตั้งใจนำมันมาวางไว้
ไกด์หนุ่มกัดปากขบคิดว่าเขาควรเปิดมันดีหรือไม่ หากของข้างในเป็นของสำคัญเขาจะได้นำมันไปตามหาเจ้าของ หรืออาจจะเป็นของที่นำมาวางไว้ให้ตื่นตระหนกเล่นๆ นอร์ตันถอนหายใจเฮือกใหญ่หลับตาปี๋มือก็พลางเปิดกล่องนั้นไปด้วย ตาคมหรี่ขึ้นมามองเล็กน้อยเพื่อตรวจดูว่าไม่มีอะไรเป็นอันตราย จนกระทั่งลืมตา
“กระดาษอะไรเนี่ย??”
มือหนาหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาก่อนจะคลี่มันออกดูก็ต้องเบิกตากว้าง
“ลายมือคุณโจเซฟนี่”
“ฮัดชิ้ว!”
“หนาวหรือโจเซฟ เจ้าไปเอาผ้าในบ้านมาคลุมทับอีกชั้นซี”
อี้ฉือหันไปพูดกับร่างบางของผู้มาเยือน ในขณะที่อี้ฉือกำลังตั้งหน้าร้านโจเซฟก็จามออกมาเสียงดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ “แค่เอ่อ…ในจมูก” นิ้วเรียวชี้ไปตรงที่จมูกของตน
“คัดจมูกสินะ” สิ้นเสียงของหญิงแก่โจเซฟก็พยักหน้าทันที
“เจ้าเข้าไปหาผ้ามาสวมทับอีกชั้นเถอะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
“ที่นี่..หิมะตกไหมครับ?”
“อืมม ข้าว่าอีกสักหนึ่งอาทิตย์แคว้นนี้อาจจะกลายเป็นแคว้นสีขาวเลยล่ะ” อี้ฉือหันมายิ้มให้ร่างบางที่กำลังเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกเหมยที่เธอซื้อให้เมื่อเช้ามืดแล้วนำมันวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กในห้องของโจเซฟ
มือขาวจัดการพาดมันกับบ่าของตัวเอง เจ้าตัวคิดว่าผ้านี่มันไม่เหมาะกับเขาเอาเสียเลย แต่ก็ทำให้คลายหนาวได้เปราะหนึ่ง ด้วยสีอ่อนของผ้าไหมขับให้ผิวขาวและเส้นผมสีอ่อนของโจเซฟโดดเด่นน่ามองขึ้นมา ไม่แปลกที่ชาวบ้านแม่ค้าพ่อค้าหันมามองเด็กหนุ่มชาวยุโรปคนนี้
“ข้าไปก่อนหนาอี้ฉือ โจเซฟ ฝากบ้านด้วย”
เสียงของชายแก่นามว่าหวงมู่ไท่ดังขึ้นข้างหลังเรียกให้ทั้งสองคนหันไปสนใจ มู่ไท่เดินออกไปจากบ้านเพื่อเข้าไปที่วังหลวงอย่างเช่นทุกวัน วันนี้เป็นวันแรกที่โจเซฟจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในอดีตทั้งวันก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามหรือข้อสงสัยกับอี้ฉือไปเสียหมด โดยหญิงแก่ก็ตอบทุกคำถามให้กับโจเซฟอย่างไม่นึกรำคาญใจ
ครอบครัวของมู่ไท่นั้นทำอาชีพค้าขายของเครื่องใช้จิปาถะส่วนตัวเขาทำงานเป็นอาจารย์ในวังหลวง อี้ฉือแต่ก่อนเคยอยู่เมืองอื่นก็ได้เข้ามาทำงานในเมืองนี้ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงก็ได้พบรักกับมู่ไท่และแต่งงานกัน อี้ฉือมีอาชีพค้าขายของเล่นประดิษฐ์ให้กับเด็กๆฆ่าเวลา แต่ก็ได้เงินดีไม่น้อย ทั้งสองมีบุตรชายเพียงสองคนซึ่งแต่ละคนแยกย้ายกันทำงานและมีครอบครับต่างเมืองต่างแคว้นกัน จึงอยู่กันสองคน โจเซฟเลยได้รับสิทธิ์ให้เรียกท่านทั้งสองว่าคุณปู่และคุณย่า พวกท่านให้เหตุผลว่าเพื่อความสบายใจว่าเขาจะไม่โดดเดี่ยว
“แล้ว ทำไมคุณย่าไม่อยู่บ้านใกล้วังหลวงล่ะครับ? ผมคิดว่ามันคงจะสะดวกกว่า” เสียงหวานถามพลางมือก็ช่วยจัดของในร้านให้เป็นระเบียบ
“ที่แถบตรงนั้นมีแต่พวกฐานะร่ำรวยหรือตำแหน่งสูง พวกข้าที่มีบ้านอยู่ตรงนี้แล้ว พอใจแล้วล่ะ”
“นั่นสินะครับ เป็นผมก็คงจะพ..”
“แม่อี้ฉืออยู่หรือไม่?!” เสียงแหบทุ้มดังขึ้นมาจากหน้าร้านเรียกให้เจ้าของชื่อขานตอบรับอย่างว่องไว คงจะมีคนมาซื้อของ โจเซฟจึงก้มหน้าก้มตาจัดข้าวของพลางสำรวจภายในร้าน
“อยู่ตรงนั้นอย่างไรล่ะ พอใจพวกเจ้าแล้วซีนะ กลับไปได้แล้ว”
“แม่อี้อย่าใจร้ายนัก ยังไม่ทันจะแก่อย่าเพิ่งโวยพวกข้าซี”
“ปากเสียนัก พวกเจ้าไม่มีกงการอะไรกับเขา ” อี้ฉือโบกมือไล่ปัดให้ชายหนุ่มวัยรุ่นสองคนที่ถามพบร่างบางที่ตอนนี้เป็นประเด็นลือไปทั่วเมืองเกี่ยวกับความงามซึ่งหาพบไม่ได้ในแคว้นนี้ ไม่นานเจ้าของเรื่องก็เดินออกมาหน้าร้านเพราะได้ยินเสียงเอะอะจึงนึกเป็นห่วงคุณย่าอี้ฉือ
“มีอะไรกันหรอครับคุณย่า?”
“โอ้โหหห งามนักสมที่เขาลือกันทั่วเมือง เป็นหลานของแม่อี้ฉือหรือ”
“พอ ได้พบแล้วก็เดินกลับทางเดิมของพวกเจ้าไปเสีย!” หญิงแก่ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ
“แม่นาง ตอนนี้แม่นางว่างหรือไม่ ไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ยามเช้ากับพวกข้าสองคนเถอะ” ชายหนุ่มต้นเสียงจุดยิ้มที่มุมปาก ร่างบางที่โดนเชิญชวนทำได้เพียงค่อยๆนึกประโยคที่จะตอบกลับไป แต่ก็ไม่ทันหญิงแก่ตรงหน้า
“เรียกแม่นางได้อย่างไร เขาเป็นชาย”
“ว่าอย่างไรนะแม่อี้!!!!”
“พี่เซี่ยได้ยินเหมือนข้าหรือไม่??”
“เจ้าก็ได้ยินแล้วนะอู๋จิ่ว ถึงแม้รูปจะงาม แต่เป็นชาย”
ถัดจากร้านขายข้าวของเครื่องใช้ของแม่นางอี้ฉือเป็นร้านชาร้อนสำหรับชาวบ้านที่ต้องการแหล่งผ่อนคลายยามเช้า ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันในชุดสีขาวโดดเด่นกำลังนั่งจิบชากันพลางสายตาก็จับจ้องไปที่ร่างบางในชุดสีเทาทับด้วยผ้าไหมสีชมพูน่ามองถัดไปจากร้านชา ฟ่าน อู๋จิ่ว ผู้มีศักดิ์เป็นน้องหันไปทวนคำพูดของหญิงแก่ที่ได้ยินแก่ชายหนุ่มผมสีขาวตามพันธุกรรมตรงข้ามตนซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่อย่าง เซี่ย ปี่อาน ก็ตอบกลับด้วยท่าทางที่ไม่ใส่ใจทำให้ผู้น้องถอนหายใจทิ้ง
“ก่อนที่จะสนใจคนผู้คนนั้น เจ้าควรบอกให้นางกำนัลรวบผมเจ้าให้ดีก่อนออกตำหนักเสียก่อน”
“จะโทษนางกำนัลไม่ได้ซีท่านพี่เซี่ย ก็ข้าเองนี่แหละที่รวบเอง” ผู้น้องยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าไปชวนแม่นางคุยดีหรือไม่ท่านพี่ เริ่มที่ความสัมพันธ์มิตรสหาย”
“เอาซีถ้าเจ้ามีความกล้ามากพอล่ะนะท่านน้องฟ่าน” ปี่อานยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบก่อนเสตามองทางอื่น
“อ่ะๆ อย่ามาท้าทายข้าแล้วกัน แต่ว่าข้าจะให้ท่านพี่เข้าไปทำทีท่าซื้อของในร้านแม่อี้เสียก่อนเพื่อเปิดทางให้ข้าเข้าไปคุยกับนาง”
อู๋จิ่วยกแขนขึ้นประสานไว้บนอกพร้อมทำสีหน้านึกคิดวางแผนที่จะได้เข้าไปคุยกับเจ้าของผ้าไหมสีชมพูดอกเหมยโดยใช้ผู้พี่เป็นตัวเบิกทางแม่อี้ให้ละความสนใจเสียก่อน
“นางที่เจ้าว่านั้นเป็นชาย”
“ท่านพี่เคยบอกไว้ว่าหากโลกนี้มีมากกว่าสีดำและสีขาวอย่างไร เรื่องบนเตียงก็มีมากกว่าชายและหญิง” คิ้วเข้มของปี่อานกระตุกทันทีเมื่อน้องชายย้อนคำสอนที่เขาเคยพร่ำสอนเมื่ออู๋จิ่วยังวัยเยาว์
“นี่เจ้าคิดทะลึ่งหรือฟ่านอู๋จิ่ว??” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางมือก็วางแก้วชาที่ถือไว้นานลงกับโต๊ะไม้
“หาไม่เลยพี่เซี่ย ข้าแค่ทวนความจำท่าน ….ว่าอย่างไรเล่า??”
“…ข้ายอมเจ้าเพียงครานี้คราดียวเท่านั้น”
“คราที่แล้วท่านพี่ก็พูดเช่นนี้”
จบคำตอบน้องชายตัวแสบยกยิ้มอย่างเหนือกว่า พี่เซี่ยนั้นเป็นชายหนุ่มที่รักครอบครัวมากกว่าสิ่งใด คอยประคบประหงมตัวเขามาตั้งแต่เราได้พบกัน คอยตามใจจนอู๋จิ่วแทบจะเสียคนแต่ก็คอยเตือนสติและพร่ำสอนแทบจะทุกเรื่อง
เซี่ยปี่อานนั้นได้เติมเต็มความเป็นผู้ใหญ่ให้กับอู๋จิ่ว ในขณะที่อู๋จิ่วมีความเยาว์อย่างวัยรุ่น ทั้งสองเปรียบเสมือนขาวและดำ หากปี่อานมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุของตน อู๋จิ่วคงจะเป็นความเยาว์ให้กับพี่ชายที่ได้รับหน้าที่ที่ติดตัวมาแต่เกิดว่าในอนาคตจะเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่จึงไม่ได้รับความสนุกอย่างที่เด็กควรจะได้รับ ถึงทั้งสองจะมีความแตกต่างกันมากเพียงใด
“เอาล่ะท่านพี่ ไปตีสนิทกับเขากัน”
“เฮ้อ เจ้านี่ไปเอาความกล้ามาจากไหนนัก หากเขาไม่รับเป็นเพื่อนล่ะน่าดู”
แต่หากขาดคนใดนหนึ่งไป ขาวและดำ หยินและหยาง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์คงจะไม่มีความสมบูรณ์
“ว่าอย่างไรแม่อี้”
“อะ..องค์ช” ก่อนเสียงของอี้ฉือจะดังไปมากกว่านี้นิ้วชี้ของปี่อานก็ทาบไว้ตรงปากกระจับของตนทันที “ชู่วว ข้ากับอู๋จิ่วขอรบกวนหน่อยเถิดหนา”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มแสนอบอุ่นเบ้ปากไปทางน้องชายตัวสูงโปร่งผมยาวสีดำงามที่ถูกรวบไว้ลวกๆ ตัดกับชุดสีขาวสะอาด ขายาวกำลังเดินไปทางของเล่นทำมือซึ่งมีร่างบางของโจเซฟนั่งอยู่กับเด็กๆอายุราว6ปีสองคนนั่งเล่นกันก่อนแล้ว
ฟ่านอู๋จิ่วเป็นคนนิสัยเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย อัธยาศัยดี คงไม่ยากที่จะสร้างความไว้ใจให้กับนกน้อยสีขาวตรงหน้าที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรก
“ทำอะไรกันอยู่หรือ ขอข้านั่งด้วยได้หรือไม่?”
“ได้ซีพี่ชาย พี่โจเซฟกำลังสอนข้าหมุนไม้กังหันนี่ให้บินอยู่”
เด็กชายตัวท้วมเอ่ยตอบคำถามเขา ในมือป้อมนั้นชูก้านไม้ที่ติดด้วยกระดาษสีสดใสสำหรับให้ลมผ่านให้พี่ชายผู้มาใหม่ได้ดู แล้วสาธิตการทำให้กังหันลมนั้นหมุนโดยการวิ่งไปวิ่งมา ปากได้รูปของฟ่านอู๋จิ่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาให้กับภาพของความสนุกสนานของเด็กชายคนตรงหน้า พลางสายตาก็เหลือบมองไปยังชายหนุ่มร่างบางตรงหน้ากำลังสอนเด็กสาวมัดดอกไม้บนตักให้ต่อกันเป็นพวงมาลัย
“แบบนี้หรือพี่โจเซฟ ..ข้าเข้าใจแล้ว พี่รอดูพวงมาลัยฝีมือข้าได้เลย” เด็กหญิงยื่นผลงานของตนให้ร่างบางตรวจสอบและได้รับการตรวจสอบเรียบร้อย เพียงแค่โจเซฟพยักหน้าพร้อมจุดยิ้มเล็กๆบนริมฝีปากสีชมพูก็ทำให้เขาใจเต้น
“น่าแปลก..” ฟ่านอู๋จิ่วพึมพำกับตัวเอง
“แล้วคุณมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ??” ร่างบางเอียงคอเอ่ยถามชายหนุ่มเบนความสนใจจากเด็กหญิงหันมาให้ความสนใจแก่ชายตรงหน้า
ฟ่านอู๋จิ่วทำท่าทีแปลกไป เขากำลังทำตัวไม่ถูกเมื่อคนตรงหน้ากำลังมองมาที่เขา และเขาก็ดันไปสบตาเสียด้วย
พระถังซัมจั๋ง..
เหตุใดต้องตาเช่นนี้..
ใบหน้าหวาน ดวงตากลมโตดุจกวางสีอ่อน จมูกรั้นสีชมพูเพราะความเย็น ปากบางกระจับ ไหนจะเส้นผมสลวยสีอ่อนกว่าของพี่เซียที่ถูกรวบไว้
นางฟ้าตกสวรรค์
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เปล่าๆๆ ข้าเอ่อ ข้ามาหาของขวัญให้ลูกชายน่ะ!” มือหนากำมือแน่น ให้ตายเถอะ พูดอะไรออกไปล่ะนั่น นี่ไม่ใช่ฟ่านอู๋จิ่วผู้มีวาทศิลป์แห่งแคว้นนี้เลยสักนิด
“ลูกชาย??”
“ใช่ นะ นั่นไงลูกชายข้า มาได้ทันการ”
โจเซฟเสมองตามนิ้วของชายหนุ่มที่ท่าทางแปลกประหลาดตรงหน้าก็พบชายร่างสูงอีกคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกเขาพร้อมกับสายตาที่ยากจะเดาทางออกขัดกับรูปลักษณ์ของเขาสิ้นเชิง ซ้ำยังหน้าคล้ายกับคนตรงหน้าโจเซฟอีกต่างหาก หรือเขาอาจจะเป็นพ่อลูกกัน
แต่คนเป็นพ่อหน้าเด็กขนาดนี้เลยหรอ
แถมคนลูกก็ยังมีความเป็นคุณพ่อมากกว่าเสียอีก..
“ลูก?? เจ้าให้ความเท็จอะไรแก่เขาฟ่านอู๋จิ่ว ….ข้าขออภัยแทนน้องชายของข้า เขาเพียงตื่นเต้นที่จะได้เพื่อนใหม่”
ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดขนาบข้างผู้น้องที่ยืนตรงหน้าโจเซฟ มือหนาหยิบเอาพัดสีขาวที่เหน็บไว้ข้างเอวยกขึ้นมาเคาะศีรษะน้องชายแล้วกดศีรษะให้ขอโทษร่างบาง โจเซฟทำเพียงโบกมือไปมาแล้วพูดว่าไม่เป็นไร
“เจ้านี่อยากสนิทกับเจ้าเลยเข้ามาทักทาย แต่ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นเลยพูดมากไปเสียหน่อย”
“เขาก็เช่นกันแม่นาง” อู๋จิ่วแทรก
ปี่อานหันไปใช้สายตาเอ็ดน้องชายเล็กน้อยอีกครั้งก่อนจะช้อนสายตามองตั้งแต่เท้าเลื่อนขึ้นมามองบนใบหน้าสวยของร่างตรงหน้า พิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เหตุใดกัน..
ชายหนุ่มทั้งสองโค้งตัวก่อนจะเดินออกจากร้านไป โจเซฟกำลังสงสัยในสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ร่างโปร่งที่เหมือนหยินและหยางทั้งสองนี้ไม่ใช่กลุ่มแรกที่เข้ามาทักทายเขา แต่แล้วทำไมคุณย่าอี้ฉือถึงปล่อยให้ทั้งสองเข้ามาถึงในสุดร้าน ครั้งแรกเขาคิดว่าคนผมสีดำจะเข้ามาซื้อของเล่นให้กับลูกชายอย่างที่พูด แต่ไม่นานก็มีชายหน้าละม้ายคล้ายกันแต่เส้นผมสีขาวเดินเข้ามาเอ็ดพร้อมกับอธิบายว่าทั้งสองอยากสนิทกับโจเซฟ
ไม่แปลก มนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคมที่ควรจะมีมิตรสหาย คนทั้งสองตรงหน้าก็ดูลักษณะแล้วก็น่าจะไว้วางใจได้เมื่อดูจากภายนอกและการใช้คำพูด และเขาก็ต้องการเพื่อนสักคน บางทีโจเซฟอาจจะต้องมีเพื่อนสำหรับการทำให้เขานั้นไม่ฟุ้งซ่านหรือคิดไม่ตกกับการหาเหตุผลที่เขามาอยู่ที่แห่งนี้
“เดี๋ยวก่อนคุณ! เอ่อ ฉันว่าเข้ามาข้างในก่อนดีกว่า”
โจเซฟวิ่งออกไปคว้าปลายแขนเสื้อของเซี่ยปี่อานทันทีก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองทำท่ากึ่งวิ่งกึ่งเดินโพล่งออกมาหน้าร้าน เรียกให้อี้ฉือโผล่ออกมาถามว่ามีเหตุใดกันหรือ มือขาวปล่อยออกจากแขนเสื้อแล้วชี้นิ้วให้ทั้งสองกลับเข้าไปในร้านดังเดิม ฟ่านอู๋จิ้วและเซี่ยปี่อานเดินตามหลังเจ้าของร่างบางโดยทิ้งให้เจ้าตัวเดินนำไปก่อน
“ท่านพี่ว่าอย่างไร?” สองขาวและดำทรุดนั่งลงกับเบาะที่โจเซฟนั่งเล่นกับเด็กๆก่อนหน้านี้โดยมีเด็กหญิงกำลังนั่งถักดอกไม้อยู่ตรงหน้าและเด็กชายที่มองพวกเขาทั้งคู่พูดคุยกัน
“งาม ไม่แปลกที่ข่าวจะมายังวังได้เร็วขนาดนั้น”
“หากไม่ได้ยินแม่ทัพหลี่และแม่ทัพตงพูดคุยเสียงดังหน้าตำหนักข้าล่ะก็ ท่านพี่คงไม่ได้ชมนางเช่นนี้หรอกหนา …ดูท่าท่านพี่จะปลื้มนางไม่น้อย” อู๋จิ่วว่าพลางมองสำรวจภายในร้านในขณะที่ร่างบางเดินเข้าไปหยิบชาที่แม่อี้ฉือชงรับแขกให้เขาทั้งสองภายในบ้าน
“มีหรือใครจะมิชอบ”
“นั่นซีนะ เพียงข้ามองปราดเดียว ข้าก็หลงชอบเสียแล้ว”
“เจ้าพูดเกินไปแล้วฟ่าน ไหนเจ้าบอกว่าจะเป็นสหายกับเขา?”
“ท่านพี่ก็มองนางจนปรุโปร่ง เห็นทีข้าเป็นสหายกับนางด้วยมิได้หรอก” เว้นช่วงต่อประโยคกันไม่นาน เซี่ยปี่อานก็พูดทำลายความเงียบ
“อู๋จิ่ว ข้าว่าข้ารู้สึกแปลกๆคราที่สบตานาง..”
“ไว้เราทั้งสองค่อยไปว่าเรื่องนี้กันเมื่อกลับตำหนักเถอะพี่เซี่ย”
“ข้าชื่อฟ่านอู๋จิ่ว ส่วนนี่พี่ข้า”
“ข้าเป็นญาติพี่เขา ข้าเซี่ยปี่อาน”
“พวกคุณดูเหมือนคนมีฐานะ มาจากวังหลวงหรอครับ?”
ร่างบางที่กำลังเดินตามหลังชายหนุ่มร่างโปร่งทั้งสองคนเข้าไปในร้านตัดปักเย็บเสื้อผ้าใกล้กับวังหลวงเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งสองแนะนำตัวเสร็จ
“ใช่เลย แต่พวกข้าน่ะเป็ ”
“บุตรชายของขุนนางที่รับใช้จักรพรรดิ เลยได้เล่าเรียนในวัง” ปี่อานแทรกน้องชายที่จับผ้าสีนั่นสีนี่ทาบกับร่างบางที่เดินตามหลังตั้งแต่เข้าร้าน
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่.. ฉันโจเซฟ พอแล้วอู่จิ่ว” โจเซฟที่ทำได้เป็นเพียงตุ๊กตากระดาษตั้งแต่เข้าร้านที่โดนอู๋จิ้วจับเทียบสีผ้ากับแบบชุดไปมา มันค่อนข้างทำให้เขาเวียนหัวเล็กน้อย
“อู๋จิ่วขอรับแม่นาง” ฟ่านอู๋จิ่วแก้ชื่อของตนพร้อมรอยยิ้ม
“โจเซพ ?? เหมือนคนต่างเมือง” ปี่อานพยักหน้าเข้าใจ
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะนะ หรือถ้ามันออกเสียงยาก ตั้งชื่อให้ฉันก็ได้ พวกคุณจะได้เรียกง่ายๆ”
สิ้นสุดคำพูดของร่างบาง ปี่อานและอู๋จิ่วก็พร้อมใจกันมองหน้าโจเซฟพร้อมกับใช้ความคิด พวกเขาทั้งสามพากันมานั่งพักขากันข้างในสุดของร้าน โต๊ะไม้หนึ่งโต๊ะถูกพวกเขาจับจอง ปี่อ่านเอ่ยขอกระดาษและเครื่องเขียนเพื่อใช้ตั้งชื่อในภาษาจีนของโจเซฟ ดูเหมือนว่าพี่น้องผู้ดีคู่นี้จะจริงจังกับการคิดชื่อของเขาเป็นอย่างมาก
ก่อนจะมาที่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้พวกเขาทั้งสามได้นั่งจิบชาเพื่อคลายความเคอะเขินกันไปบ้าง มีไม่กี่ครั้งที่โจเซฟจะทำการรู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างแดนแบบนี้จึงค่อนข้างกังวลแต่ทั้งสองพี่น้องก็ทำให้ผ่อนคลายลงได้โดยเสนอว่าจะพามาร้านเสื้อผ้าเพื่อซื้อเป็นของขวัญแด่มิตรสหายต่างแดนให้กับโจเซฟ ซึ่งโจเซฟก็ตอบตกลงแล้วเดินตามพวกเขามาจนถึงเขตของวังหลวง
“เจ้าชอบสีอะไรหรือแม่นาง ข้าจะได้เลือกสีให้เหมาะกับเจ้า”
“คือ ฉันเกรงใจ ไม่ต้องสั่งชุดใหม่หรอก”
“ไม่ได้ซี แม่นางรับเป็นสหายกับพวกข้าทั้งที เก็บไว้สักชุดสองชุดเถอะ” อู๋จิ่วตอบแล้วหันไปคุยกับช่างตัดเย็บ
“นี่ก็ใกล้จะเข้าเหมันต์ฤดู” ดวงตาสีนิลของปี่อานมองใบหน้าหวานของโจเซฟแล้วพูดออกมา
จากที่โจเซฟได้นั่งมองชายหนุ่มตรงหน้าก็จับสังเกตถึงความต่างของทั้งสองพี่น้องได้นอกจากสีผม เซี่ยปี่อานจะมีใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกว่า ดวงตาสีนิล จมูกโด่งที่ดูไม่ใช่คนเอเชีย ปากเป็นกระจับ ในขณะที่อู๋จิ่วนั้นใบหน้าคมคายรับกับดวงตาสีดำสนิท จมูกเป็นสัน ริมฝีปากหนากว่าปี่อาน มองแล้วทั้งสองดูเหมือนจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีเลยทีเดียว
น่าอิจฉาจังเลยนะเนี่ย..
“เจ้าชื่อโจเซฟ ข้าตั้งชื่อให้ว่าเจี๋ยเฟิน”
“ไพเราะนักท่านพี่เซี่ย”
“มีความหมายไหมครับ?” โจเซฟก้มมองกระดาษบนโต๊ะที่ตอนนี้เป็นชื่อของเขาเด่นหรา
“มีซี เจี๋ยแปลว่า บริสุทธิ์ เฟินแปลว่า หิมะที่โปรยปรายลงมาหรือหากเขียนอีกตัวจักแปลว่ากลิ่นหอมของดอกไม้” ปี่อานอธิบาย
“เหมือนดอกเหมยที่อยู่บนผ้าไหมของเจ้า”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะฟ่าน”
“ข้าเพียงพูดในสิ่งที่ข้าคิดท่านพี่เซี่ย”
“เจี๋ยเฟินหรอ ..ผมชอบนะครับ” เป็นชื่อที่คล้องจองกับโจเซฟของเขามาก และออกเสียงง่ายอีกต่างหาก
“เอาล่ะเราเสร็จการที่นี่แล้ว เจ้าอยากไปไหนไหมแม่นางเจี๋ยเฟิน”
นี่ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแต่ท้องฟ้ายังสว่าง น่าแปลกที่ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้วแต่ท้องฟ้าที่นี่ยังคงสว่างเหมือนเที่ยงวัน โจเซฟเลยบอกสองพี่น้องว่าอยากไปสวนหรือป่า อยากดูธรรมชาติยามเย็น ทั้งสองก็ตอบรับแบบไม่มีข้อกังขา
“สวนที่นี่จัดได้สวยมากเลย ฉันชอบ”
โจเซฟพูดพร้อมกับรอยยิ้ม ปี่อานและอู๋จิ่วมองภาพของร่างอรชรตรงหน้าที่เดินสำรวจไปทั่วกับสวนหลวงท้ายวังรับแสงยามเย็น มันช่างเป็นภาพที่น่าชวนหลงใหลเหลือเกิน
ไม่นานนักหลังจากทั้งสามได้เดินชมรอบสวนโดยมีโจเซฟหรือเจี๋ยเฟินเดินนำหน้าและพูดเปิดใจถึงเรื่องราวของตนเองด้วยความไว้ใจทั้งหมดให้กับสองลูกขุนนางหลวง โจเซฟเล่าทั้งหมดตั้งแต่ที่เขามาถึงประเทศจีนและได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ปี่อานและอู๋จิ่วยอมรับว่าประหลาดใจอย่างมาก แต่ถ้าหากพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ด้วยเหมือนกันก็คงจะเชื่อได้โดยปริยา
“งั้นหมายความว่าที่เจ้าย้อนเวลามาเพราะมีเหตุผลงั้นซีนะ” หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด ปี่อ่านก็เป็นผู้เปิดบทสนทนาก่อน
“คิดว่านะ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุผลคืออะไร แต่ก็จะพยายามหาให้ได้”
“พวกข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง” อู๋จิ่วมองหน้าพี่ชายก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้โจเซฟแล้วถามคำถามที่ข้องใจมานานตั้งแต่ต้นเรื่องที่โจเซฟว่าเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานจึงได้มาพักผ่อนที่แห่งนี้
“เจ้าอายุเท่าใดแล้วหรือแม่นาง?”
“อีกไม่กี่เดือนฉันจะ30แล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ??? ”
“จริงหรือ?” สองพี่น้องอุทานพร้อมกัน
“ทำไมหรอ?”
“ข้าเพิ่งจะ18บริบูรณ์ ส่วนท่านพี่เซี่ยก็กำลังจะย่าง21” อู๋จิ่วตอบเสียงดัง
“เจ้านี่มีอะไรที่พวกข้าต้องเรียนรู้มากเลยหนาเจี๋ยเฟิน”
“ข้าพลาด อภัยให้ข้าเถิดท่าน”
“เหตุใดเจ้าจึงพลาด?? ”
“วันนี้องค์ชายเซี่ยและองค์ชายฟ่านได้ไปเดินที่ตลาดนอกเขตของวัง คนพลุกพล่านนัก ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านตื่นตระหนก มันโจ่งแจ้งมากเกินไปขอรับ!”
“แล้วหลังจากนั้นเจ้ามัวแต่ทำอันใด!!?”
“ข้าเดินตามเรื่อยๆบนแนวเขา จนองค์ชายได้เดินเข้าไปที่สวนหลวงหลังวังพร้อมชายหนุ่มที่ชาวบ้านกำลังลือกันว่างามนักงามหนา”
“ข้ากำลังยกคันธนูแต่ก็ต้องลดมันลงและรีบหลบหลังหินเพราะชายหนุ่มรูปงามคนนั้นกำลังจ้องมองมาที่ที่ข้าอยู่”
“ข้าเลยพลาด”
#ย้อนซากบุปผา
twitter : @whereisfreel (notpink)
ตอนนี้กินพลังเราไปถึงสองวันเต็ม55 คำพูดของโจเซฟจะแปลกๆหน่อยนะคะเพราะเขาเพิ่งจะหัดพูดภาษาจีน ส่วนคำพูดของชาวบ้านหรือสองพี่น้องจะออกแนวโบราณแต่ไม่จ๋าตามสถานการณ์ค่ะ
ฝากติดตามและติชมได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ความคิดเห็น