ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [CommuK] Tokui Saiki

    ลำดับตอนที่ #4 : [K] Valentine Event

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 57


    เอนทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของคอมมู♥
     
     
     


    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    *เอนทรี่นี้มีเนื้อหาและตัวหนังสือเยอะมาก แถมไม่มีรูปซักนิด ใครขี้เกียจอ่านก็กดปิดไปนะก๊ะ ไม่ก็เลื่อนล่างสุดไปเลย ! เย่*

    **และ ! มัน กาก มาก เย่วววว !**

     

    FANFIC? VALENTINE EVENT

             

     

     

     

    ณ คืนวันพิเศษวันหนึ่งท่ามกลางฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น... คืนวาเลนไทน์ วันที่ถูกขนานนามว่า ‘วันแห่งความรัก’ วันที่คู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนม ลูกกวาด หรือส่งการ์ดอวยพรกัน หรือบ้างก็ว่าเป็นวันที่เหล่าหญิงสาว(และหลายๆครั้งก็มีชายหนุ่ม..)ล้วนสารภาพความในใจ แสดงความรักต่อคนที่ชอบ ฟังดูแล้วมันก็คือวันที่สุดแสนจะโรแมนติกวันนึงนี่เอง

     

              แต่หากมีเวลาว่างมากพอที่จะเปิดกูเกิ้ลและหาถึงข้อเท็จจริงแห่งประวัติศาสตร์ของวันที่สิบสี่กุมภานี้ ...ซึ่งหาได้มีส่วนใดที่โรแมนติกไม่ หรือถ้ามีก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ไม่อาจเชื่อมโยงกับวันแห่งความรักนี้ได้อย่างสนิทใจ..

     

              ทั้งนี้ทั้งนั้น...นั่นก็เป็นแค่เพียงอารัมภบท ไม่ว่ามันจะเป็นวันแห่งความรักที่หวานเพียงใด หรือประวัติศาสตร์จะดราม่าน้ำตากระจายแค่ไหน ก็ไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวเนื่องอะไรกับ ‘เธอ’ ผู้ซึ่งมีความสุขอิ่มเอมกับการอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูหนาว และ ‘เขา’ ที่แค่นึกอยากจะมาดูดาวในวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง

     

              ‘ไซกะ โทโมฮารุ’ กับ ‘โทคุอิ ไซคิ’

     

              ไม่อาจทราบได้ว่าเพราะพรหมลิขิต หรือใครสั่งมา ที่ทั้งคู่ ต้องมาอยู่ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน วันเวลาเดียวกัน และ เป็น ‘เพื่อนสนิท’ กัน

     

     “เย็นแฮะ เย็น...”  เสียงพึมพำงึมงำจากปากชายหนุ่มผู้หนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิดที่ทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้าเลือนลาง นัยน์ตาสีทองที่ควรจับจ้องเส้นทางที่กำลังก้าวเดินกลับมองอยู่สิ่งที่เหนือขึ้นไป...ท้องฟ้า

     

    อีกด้านนึงไม่ห่างออกไปหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างที่กำลังเดินเอื่อยๆรับลมหนาวที่ทวีความเย็นขึ้นเรื่อยๆจนต้องก้มหน้าซุกกับผ้าพันคอสีโปรดจนใบหน้าแทบจะมิดลงไปกับผืนผ้า แต่แล้วในสายลมที่เธอสัมผัสได้ก็มีสิ่งแปลกปลอมที่ต่างจากเมื่อครู่  ...กลิ่น... จะว่าเธอจมูกดีหรือเป็นเซ้นส์อะไรก็ตาม เธอมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างอยู่ข้างหน้า บางอย่างที่ค่อนข้างคุ้นเคย

     

    ฝ่ายหนึ่งก็มัวแต่ชื่นชมแต่สิ่งที่อยู่สูงและไกลออกไป อีกฝ่ายก็มัวแต่พยายามนึกถึงความคุ้นเคยในกลิ่นนั่น เรียกว่าเดินไม่มองทางทั้งคู่.. และบทสรุปของการละเลยการเป็นผู้เดินที่ดีนั้น

     

    “เอ่อะะ”  

     

    “เฮ้ยยย”

     

    ก็ไม่ได้เจ็บปวดและแย่อะไรมากมาย นอกซะจาก เดินชนกันเอง....ผลที่รับตามมาก็เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างเสียหลักเซไปเล็กน้อย เพราะรีแอคชั่นก็ไม่ได้รุนแรงขนาดต้องล้มโครมโอเว่อร์แบบละครอะไร...

     

    “...ดวงนั้นไปไหนแล้ววะ”  ในขณะที่คนตัวสูงเหมือนจะไม่เลิกให้ความสนใจทั้งหมดไปกับการมองท้องฟ้าและกลุ่มดาว อีกคนที่ตัวเล็กกว่ากลับให้ความสนใจไปข้างหน้า และแอบสบถด่าคนที่ชนตัวเองไปแล้วในใจ

     

    “…ไซคิ ? ”  เสียงสูงเอ่ยชื่อคนตรงหน้าอย่างไม่มั่นใจ

     

    “ เอ้อลืม.. โทษทีๆ...อ้าว...?....”  ส่วนอีกฝ่ายที่เพิ่งระลึกได้ว่าควรละสายตาจากท้องฟ้าลงมาขอโทษ ทีตอนแรกก็แค่จะขอโทษปัดๆแล้วดูดาวต่อ แต่พอเห็นว่าเป็นคนรู้จัก ก็ละความสนใจในกลุ่มดาวลง..

     

    “เดินเหม่ออะไรของนายมา...”  เพื่อนสาวเอ่ยถามกับคนที่ดูเหมือนจะเพิ่งมองเห็นตนเอง

     

    “โทโมะ?  ไม่ได้เหม่อนะเออว์......แค่ไม่คิดว่าจะมีใครมาเดินย้วยๆอยู่แถวนี้อ่ะนะ” เสียงทุ้มทวนชื่อเล่นอีกคนแบบเบลอๆ ก็จะปฎิเสธที่ฟังดูเหมือนคำแก้ตัว และแถมท้ายไปด้วยคำจิกเล็กๆพอเป็นไมตรี  

     

    “นายสิย้วย เดินย้วยไม่มองทางอีกตะหาก โด่ว” 

     

    “ฉันไม่ได้ย้วย... ก็แถวนี้มีคนซะที่ไหนกันเล่า ปัดโธ่วว”  ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาทีนึงแล้วหันซ้ายหันขวาเหลียวมองไปรอบๆพบเพียงความมืดมิด ไร้ซึ่งผู้คน  “....เออ...ไม่มีเลยแฮะ...”  แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เพิ่งระลึกได้อย่างดีเลย์ๆว่าที่แห่งนี้ช่างเงียบและสงบ...เกินไป จนผิดสังเกตุ  

     

    “ฉันนี่ไงคน”

     

    “ไม่ใช่...เธอเป็นไก่....”

     

    “..จะไม่จบใช่มั้ยคะคุณขันน้ำ”

     

    “ขันน้ำไม่เก่ง ไม่เทพ และไม่หล่อแบบฉัน ฮรึ”

     

    “ ขันน้ำมื๊ดมืดด้วย..อืม...”

     

    “ฉันไม่ใช่ขันน้ำ”  บทสนทนาที่ไม่น่ายกมาเป็นประเด็นของคนที่เรียกได้ว่า โตๆกันแล้ว ถูกดึงออกมาใช้ และดูท่าว่าจะไม่รู้จบ ถ้าอีกคนไม่ตัดบท(หรือจะเรียกว่าเติมเชื้อไฟก็คงไม่ผิด...)ด้วยการหยิบหนังสือเล่มบางที่พกติดตัวมาด้วยตีเบาๆไปที่หัวของเพื่อนตัวเล็ก

     

    “อุ่กก .. แล้วดึกๆดื่นๆมาเดินทำอะไรแถวนี้ เอ๊ะ..หรือว่าจะมาลอยน้ำ”  ผิดคาด..สาวเจ้ากลับไม่ได้วีนกลับมาทันที แต่ใช้ประโยคคำถามที่บวกการแขวะเข้าไปแทน

     

    “เดินดูดาวเล่นๆ....แต่ฉันสิควรจะต้องถามเธอ.... แล้วลอยน้ำนั่นมันคืออัลไล...”

     

    “ก็ก็ก็ไม่รู้สินะ … โฮ่..อารมณ์สุนทรีย์ดีเนอะ ฉันมาตากลมเล่นเย็นสบายดี”  พูดไปก็กระตุกยิ้มไปด้วยความสะใจที่แอบด่าได้สำเร็จ แถมด้วยการโกหกความรู้สึกไปว่าเย็น ทั้งๆที่จริงควรจะใช้คำว่าหนาวเลยน่าจะเป็นการถูกต้องกว่า

     

    “...เย็นสบาย?....สบาย?”  

     

    “สบาย..สบายของฉันละกัน” แม้อีกคนจะจับได้ว่าตัวเองไม่ได้แค่เย็นสบาย แต่ด้วยนิสัยก็ยังติดฟอร์มว่าสบายอยู่ไปแบบนั้น ถึงการแต่งตัวจะขัดกันแบบเต็มที่เลยก็เถอะ..

     

    “....เธอนี่....ประหลาดดีเนาะ...เป็นไก่ที่ประหลาดมาก”

     

    “ไม่เท่านายหรอก ขันน้ำที่กำลังวิ้งวับแข่งกับดาวน่ะ”

     

    “จะบอกว่ารัศมีความเก่งและหล่อมากของฉันมันวิ้งมากสินะ...แหม่ ขอบใจส์”  หากคนทั่วไปได้ยินคงไม่เข้าใจว่า ขันน้ำ กับ ไก่(ย้วย..) มันมีความเกี่ยวข้องกันตรงไหน แถมยังเป็นคำที่ดูไม่น่ามาใช้แทนฉายา แต่แน่นอนว่าคนตั้งย่อมเข้าใจกันดี

     

    “...... ไปวิ้งในน้ำนู่นไป๊”  เริ่มการโต้เถียงแบบเด็กอายุนับขวบ แล้วฝ่ายไก่โทโมฮารุก็พยายามจะเอาชนะด้วยการผลัก..

     

    “เฮ้— ยัยเพี้ยนนี่”  น่าเสียดายที่แรงของผู้หญิงที่ไม่ได้ออกแรงเต็มที่ยังไม่สามารถทำให้ผู้ชายซักคนตกแม่น้ำที่อยู่ข้างๆทางได้ ไซคิหันขวับมามองเพื่อนสาวที่ยืนลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้เหมือนตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้ทำอะไร และใบหน้าไม่รู้เรื่องนั่นทำให้อีกคนเกิดความหมันไส้เดินก้าวฉับๆเข้าไปหวังจะดีดหน้าผากซักเพียะ แต่สาวเจ้าโดนมาหลายครั้งจึงพอรู้แนวรีบหลบแล้วเดินหนีไปตามทาง

     

    “หยุดเลยนะยัยย้วยยย ถ้าลื่นตกลงน้ำจะหัวเราะให้” แต่อีกคนก็หาได้สนใจไม่ก็คงเดินไปเรื่อยๆโดยไม่หันกลับมามอง พร้อมหัวเราะฮึๆไปด้วย

     

    การจะไม่เอาคืนกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ไม่ใช่วิสัยของเขา ชายหนุ่มก้าวฉับๆตามๆไป เพื่อเล็งหาโอกาสที่ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นประกายอ่อนๆท่ามกลางแม่น้ำที่มืดสนิท “....หืม...”

     

              คนที่อยู่ด้วยกันก็เห็นเช่นเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าใสหรี่มองอย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ด้วยความมืดทำให้ไม่อาจเห็นบางสิ่งบางอย่างนั้นได้อย่างชัดเจน

     

              ความอยากรู้อยากเห็นของวัยรุ่นมีมากเสมอ...โทโมฮารุพยายมใช้พลังพิเศษของตน ควบคุมลมให้พัดสิ่งของนั้นเข้ามาใกล้ฝั่งเพื่อที่จะหยิบดู แต่อาจจะเพราะยังไม่ชำนาญเท่าใดนัก จึงทำให้สิ่งนันยิ่งลอยห่างออกไปไกล

     

              ด้านอีกคนที่สงสัยไม่แพ้กันกำลังล้วงๆคลำๆหาอุปกรณ์สื่อสารเพื่อหวังจะใช้ประโยชน์จากแสงไฟหน้าจอเพื่อส่องดู พอเจอของที่ต้องการจึงหยิบออกมาเปิดไฟส่องดู เห็นคุณเพื่อนท่าทางตั้งใจมากกับการควบคุมพลังแบบเก้ๆกังๆ

     

    “.....ทำอะไรของเธอน่ะ....”  เหมือนถามเป็นมารยาทแต่ไม่ใช่มารยาท เป้นคำถามซ่งไม่ต้องการคำตอบเพราะมันเห็นกันโต้งๆตรงหน้านี่แล..

     

    “มันไปนู่นแล้วอ๊ะะ”  คิ้วเรียวสีเดียวกับเส้นผมขมวดมุ่นอย่างขัดใจเมื่อของที่ว่านั้นยังลอยห่างออกไปไกลเรื่อยๆ โดยไม่มีที่ทาว่าจะพัดเข้ามาติดฝั่ง

     

    “เล็งดีๆเด้...อย่างงั้นมันก็ยิ่งไกลสิเอ้ออ”  ด้วยความที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มาก และบางทีอาจจะไม่คิดจะทำ จึงทำได้แต่คอยส่งเสียงเชียร์ที่เรียกว่าสั่งน่าจะถูกต้องกว่า

     

    ความตั้งใจระดับประเทศ สาวเจ้ายังคงโบกมือไปมาควบคุมลมอย่างสุดความสามารถ แต่เหมือนคราวนี้จะใช้ความทุ่มเทมากไปหน่อย ทำให้เกิดกลุ่มลมแรงโถมตัวใส่ผืนน้ำ เกิดคลื่นขนาดใหญ่กระโจนมาหาทั้งคู่ดังตู้ม....แน่นอนว่าก็เปียกกันไปตามระเบียบ..

     

              “......(-_____-)...”  จากตอนแรกที่เมหือนจะเชียร์ ตอนนี้เขากลับไม่รู้จะพูดยังไง..นอกเสียจากหยิบหนังสือเล่มเล็กเล่มเดิมขึ้นมา...แล้วตีเพียะไปยังกลุ่มผมสีทองตรงหน้า..

     

    “โอ๊ยยย อย่าเด้”  คนเจ็บถอยหนีพลางถอดผ้าพันคอขึ้นมาสะบัดๆไล่น้ำ “พอจะใช้จริงๆดันเป็นงี้ตลอดนะ”  บ่นพึมพำกับพลังของตัวเองที่รู้สึกเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง เพราะความไม่ได้ดั่งใจที่มาเสมอๆเป็นระยะไม่ขาดตอน...

     

    “เก่งในเรื่องไม่เป็นเรื่องชัดๆ....”  ไม่แขวะคงอยู่ไม่ได้ ...ลูกชายบ้านโทคุอิควรเปลี่ยนประโยคนี้เป็นคติพจน์ เพราะแซะบ่อยเหลือเกิน..

     

     

    เหมือนโดนดูถูก หญิงสาวหันขวับมาส่งสายตาแสดงถึงความไม่ชอบใจชัดเจน เจ้าตัววางผ้าพันคอที่สะบัดไล่น้ำออกไว้กับพื้น แล้วนั่งยองๆลง ใช้ความตั้งใจขั้นแม็กซ์พยายามอีกครั้ง ด้วยจุดประสงค์ที่เปลี่ยนไป

     

    เจ้าของปริศนานั่นก็ช่างเล่นตัว ลอยผลุบไปผลุบมาไม่ยอมขยับเขยื้อนเข้ามาใกล้เหมือนท้าทายอยุ่พักใหญ่ๆ ซึ่งเป็นพักใหญ่ที่ทำให้สองคนที่รอดูค่อนข้างรำคาญบวกกับลุ้นเหลือเกิน

     

    ใช้เวลาอีกเฮือกนึงเจ้าสิ่งปริศนาก็ค่อยขยับเข้ามา เพราะแรงลมของสาวสายลมที่จับทางการเคลื่อนที่ของคลื่นน้ำได้บ้างแล้ว

     

    “...เมื่อไหร่จะถึง....”  นอกจากอยากรู้อยากเห็นแล้ววัยรุ่นยังใจร้อน..นั่นคงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องที่สุดในสถานการณ์นี้ แถมยังเป้นคำกล่าวที่ไม่จำกัดทั้งชายและหญิง...

     

     

    ตู้มม!

     

     

              เสียงอะไรบางอย่างตกลงไปในน้ำดังสนั่นท่ามกลางความเงียบกริบ...ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเดา เพราะในทีนี้ก็มีเพียงกันสองคน และเขายังยืนอยู่บนพื้นดินอย่างสวัสดิภาพ ดังนั้น.............

     

    “อ้าวเฮ้ย........ลงไปทำไมล่ะนั่น”  คนตกน้ำโผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำหน้าตาแสดงความหงุดหงิดเต็มที่ สายตามองของปริศนาที่มีรูปลักษณ์เป็นกล่องอย่างแค้นเคือง มือเรียวยกขึ้นด้วยน้ำหนักน้ำวาดออกไปหมายจะคว้ากล่องเจ้าปัญหา แต่เหมือนการขยับตัวของเธอจะทำให้เกิดคลื่นน้ำซึ่งพัดกล่องออกไปไกลขึ้น

     

    “...ให้ลงไปช่วยปร้ะะ?”  ถ้าเป็นหนัง ละคร หรือการ์ตูน พระเอกคงต้องโดดลงไปทันทีที่นางเอกตกลงน้ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ ณ ที่นี่ เขาไม่ใช่พระเอก เธอก็ไม่ใช่นางเอก และ ความเป็นสุภาพบุรุษที่แสดงออกอย่างชัดเจน...ก็คงไม่ค่อยมีเห็นในตัวผู้ชายคนนี้อย่างน่าอนาถใจ 

     

    “ไม่ต้อง”  นั่นไง..ผู้หญิงตามละครจะต้องร้องโวยวายสำออยว่าช่วยด้วยๆซ้ำไปซ้ำมา แต่เธอไม่ใช่ เธอมั่นใจว่าตัวเองสามารถผ่านไปได้อย่างสบาย แขนเรียวยกขึ้นจะคว้ากล่องนั่นไว้อีกครั้งเหมือนจะสำเร็จเพราะสามารถแตะมันได้แล้ว แต่น้ำคงลื่นเกินไปทำให้มือเธอหวืดออกจากผิวของกล่อง ซ้ำร้ายยังส่งผลให้มันไหลไปไกลกว่าเดิมเคราะห์ร้ายซ้ำสอง ...ตัวเธอดันไหลไปกับสายน้ำอีกต่างหาก

     

    “......ให้ฉันช่วยป้ะ?...”  คำถามเดิมถูกส่งมาอีกครั้ง..

     

    “แปบๆๆ จะได้แล้ว”  คำตอบที่ต่างจากเดิม แต่ก็ยังมีใจความคล้ายเดิม

     

     

    “......โทโมะ...ยังอยู่ดีเปล่า ...ให้ช่วยเอาปร้ะ...”  เจ้าของคำถามครั้งที่สามหยุดเดินแล้วตามแล้วนั่งยองๆอยู่ริมฝั่งคอยมอง

     

     

    แต่เหมือนคนในน้ำจะไม่ได้ฟัง ใช้ความตั้งใจอีกครั้งยกแขนขึ้นคว้ากล่องเอาไว้หมับ...สำเร็จไปด้วยดี...  “เฮ้ย...”  หรืออาจจะไม่ดีเพราะกว่าจะคว้าได้เจ้าตัวก็ดันลอยออกห่างจากฝั่งมาไกลจนน่าตกใจ

     

    “ให้ตายสิ... เฮ้ยย ยังอยู่มั้ยยยยย!”  ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างช่วยไม่ได้ สายตาที่ไม่คุ้นชินกับความมืดเพ่งมองอีกคนที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนในสายน้ำ

     

    อีกคนพรวดจากน้ำขึ้นมาตะกุยตะกายเกาะกับกล่อง แต่ด้วยออกแรงกดมากไป..กล่องเจ้ากรรมเลยลื่นหนีออกห่าง

     

    “เวรกรรม...”   ถอนหายอีกเฮือกใหย่ๆแล้วค่อยถอดเสื้อนอกโยนทิ้งไว้แล้วกระโดดน้ำตามลงไป

     

    อีกคนที่จะจมแหล่มิจมแหล่ ผลุบขึ้นผลุบลงอยู่ผิวน้ำ มือสองข้างพยายามควานคว้าอะไรก็ตามที่ช่วยให้ขึ้นไปได้

     

    “อยู่เฉยๆก่อนเซ่”  คนที่เพิ่งตามโดดลงไปเอื้อมแขนไปล็อคคอคนดิ้นไปมาให้นิ่งแล้วค่อยลากขึ้นฝั่ง แต่มือบางก็ยังไม่วายเอื้อมไปคว้ากล่องปริศนานั่นมาด้วย

     

    “อยู่เฉยๆเซ่”  หันไปดุอีกคนที่ยังไม่ยอมนิ่งโดยดีอีกรอบ

     

    “หนัก...”  ปากบ่นอุบแต่มือก็ยังแหวกน้ำว่ายกลับฝั่งไปได้สำเร็จ

     

    “เธอนี่....หาเรื่องจริงๆด้วย...ถ้าจมน้ำตายจะทำยังไงล่ะเฮ้ยย อากาศแบบนี้ด้วย...”

     

    “ก็กล่องมันไม่ยอมมาซะทีนี่หน่าาาา”   พูดปุ๊บก็หันไปดูกล่องที่ขึ้นมาด้วยกันปั๊บ

     

    “ก็แค่กล่องอะไรก็ไม่รู้นี่หว่า....ถ้าจะต้องทำขนาดนี้ จริงๆทิ้งมันไปดีกว่ามั้ยเนี่ย...”

     

    “ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นแมวโดนทิ้งลอยน้ำมาก็ได้นี่...”  มือเรียวงัดๆแงะๆฝากล่องให้เปิด แถมด้วยใช้เล็บจิกไปอีกต่างหาก

     

    “ถ้าแมวลอยมาจริงอย่างน้อยมันก็ต้องเปิดฝากล่องนี่” 

     

    “มันอาจจะโดนขังอยู่ก็ได้..”  ว่าอย่างงั้นแล้วในที่สุดก็เปิดกล่องออก...พบ.. ! ...กล่องอีกชั้นด้านใน..

     

    “ฉันว่าไม่ใช่แล้วล่ะ.....”  จริงๆก็ไม่น่าใช่ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ  ต่ออีกประโยคในใจ

     

    คิ้วสีทองเรียวขมวดอย่างขัดใจ เธออุตส่าห์เสี่ยงชีวิตไปช่วยกล่องนั่นขึ้นมาเชียวนะ! ทำไมมันทรยศกันได้หน้าด้านๆแบบนี้ ว่าแล้วมือเรียวก็หยิบกล่องขึ้นมาเขย่าๆๆๆๆ

     

    “ใจเย็นเซ่”   อีกคนรีบแย่งกล่องมาถือแทน  “ถ้าเกิดข้างในเป็นของมีค่าที่แตกได้ล่ะเอ้อ”

     

    เขาเคาะกล่องเบาๆแล้วเอากล่องแนบหูดูเพื่อฟังเสียง ..เอียงกล่องช้าๆ ก็ได้ยินเหมือนมีอะไรกระทบตัวกล่องดังกึกเบาๆ  “เห....”  ทีนี้แกะเลย...

     

    สองคนต่างนั่งลุ้นดูว่าภายในกล่องคืออะไร เมื่อแกะกล่องเล็กด้านในออกก็พบว่าเป็นก้อนกระดาษเหมือนห่ออะไรบางอย่างอยู่

     

    “.....โห่ว...คิดว่าอัลไล...”   ดึงก้อนกระดาษนั่นให้คลี่ออกมาเผยสิ่งที่อยู่ด้านในสู่สายตาทั้งคู่  “...มีด…”

     

    “เอ่อะ...เดี๋ยวนะ ใครมาทิ้งมีดแบบนี้ลงคลองกัน”  มีดเล่มบางสวย สลัดลวดลายอย่างวิจิตรทั้งบนใบมีดคม และตัวด้ามจับ แค่ดูปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นของมีราคา

     

    “อาจจะเป็นมีดอาถรรพ์ มีดผีสิง ฆ่าคนตาย อะไรงี้ แล้วทิ้งมาทำลายล่ะมั้ง..”  โทนเสียงที่ต่ำกว่าอยู่แล้ว บีบให้ต่ำยิ่งไปอีก เขาส่งมีดประหลาดในมือนั่นให้อีกคนพร้อมหัวเราะหึๆในลำคอ

     

    “ถ้าเป็นแบบนั้นฉันยกให้นายเลยละกัน”  เธอไม่ได้ขี้กลัว...เปล่านะ ไม่ได้กลัว เรียกว่าเสียสละให้อีกคนดูดีกว่าตั้งเยอะนะ

     

    “อ้าว ทำไมล่ะเอ้อ? นี่เธออุตส่าห์ลงทุนเสี่ยงตัวเองลงไปเอามาเลยนา”   อีกคนก็ยังไม่หยุดแกล้ง ยังคงพยายามยัดเยียดมีดนั่นให้เต็มที่

     

    “ไม่......ฉันรู้นายชอบอะไรแบบนี้”

     

    “หา?...ฉันไม่ได้มีรสนิยมชอบมีดหรอกนา”

     

    “ไม่เอา อย่าเอามาใกล้นะ”  อีกคนโบกมีดไปมาอย่างไม่กลัวจะบาด อีกคนก็เขยิบถอยหนีแบบยังไงฉันก็ไม่เอา

     

    “ไม่เอาจริงอ่ะ?”  ไม่มีคำตอบแต่เป็นการส่ายหน้ารัวๆๆๆๆยืนยันเต็มที่

     

    “โอเค โอเค งั้นทิ้งนา?”

     

    “อ..เอ้ย ทิ้งได้ไง อย่างน้อยก็เอาไปแจ้งของหายซะหน่อยเซ่”

     

    “ถ้าปล่อยลอยน้ำมาขนาดนี้เจ้าของคงไม่อยากได้คืนแล้วแหละะ”

     

    “หรือบางที..อาจจงใจลอยน้ำมาให้ใครสักคน..?”  เริ่มสงสัยในตัวมีดเล่มสวยนี่ เธอลูบคางอย่างครุ่นคิดเหมือนตัวเองกำลังเล่นเป็นยอดนักสืบ..

     

    “แล้วใครจะบ้ามาคอยรอรับตอนนี้เล่า...ถ้าเป็นงั้นส่งไปรษณีย์ไม่ดีกว่าเราะ”  เห็นแบบนี้แต่เขาก็เป็นคนมีเหตุและผลตลอดเวลานะ...

     

    “มันอาจจะเป็นของลับก็ได้นี่..แบบว่า ไม่อยากให้มีใครมาเห็น ...”  แม้จะพูดออกมาเองก็ดันไปกระแทกใจตัวเอง ที่จู่ๆเธอก็เก็บมันขึ้นมา

     

    “ลอยเด่นขนาดนี้ใครๆก็เห็นน่า.. ถ้าคนทำมันจะทำจริงๆคงไม่โง่สะเพร่าขนาดนี้หรอกน่า”  เขายังคงพูดขัดอีกคนไปตามที่คิด มือที่ถือมีดอยู่หมุนเล่นไปมาแบบไม่มีอะไรจะทำ

     

    “อย่าทำงั้นเด้ เดี๋ยวก็บาดมือหรอก”  แล้วเธอก็แย่งมาซะเฉยๆตามประสาคนลืมตัว

     

    “เฮ้ยย...”  แต่เรื่องอะไรเขาจะให้แย่งง่ายๆ มือที่ถือมีดโยกหลบไม่ให้อีกคนคว้าได้  “เธอนั่นแหละ..เข้ามาแบบนั้นเดี๋ยวก็บาด”

     

    “งั้นก็เก็บใส่กล่องไปไป๊”

     

    “เออ เออ เก็บก็เก็บ...เพราะฉันใจดีหรอกนะเออ”  แล้วเจ้าคนถือมีดก็หยิบเอากระดาษแผ่นเดิมมาห่อๆคมไว้ แล้วก็เก็บเข้าไปในกล่องที่เดิม

     

    “ - -;; ”

     

    “ว่าแต่......เย็นชิบ”   

     

    “เออ..ตัวนายเปียก”

     

    “แหม่...ตัวเธอไม่เปียกเลยเนาะะ”

     

    พอก้มลงดูก็เห็นหยุดน้ำหยดมาจากตัวเธอติ๋งๆ เพราะเธอลงไปทั้งชุดอย่างงั้นก็ย่อมอุ้มน้ำขึ้นมามากเป้นธรรมดา  “เออ..”  เสื้อโค้ทชะอุ่มน้ำโดนถอดออกมา ก่อนเจ้าของเสื้อจะโดนลมหนาวที่พัดมาตีเข้าเต็มๆ  “อื้อหืออ..”

     

    ไซคิลุกขึ้นเดินย้อนไปไม่ไกล พบเสื้อนอกที่ถอดทิ้งไว้ก่อนโดลงน้ำก็เดินถือกลับมายื่นให้อีกคน “เอ้า....”

     

              แล้วเธอก็รับมา......ถือเฉยๆ...

     

    “....ให้ไปคลุมเฟ้ย ไม่ได้ให้ถือ..” 

     

    “เอ้า...เอ้อ ขอบใจ”  พอใส่เสร็จเธอก็หันไปมองอีกคนที่อยู่ในชุดท้าลมหนาวแบบนั้น ก็เลยจับลากออกไปกะว่าหาที่อุ่นคงดีกว่ายืนอยู่ตรงนี้

     

    “ รีบไปหนายยย…”

     

    “ข้างนอกมันหนาวเดี๋ยวได้แข็งตาย”  จ้ำเดินนำไปแม้จะไม่รู้ทางอยู่พักใหญ่แล้วค่อยหยุดชะงักแบบคนเพิ่งรู้สึกตัว..

     

    “แล้ว...จะเดินไปไหนอ่ะ....”

     

    “…... นี่ที่ไหน - -…”

     

    “เธอถามฉันแล้วฉันจะไปถามใครอ่ะ......”

     

    “…เดี๋ยวนะ”  พูดเสร็จก็หมุนตัวรอบนึงมอง  “อืมมม… โน่นละกัน”  แล้วก็ชี้มั่วๆไปทางตึกไม่ใหย่มากๆที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

     

    “....ไม่มีหลักการซักนิด ....ไปทางนู้นดีกว่า นู่นๆ...”  ส่วนอีกคนก็ชี้เข้าป่า…..ที่ดูย่ำแย่ยิ่งกว่า

     

    “…นายจะไปทำอะไรในป่า”  อีกคนหันขวับมาถามทันที

     

    “ป่าที่ไหนเล่าา...นั่นมันสวนสาธารณะไม่ใช่หรา...” 

     

    “ใช่เราะ..มองเห็นแต่ต้นไม้”  โทโมฮารุพยายามเพิ่งสายตามองสุดฤทธิ์ไปที่ดงต้นไม้ด้านหน้า แต่แล้วก็ไปสะดุดกับต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดคลับคล้ายคลับคลาคนที่กำลังยืนอยู่  

     

    “ก็สวนก็ต้องมีแต่ต้นไม้เด่ะ?”  

     

    มือเล็กจับชายเสื้อเพื่อนข้างตัวก่อนจะกระตุกเบาๆ “นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นรึเปล่า.....”  สาวเจ้าพยักเพยิดให้อีกคนมองไปทางเงาต้นไม้ที่คล้ายคนจนน่ากลัวนั่น

     

    “ ..เห็น.....”

     

    “……..”  คำตอบสั้นๆที่เหมือนหินทับตู้มเล่นเอาคนถามสมองโล่งไปเรียบร้อย

     

    “อะไรอ่ะ? มันทำไม?”  คำถามอย่างคนไม่เข้าใจถูกส่งมา เพราะที่เขามองก็แค่ต้นไม้ ดูยังไงก็ต้นไม้ แล้วมันมีอะไรเป็นพิเศษ เขาคิดอย่างงั้น แต่เหมือนเธอจะไม่ได้คิดอย่างเดียวกัน

     

    “ใครมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ -_____-;;;;”

     

    “อือฮึ...นั่นเด่ะ...ป่านนี้จะออกมาทำไมกัน”  เหมือนกำลังคุยเรื่องเดียวแต่มันไม่ใช่เลย เขากำลังหมายถึงเธอที่ดึกดื่นป่านนี้แล้วออกมาเดินเล่นทำไม..

     

    สายลมหนาวพัดผ่านวูบใหญ่ ก่อให้ต้นไม้สั่นไหวและเสียดสีกันจนเกิดเสียง เธอที่ยังมองดูอยู่จินตนาการไปว่าเป็นคนที่กำลังหันมามอง ..เพียงเท่านั้น เท้าสองข้างก็ก้าวหนีจากทัศนวิสัยนั่นทันที..

     

    “อ่าว? เป็นอะไรป่ะ? หนาว?”

     

    สาวลุกครึ่งส่ายหน้ากลับมารัวๆ  “…ขอ..เวลาแปบ”  แม้จะกลัวแต่ความรู้สึกคาใจก็ปล่อยไปไม่ได้ เธอกลับหลังหันแล้วจ้ำเดินไปที่เงาต้นไม้

     

    “หะ..อ่า...เอ้อ..(-___-?)” 

     

    [*Warning* เนื้อหาหลังจากนี้ จะเกี่ยวข้องกับการดำเนินเรื่องโดยหลักๆจากอีเว้นทั้งหมด ไม่มีคำพูดแต่อย่างใด ใครขี้เกียจอ่านเลื่อนยาวๆถึงข้างล่างเลยค่ะ (U__U]

    ----------------------

    พยายามก้าวเท้ายาวๆเดินเข้าไปดู พอถึงตรงจุดที่คิดว่าเห็นคนก็ชะเง้อมองรอบๆ แต่ไม่เห็นมีใครนอกจากต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ และแทนที่เธอจะเข้าใจว่าเงาคนที่เห็นเป็นสิ่งที่คิดไปเอง เธอกลับต่อเป็นเรื่องเป้นราวว่าคนนั้นได้หายไปแล้ว ยิ่งเพิ่มความกลัวให้ตัวเองเข้าไปอีก

     

    อีกคนที่ตอนแรกยังงงกับการกระทำของเธอ.. พอมองๆตามไปซักพักก็เริ่มเข้าใจ และพอเข้าใจ เขาก็...ขำ แต่ยังมีมารยาทไว้หน้าอีกคนเลยไม่ได้ขำเปล่งเสียงดังแต่กลั้นไว้แทน

     

    คนที่ยังไม่รู้ตัวยังเดินวนมองต้นไม้นั่น ทีนี้ตัดสินใจอ้อมไปข้างหลัง แล้วจู่ๆก็หลุดร้องว๊ากเสียงดังลั่น

     

    คนขำสะดุ้งเสียงร้องรีบหันมาดูว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นรึเปล่า แต่พอเห็นอีกคน..ตอนแรกที่ว่าจะเป็นห่วง กลับกลายเป็น ขำยิ่งกว่าเดิมซะอีก

     

    นัยน์เนตรน้ำฟ้าสดใสสบกับนัยน์ตาสีแดงสว่าง...คนหนึ่ง และแมวอีกคน กำลังเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่...โทโมฮารุรู้สึกเหมือนขยับตัวไปไหนไม่ได้ทั้งๆนี้อยากจะละลสายตาจากสีแดงวคู่นั้นแทบตาย ...ไม่ใช่ว่านั่นเป็นแมวพิเศษหรืออย่างไร แต่เพราะตัวเธอเองที่กลัวจนแข็งทื่อไปซะอย่างนั้น

     

              เธอเล่นจ้องตากับน้องแมวอยู่ซักพักใหญ่ก่อนจะรู้ตัวแล้วรีบถอยกรูกลับไปทางเดิม และมาตั้งเป้าหมายว่าจะส่งอาวุธมีคมคืนตำรวจก่อน..

     

              แล้วก็เหมือนวนลูปอีกครั้ง เมื่อเธอกับเขาเดินไปถึง ทางแยก...และไม่มีเวลาไหนที่จะไม่เกี่ยงกันตัดสินใจ

     

              เธอเลือกขวา..สัญชาตญาณผู้หญิงบอกแบบนั้น!

     

              แต่เขาขัด..เขาไม่ใช่ผู้หญิง ไม่เข้าใจสัญชาตญาณที่ว่านั่น..เขาเสนอให้ไปอีกทาง หรือก็คือทางด้านซ้าย..

     

              และพอได้ยินแบบนั้นเธอก็รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ในทางซ้ายต้นไม้กำลังสั่นไหว ข้างในมีแมว..มีแมวสีดำตาสีแดงน่ากลัวอยู่ ซึ่งเธอไม่ชอบเอาซะเลย

     

              สุดท้าย ทั้งสองคนก็เดินต่อไปทางขวา สองข้างทางที่เต็มไปด้วยความมืดทำให้ฝ่ายหญิงสาวเสียวสันหลังอยู่เป็นระยะๆ แต่ทางฝ่ายชายหนุ่มดูจะรำคาญเพราะทำให้การมองเห็นแย่ลงเสียมากกว่า เขาเดินไปแบบลำบากลำบนซักพักก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังมีอุปกรณ์สื่อสารอยู่ คิดได้ดังนั้นมือใหญ่ก็ล้วงอุปกรณ์อิเล้กทรอนิกส์นาม PDA ขึ้นมาส่องทางเดินแทนไฟฉาย และเหมือนหัวสมองที่โอ้อวดว่าเป้นอัจฉริยะจะเพิ่งนึกได้อีกว่าในเจ้าเครื่องตัวน้อยนี่ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าแผนที่ดาวเทียม...

     

              ประหนึ่งหนังสยองขวัญ อุปกรณ์สุดไฮเทคที่ทำได้สารพัดนึกกลับไร้ซึ่งสัญญาณ..น่าขันอย่างที่สุด ในเมืองที่หรูหราใหญ่โตอลังการอย่างชิซุเมะไม่น่าจะมีตารางเมตรใดไร้สัญญาณไร้การเข้าถึงของความทันสมัยแล้วแท้ๆ

     

              ยิ่งน่าตลกเข้าไปใหญ่เมื่อทั้งสองคิดว่าที่ไม่มีสัญญาณเพราะเขาได้หลุดพ้นจากเขตเมืองใหญ่ไปแล้ว..ทั้งๆที่พัดตามน้ำมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ด้วยสถานการณ์ขับขันคงเป็นสาเหตุให้พวกเขาลืมสิ่งง่ายๆพวกนี้ไป

     

              เมื่อเดินไปอย่างไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรมาก ทางที่ปูไปด้วยสีขาวหม่นของกองหิมะที่ทับถมมาตลอดแรมเดือน และคงเป็นเรื่องปกติที่จะมีกองหิมะที่สูงหรือต่ำต่างระดับกันไป

     

              รองเท้าส้นสูงของคนตัวเล็กดันไปสะดุดกับกองหิมะกองนึงที่อยู่สูงกว่ารอบๆอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าเธอต้องไปโทษว่าเป็นความผิดของสิ่งที่ไร้ชีวิตที่ทำให้เธอสะดุด ความฉุนนี่ทำให้คนเราพาลได้กับทุกอย่างจริงๆ กระทั่งใช้แรงสิ้นเปลืองด้วยการเตะแก้แค้นของที่น่าโกรธสุดๆอย่าง หิมะ?

     

              เรื่องแปลกประหลาดวิ่งเขามาหาอีกครั้ง เมื่อการเตะมั่วซั่วของเธอทำให้พบกับสิ่งของบางอย่างใต้กองหิมะ  อาจจะเพราะเธอชอบแมว หรือเพราะแมวเป็นสิ่งมีชิวิตที่คิดจะครองโลกน่ารักเกินไป เธอเลยหลอนว่าของใต้นั้นจะเป็นร่างน้อยๆของแมวซักตัว หรือาจจะเป็นแมวดำที่เจอก่อนหน้า

     

              ...แล้วมือซนๆนั่นก็ลงมือขุด...

     

              เพียรขุดไปซักพักสิ่แปลกประหลาดอีกคราที่ได้รับ ..กลับเป็น กริช อาวุธมีคมที่ในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้กันเท่าใดนัก ประวัติของมันยาวนาน เหมือนความสวยงามที่มาพร้อมกับความอันตราย และอีกสิ่งที่เธอได้รับมาพร้อมๆอาวุธชิ้นที่สองนั่น คือรอยแผล...ด้วยการออกแรงมากเกินไปทำให้ปลายด้านคมบาดเข้าที่นิ้วของเธอ

     

              ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง...เหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจไม่บอกเรื่องบาดแผลที่นิ้วมือ แม้เลือดสีแดงสดจะหลั่งรินเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดก็ตาม

     

              แล้วไซคิก็ฉุดคิดขึ้นได้ว่ากริชที่ไม่มอะไรห่อเลยแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เลยส่งกระดาษให้อีกคนเอาไปห่อกันคมเอาไว้ แต่ด้วยที่มือข้างนึงที่ซุกเอาไว้ไม่อยากให้เห็นแผลก็ไม่ว่าง อีกข้างที่ถือรกชิก็ไม่ว่าง เธอจึงฝืนใช้มือเดียวรับของจนกริชที่ถืออยู่ตก

     

              การตกครั้งนึงที่ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทำให้อีกคนเริ่มสงสัย เขาจึงขอมือเธอมาดู แต่เจ้าของมือก็ยังยื้อไว้และยืนยันซ้ำไปซ้ำมาว่าไม่เป็นไรอะไร แต่อีกฝ่ายก็ดื้อดึงพอกัน เขาเค้นขอเต็มที่แม้ว่าอีกคนจะปฏิเสธแค่ไหน และสุดท้ายเธอจึงยอมยกมือออกจากกระเป๋าเสื้อให้ดู..

     

              มองเพียงแว่บเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากอะไร เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมาพอดีห่อนิ้วซับเลือดไว้ แล้วรีบเดินทางกลับเข้าเมืองต่อด้วยสปีดที่เร่งขึ้น

     

              ด้วยความรีบและความมืด ทั้งคู่ไม่ทันได้มองว่าทางข้างหน้าเป็นทางแยก..ด้วยความที่เดินเลนซ้ายของถนนอยู่ ทำให้เผลอเลี้ยวซ้ายตามทางไปโดยปริยาย

     

              ทั้งสองก้าวรีบๆไปเพียงไม่นาน อะไรบางอย่างก็เคลื่อนผ่านตัดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนมองเห้นเพียงแต่ว่าเป็นสายเงาสีดำๆที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

     

              พอไปแหวกพุ่มไม้ที่ปลายทางของเงาสายดำนั่น บางสิ่งก็กระโจนออกมา ผ่านหน้าชายหนุ่มไปจนเกิดรอยจางๆบนใบหน้า พุ่งเข้าสู่อีกคนจนหงายหลังล้มตึงไป

     

              เมื่อได้สติ สาวลูกครึ่งลืมตามองสิ่งที่อยู่บนตัว เล่นเอาเสียงร้องว๊ากดังขึ้นอีกรอบแล้วเธอก็รีบลุกพรวดขึ้นอย่างเร็วจนสิ่งที่เคยอยู่บนตัวกระเด็นลงไป

     

              สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาทั้งสองคือ ....แมว... สิ่งมีชีวิตตัวเล็กขนสีดำสนิท นัยน์ตาสีแดงวาบ..ดูจากลักษณะแล้วช่างคล้ายกับแมวตัวก่อนหน้าที่ได้พบมาก

     

              แมวน้อยก้าวสี่ขาร้องเมี้ยวเมี้ยวเข้ามาใกล้หญิงสาวที่ตกเป็นเป้าหมาย อุ้งเท้าแมวเล้กๆเดินวนไปวนมารอบตัวอีกคน เหมือนพยายามคลอเคลีย

     

              และนั่นก็เพียงพอทำให้เธอที่พยายามใจแข็งไม่สนใจใจอ่อนยวบลงมาทีละนิดทีละน้อย

     

              น้องแมวหนึ่งและคนหนึ่งกำลังพยายามสื่อสารกัน? ไม่อาจรู้ได้ว่าเธอเข้าใจมันจริงๆหรือเป้นแค่การเดาสุ่มๆไปแบบนั้น เธอลองขอให้เจ้าตัวเล็กนำทางกลับเข้าเมือง แถมยังแปลออกมาได้มาได้ว่าเสียงร้องเมี้ยวขานรับของมันคือการตกลง

     

              สิ่งที่แย่ที่สุดคือ ทั้งสอง เดินตามทางที่แมวนำไป....

     

              แมวตัวน้อยเดินลัดเลาะเข้าพุ่มไม้ดงป่าไป ทั้งสองมนุษย์ที่ตามมาก็ต้องพยาสยามแหวะต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางทางอย่างไม่สบายนัก การต้องเปลี่ยนความสนใจไปให้ความสำคัญกับการแหวกทางเดิน ทำให้ทั้งสองเผลอละสายตาจากแมว และแมวที่เดินนำมา ...ก็หายไป

     

              หลังจากนี้ไม่มีอะไรนำทางให้แล้ว..ทั้งสองคนจึงก้าวเดินต่อด้วยตัวเอง แต่เท้าเจ้าปัญหาคู่เดิมของบุคคลเดิม ดันไปติดเข้ากับหลุมเล็ก เธอพยายามสะบัดเหวี่ยงขาเต็มที่กะให้ดินสะเทือนแล้วเท้าหลุดผลุบออกมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่อยากหลุดง่ายๆ นั่นยิ่งทำให้อีกคนฟิวส์ขาดสะบัดขาอย่างแรงที แล้วเท้าก็เป็นอิสระอย่างเกือบปลอดภัย ถ้าไม่ติดว่ามันดันดีดอะไรขึ้นมาะแปะหน้าเธอด้วย

     

              สิ่งแปลกประหลาดข้อถัดมา..

     

              เสื้อ..เสื้อที่ดีไซน์มาอย่างธรรมดาเรียบง่าย ไม่ได้เก่ากึกโบราณ แต่ก็ไม่ได้หรูหราชวิ้งชวับอะไร มองทางไหนก็ดูปกติเหลือเกิน ยกเว้นสิ่งเดียวที่ดึงความสนใจของทั้งสองอย่างน่ากลัว

     

              เลือด..

     

              คลาบสีแดงหม่นที่คาดว่าคงจะแห้งกรังเพราะความหนาวเย็นจากสภาพอากาศเปรอะเปื้อนไปทั่วตัวเส้นผ้า จนแทบจะดูไม่ออกว่าสีเดิมของเสื้อนี้เป็นสีอะไร

     

              ไม่ใช่สิ่งที่ควรเก็บ และไม่ใช่สิ่งที่ควรยุ่งด้วย..ตัดสินใจโยนเสื้อที่ว่าเก็บกลับหลุมให้มันอยู่ที่เดิม เผื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้เจ้าของเสื้ออาจจะอยากได้มันกลับคืน..

     

              แล้วทั้งสองก็ก้าวต่อ..

     

              เดินโดยไม่มีคำว่าเอื่อยและช้าอย่างที่ผ่านๆมา คนเดินนำตัดสินใจว่าจะไม่แวะ ไม่ดู ไม่สนใจอะไรก็แล้วแต่ที่โผล่ตามข้างทางอีก เพื่อให้ออกไปจากสถานที่แปลกประหลาดและมีกลิ่นอายของความอันตรายนี้ให้เร็วที่สุด

     

              พระเจ้ากลั่นแกล้ง..สิ่งที่โผล่ต่อหน้าทั้งคู่ไม่ได้มาจากข้างทาง ไม่ได้วิ่งผ่าน ไม่ได้เสียงนำมา ไม่ได้สั่นไหว แต่มาต่อหน้า ข้างหน้าทางนี้..

     

              เงาสีดำที่เพ่งมองแล้วคาดว่าเป็นคนกำลังเคลื่อนไหวช้าๆอยู่ เขาปล่อยมือให้เธอรออยู่ด้านหลังแล้วเดินเข้าไปคุยกับชายตรงหน้าเพียงลำพัง

     

              ผู้ชายหน้าตัวมอมแมมเหมือนคนเร่รอน กำลังยืนเซๆอยู่ต่อหน้า เสื้อผ้าบางๆสวมใส่สบายแต่ไม่กันหนาวนั่นชวนให้อีกคนแปลกใจ แต่เขาก็ยังพยายามพูดคุยกับบุคคลตรงหน้า พยายามถามทาง และถามทุกอย่างที่สามารถช่วยพวกเขาได้

     

              ป่วยการณ์..ชายผู้นั้นแทบไม่ตอบคำถามแม้แต่คำถามเดียว กลับส่งเสียงอู้ๆอี้ๆฟังไม่เป็นภาษากลับมาบ้างเป็นครั้งคราว

     

              เขาถอนใจอย่างหมดหวังแล้วถอดผ้าพันคอของตัวเองที่ยังคงมีน้ำเกาะบางๆให้ด้วยความสงสารและใจดี? แล้วก็เดินกลับมาหาเธอที่ยืนลุ้นสงสัยอยู่นานสองนาน

     

              ทีนี้คนที่สวมใส่ชุดสบายไร้การกันหนาวกลับเป็นเขาเอง..เสื้อแขนยาวสีเข้มตัวเดียวกับกางเกงขายาว เพียงเท่านั้น..เสื้อนอกที่ใส่มาแต่แรกอยู่บนตัวอีกคนที่มาด้วยกัน ส่วนผ้าพันคอก็อยู่กับชายอีกคน..ซึ่งหายวับไปแล้วอย่างเป็นปริศนา

     

              ด้วยความสงสาร? เธอิเลยจะคืนเสื้อนอกให้กับเขา แต่แน่นอนว่าในเมื่อให้ไปแล้วเขาไม่รับคืนง่ายๆแบบนี้หรอก เธอจึงเปลี่ยนไปถอดผ้าพันคอให้อีกคนแทน ครานี้ถมการพันให้ไปด้วยพร้อมกระชับว่าห้ามถอด นั่นแหละ เขาถึงยอม

     

              เท้าสองคู่ก้าวตามทางต่อ...

     

              ....

     

              เรื่องประหลาดข้อถัดมา...อะไรอยู่ที่เส้นทางข้างหน้าทั้งสอง?

     

              รอยยาวสีแดงหม่น ส่งกลิ่นคาวของสนิมเหล็ก

     

              รอย...เลือด

     

              รอยสิ่งไม่พึงประสงค์โดนลากยาวเป็นทางตั้งแต่จุดข้างหน้าทั้งสองยาวไปจนสุดสายตาที่เงามืดที่มองไม่เห็นภายหน้า

     

              ทางข้างหน้าไม่น่าหวั่นเกรง กับหนทางเบื้องหลังที่ไร้ทางออก..

     

     

     

              ทั้งสองตัดสินใจก้าวหาสิ่งที่ท้าทายและน่าหวาดกลัว

     

     

     

              ตามรอยยาวของเลือด จากรอยสีแดงไม่บางไม่กว้างนัก เริ่มขยายขอบเขตขึ้นเรื่อยๆ และที่สุดจุดที่ดวงตาจะมองเห็นในความมืด สายโลหิตทั้งหมดก็ประจบกันตรงนั้น

     

     

     

              อีกครั้งที่เขาตัดสินใจทิ้งอีกคนไว้ที่ตรงนั้นแล้วก้าวเข้าไปดูคนเดียว  สิ่งที่ปรากฎแก่นัยน์ตาสีทอง คือภาพของชายหญิง..ที่เคยมีชิวิต

     

     

     

              เพื่อความแน่ใจและเพื่อปลอบใจตัวเอง เขาเข้าไปคลำหาตรวจเชคชีพจรของบุคคลทั้งสอง..

     

     

     

              แต่สิ่งที่รับรู้ได้หลังจากนั้น

     

     

     

              ยิ่งทำให้เรื่องราวทั้งหมดเลวร้ายลงไป

     

     

    “……………ก…เกิดอะไรขึ้น...”  น้ำเสียงหวานสั่นเล็กน้อย มือเล็กยกขึ้นปิดปากด้วยความกลัวที่เริ่มครอบงำ

     

    “..รีบออกไปจากที่นี่...” หลังจากสำรวจมองรอยแผลที่เกิดขึ้นกับทั้งสอง ทำให้รู้ได้อย่างวชัดเจนว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ เป็นการจงใจทำอย่างโหดร้าย ขายาวก้าวฉับๆกลับมาหาอีกคนแล้วจับมืออีกคนหมับเพื่อนรีบลากออกไปให้ห่างจากสถานที่อันตรายนี้

     

    “ห---”  ฝ่ายคนที่โดนดึงไปซะเฉยๆยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่ออีกคนก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป และพอจะออกก้าวเดินกลับไปชนอะไรบางอย่างที่ขวางทางอยู่

     

    “ชริ...” ด้วยสถานการณ์อันตราย ไม่ว่าจะเป็นอะไรร่างกายและสัญชาตญาณก็สั่งให้ถอยห่างออกมาโดยทันที  “ ....อะไร?...”  คิ้วสีเข้มขมวดมองใครบางคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

     

    ชายร่างใหญ่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดบางท่าทางน่าสงสัยคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป้นบุคคลที่พบก่อนหน้า  แม้จะเคยพบปะแล้วครั้งนึง แต่บรรยากาศรอบตัวกลับชวนให้หนีห่างสุดๆ เพื่อนสาวบีบมือที่จับไว้แน่นด้วยความกังวล เห็นอย่างนั้นไซคิจึงดึงตัวเพื่อนไว้ข้างหลังตัวเอง แล้วยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย

     

    “ ....นาย?...มีอะไร...” ชายตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมองสำรวจทั้งคู่อย่างคร่าวๆ แล้วจู่ๆก็ดีดตัวพุ่งเข้าหาทั้งสองอย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    “เฮ้ยย!” ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ร่างกายก็ตอบสนองผลักคนที่มาด้วยกันให้หลบออกไปแบบฉิวเฉียด “...นี่มันบ้าอะไรฟะ...”  สบถออกมากับสถานการณ์ตรงหน้าที่ใกล้เคียงคำว่า ย่ำแย่

     

    “นี่มัน..คนเมื่อตอนนั้น”  เสยงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นถูกเอ่ยออกจากปากของหญิงสาวเพียงคนเดียว ณ ที่นี้ เธอพยายามคุมสติตัวเองเพื่อใช้พลัง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล แม้จะตั้งสมาธิแค่ไหนก็สูญเปล่า

     

    “อย่าบอกนะว่านั่นนายก็ทำ?”  ดวงตาเรียวเหลือบไปทางร่างชายหญิงที่แน่นิ่งบนพื้นถนน ฉับพลันร่างสูงใหญ่ก็ทะยานเข้ามาอีกครั้งโดยไร้ซึ่งคำตอบ  “เฮ้ย!”  ไซคิเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งอย่างฉิวเฉียด วินาทีนั้นก็รู้ได้แล้วว่าบุคคลตรงหน้าไม่อยู่ในขอบข่ายที่สามารถสนทนากันได้อีกแล้ว

     

    “จิ๊ มาเป็นอะไรเอาตอนนี้เนี่ย”  ด้านตรงข้ามสเตรนสาวกำลังยืนกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูกเมื่อพลังที่เคยเรียกใช้มาได้แทบตลอดเวลากลับไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์

     

    “..อะไรเนี่ย..”  แคลนแมนสีเงินก็พยายามใช้พลังเช่นกัน แต่ทุกๆอย่าง ทุกพลังก็กลายเป็นศูนย์

     

    “หึ..”  ชายคนเดิมแสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึง เท้าใหญ่ก้าวออกเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างไซคิ แต่ไม่ทันที่จะให้ใครได้สงสัย ร่างกำยำนั่นก็เปลี่ยนเป้าหมายไปพุ่งใส่ผู้หยิงที่ดูจะจัดการง่ายกว่าทันที

     

    “ฮ—เฮ้ย” 

     

    “เฮ้ยย โทโมะ! หลบ! ...ช...ชิท...”  แม้อีกคนจะหลบได้ แต่เขาต้องทำอะไรซักอย่าง อะไรซักอย่างที่สามารถทำให้ทั้งคู่กลับไปได้อย่างปลอดภัย แม้ตอนนี้ในหัวจะใกล้เคียงคำว่าแบลงค์ก็ตามที

     

    “ชิ บ้าเอ๊ย”  ไม่มีเวลาให้สมองได้คิดซับซ้อน เพราะขานั้นได้วิ่งหลบไปก่อนที่จะทำอะไรซะอีก

     

    “ชิ..”  ต่างคนต่างสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ช่วงขายาวก็วิ่งตามไปติด อะไรที่ใกล้ๆมือสามารถคว้าได้ก็คว้าโยนแบบกระหน่ำเต็มที่แม้จะไม่ได้ผลอะไรนัก

     

    ระหว่างที่วิ่งสเตรนสาวก็คลำไปที่กระเป๋าเสื้อพบกับกริชเล่มหนึ่งซึ่งเก้บได้ก่อนหน้านี้ ชั่งใจคิดอยู่เพียงแว่บเดียวก็ตัดสินใจหยุดแล้วหยิบขึ้นมาขว้างออกไปที่ชายอันตรายผู้นั้น และคงเป็นการโจมตีที่เห็นได้ชัดเจนเกินไป..ผู้ร้ายหลบได้อย่างไม่ยากเย็น แถมกริชที่พุ่งไปต่อนั้นก็เกือบไปโดนอีกคนที่วิ่งตามมาอีกทอดอีกต่างหาก แม้การโจมตีง่ายๆนั้นจะหวืดไปแต่ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะงักการเคลื่อนไหวไปได้ครู่ เป็นจังหวะให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังได้กระโจนใส่เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวนั้น แต่ระหว่างนักวิจัยกับผู้ร้ายอันตรายใครมีเรี่ยวแรงที่มากกว่าก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไซคิโดนสะบัดออกจนร่างกระเด็นออกไปราวเมตร

     

    “ไซคิ!!”

     

    “เว้ยย แอ้ก”  ร่างสูงไถลออกไปด้วยแรงมหาศาล ผิวภายใต้เสื้อตัวไม่หนาไม่บางครูดกับพื้นถนนจนเลือดซิบเป็นวงกว้างก่อนจะหยุดลงด้วยความเจ็บจี๊ดจากการกระแทกต้นไม้อย่างแรง “อย่าเพิ่งเข้ามา! ถอย!!”

     

    เหมือนชะตากรรมจะเข้าข้างผู้ร้าย ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้คนที่พิงต้นไม้อยู่ หมัดขนาดใหญ่ง้างขึ้นจุดหมายอยู่ที่กลางหัวสีแปลกประหลาด

     

    “หยุดดดดดดดนะเห้ยยยยยยยยยยย”  อีกคนที่ยืนมองอยู่รีบถีบตตัวเองพุ่งเข้าไปรัดคอร่างยักษ์เพื่อหยุดไว้

     

    “จับไว้แปปนะ!”  โอกาสที่ถูกหยิบยื่นอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้ามีดลายสวยจากในเสื้อสวนแหวกอากาศแทงเข้าไปที่ท้อง แต่ชายคนนั้นดันดีดตัวหลบได้ก่อนที่คมมีดจะถึงตัว ด้วยแรงอารมณ์ชายแปลกหน้ากระชากหญิงสาวที่รัดคอทางด้านหลังลงมาแล้วจับทุ่มลงพื้นเกิดเสียงดัง

     

    ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า ชายหนุ่มอีกคนลุกพรวกแล้วพุ่งเข้าชนคนร้ายจนล้มตึงลงพื้นไปทั้งคู่ แล้วในเวลาติดๆกัน ไซคิเงื้อมีดในมือหมายจะปักลงไปยังบุคคลอันตรายใต้ร่าง แต่ความไวอันน่ากลัวของอีกฝ่ายที่โต้โดยการถีบกลางลำตัวอีกคนอย่างแรงจนกระเด็นไปทับหญิงสาวอีกคนที่ยังไม่หายมึนจากจากโจมตีคราแรก

     

    “โอย... ท..โทษที” ไซคิรีบขยับตัวเองให้ออกมาจากร่างของเพื่อนสาวที่ช้ำรอบตัวเป้นจ้ำๆ  “นี่มันอะไรกันฟระ...เธอยังอยู่ดีมั้ย”

     

    “เจ็บ…….”  เสียงสูงกว่าบ่นอุบออกมา  ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าใสจะเหลือบไปเห็นฝั่งตรงข้ามที่ตั้งตัวลุกขึ้นได้แล้ว แถมในมือหยาบนั่นยังกำลังก้มเก็บกริชที่ตกพื้นขึ้นมา แสดงสัญญาณอันตรายมากขึ้นไปอีก “ง…งานเข้าแล้วไง........”

     

    “ ......ฉันยังไม่ได้ไปทำเวรทำกรรมกับใครเลยนะเฮ้ย  เอาไงดีล่ะทีนี้...(-__-;;”

     

    อาจจะไม่ใช่เวลาแต่เพื่อนย่อมเป็นห่วงเพื่อนธรรมดา เพื่อนสาวหันไปถามอีกคนอย่างร้อนรน “นายเจ็บมากมั้ย มันทำอะไร โดนแทงรึเปล่า” 

     

    “ใจเย็น ..แอมฟาย...ฉันสบายดี ไม่ถึงกับตัวหัก แค่ช้ำในหน่อยๆ...แล้วเธอ?”  คำตอบที่ได้รับกลับมาช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อย...เพียงนิดเดียวเท่านั้น

     

    “อ่า…ไม่..ไม่เป็นไร ช่างเถอะ”

     

    “เอายังไงดี...วิ่งมั้ย?..ไหวรึเปล่า?...”

     

    “ น่าจะ..พอได้”  ร่างบางยันตัวลุกขึ้นแม้การทรงตัวอาจจะไม่ดีเท่ากับก่อนหน้าแต่ก็ยังฝืนพยายามให้เป้นปกติที่สุด  

     

    “งั้น.......พอนับถึงสามเตะหิมะแรงๆไปทางมันแล้ววิ่งนะ..โอเค้?”   อีกฝ่ายกำลังย่างก้าวเข้ามาชวนใจสั่นอย่างกบัในหนังเอาชีวิตรอด..แต่นี่คือเรื่องจริง หาใช่การแสดงไม่ เจ็บจริง และแน่นอนว่า..ถ้าตาย ก็ตายจริง

     

    “อื้อๆๆ”

     

    “โอเค...”  ดวงตาสีทองคอยมองไม่วางตาระหว่างฝ่ายตรงข้ามและระยะทาง หัวสมองที่เริ่มแล่นแล้วคอยคำนวณระยะทางและแรงอย่างคร่าวๆ…  “..หนึ่ง สอง..สาม!!”  จบครั้งที่สามทั้งสองใส่แรงไปเต็มที่เตะหิมะที่กองเรี่ยราดอยู่กับพื้นให้ลอยฟุ้งกระจาย บดบังทัศนวิสัย และระหว่างที่อีกฝ่ายเสียการมงเห็นชั่วครู่ ทั้งสองก็รีบกลับหลังหัน  วิ่งเข้าไปในป่าทึบ

     

    “ถ้าให้เดา มันต้องตามมา..แน่ๆ… ตะกี้..เก็บเชือกได้..ไว้หาทางข้างหน้าแล้วใช้ผูกต้นไม้ดัก..เอาให้มันล้ม แล้วซัด นา?”  แผนการง่ายๆถูกถ่ายทอดมาอย่างรวดเร็ว..

     

    “อื้ออ อื้อ เข้าใจแล้ว”  อีกคนตอบรับรัวๆ และเมื่อวิ่งไปได้ซักพักทั้งคู่ก็หยุดข้างต้นไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรง ไซคิส่งปลายเชือกข้างหนึ่งให้โทโมฮารุ ส่วนตัวเองก็จับปลายอีกข้างแล้ววิ่งไปยังต้นไม้ต้นตรงข้าม พันเกี่ยวมัดเชือกเป็นผมที่คิดว่าแน่นและเร็วที่สุดเท่าที่ตอนนั้นจะทำได้

     

     

    “จับไว้แน่ๆ ไม่ต้องสูงมาก”

     

    คนจับปลายเชือกอีกฝั่งทำตามที่บอกอย่างเป๊ะๆ ใบหน้าหวานกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา สายตาพยายามทำให้มุมองกว้างไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อคอยมองถึงศัตรูที่คงตามมาอีกไม่ไกล

     

    ทั้งสองซุ่มหลังต้นไม้ใหญ่เพียงอึดใจ เป้าหมายก็ก้าวมาอย่างรวมดเร็วและรุนแรง ด้วยความหงุดหงิดสายตาคู่นั้นไม่ทันเห็นเชือกที่ถูกขึงอยู่เบื้องล่าง ขาคู่ใหญ่สะดุดเส้นเชือกล้มตึงไปกับพื้น 

     

    เป็นไปตามแผนที่อีกคนคาดไว้ เจ้าของความคิดโผล่พรวดออกมาจากหลังต้นไม้ ใช้น้ำหนักตัวของผู้ชายกดทับศัตรูไว้ มือใหญ่คว้าข้อมือฝ่ายตรงข้ามแล้วจับบิดให้กริชในมือหลุดออก มืออีกข้างคว้ากริชนั้นรีบโยนสไลด์ไปทางฝ่ายหญิงสาว  “โทโมะ! หยิบ!!” 

     

    ร่างเล็กรีบพุ่งออกมาจากหลังต้นไม้คว้ากริชขึ้นมาตามที่บอกอย่างรวดเร็ว เห็นดังนั้นชายหนุ่มที่กำลังเสียเปรียบก็สบถออกมาอย่างรุนแรง หายใจเข้าเสียงดังเรียกพละกำลัง พลิกตัวสะบัดคนข้างบนให้หลุด แล้วปล่อยหมัดเสยคางคนเสียจังหวะเต็มแรง

     

    “อึ้กกก!”  ไซคิร้องเสียงหลง แต่คนอย่างเขาต้องไม่เสียท่าเปล่า มือที่ถือคมมีดไว้ฉวยจังหวะที่อยู่ในระยะใกล้กัน ปักไปที่ขาของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วดึงออกพรวดเป็นผลให้คนร้ายร้องเสียงดังลั่นป่า และในเสี้ยววิถัดมาเลือดสีแดงสดก็รินไหลออกมาจากบาดแผลเป็นจำนวนมาก

     

    ด้วยความเจ็บทรมาน ขาแกร่งนั่นสะบัดถีบโดนตัวชายหนุ่มจนไถลหวืดออกไปกระแทกกับลำต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ  “อั้กก!”  เลือดสีเดียวกันไหลรินจากมุมปากเล็กน้อย จากการที่โดนกระแทกหลายต่อหลายครั้ง

     

    “ไซคิ!!!!!”  ริมฝีปากบางตะโกนเรียกชื่ออีกคนเสียงดัง การกระทำไว้กว่าความคิด หญิงสาวออกวิ่งไปหาอีกคน แต่ดันโดนคนร้ายขัดขาซะก่อนจนล้มลงไปกองที่พื้น

     

    เห็นดังนั้นเจ้าตัวก็จะเข้าไปช่วย แต่เพียงแค่ลุกขึ้นมา ร่างกายก็เซ ภายในร่างเจ็บแปลบอย่างที่เขารู้เลยว่าอวัยวะภายในรับภาระหนักกว่าที่เคยไปแล้ว “บ้าเอ๊ยยย! โทโมะ!! มีด!! ป้องกันตัวไว้!”

     

    มือบางกระชับกริชที่อยู่ในฝ่ามือเล็งเข้าหาฝ่ายที่ควรต่อสู้แล้วพุ่งเข้าใส่  ด้วยการเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามที่ช้าลงทำให้หลบคมกริชไม่ทันถากเขื้ที่สีข้างจนเลือดสีแดงย้อมตัวเขาเข้าไปอีก แต่แม้ทั้งๆที่บาดเจ็บมากมายขนาดนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมแพ้ จับคว้าแขนแบบบางหมายจะจับบิดให้กระดูกร้าวหรือเคลื่อนไปซะ

     

    อีกด้านที่ตั้งตัวลุกขึ้นได้แล้ว ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้ามายกเท้าถีบไปเต็มแรงที่หลังอีกฝ่าย “อย่ามาเมินกันนะเฮ้ย!!”

     

    “เป็นอะไรมั้ย?”  ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและเจ็บ ด้านคนร้ายเหมือนจะเลิดความคิดที่พุ่งเข้าใส่ชั่วขณะ และแน่นอนว่าทางสองคนด้านนี้ก็ไม่คิดจะพุ่งเข้าใส่เช่นเดียวกัน

     

    “ม..ไม่…ไม่เป็นไร...”

     

    “ยังไหวมั้ย?...แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

     

    “โอเค..ฉันโอเค”  หญิงสาวหอบจนตัวโยน ดวงตาที่เคยเปล่งประกายแสดงออกอย่างเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน  “ ไซคิ…เลือด..เลือดมัน.....”

     

    “ฮะ? อะไร?”

     

    “บ้าชะมัด...เลือดออกเยอะไปแล้ว..”

     

    “ก็นะ...นานๆทีก็ถ่ายเลือดออกมั่งอ่ะนะ.. แต่ก็ไม่ได้อยากเลือดหมดตัวหรอก..”

     

    “นี่มันเรื่องบ้าอะไร..”

     

    “บางทีอาจจะติดยา... ...คงไม่ได้ติดยาจริงๆหรอกมั้ง...”  คนที่เป็นประเด็นสนทนาเริ่มตั้งตัวได้อีกครั้ง

     

    “…ถึงกับฆ่าคน...เลยเหรอ...” แม้จะพยายามควมคุมตัวเองเต็มที่แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่เสียงที่เปล่งออกมานั้นจะไม่สั่น ละยิ่งทำให้ตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อฝ่ายตรงข้ามที่ควสรจะหยุดได้แล้วกลับพุ่งเข้ามาด้วยแรงและอารมณ์โกรธมหาศาล

    “เวรเอ้ยย!”  ไซคิรีบลุกพรวดแล้วออกตัวลากอีกคนวิ่งเข้าไปในป่าที่รกทึบและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

     

    แต่อีกฝ่ายก็ไม่ลดละ วิ่งตามอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนว่าตัวเองจะกระแทก ต้นไม้ หิน กิ่งไม้ หรือจะมีอะไรขวางทมางก็ตาม

     

    “..ไม่รู้สึกเจ็บรึไงวะ..ชิท.. แทงอีกซักรอบดีมั้ยยย”  ด้วยความที่ตัวเบาและเล็กกว่า ทั้งสองวิ่งออกมารักษาระยะห่างได้พอสมควร จึงมองหาที่ซ่อนเพื่อพักก่อน

     

    “เหนื่อย..เป็นบ้า..”

     

    “อึก…”  เป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะในตอนนี้แค่จะทำให้การเข้าออกของลมหายใจตัวเองเป็นปกติทั้งคู่ยังไม่สามารถเลย

     

    “ระวัง...ช็อค...”

     

    เสียงลมหวีดหวิวและเสียงต้นไม้รอบข้างที่กระทบกันด้วยแรงลมกลบเสียงหอบหายใจหนักๆของทั้งคู่จนมิด ฝ่ายไซคิพยายามเค้นสมองที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาหาแผนการที่เหมาะสมและดีที่สุด

     

    “........กริช...กริชเธอ...ยังอยู่มั้ย?”

     

    “..อยู่......นี่”  มือบางที่สั่นอย่างชัดเจนยกชูขึ้นให้ดู

     

    “โอเค...งั้น...เอามาให้ฉัน....”

     

    “......จะทำอะไร..” แม้ยังไม่เข้าใจแต่เจ้าตัวก็ส่งกริชให้

     

    “....เอาน่ะ..... ถ้าจะวิ่งต่อ.. เธอจะไหวป้ะ?....”

     

    “อือ..ไหวๆ...”

     

    “งั้นเธอวิ่งไปข้างหน้านี้ต่อเลย...โอเคนะ...หาทางทะลุไปถนนได้ยิ่งดี”

     

    “หะ......เดี๋ยว หมายความว่าไง แล้วนาย...? ..คงไม่ได้คิดจะทำอะไรเสี่ยงๆหรอกนะ”

     

    “ไม่เสี่ยงหรอกน่า...แค่นี้สบายมาก…”  สีหน้ามั่นใจถูกส่งให้เป็นคำตอบ ความจริงแล้วสิ่งที่เขากำลังคิดไม่ใช่แผนการที่ซับซ้อนหรือดีอะไรเลย..เขาแค่อยากให้เพื่อนรอดกลับไปได้ ..เขามั่นใจว่าอีกคนต้องหาทางออกไปได้แน่ๆ เพียงแต่ต้องใช้เวลา และเขาก็จะใช้ตัวเองแลกกับเวลาที่ว่านั่น

     

    “ไม่เอา  ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”  ไม่ได้ยากเกินกว่าที่โทโมฮารุจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อีกคนจะทำ

     

    “ไม่ได้... เธอ....ต้องเป็นคนไปตามตำรวจมา ...”

     

    “ไม่……ไม่ได้...ให้นายอยู่คนเดียวได้ยังไง ไม่เอาหรอก...”  เสียงสั่น..สั่นอย่างที่ไม่อยากให้มันเป้นไปตามที่อีกคนว่าไว้

     

    “บ้าจริง...นี่เธอคิดว่าฉันจะไม่ไหวเราะ...แค่นี้เอง...”

     

    “ ..ฉันพูดจริงๆนะ” 

     

    “ฉันก็พูดจริง.... อย่าทำเหมือนฉันจะไปตายเด้”  อีกคนพยายามยิ้มขึ้นปลอบใจอีกคนและเรียกกำลังใจตัวเอง หูที่คอยเงียฟังเสียง ได้ยินเสียงต้นไม้ไหวดังที่แปลกแตกต่างไปจากสายลม  “วิ่งไปซะ...”

     

    “...”  โทโมฮารุไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ไม่ได้ออกวิ่งไป ริมฝีปากบางเม้มแน่น คิ้วเรียวขมวดอย่างคนไร้หนทางที่ดีกว่า

     

    “โทโมะ....ถ้าอยู่แบบนี้เธอจะอันตรายนะเฮ้ย....”

     

    “...”  สาวน้อยยังคงสับสนและไม่เกิดไอเดียที่เป็นหนทางออก ความคิดตีกันสับสนว่าควรทำตามหรือควรจะขัดขืน…..  “ …ก็ได้…ฉันจะไป”  เสียงสั่นถูกเอ่ยออกมาอยบ่างไม่มั่นใจ 

     

    “โอเค แล้วฉันจะตามไป...หาทางให้ได้ล่ะ”   ฝ่ามือใหญ่ตบเบาๆที่บ่าเล็ก แล้วเจ้าของมือก็วิ่งพรวดหายกลับไปในพุ่มไม้ที่เพิ่งผ่านมา

     

    แม้อีกคนจะไปแล้ว..แต่เธอก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน ยังยืนตรงนี้ อยู่ที่เดิม ....ก่อนความมุ่งมั่นจะถูกปลุกขึ้นมา เธอหันไปทางที่อีกคนไป แล้วก้าวเดินอ้อมในเส้นทางที่คาดว่าขนาบทางอีกทาง เธอไม่ต้องการให้ใครเป้นผู้เสียสละทั้งนั้น และยิ่ง...การเสียสละเพื่อเธอ 

     

    อีกฝ่ายที่ยังไม่รู้ว่าโดนเพื่อนสาวแอบตามมา ยังกึ่งเดินกึ่งวิ่งย้อนทางเดิมกลับไป ทางข้างหน้ามีแต่ความมืดที่เห้นเพียงเงาต้นไม้รางๆ และกลุ่มพุ่มไม้รกบดบัง แล้วจู่ๆใครบางคนก็พุ่งโผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ข้างหน้าพร้อมหมัดใหญ่ที่นำมาก่อนตัว แต่โชคดีที่เขาหูดีพอที่จะได้ยินเสียงพุ่มไม่ก่อนเลยสามารถหลบได้แบบฉิวเฉียด

     

                ไซคิรีบถอยออกห่าง มืซ้ายและขวาจับมีดและกริชอย่างละข้างอย่างมั่นคง เมื่ออีกฝ่ายขยับตัวความมีดทั้งสองสิ่งก็พุ่งเข้าหาทันที

     

    ประกายแสงจากคมเหมือนเป็นเครื่องเตือนความอันตรายที่ใกล้เข้าหาตัว ชายผู้ร้ายหลบได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วสวนหมัดเข้าไปอีกครั้งแบบไม่เกรงกลัว

     

    ขายาวขยับหลบหมัดอันตรายแล้วปักมีดลงไปที่แขนอีกฝ่ายแบบเต็มแรง เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าหวาดหวั่นดังขึ้นอีกครั้ง

     

    ความเจ็บปวดระดับที่คนทั่วไปไม่น่าทนได้ ทั้งๆที่อีกฝ่ายน่าจะทรุดหรือยอมแพ้ไปแล้ว กลับกัน ความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงยิ่งไปกระตุ้นความบ้าคลั่ง มือคู่ที่ใหญ่กว่าคว้าหมับแน่นที่คมอาวุธทั้งสองด้านอย่างคนไร้ความรู้สึกพร้อมออกแรงที่มากล้นดันเจ้าของคมมีดไปติดต้นไม้จนไม่มีทางหนี

     

    ในเมื่ออาวุธที่มีจะเป็นตัวล็อคเขาไว้ ชายหนุ่มเลือกที่จะปล่อยมือ ทิ้งจากอาวุธแล้วใช้หมัดของตัวเองออกแรงเท่าที่รวบรวมได้ชกไปกลางหน้าคนข้างหน้า จนเลือดกำเดาไหลหยดออกจากโพรงจมูก

     

    แม้จะเปล่งเสียงร้องไม่น่าฟัง แต่ก็ยังยื้อตัวไม่ปล่อยอีกคนจากการล็อคกุม เข่าหนากดขาอีกคนไว้ไม่ให้ขยับ แล้วเงื้อมีดในมือขึ้น..!

     

    เพียงจังหวะเดียว ไซคิใช้จังหวะเล็กๆนั่นวาดกริชในมือที่เหลืออยู่ผ่านจุดอ่อนที่ท้องอีกฝ่ายเป็นรอยยาว  และเมื่ออีกฝ่ายชะงักจนผ่อนแรงที่กดขาไว้ จึงรีบใช้โอกาสนี้ยกเท้าถีบซ้ำไปยังแผลที่ท้อง อีกฝ่ายชะงักไปหลายที แต่กลับไม่ล้มหรือผละออก มือที่น่ารังเกียจใช้มีดปักไปที่กลางแขนอีกคน ชายหนุ่มกัดฟันระงับความเจ็บ แล้วขยับมือตวัดใช้กริชกรีดไปข้างหน้าสุ่มๆแต่ดันไปโดนที่ใบหน้าของชายตรงหน้า เป็นแผลยาวตั้งแต่แก้มเหนือขึ้นไปถึงตา

     

    ยังไม่จบ..! แม้จะสูญเสียการมองเห็นไปกว่าครึ่ง แต่ชายคนนั้นกลับไม่ถอยออกไป มือหนาขยับไปบีบคอชายอีกคนอย่างแรง จนคนตัวสูงลอยขึ้นเหนือพื้นดิน

     

    “หยุดสักที!! หยุดได้แล้ว!!!!”  หญิงสาวอีกคนที่ซุ่มดูอยู่มานาน หมดความอดทน พุ่งออกมาจากหลังต้นไม้อย่างผิดคำพูด แต่ไม่ได้ผิดความตั้งใจของตัวเอง

     

    “.....อึ้ก... ท...โทโมะ.....!”

     

    หมัดเล็กๆแต่แรงเยอะกว่าที่เห็นถูกปล่อยใส่แผลบนใบหน้าของผู้ร้ายเพื่อซ้ำ ด้วยสัญชาติญาณอันน่ากลัวชายผู้นั้นหันมีดในมือมาหาอีกฝ่ายออกสวนถากลึงลงไปที่สีข้าง

     

    “อึ้ก แค่กๆๆๆๆ”  เพราะอีกคนช่วยไว้เขาเลยหลุดออกมาได้  “ยัยบ้า!”  ร่างกายฝืนความเจ็บวิ่งไปหาอีกคนทันทีที่ตั้งตัวได้

     

    “อ..อึก...”  ความรู้สึกเจ็บและแสบรุนแรงอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมา สาวเจ้าก้มไปมองบาดแผลตัวเองสั่นๆ ทันทีที่เห้นแผลและเลือดที่ไหลออกมาก็แทบจะช็อคค้างอยู่ตรงนั้น

     

    “ถ้ากลัวก็อย่ามองเซ่!”  อีกคนรีบใช้มือกดแผลที่สีข้างให้เลือดหยุดไหล หวังให้สภาพอากาศที่เย็นเยือกทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น

     

    “เจ็…เจ็บ…..ไม่ไหวแล้ว”  มือบางกำแขนอีกคนแน่นจนเล็บยาวๆของผู้หญิงจิกลงไปที่แขน ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นไปหมดจนแทบแยกไม่ออกว่าเพราะอากาสหนาวหรือเพราะความเจ็บปวด ดวงตาโตหรี่ลงอย่างเจ็บปวดน้ำตาใสคลอหน่วยที่เบ้าตา

     

    “แล้วใครใช้ให้ตามมาเล่าา ปัดโธ่..”  ไซคิถอดผ้าพันคอของตัวเองที่ก่อนหน้าเป็นของอีกคนแล้วโปะไปบนแผลโทโมฮารุ แล้วออกแรงนิดหน่อยกดซ้ำ

     

    “ที่บอกให้ไปตามตำรวจน่ะ....ทำไมไม่ไปเล่ายัยบ้า”  

     

    “..ไม่..รู้ ฉัน..ไม่อยากแยกกับนาย”  ว่ากันว่ารางสังหรณ์ของผู้หญิงแม่น และเธอก็สังหรณ์ว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ ถ้าเธอหนีไปคนเดียว

     

    เขาถอนหายใจนิดแล้วลูบผมสีทองแปะๆ ในหัวคิดอยู่ว่าจะออกไปยังไงดี แล้วจู่ๆก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึนจากทางฝ่ายศัตรูที่หยุดคลั่งและดูเหมือนจะยอมแพ้แล้ว  “เสียง? .. ของเธอป่ะ?”  หันไปถามคนที่มาด้วยกัน แต่อีกคนก็ตอบกลับแค่การส่ายหัวเบาๆ

     

    ดวงตาคมหันไปมองฝ่ายผู้ร้ายที่พยายามจะเขยิบย้ายตัวเองหนีแทน  “อยู่ตรงนี้...แปปเดียว..” กล่าวแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปทางฝ่ายตรงข้าม แต่ทางนู้นก็คิดแต่จะหนีออกห่างเท่านั้น

     

    “เดี๋ย— ”  โทโมฮารุยังไม่ทันที่จะเรียกไว้ ทั้งศัตรูและอีกคนก็วิ่งหายไปจากทางข้างหน้าแล้ว

     

    “..รอเดี๋ยวดิ!”   ขายาววิ่งอย่างกระท่อนกระแท่นตามรอยลอยเลือดที่หยดเป็นทางที่พื้นไป  แต่พอเงยหน้าขึ้นมองทางอีกฝ่ายก็หายไปจากสายตาแล้ว  “อ้าวเฮ้ย...”

     

    เส้นทางเลือดที่อยู่เป็นหย่อมๆยังบ่งบอกทางที่เจ้าของเลือดไปอย่างดี เขาเดินตามรอยเลือดนั้นไป เพียงไม่นานก็เจอกับบ้านหลังหนึ่งที่ดูน่าสงสัยเป็นที่สุด ด้วยสภาพบ้านที่เก่าและทรุดโทรมเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่ แต่เขาก็ตัดสินใจผลักประตูเข้าไป เพียงออกแรงเล็กน้อยบานประตูก็สั่นเหมือนจะหลุดออกจากบานพับอย่างไรอย่างนั้น สายตากวาดมองรอบๆบ้านเห็นเพียงเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ขาดๆ กับฝุ่นหน้าทึบ แสดงให้เห็นว่าเป็นบ้านร้างไร้คนมาเป็นเวลานาน แต่ที่พื้นบ้านเก่าๆผุๆฝุ่นเขรอะนั่น ก็ยังมีรอยเลือดหยดเป็นดวงๆมุ่งไปทางหลังบ้าน เขาจึงเดินตามไป

     

    เพียงก้าวไปไม่กี่ก้าว ก็หยุดชะงักด้วยเสียงอุปกรณ์สื่อสารของเขาที่เงียบมานาน  “อ่าว...สัญญาณ?”   เขาหยิบขึ้นมามองงงๆเพียงแว่บเดียวก็กดโทรหาตำรวจเรียกรถพยาบาลแจ้งตำแหน่งทันที จากนั้นจึงตัดใจไม่ตามรอยเลือดนั่นไปแล้ววิ่งกลับไปทางเดิมที่อีกคนอยู่

     

    “โทโมะ!”  เสียงที่นำมาก่อนตัวโผล่พรวดออกมาจากดงไม้ตรงหน้าอีกฝ่ายที่นั่งหอบอย่างอ่อนแรง

     

    “......อีกแปปนึง...ตำรวจ...จะ..มา...” เขาก้าวช้าๆแบบคนจะไม่ไหวแล้วไปทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ข้างๆอีกคน

     

    “อือ...อืม..นาย.....เจ็บมากมั้ย..”

     

    “ไม่..เท่าไหร่.....”

     

    ต่างฝ่ายต่างไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะแค่แรงจะขยับปากยังแทบไม่ไหว และตอนนี้ที่ต้องทำคือใช้แรงกับการฝืนถ่างตามากกว่า นั่งอยู่ตรงนั้นราวสิบนาที ข้างหน้าก็เกิดแสงไฟสว่างวาบ แล้วบุคคลในเครื่องแบบตำรวจก็วิ่งเข้ามาหาราวสามสี่คน

     

    “ฮ..เฮ้ย...”  จู่ๆคนข้างๆก็ฟุบลงไป เลยเขยิบเข้าไปตรวจชีพจรดูก่อน พอเห็นว่าปกติดีก็ค่อยสบายใจ ช่วยพยุงอีกคนขึ้นมาแล้วค่อยตามตำรวจออกไปที่รถตำรวจ แล้วตรงไปโรงพยาบาล ระหว่างทางก็เหนื่อยจนหลับไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ...และนั่น...อาจจะเป็นวาเลนไทน์ที่เลวร้ายที่สุดที่ทั้งสองเคยได้รับมา...

     

    เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น ไม่อาจที่จะกล่าวเอาไว้ได้ในที่นี้

     

    รู้เพียงว่าตอนนี้ ทั้งคู่ ไม่ได้ตาย ยังมีชีวิตอยู่

     

    ชีวิตที่จะใช้ต่อไปในอนาคต

     

    ไม่ว่ามันจะมีเรื่อง

     

    สุข

     

    หรือ

     

    ทุกข์

     

     

     

     

    THE END

     

     

     

     

     

    จบ...แล้ว...จ้า TvT)ง

    อย่างแรกขอขอบคุณคนที่พยายามฮึดอ่านตั้งแต่แรกยันจบมากๆๆๆๆๆๆๆ แม้ว่าจะมีหรือไม่ก็ตาม lol

    อนึ่ง การแต่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้จะโชว์พาวแต่อย่างใด แต่อยากทำ อยากทุ่มเท อยากลองฝืนตัวเองดู กร๊ากก(...)

    ส่วนตัวเราแล้วเป็นคนที่แต่งฟิคห่วยๆคนนึง ภาษาย่ำแย่คนนึง แถมดองมากๆ และไม่ได้แต่งฟิคมาเป็นเวลานาน ฟฟฟฟฟ

    สารภาพ..ไม่เคยเขียนยาวขนาดนี้ แถมยังมีคำพูดและพล็อตล็อคไว้แล้วด้วย ฟฟฟฟฟ Orz

    คำพูดเยอะมากๆจนเขียนบรรยายไม่ได้ ทีแรกกะจะให้เป็นการบรรยายแบบสบายๆเล็กๆน้อยแบบที่กวนประสาทไม่หนักหัว..

    จนกระทั่งถึงโค้งสุดท้ายของเดดไลน์แห่งเดดไลน์(...) ไม่ไหวแล้วข่ะะะะะ ตบะแตกลากลบคำพูดทิ้งอย่างอาลัยอาวรณ์(?)และพิมพ์รัวๆ ฟฟฟฟฟฟฟฟ ตัวหนังสือเยอะมาก บ้าจริง พี่ชาย Orz

    และที่สำคัญ ! ไม่ได้เช็คซ้ำ ไม่ได้อ่านซ้ำ ไม่ได้แก้คำพูด ไม่ดูว่าเรียงถูกรึเปล่า 5555 #.....

    เพราะแบ่งการเขียนสลับๆกันไปไม่ได้เขียนเรียง สำนวนอาจจะใช้ซ้ำใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ ก็...เลทอิทโกว...นะคะนะ

    เกือบสุดท้ายยย ขอบคุณพี่มิ้ว โทโมฮารุจัง ที่มารวมเล่นอีเว้นกระชากตับกับเราและลูกชายย เย่ /// v \\\

    สาบานว่านี่กู๊ดเอนด์จริงๆนะ? lol

    ขอบคุณพี่ๆสตาฟฟ์สำหรับกิจกรรมสุดเฟบูลัสนี่ด้วยค่ะ อรั้ยย /// 3 \\\

    จริงๆแล้วตอนนี้เป็นช่วงครบครึ่งปีที่เข้าคอมมูพอดีด้วยล่ะ ! //ตื่นเต้ล

    ขอบคุณสำหรับครึ่งปีที่ผ่านมา และในอนาคตข้างหน้า ..อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆนะคะ กรีชเขิน /// 7 /// #...

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×