คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : SINDERELLA TEN
SINDERELLA ; TEN
สามวันผ่านไปกับการพักผ่อนที่ยาวนานของชานยอล เขากินๆนอนๆอยู่ในห้องโดยไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย การได้หยุดงานหนักๆที่ใช้ทั้งสมองและกำลังกายมากมายตลอดหลายเดือนมันทำให้แบตเตอรี่ในตัวชานยอลหมดและต้องการชาร์จโดยด่วน เขาเลยเลือกที่จะนอนซะให้พอ จนเมื่อวันก่อนคริสชวนออกไปกินข้าวข้างนอกและเขาก็เบื่อรามยอนที่ห้องพอดีเลยตัดสินใจไปถือโอกาสเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยเอาไว้คราวก่อนด้วย
และวันนี้เขากับคริสนัดกันจะไป ‘กาแลคซี่’ แน่นอนว่าในวันนั้นเขาแค่ล้อเล่นกับคริสไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้กับการที่จะเที่ยวกาแลคซี่กันจริงๆ แต่คริสก็ยังคงยืนกรานที่จะพาไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นของกาแลคซี่ที่เจ้าตัวโม้ว่าเขาต้องชอบแน่ๆ ร่างโปร่งแต่งตัวเสร็จตอนสิบเอ็ดโมงกว่าและคริสก็มาเคาะประตูตอนเกือบๆเที่ยง
“วันนี้หล่อนะเรา”ชานยอลเอ่ยทักอีกคนที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีดกับรองเท้าผ้าใบที่ดูก็รู้ว่าเป็นแบรนเนมทั้งตัว
“ชานยอลก็น่ารักนะวันนี้”คริสอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นอีกคนสำรวจเขาทั้งตัว วันนี้ร่างโปร่งสวมเสื้อกล้ามสีขาวข้างในทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบ ผมยาวประบ่าสีแดงของเจ้าตัวถูกมัดรวบไปข้างหลังแต่ยังมีปอยผมที่สั้นเกินไปปรกดวงหน้าอยู่
“ตลกละ อย่างฉันนี่หล่ออย่างเดียว”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นขัดทันทีที่ได้ยินอีกคนชมว่าน่ารัก ซึ่งมันเป็นคำแสลงหูของชานยอลมาก ถ้าให้ชมชูก้าเพื่อนร่วมงานของเขาคงจะสมเหตุสมผลกว่า “จะไปกันได้รึยัง”
“ไปสิ”
...
“แล้วนี่สรุปจะพาฉันไปไหน”ชานยอลเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่รถหรูอย่างเมอร์ซิเดซเบนซ์คันนี้จอดติดไฟแดงอยู่
“ก็คุณอยากไปกาแลคซี่ไม่ใช่เหรอ ก็จะพาไปนี่ไง”
“ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า”
“แต่ผมจริงจังนะ”คริสเอ่ยออกมายิ้มๆและออกรถทันทีที่สีไฟสัญญาณเปลี่ยน เขามุ่งตรงออกไปแถบทางไปชานเมือง รอบข้างรถลดน้อยลงไปมากเพราออกนอกเขตเศรษฐกิจมาแล้ว ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเขามองวิวที่เปลี่ยนไปจากในเมืองมาก
รถหรูยังคงเคลื่อนออกไปเรื่อยๆจนมาถึงที่จอดรถของสถานที่แห่งหนึ่ง ดวงตากลมโตมองออกไปนอกหน้าต่างมันเป็นตึกทรงครึ่งวงกลมที่กินพื้นที่มากในแถบนี้ เด็กหลายคนจูงมือพ่อแม่ลงจากรถและเดินเข้าไปในนั้นด้วยรอยยิ้มที่สดใส “ถึงแล้วครับ”
“ที่นี่ที่ไหน”
“กาแลคซี่ไง”คริสตอบยิ้มๆ เขาปลดเบลท์และถอดแว่นตากันแดดที่สวมอยู่ออกวางไว้ในรถ ดวงตาคมหยีเล็กน้อยเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ที่จ้าเกินไป เขามองไปที่ชานยอลที่มีอาการเดียวกัน เขาหยิบหมวกแก๊ปในรถและวางบนหัวคนที่เตี้ยกว่าเล็กน้อยเพื่อกันแดด
“ขอบใจ”เสียงทุ้มเอ่ยกลับก่อนจะหันไปมองรอบข้างต่อ สิ่งที่เขียนไว้ตรงทางเข้าโดมไขข้อสงสัยตลอดเช้านี้ของชานยอลได้ดี ‘ท้องฟ้าจำลอง’ ใบหน้าหวานแอบอมยิ้มกับความคิดแปลกๆของคนๆนี้
พวกเขาสองคนเดินตรงไปที่ทางเข้า คริสอาสาไปซื้อบัตรและให้ชานยอลยืนรออยู่ข้างหน้า ดวงตากลมกวาดมองไปทั่วเป็นการสำรวจ คนที่มาส่วนมากเป็นเด็กที่มากับครอบครัวพวกเขาต่างยิ้มแย้มอย่างมีความสุขจนชานยอลเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในชีวิตเลยก็ตาม
“ได้บัตรมาแล้ว มีการแสดงรอบบ่ายโมงเหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาที ไปนั่งรอหน้าห้องแสดงเลยไหม”คริสเดินมาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาชูบัตรใบมือโบกไปมาซึ่งชานยอลก็พยักหน้าพวกเขาจึงเดินเข้าไปข้างในตึก หน้าห้องแสดงมีเด็กหลายคนส่งเสียงเจี้ยวจ้าววิ่งเล่นบ้างกดโทรศัพท์บ้าง กินขนมบ้างนั่นทำให้ชานยอลยิ้มออกมาอีกครั้ง พวกเขาเดินมาเรื่อยๆจนเจอเก้าอี้ว่างห่างจากประตูทางเข้าไม่ไกล
“ชานยอลเคยมาที่นี่ไหม”
“ไม่หล่ะ นายเคยเหรอ”
“เคยครั้งนึง สมัยประถม”คริสตอบออกมาก่อนจะกวาดตามองไปทั่ว “ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะมาก ที่จริงผมก็ลืมไปแล้วหล่ะว่ามีที่แบบนี้ พอดีวันนั้นคุณบอกอยากไปกาแลคซี่ผมเลยคิดถึงมันขึ้นมา การแสดงที่นี่เจ๋งสุดๆ”
“นั่นมันเมื่อสิบปีก่อนไม่ใช่รึไง”
“งั้นมันก็ต้องเจ๋งขึ้นสิ มันสิบปีมาแล้วนี่”
“นายมาที่แบบนี้ ไม่รู้สึกว่าเป็นเด็กโข่งเหรอ”พอพูดจบดวงตากลมโตก็กวาดมองไปรอบๆพร้อมกับยิ้มออกมา เด็กในวัยกำลังซนมากมายยืนอออยู่หน้าห้องจัดแสดง
“แอบรู้สึกนิดนึง แต่แคร์ทำไมเขาไม่ได้ห้ามนี่ว่าไม่ให้เข้า”
“หึ แล้วที่นี่มันเห็นดาวชัดมั้ย”
“ชัดมาก วันนี้เห็นว่าแสดงเกี่ยวกับทฤษฎีการกำเนิดกาแลคซี่”
“คงรู้สึกดีน่าดู”ชานยอลหลับตาลงนึกถึงภาพดวงดาวมากมายที่รายล้อมเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่คริสหันมาเห็นพอดี ปอยผมที่ปรกหน้าอีกคนเกลี่ยไปตามแก้มใส รอยยิ้มเล็กๆปรากฏที่มุมปากสีชมพู คริสยอมรับว่าปกติตัวเองเป็นคนเจ้าชู้พอสมควรชอบมองของสวยๆงามๆไม่ว่าจะชายหรือหญิง แต่สเป็กของเขาคือคนที่ตัวเล็กๆเตี้ยกว่าเขาประมาณคืบเวลากอดแล้วจมอก แต่ชานยอลเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ตัวเล็กติดจะตัวใหญ่ด้วยซ้ำ มีกล้ามเล็กน้อยตามภาษาคนสุขภาพดี เตี้ยกว่าเขาแค่ไม่กี่เซนต์แต่ใบหน้าหวานๆนั่นกลับทำให้คริสใจเต้นได้ไม่ยาก
‘การแสดงรอบบ่ายโมงตรงจะเริ่มในอีกห้านาที ขอเชิญผู้ชมเข้าห้องแสดงได้เลยค่ะ...’
เสียงตามสายที่ดังขึ้นทำให้ชานยอลและคริสต่างหลุดออกจากภวังค์แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คริสส่ายหัวสามสี่ทีเป็นการเรียกสติ
...ไม่เอาน่าคริส ชานยอลไม่ใช่สเป็กนายซักหน่อย...
คริสและชานยอลเดินมาต่อท้ายแถวเพื่อตรวจบัตร แผ่นพับเกี่ยวกับความรู้ที่จัดแสดงวันนี้ถูกยื่นให้อย่างสุภาพด้วยมือของพนักงานตรวจบัตร เธอยิ้มให้ผู้ชายทั้งสองคนอย่างเป็นมิตร เมื่อฝากสัมภาระทุกอย่างแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปข้างในห้องจัดแสดง เก้าอี้โรงหนังถูกตั้งล้อมเป็นวงกลมรอบเวทีที่มีวิทยากรยืนอยู่ตรงกลาง ดวงดาวหลายดวงถูกฉายขึ้นไปบนจอโค้งมนตามรูปร่างโดม
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนที่นั่งตามเลขบัตรของตัวเองแล้วเอนเบาะลง ดวงตากลมจับจ้องไปที่ดวงดาวที่กำลังพราวระยับอยู่เบื้องหน้าด้วยความสนใจ นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เห็นดาวมากมายขนาดนี้
วิทยากรที่อยู่ตรงเวทีเริ่มอธิบายทฤษฎีดวงดาวออกมาด้วยคำพูดง่ายๆเพื่อให้เด็กเข้าใจ จอภาพเบื้องบนถูกเปลี่ยนไปตามคำพูดของเขา ความทันสมัยของเทคโนโลยีที่นี่ทำให้ชานยอลและคริสแอบอึ้งไปเล็กน้อย การบรรยายประกอบแสงสีผ่านไปกว่าชั่วโมงก็จบลงด้วยเสียงเซ็งแซ่ของเด็กๆที่พากันตื่นตาตื่นใจกับดวงดาว รวมไปถึงเด็กโข่งสองคนที่นั่งตะลึงกับมันไม่แพ้กัน
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องจัดแสดงเป็นคนสุดท้ายเพราะไม่อยากออกไปเบียดเด็กๆมากมายข้างนอก เมื่อคนทยอยออกหมดแล้วจึงเดินออกไปหยิบข้าวของออกมาจากห้องจัดแสดง การแสดงเมื่อครู่สร้างความประทับใจให้กับชานยอลมาก เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นดาวใกล้ขนาดนี้คือการไปทำงานจับกุมคาสิโนเถื่อนที่ซาบ๊คซึ่งเขาต้องปลอมไปเป็นดีลเลอร์ในคาสิโน
“เป็นไงไปเที่ยวกาแลคซี่”
“ก็สนุกดี”
“ชอบไหม”
“ชอบ”
ตึกตัก...ตึกตัก
เสียงหัวใจที่เต้นระรัวขึ้นเพียงแค่ได้ยินคำว่าชอบจากปากของร่างโปร่งมันทำให้คริสอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายซะให้รู้แล้วรู้รอด นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ใจเต้นแรงกับใครแบบนี้ ปกติเขาจะแค่ถูกใจ ชอบใจ อยากได้มาอยู่ใกล้ๆแต่ไอ้อาการใจเต้นเนี่ย ไม่มีมานานมากแล้ว
“เฮ้...คริส คริส”ร่างโปร่งเขย่าแขนอีกคนที่เอาแต่ทำสีหน้าแปลกๆออกมาด้วยความสงสัย “เป็นอะไรรึเปล่า เหม่อๆ”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”ร่างสูงตอบออกมาทันทีที่สะดุ้งได้สติ เขาหันกลับไปมองดวงตากลมโตที่สบตาเขาด้วยความสงสัย ...ขอร้อง เลิกทำตัวเหมือนลูกแมวเถอะชานยอล... “หิวรึยัง”
“ก็นิดหน่อย”
“ไปหาอะไรกินกันไหม”
“อาหารญี่ปุ่นแล้วกัน”ชานยอลตอบออกมาอย่างเอาแต่ใจเพราะคราวก่อนพวกเขาเถียงกันแทบตายว่าจะกินอะไร ไม่ใช่ว่าต่างคนต่างอยากไปหรอกนะเพราะต่างคนต่างคิดไม่ออกต่างหาก เขาอุตส่าห์บอกให้คริสเป็นคนคิดเพราจะเลี้ยงขอบคุณแต่หมอนั่นดันโบ้ยให้เขาบอกว่าเขาจะเป็นคนจ่ายตัง สุดท้ายเถียงกันไปมาตกลงกันไม่ได้เลยไปจบที่ร้านต็อกบ๊กกีที่อยู่ถัดจากคอนโดไปไม่เท่าไร
“โอเค”
.
.
.
ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังในห้างแถวคอนโดเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเลือกมาทานกัน ทั้งสองคนสั่งอาหารไปสี่ห้าอย่างก่อนจะยื่นเมนูคืนบริกรไป
“นายเป็นคนจีนทำไมชื่อคริสหล่ะ”ชานยอลถามออกไปทำลายความเงียบที่ทั้งคู่สร้างึ้น คริสเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ที่กดอยู่แล้วยกยิ้มน้อยๆ
“เป็นชื่อตอนเรียนที่แคนาดาหน่ะ ชื่อผมมันเรียกยาก”
“แล้วนายชื่อจริงอะไร”
“อู๋อี้ฟาน นั่นละชื่อผม”
“เรียกยากจริงๆนั่นละนะ”
“แล้วคุณทำงานเป็นเซลล์แมน ได้เงินเดือนเท่าไร”
“อ่า ก็ไม่แน่นอนนะแล้วแต่ยอดแต่ละเดือนหน่ะ”ชานยอลโกหกคำโตออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย การโกหกกลายเป็นเรื่องที่ชานยอลทำเทบจะทุกวันเพื่อปกปิดตัวตนและการศึกษางานเซลล์แมนก็เป็นอีกงานหนึ่ง
“คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบไหม”
“เชื่อ”
“ไม่คิดเหรอว่ามันดูจะงี่เง่าไปหน่อย”
“ไม่หน่อยหรอก มันงี่เง่าสุดๆไปเลย”
“แต่คุณก็ยังเชื่อ”
“นายไม่เชื่อเหรอ”
“ก็ไม่เชิง”คริสเอ่ยพลางยักไหล่ เขาเอาตะเกียบในมือคีบอาหารที่พึ่งวางลงบนโต๊ะเข้าปากด้วยท่าทีสบายๆ “แล้วคุณเคยมีรักแรกพบรึเปล่า”
“เคยสิ เมื่อสองปีก่อน”ร่างโปร่งว่าพลางเหม่อมองผู้คนผ่านกระจกใสหน้าร้าน เขากำลังคิดถึงรักแรกพบของเขาเด็กตาโตคนนั้น คนที่ชื่อว่าโดคยองซู “แต่ตอนนี้มันเป็นอดีตไปแล้ว”
คริสชะงักไปเล็กน้อยกับคำตอบของอีกคน ดวงตากลมที่หันกลับมาสบตาเขาก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ทำไมหล่ะ”
“มันก็แค่ความรู้สึกชั่ววูบหน่ะ”ชานยอลตอบอย่างขอไปทีแล้วคีบอาหารเข้าปากตัวเองบ้าง “ความรักมันมันก็แค่ของจอมปลอม”
...
“ขอบคุณมากนะวันนี้สนุกมาก”ชานยอลบอกลาอีกคนที่หน้าห้องตัวเอง เขาแตกคีย์การ์ดแล้วกดรหัสประตูแล้วแทรกตัวเข้ามา เขาวางของที่ซื้อมาลงบนเคาท์เตอร์ครัว ร่างโปร่งก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาห้าโมงกว่าๆ หลังจากที่เขากินข้าวเสร็จก็ขอให้อีกคนพาไปซื้อของกินมาใส่ในห้องบ้างเพราะในตู้เย็นมีแต่น้ำเปล่ากับเบียร์ รามยอนที่เก็บไว้ก็ใกล้จะหมดแล้ว
มือเรียวค่อยๆหยิบของที่ซื้ออกมาจากถุง ขนมปัง แยมแล้วก็นมสดที่อีกคนที่ไปด้วยกันใส่ลงมาในรถเข็นที่เต็มไปด้วยรามยอนหลายรสเราะกลัวว่าเขาจะป่วยตายซะก่อน เขาค่อยๆจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเดินมาเปิดทีวีในห้องนั่งเล่น เขาตั้งใจว่าจะนั่งดูหนังที่ซื้อไว้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่แล้วโทรศัพท์ที่เงียบสงบมานานสองสามวันที่เขาพักร้อนก็ดังขึ้น
‘หัวหน้า’
“ฮัลโหลสวัสดีครับ”
[พักผ่อนเป็นยังไงบ้างชานยอล]
“ก็ดีครับ หายเหนื่อย”
[อืม] เสียงทุ้มตอบออกมาสั้นๆก่อนจะเอ่ยต่อถึงธุระสำคัญที่ตามมา [ฉันว่ามันอาจจะเสียมารยาทไปหน่อยแต่งานนี้มันรอไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันส่งจดหมายไปที่สำนักงานแล้วว่าขอให้นายเข้าทีมของฉัน]
“คะ...ครับ”
[นายไม่เป็นไรใช่ไหม ถ้าฉันจะขอเวลาพักร้อนที่เหลือของนาย]
“ไม่มีปัญหาครับ”ชานยอลตอบออกไปเต็มเสียง ถึงแม้ในใจจะแอบเสียดายวันหยุดที่ไม่ได้มีบ่อยๆ แต่การที่หัวหน้าโทรมาร้องขอแบบนี้จะให้ปฏิเสธก็คงเสียมารยาท
[จบงานนี้ นายอาจจะได้เวลาพักเป็นเดือนเลยก็ได้] ซีวอนเอ่ยออกมาตามสาย เขาเว้นช่วงหายใจไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง [เพราะในครั้งนี้เราจะต้องสืบหาตัวตนของ ‘FUKAI’]
ชื่อที่หลุดออกมาทำให้ชานยอลชะงักไปชั่วครู่ คนๆนี้เป็นคนที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อนแต่ก็เป็นผู้มีอิทธิพลในด้านมืดต่างๆมากมายทั้งผับ บาร์ อาบอบนวด เขาสามารถเทคโอเวอร์ร้านใหญ่ๆในแถบคังนัมได้เกือบครึ่งในเวลาไม่กี่ปี ตำรวจหลายฝ่ายพยายามหาตัวคนๆนี้มานานแต่ก็ไม่มีใครเคยเจอ ทีมสืบสวนที่ตั้งขึ้นต่างล่าถอยเพราะความท้อแต่ก็ต้องพยายามสืบต่อไปเพราะพวกเขาต่างกลัวว่าผู้มีอิทธิพลคนนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้
...ดูท่าของที่ซื้อมา'วันนี้จะเป็นหมันซะแล้ว...
. . . S I N D E R E L L A . . .
55 per
“วันนี้พอแค่นี้นะค่ะนักเรียน”เสียงคุณครูประจำวิชาสุดท้ายพูดขึ้น เมื่อหัวหน้าห้องบอกทำความเคารพ ทุกคนในห้องลุกขึ้นโค้งหัวบอกลาครูเธอส่งยิ้มตอบกลับก่อนจะเดินออกจากห้องไป และเป็นเหมือนสัญญาณให้เด็กหลายคนรีบกวาดข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปเรียนพิเศษต่อ รวมถึงโอเซฮุนเช่นกัน
“ไปนะคยองซูกลับบ้านดีๆละ”เพื่อนตัวขาวรีบเก็บของลงกระเป๋าเพราะวิชาสุดท้ายครูเลทไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ร่างเล็กที่ไม่มีเรียนพิเศษต่อเหมือนคนอื่นก็ค่อยๆเก็บของใส่กระเป๋าอย่างไม่รีบร้อนแล้วเดินลงมาจากตึกคนเดียว นักเรียนบางห้องยังเรียนไม่เสร็จทำให้ตึกเรียนไม่ได้วุ่นวายเท่าที่ควร มือเรียวกดมือถือหาจื่อเทาเพื่อให้มารับที่หน้าโรงเรียน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายปิดเครื่อง
“อะไรของเขานะ ทำไมปิดมือถือ”คิ้วเรียวขมวดยุ่งทันทีที่ติดต่อคนขับรถจำเป็นของตัวเองไม่ได้ นิ้วเรียวพยายามกดโทรหาซ้ำๆสามสี่รอบแต่ก็ยังไร้สัญญาณ หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาห้าโมงแล้ว ตอนนี้เขาเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ดวงหน้าหวานหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไร้วี่แววของรถที่ตัวเองนั่งอยู่ทุกวัน ดวงตากลมมองเพื่อนนักเรียนที่กำลังขึ้นไปบนรถประจำทางก็กัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่ารถเมล์สายไหนจะไปส่งถึงซอยหน้าบ้าน แต่ระยะทางจากซอยไปถึงบ้านก็ไกลใช่เล่นเหมือนกัน
ครืดดด ครืดดด
โทรศัพท์ที่เจ้าตัวกำไว้ในมือสั่นอย่างแรงจนเจ้าตัวแอบสะดุ้ง ยิ่งชื่อที่แสดงบนหน้าจอยิ่งทำให้ร่างเล็กมองโทรศัพท์อย่างงงๆ
‘คุณไค’
“...ฮัลโหลครับ”
[ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น]
“ครับ ?”
[ฉันรอนานแล้วนะ]
“คะ...คุณไคหมายถึงอะไรครับ”
[นายจำรถฉันไม่ได้รึไง] เสียงที่ติดจะหงุดหงิดออกมาตามสายในทำให้คยองซูมองซ้ายขวาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง มาเซราติสีบรอนซ์ที่ติดฟิลม์ดำทึบจนมองไม่เห็นคนข้างในจอดอีกฟากของถนน [รีบมาขึ้นรถสิ]
“คะ...ครับ จะไปเดี๋ยวนี้”คยองซูตอบรับในสายแทบจะทันที เขามองถนนซ้ายขวาก่อนจะข้ามไปยังจุดที่รถจอดอยู่ มือเล็กเปิดประตูรถหรูแล้วแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยสารข้างคนขับทันที
“จื่อเทามีงานด่วนมารับไม่ได้”
“อ้อ ครับ”ร่างเล็กตอบรับออกมาทันทีที่อีกคนพูดจบ มือเล็กดึงสายนิรภัยมาคาดไว้ก่อนจะมองตรงออกไปข้างหน้า รถหรูค่อยๆเคลื่อนห่างออกจากโรงเรียนไป “คราวหน้า...ถ้าจื่อเทาไม่ว่างผมกลับรถเมล์ก็ได้ครับ”
“เดี๋ยวฉันมารับเอง”
“แต่...”
“เคยบอกแล้วว่าห้ามเถียง”
“ครับ”พอโดนอีกฝ่ายดุคยองซูก็ก้มหน้าพูดรับคำอย่างหงอยๆ
“ต่อไปถ้าไม่มีคนมารับจริงๆ ก็โทรหาฉันอย่ากลับเองเข้าใจไหม”
“ครับ”
“ก็ดี”เสียงทุ้มเอ่ยตอบอย่างพอใจ “หิวรึเปล่า”
“ไม่ค่อยหิวเท่าไรครับ”
“แต่ฉันหิวแล้ว”ร่างสูงตอบออกมาด้วยเสียงกวนๆตามแบบฉบับ “ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย”
“ครับ”ถึงจะตกใจกับคำที่อีกคนพูดออกมาแต่คยองซูก็รับคำออกไปแล้ว
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่มีครับ”
“พูดออกมาเถอะ”คิมไคเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก เขาหันมามองหน้าคยองซูที่ก้มจนคางชิดอกตอนที่รถติดไฟแดงอยู่ “อยากกินอะไรก็บอกมา”
“ผะ...ผมไม่รู้จริงๆ”
“อาหารอิตาลีไหม”
“ก็ได้ครับ”
“หัดมีปากเสียงบ้างก็ดีนะคยองซู”คิมไคพูดประชดแบบไม่จริงจังนัก เขาค่อนข้างหงุดหงิดกับนิสัยที่คล้อยตามเขาไปซะทุกอย่างของคยองซูไม่น้อย เพราปกติเด็กคนนี้มักจะมีปากเสียงหรือล้อเล่นกับจื่อเทาเสมอแต่กับเขา ก็เป็นแค่สัมพันธ์ที่ห่างเหินอยู่ดี
คยองซูยังคงนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะต่อบทสนทนาไปทางไหน รถหรูเคลื่อนไปตามถนนที่เต็มไปด้วยรถมากมายจนถึงหน้าร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง คิมไควนรถเข้าไปจอดในลานจอดรถที่ค่อนข้างแน่น เมื่อรถหยุดนิ่งร่างเล็กก็ปลดเบลท์ออกจากตัวแล้วเปิดประตูออกไปยืนสูดอากาศนอกรถ ดวงตากลมหันไปมองคิมไคที่กวักมือเรียกเขาให้เดินตามเข้าไปในร้าน
“ยินดีต้อนรับค่ะ มากี่ท่านค่ะ”พนักงานสาวในยูนิฟอร์มเรียบร้อยโค้งแล้วเอ่ยต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพ แล้วเดินนำไปยังโต๊ะว่างทันทีที่คิมไคตอบคำถามของเธอ “เมนูค่ะคุณผู้ชาย เดี๋ยวอีกซักครู่จะมีพนักงานมารับออร์เดอร์นะค่ะ”
มือเล็กรับเอาเมนูอาหารปกหรูมาถือและเปิดออกดู ชื่ออาหารแปลกตามากมายละลานตาอยู่จนคยองซูขมวดคิ้วยุ่ง
“จะสั่งอะไร”
“อะ...เอ่อ”ร่างเล็กเสียงติดขัดทันทีที่คิมไคถามขึ้นและนั่งจ้องหน้าเขาอย่างสงสัย
“ถ้าตอบว่าไม่รู้นี่จะโดนลงโทษนะ”
“คุณไค...ก็ผมไม่รู้”คยองซูตอบแผ่วเบาราวกับกระซิบและก้มหน้าคางชิดอก แต่นั่นก็เรียกร้อยยิ้มเล็กๆให้ร่างสูงได้ เขากวักมือเรียกพนักงานและสั่งอาหารเหมือนกันสองชุดและคืนเมนูให้พนักงานไป
“ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ อีกสองอาทิตย์จะสอบแล้วครูติวพิเศษให้ ช่วงนี้เลยเลิกเลท”
“แล้วรู้รึยังว่าจะเรียนต่ออะไร”
“ยังครับ...”
“อีกปีเดียวรีบๆคิดซะหล่ะ”คิมไคเอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ทำให้หัวใจของคยองซูเต้นตึกตักอย่างไม่เป็นจังหวะ “คิดดีๆเลือกดีๆว่าชอบอะไร”
“ครับ...”คยองซูตอบเสียงแผ่ว มือเล็กประสานกันตรงหน้าตักแน่นระบายความตื่นเต้น เขาไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะอาหารสองคนกับคุณไคซักเท่าไรและยิ่งในร้านอาหารแบบนี้ เขาบอกได้เลยว่าไม่เคยซักครั้ง “แล้วช่วงนี้ที่บริษัทไม่มีปัญหาอะไรมากใช่ไหมครับ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ราบรื่นดีทุกอย่าง”คิมไคตอบด้วยเสียงนิ่งๆพลางทำท่าครุ่นคิด “ฉันคิดว่าถ้าการเจรจาที่เชจูไปได้ด้วยดีสิ้นปีนี้กำไรมหาศาลมาก เราเลยคาดหวังกับมันไว้เยอะ”
“อ้อ ครับ”คยองซูรับคำด้วยเสียงแผ่วๆก่อนจะยกน้ำเปล่าจิบแก้เก้อ
“นายก็อย่าทำให้ผิดหวังกับการเจรจาที่เชจูนะ...”
“แค่กๆ...อะ...อะไรนะครับ”เมื่อจบคำพูดนั้นของคิมไคร่างเล็กก็สำลักน้ำเปล่าจนไอออกมาตัวโยน ดวงตากลมเบิกกว้างมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“ก็หลังสอบเสร็จนายต้องไปเชจูกับฉันนี่”
“อันนั้นผมรู้ครับ แต่คุณไคคงไม่คิดจะให้ผมไปเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาใช่ไหมครับ...”
“อืม คิด”
“คุณไคครับ ทำไมคุณถึงเอาอนาคตบริษัทมาวางบนมือเด็กที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผมหล่ะครับ !”
“เพราะฉันเลือกนายแล้วไง”คิมไคทำท่าทางสบายๆราวกับไม่กระทบสิ่งที่อีกคนพูดเสียงเข้มใส่
“คุณไค มันไม่ใช่เล่นขายของนะครับ”
“นายคิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ”
“เปล่าครับ แต่ผมทำไม่ได้หรอก ผมมันเด็กไม่เอาไหน เรียนก็ไม่เก่งอนาคตก็ไม่มี...ผมไม่มีอะไรเลยจะเป็นหลักประกันให้การเจรจาครั้งนี้สำเร็จ”
“ฉันก็เคยเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนกัน”คิมไคตอบเสียงเรียบด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเอื้อมมือไปกุมมือเล็กที่กำแน่นอยู่บนโต๊ะ “เพราะทุกคนเริ่มจากศูนย์คยองซู”
“ผม...ผมไม่แน่ใจ”
“นายแค่ต้องมั่นใจในตัวเองคยองซู นายเป็นคนเก่ง ฉันมองเห็น”
“แต่...”
“คนที่ฉันไว้ใจมีแค่นายกับจื่อเทา ฉันคงจะแบ่งงานให้ใครไม่ได้นอกจากนายสองคน”ร่างสูงเอ่ยเสียงจริงจังอีกครั้งดวงตาคมสบเข้ากับดวงตากลมโตที่สั่นระริกราวกับจะร้องไห้ของคยองซูอย่างจงใจ เขามองลึกลงไปค้นหาคำตอบของความไว้ใจที่เขาให้และแน่นอนคยองซูให้เขามา ‘เกินร้อย’ “ถ้างานนี้นายทำได้ฉันก็จะวางใจให้นายทำงานต่อๆไป”
“ขออนุญาตเสริฟอาหารครับ”เสียงบริกรขัดบทสนทนาของทั้งสอง คิมไคปล่อยมือร่างเล็กและพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พนักงานวางอาหารลงตรงหน้า อาหารอิตาลีหน้าตาน่าทานวางลงตรงหน้าทั้งสองคน ไร้บทสนทนาบนโต๊ะอาหารอีกนับจากนั้น ต่างคนต่างกินและนั่งจมกับความคิดตัวเอง
...
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ”คยองซูเอ่ยขอบคุณก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ คิมไควนรถกลับมาส่งเขาที่บ้านเพื่อตัวเองจะไป ‘ดูงาน’ ที่ผับต่อ
“นี่คยองซู”ขณะที่คยองซูกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านร่างสูงก็ลดกระจกฝั่งเขาลงและพูดออกมาจากในรถ “เรื่องจะไปเชจูหน่ะ ตอนนี้โยนทิ้งไปก่อน”
“...”
“ตั้งใจอ่านหนังสือสอบหล่ะ”
“ครับ ขอบคุณมาก”คยองซูก้มหัวลงปลกๆเพื่อซ่อนรอยยิ้มบางๆ คำพูดนั้นของอีกคนทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะคิดไปถึงสิ่งที่เขาต้องทำที่เชจู คุณไคบอกตอนอยู่ในรถระหว่างทางกลับบ้านว่าเขาต้องทำการเจรจากับนักธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนรีสอร์ทบนที่ดินของเราบนเกาะเชจู ซึ่งเป็นโปรเจคใหญ่ของคิมกรุ๊ปในปีนี้
ร่างเล็กทิ้งตัวเองลงบนเตียงนอนของตัวเองทันทีที่เข้ามาในห้อง ใบหน้าเล็กคว่ำหน้าลงกับหมอน ดวงตากลมหลับลงก่อนจะจมดิ่งลงสู่ห้องความคิดตัวเอง
...บางทีเขาก็อาจจะรู้แล้วว่าอยากจะเรียนต่ออะไร...
. . . S I N D E R E L L A . . .
up 55 per ; กลับมาแล้นนน สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
จย้ากกกก เราพาไปกาแลกซี่ละนะ ตอนที่แล้วหลายคนเข้ใจผิดอ่า เราเขียนงงเหรอ
คนที่อยากไปกาแลกซี่คือชยอลนะไม่ใช่เฮีย T______T! ฮรืออ
แต่ตอนนี้ยังไงเฮียก็พาชยอลไปทัวร์กาแลกซี่เฮียได้ละนะ แถวเจ้าตัวเองยังแอบใจเต้นซะด้วย
อิเฮียแม่งใจง่าย เนอะว่าไหม 5555555555555555
เฮ้อออ ปิดท้ายตอนได้แบบงงไหม ไม่งงหรอกเนอะเพราะเขาแค่หาตัวคุณไคเอง ( ' ' 3)
ป.ล.ทำไมช่วงหลังๆทอล์กยาวจุง ไม่เบือ่ไม่รำคาญเค้าเนอะตะเองอุอริ
up 100 per ; มีใครคิดถึงคุณไคม้อยยยยย 555555555555
เอนจอยรีดดิ้งนะค่ะ <3 จุ๊บบบบบ อย่าลืมเม้นโหวตอุอริ
อย่าลืมร่วมฟินด้วยการสกรีมแท็ก #นางซินKD
ความคิดเห็น