คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : RETRACE II
RETRACE
II
‘เอาล่ะบังยงกุก อาการประสาทๆน่าปวดหัวของเขากำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้วแน่ะ’
สองอาทิตย์ผ่านไป หลังจากเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของเด็กมัธยมปลายปีสุดท้าย ลีโฮยอน
ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ...ไม่สี ต้องเรียกว่าพยายามปกติมากกว่า เด็กนักเรียนทุกคนมักจะหวาดกลัวเมื่อเดินเฉียดกรายไปแถวๆห้องน่าพิศวงนั่นเสมอ กลิ่นเลือดที่แม้ว่าจะเช็ดล้างไปเท่าไหร่ก็ไม่ออก มันเป็นรอยจางๆและเชือกที่มัดห้อยลงมาก็ไม่สามารถที่จะปลดออกจากขื่อได้ นักเรียนจิตอ่อนหลายคนไม่ต้องการที่จะขึ้นมาบนชั้นที่เขาตายด้วยซ้ำเพราะความกลัว ทุกๆเช้าในที่นั่งของลีโฮยอนจะมีการไว้ทุกข์คือมีถาดอาหารวางไว้เสมอเหมือนกับจะทำให้ดูว่าเขาไม่ได้จากไปไหน แม้ว่ามันจะทำให้คนที่นั่งข้างๆที่นั่นขนหัวลุกมากก็ตาม แม้แต่ในห้องเรียน โต๊ะเรียนของลีโฮยอนก็ยังไม่ถูกแตะต้อง ไม่มีใครทำความสะอาดหรือย่างกรายเข้าใกล้เพราะกลัว ‘คนตาย’ ด้วยกันทั้งนั้น
“เขาอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับเขาแล้วล่ะ” จางโกซองเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆหลังจากตักอาหารกลางวันเข้าปากไปไม่กี่คำ ด้วยความโศกเศร้าที่เพิ่งเสียเพื่อนไปทำให้ร่างบางวางช้อนลงเบาๆ “ทำไมโฮยอนถึงทำแบบนี้กันนะ”
โกซองหันไปมองหน้าคิมฮันที่หยิบขนมปังปิ้งเข้าปากอย่างไม่ยี่หระอะไร เซจุนยังคงยิ้มบางๆที่มุมปากเสมอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและนั่นก็เป็นนิสัยที่จางโกซองเกลียดที่สุด เด็กแว่นฮีวอนพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มๆเงยกับสูตรพื้นที่หรืออะไรสักอย่างทางคณิตศาสตร์ เขาง่วนกับตำราพวกนี้ตั้งคืนจนเช้า ไม่แปลกใจเลยที่แว่นเขาหนาและผลการเรียนอยู่ในระดับท็อปขนาดนี้ “ยังไงฉันก็ยังเศร้าอยู่...อาให้ตายสิ โฮยอนคิดอะไรของเขากันแน่นะ” นั่นทำให้คิมฮันวางแก้วน้ำชาลงแล้วว่าเขาว่า
“พูดมากจริงโกซอง ว่างๆนายน่าจะไปเช็กสมองกับพ่อกรรมการคุมกฎหวานใจนาย” คิมฮันบอกอย่างล้อเลียน เซจุนหัวเราะเบาๆในลำคอ โอ้พระเจ้า! จางโกซองสาบานได้เลยว่าพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ทำให้เขาอารมณ์เสียทุกครั้งที่คุยด้วยจริงๆนะ คิมฮันเป็นพวกปากหมาและเซจุนก็เป็นพวกกวนประสาทแบบทางอ้อม ให้ตายสิ! แล้วมีแถม ไอ้หมอนั่นมันไม่ใช่หวานใจเขาสักหน่อย ทะเลาะกันทุกทีที่เจอหน้า ฮึ่ย!ไอ้พวกเพื่อนก็พูดไปเรื่อยไปเปื่อย “ฮวางซองชินไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นกับฉันสักหน่อย อย่ามาพูดให้ฉันสะอิดสะเอียนดีกว่า”
“นั่นสินะ หมอนั่นมันพวกเงียบแถมหน้านิ่ง ฉันละอยากชกมันสักหมัด” คิมฮันทำกำปั้นทุบกับโต๊ะกินข้าวเบาๆ เซจุนเลยพูดขึ้นอย่างนุ่มนวลตามสไตล์เขาว่า “ซองชินเองก็ไม่ใช่กรรมการคุมกฎที่ไร้น้ำยานะฮัน นายอาจจะถูกเตะก้านคอได้ อา...ฉันไม่ว่างที่จะมานวดคอย่นๆให้นายนะ”
“ห้องพยาบาลคงจะมีเตียงว่างอยู่ นายอยากเข้าไปอยู่ในนั้นมั้ยเซจุน?”
“ไว้รอนายสอบฟิสิกส์ได้เกรดเอ ฉันจะยอมคลานเข้าห้องนั้นไปเลยก็ยังได้นะพี่ชาย”
โกซองถอนหายใจแล้วมองพีน้องฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกัน(หล่อสุดๆ)แต่นิสัยไม่เหมือนกันสักนิด มีเหมือนกันอย่างเดียวคือสกิลกวนขึ้นเทพ พวกเขาทะเลาะกันเสมอและก็ต้องจบด้วยการที่เขาเข้าไปห้าม คิมเซจุนเป็นผู้ชายใจเย็น อยู่ด้วยแล้วเหมือนลอยอยู่ในทะเล เขาดูสุภาพบุรุษไม่เว้นแม้แต่เวลาเดินหรือดื่มน้ำ และด้วยผลการเรียนและอีกหลายๆอย่างที่บ่งบอกว่าเขาเป็นเจ้าชายกลับชาติมาเกิดจริงๆทำให้ใครๆใครๆก็ชื่นชมในความเพอร์เฟกทั้งหน้าตาและนิสัยของเขาทั้งนั้น ต่างจากพี่ชายคิมฮัน เป็นพวกปากหมาปัญญาควาย(?) เขาไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากเรื่องชกต่อยและวิชาพละศึกษา เขาเป็นนักบาสและนักบอลประจำโรงเรียน รวมทั้งเป็นพวกขาใหญ่ สองพี่น้องนี้หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะเพียงแต่คนพี่จะมีสีผิวแทนๆเหมือนนักกีฬามากกว่าเซจุนที่ดูจะเจ้าสำอางเหมือนหลุดมาจากการ์ตูนชวนฝัน
แต่โกซองก็คิดว่าสองพี่น้องคู่นี้มีบางอย่างที่เหมือนกัน เหมือนกันยิ่งกว่าน่าตา
คือพวกเขา ‘เป็นพวกชอบปกปิดความลับของตัวเอง’ ได้อย่างแนบเนียนเสมอ
ณ สมิคฟอร์ด
ค.ศ 2013
ผมก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งแรก สมิคฟอร์ด! ใช่ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมสะเออะเข้ามาได้ยังไงแต่มันมาได้แล้วล่ะ ตอนรู้ข่าวตาแทบจะเต้นโชว์กันเลยทีเดียว ส่วนแม่เองก็ดีใจจนออกนอกหน้า พี่ป้าน้าอานี่รู้กันหมดว่าผมจะได้เข้ามาเรียนที่นี่ ผมมองอาคารที่เหมือนวังอลังการในหนังยุโรปกลายๆ แล้วก็ต้องอึ้งค้างเพราะมันสวย สวยมาก น้ำพุที่ตั้งอยู่หน้าตึกมีรูปปั้นนางเงือกถือเหยือกน้ำเทลงมามันเหมือนจริงเสียจนทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันมีชีวิตจริงๆเลย ผมมองไปรอบๆแล้วก็ต้องรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนงานกะเหรี่ยงที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง ถึงแม้ว่าผมจะใส่เครื่องแบบนักเรียนของที่นี่ก็เหอะ แต่ข้าวของเครื่องใช้ที่มันพะรุงพะรังเหมือนหนีน้ำท่วมนี่ทำให้นักเรียนคนอื่นมองผมอย่างประหลาดๆแล้วก็หัวเราะออกมา
ไรแว๊?! ไม่เคยเห็นแดฮยอนคัมฟรอมปูซานไง๊วะ?
“เฮ้ ลิมูซีนนายอยู่ทางไหนเหรอ?” ไอ้หน้าสวยที่โกรกผมสีแดงแปร๊ดแสบตารายหนึ่งเดินเข้ามาแล้วถามผมในคำถามที่น่าถีบที่สุด ก็พอเข้าใจน่ะนะว่าที่นี่มันเป็นโรงเรียนลูกคนรวย แต่ถามชื่อก่อนไม่ดีกว่าเหรอ? จะมาลีมูซงลีมูซีน มีแต่อีแต๋นอ่ะได้ป่ะ? -.- ผมเลยตอบไปว่า... “อ้อ ความจริงแล้วฉัน...”
“ความจริงแล้วเขาขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมาน่ะ โทษทีนะฮยอนซึง หมอนี่เป็นแขกของฉัน”
เสียงแหบเสน่ห์ของใครก็ไม่รู้ดังขึ้นมา เขาเข้ามาโอบไหล่ผมแล้วบีบมันเบาๆเป็นเชิงให้ผมเออออห่อหมกไปด้วย เขาเป็นผู้ชายวัยเท่าๆกับผมที่มีดวงตาสีดำสนิท ผิวขาวเนียนละเอียดนั่นทำให้ผมอาย...ไม่ได้อายอะไร ผมดำนั่นเองครับท่านผู้ชม หมอนั่นหันมายิ้มให้ผมและนั่นทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาสวยดีคนนึงเลยทีเดียว ไอ้หัวแดงชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินออกไป
“นายคงเข้าใจผิดน่ะนะ ฉันไม่ได้ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวมาหรอก” ผมบอกเขาด้วยความสัตย์จริง หมอนั่นหัวเราะเหมือนพี่หม่ำจ๊กมกมากับคณะตลกชิงร้องชิงล้านแล้วพูดในสิ่งที่ผมพอจะเข้าใจ “รู้ไหมเด็กใหม่ว่าถ้านายไม่ตอบอย่างนั้นนายก็จะโดนแบน จะไม่มีเพื่อนเพราะนายมันจน ฉันเห็นนายเดินลงมาจากรถเก่าๆคันหนึ่งเท่านั้นเองนี่นา ใช่ไหม?” ผมพยักหน้า อ้าว...โรงเรียนนี้มันคบกันที่เงินหรอกเรอะ
“สวัสดี ฉันชื่อจองแดฮยอนนะ” ผมแนะนำตัว อย่างน้อยไอ้หมอนี่ก็เป็นคนดีคนแรกที่เคยเจอในโรงเรียนนี่ เขายิ้มแล้วตอบ
“ฉันคิมฮิมชาน อยู่ม.ปลายปีสุดท้ายปีนี้แล้ว” เขายื่นมือมาจับมือผมอย่างเป็นมิตร ฮิมชานดูเป็นคนร่าเริงและรอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมใจชื้นได้ไม่ยากแถมยังอายุเท่าผมด้วย(ขึ้นม.ปลายปีสามเหมือนกัน) ผมสังเกตดีๆแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าสำอางเหมือนน่าตาสวยๆของตัวเองเลยเพราะมีรอยสีที่เปื้อนอยู่ที่ปกเสื้อของเขาอยู่ มีทั้งสีเขียว สีดำ สีเหลือง และก็สีแดง... ดูท่าฮิมชานจะเป็นคนที่ซกมกพอสมควรเลย อ้ะ! ผมเห็นพู่กันโผล่มาจากกระเป๋าเสื้อเขาด้วย “ฉันคิดว่านาย...น่าจะเอาเสื้อไปให้เขาซักรีดสักหน่อยนะ” ผมแนะนำ เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ คิกๆ พอดีฉันอยู่แต่ในห้องวาดรูปน่ะ เลยเบลอๆไปหน่อย” เขาหยุดแล้วหัวเราะเสียงดัง มันน่าขำตรงไหนวะ? แล้วก็พูดขึ้นมาอีกเมื่อหยุดขำแล้ว “นายนี่ตลกดีแฮะ ไม่มีใครกล้าพูดกับฉันแบบนี้มาก่อนเลยนะ”
กล้า? อ้าววว คิมฮิมชานเป็นลูกผอ.รึ
“เอ้า นายเป็นลูกผอ.เหรอ” ถามแม่ม
ฮิมชานหัวเราะจนท้องแข็ง ผมได้แต่ยืนมองอย่างงงๆ เขาเป็นคนอารมณ์ดีหรือจิตไม่ปกติกันแน่บอกที ปากบางนั่นทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ก็ต้องหยุดเอาไว้เพราะเสียงประกาศที่ดังขึ้นมาแทรกจังหวะ
‘นักเรียนเข้าใหม่ให้ไปรายงานตัวที่หอประชุมใหญ่’
“อา...ฉันต้องไปก่อนแล้วนะ ไว้เจอกันที่ห้องเรียน” ผมโบกมือลาเขา ฮิมชานพยักหน้าแล้วโบกมือลาเช่นกันด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า ผมเดินไปจนลับตาเขาแล้วเดินเข้าไปในหอประชุมใหญ่พร้อมกับนักเรียนรายอื่นอีกมากมายที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“จองแดฮยอน ม.ปลายปีสาม หมายเลขที่เท่าไหร่นะ?” บนโต๊ะทะเบียนมีอาจารย์ท่าทางใจดีที่ใส่แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมอันใหญ่เหมือนอาราเล่ถามผมเรื่องเลขที่ประจำตัว ผมตอบไปว่า “ใช่ครับ..ผมหลายเลขที่หกร้อยหกสิบหกครับ”
“อะไรนะนักเรียน?” อาจารย์ถามเสียงสูงขึ้นมาอีกหน่อยอย่างแปลกใจ ผมเลยตอบไปอีกครั้ง “หกร้อยหกสิบหกครับ” ผมได้ยินเสียงครางเบาๆในลำคอของอาจารย์ที่เหมือนจะดูตกใจไม่น้อย ก็เข้าใจว่าเลข666มันเป็นเลขไม่มงคลสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางเขาดูกลัวๆนะ
อาจารย์หยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรยึกยือใส่หนังสือรับนักเรียนใหม่ต่อไปแล้วไม่ถามอะไรผมอีก ยื่นหนังสือเล่มเล็กๆนั่นนั้นมาให้ผมอย่างรวดเร็ว ผมรับมันมาแล้วก้มลงอ่านเพราะในนี้ดูเหมือนจะมีแผนที่ทางต่างๆในโรงเรียน ห้องเรียนและเลขที่ห้องนอนของผมอยู่ด้วย
‘303’
หืม? ห้องนอน303 งั้นเหรอ งั้นก็คงต้องเอาข้าวของพะรุงพะรังนี่ไปเก็บบนห้องซะก่อนแล้วค่อยไปทำความรู้จักกับโรงเรียนไฮโซนี่ละกันนะ
ตึก ตึก ตึก
ผมเดินขึ้นบันได มันเป็นบันไดวนๆ ด้านในหอมีรูปภาพตั้งเรียงรายติดผนังเต็มไปหมด มีทั้งภาพของดังๆหลายภาพอย่างของเรมบรันต์ ศิลปินชื่อดังชาวเนเธอแลนด์ ภาพของแวนโก๊ะ ปีกัสโซ และก็โมนาลิซ่าที่ดูจะใหญ่กว่าปกติ มันตั้งตระหง่านอยู่กลางหอทันทีที่ผมเดินเข้ามาด้านใน แต่เดี๋ยวนะ...คือภาพพวกนี้มันต้องอยู่ในพิพิธพันธ์ไม่ใช่เหรอเนี่ย ในขณะที่ผมคิดผมก็หยุดเดินแล้วมองลงไปด้านล่าง มันสวยมากจริงๆ สวยจนผมไม่กล้าอยู่เลย(กลัวทำของเขาเสียหายนั่นเอง)
“นายควรเอาของนายไปเก็บก่อนที่จะมาชมภาพศิลปะจอมปลอมที่เด็กนักเรียนวาดเลียนแบบมานะนะ”
ใครบางคนที่เดินลงมามองผมด้วยแววตาเรียบนิ่งและน้ำเสียงที่ดูหยามเหยียดพอสมควร เขาเป็นผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อน ใส่แว่นตากรอบเหลี่ยมสีดำที่ดูดีทีเดียว ในมือนั่นถือหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์อยู่และเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็เรียบร้อย รีดเรียบเป๊ะ แถมยังดูคุณชายพุฒิภัทรสุดๆ(มาจากไหนเนี่ย - - ) ป้ายชื่อกรอบสีทองเล็กๆติดอยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายเขียนว่า ‘ยูยองแจ’ แต่ว่าภาพทั้งหมดเนี่ยน่ะเหรอนักเรียนวาด สงสัยที่ว่ากันว่านักเรียนโรงเรียนสมิคฟอร์ดเก่งเรื่องวาดรูปกันเยอะก็คงไม่ใช่แค่เรื่องโม้ซะแล้ว ผมหลุดจากภวังค์แล้วพยักหน้าทันที “เอ่อ คือฉันเพิ่งเข้ามาใหม่วันแรก ขอโทษด้วยถ้านายไม่พอใจ”
“ไม่ได้บอกว่าไม่พอใจ แค่แนะนำว่าให้เอาไปเก็บก่อน นายเป็นพวกคิดไปเองหรือยังไงกัน”
เขาพูดแล้วทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ผมกำลังจะตอบกลับแต่หมอนั่นก็ผลักไหล่ผมให้พ้นทางแล้วเดินแดะๆ ลงไปแล้วไม่หันมามองอีก ขอบคุณมาก! เขาเป็นผู้ชายที่ดูเป็นมิตรและน่ารักซะยิ่งกว่าอะไร บางทีผมอาจจะได้เป็นเพื่อนสนิทหมอนี่ตอนที่เข้ามาอยู่ได้สักพัก... ประชดน่ะนะ ผมมองเขาจนลับตาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ มือก็ลากอิกระเป๋านี่ไปด้วย โอ้ย!!! นี่มันมีอะไรเยอะแยะวะ แบกมาแบบไปลากมาลากไปจนข้อต่อจะหลุดอยู่แล้ว
ครืดดด ครืดดด
ผมลากกระเป๋าของตัวเองมาหยุดอยู่ที่ห้องที่มีป้ายไม้กลมๆ เขียนไว้ว่า ‘303’ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไอ้ทางเดินที่ผมลากกระเป๋ามาเนี่ยมันเป็นพรมแดงอย่างกับมาต้อนรับแบรดพิตต์ ผมมองป้ายชื่อห้องแล้วหยิบกุญแจที่ได้รับมาพร้อมกับหนังสือเล่มเล็กนี่แล้วไขห้องเข้าไป แล้วผมก็ต้องอ้าปากกว้างออกมาเพราะมันดูไฮโซและเริ่ดสุดๆ เตียงเป็นเตียงขนาดใหญ่ที่มีผ้าบางๆขาวๆห้อยลงมาจากเสาที่อยู่บนหัวมุมเตียง ข้างๆเตียงนอนมีโคมไฟที่แลดูคลาสสิกในแบบที่ผมเคยเห็นแต่ในหนัง โต๊ะอ่านหนังสือเป็นไม้และก็มีกระจกบานใหญ่ที่ส่องเห็นได้ทั้งตัววางอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะอ่านหนังสือ หน้าต่างเป็นทรงครึ่งวงกลมบานใหญ่เบ่อเร่อเหมือนในโบสถ์คาทอลิกที่พอมองทอดออกไปจะเห็นภูเขาลูกสีเขียวและทุ่งดอกไม้หลังโรงเรียนได้อย่างไม่ยาก ถึงแม้ห้องจะไม่กว้างเท่าบ้านผมแต่มันก็ใหญ่กว่าห้องนอนผมสองเท่า ผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วก็ต้องตะลึงอีกครั้งกับอ่างอาบน้ำจากุชชี่ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ มีเครื่องทำน้ำอุ่น กระจกบานกลมๆที่ตั้งเหนืออ่างล้างหน้าที่ทำจากหินอ่อนไปนิดหน่อย สบู่สีขาวนวลนั้นถูกแกะสลักเป็นรูปดอกกุหลาบและกลีบดอกกุหลาบจริงๆที่ถูกใส่ไว้ในถ้วยแก้วสีน้ำเงินใสๆ ตั้งไว้ใกล้ๆกับอ่างน้ำจากุชชี่เพื่อให้หยิบสะดวก โอเค! ผมคิดจริงๆแล้วล่ะว่านี่มันโรงเรียนเจ้าชายชัดๆ และผมก็เป็นคนเลี้ยงม้าในวังที่ทำตัวเหมือนเจ้าชายเท่านั้นเอง
ไม่นานผมก็จัดของเสร็จ...เอ่อ อันที่จริงก็ไม่ได้จัดหรอก แค่วางกระเป๋าเอาไว้เสร็จแล้วแค่นั้นเอง สิ่งที่น่าสนใจกว่านี้ก็คือการสำรวจโรงเรียนใหม่นี่นะ คิดอย่างนั้นเองลงมาชั้นล่างทันทีด้วยความเร็วสูง อา โรงเรียนใหม่ ครูใหม่ เพื่อนใหม่ จากนี้จะเป็นยังไงต่อไปกันนะ!
จองแดฮยอนเดินลงมาชั้นล่างด้วยอารมณ์ลั้ลลาสุดแสนจะบรรยาย ที่นี่มันสวรรค์ชัดๆ พ่อของเขาคงจะมีความสุขมากที่ได้สอนเด็กที่นี่และเขาเองก็คงจะมีความสุขที่ได้เรียนที่นี่เช่นกัน เขามองไปรอบๆก่อนจะหยุดลงที่เด็กนุ่มที่เขาเคยพบเมื่อตอนเช้า
“ฮิมชาน! เฮ้” เขาร้องเรียก ผู้ถูกเรียกหันกลับมา “แดฮยอน นายเอาของเก็บเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ ก็ว่าจะลองสำรวจโรงเรียนดูสักหน่อย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คิมฮิมชานยิ้มมุมปากกับสิ่งที่หมอนี่คิด...อา สำรวจงั้นเหรอ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ยินคนพูดแบบนี้ มีแค่นักเรียนหมายเลขหกร้อยหกสิบหกคนนี้ที่ยงกุกบอกเท่านั้นเองที่คิด อะไรมันช่างเหมาะเจาะเสียนี่กระไร
“นายจะสำรวจ...พูดว่าสำรวจจริงๆน่ะเหรอ?”
“ก็ใช่ไง”
เขายิ้มอีกครั้ง แดฮยอนไม่เข้าใจว่าหนุ่มหน้าสวยคนนี้จะยิ้มไปเพื่ออะไรเลยได้แต่ยิ้มตอบกลับไป “ถ้านายจะสำรวจ ฉันมีที่หนึ่งที่แนะนำอยากให้ไปนะ”
“ที่ไหนเหรอ?”
“สวนดอกไม้หลังโรงเรียนนั่นไง เป็นที่ที่ดอกลิลลี่สีแดงสวยมากๆเลย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจแต่ความจริงก็แค่นึกสนุกเท่านั้น แกล้งเด็กใหม่มันก็น่าสนุกดีนี่นะ
ใครบอกว่าเขาเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ลืมไปได้เลย
แดฮยอนทำหน้าสนใจ ใช่เขาเห็นทุ่งดอกไม้นั่นอยู่ตอนมองออกไปนอกหน้าต่าง นั่นทำให้เขาขอตัวไปทันที ร่างบางกลั้นหัวเราะอยู่คนเดียวอย่างมีความสุขและก็ไม่มีใครจะหันมาสนเพราะรู้ๆกันอยู่ว่าคิมฮิมชานเป็นคนประเภทไหน เขาค่อยๆหยุดหัวเราะและสายตานั่นก็บอกเป็นเชิงว่า
‘มีเรื่องสนุกแล้วสิ’
บังยงกุกใช่เวลาในการค้นหาหนังสืออ่านในห้องสมุดมากกว่าเวลาพักผ่อนของเขาเสียอีก แต่จะว่าไปเวลาพักผ่อนของเขาก็คือที่นี่อยู่ดี ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาของมุนจงออบที่เดินไปทางโซนวรรณกรรมและเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งน่ารำคาญที่เจ้าตัวชอบนักหนา แปลก ปกติหมอนั่นมักจะนั่งๆนอนๆเล่นกับตุ๊กตาเป็นโหลของตัวเองในห้องมากกว่า แต่วันนี้กลับออกมาอ่านหนังสือในห้องสมุด
“สวัสดี” เสียงทักทายที่ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนดังขึ้นมาจากด้านหลัง ยงกุกไม่สะดุ้งอย่างที่ควร เขาได้แต่หันกลับไปแล้วมองลอดช่องที่ใส่หนังสือไปเห็นดวงตาของมุนจงออบและผมสีทองเป็นประกายน่าหมั่นไส้นั่นโผล่ออกมาเล็กน้อย “ทักทายได้แจ๋วดี” ยงกุกแค่นยิ้มก่อนจะหันกลับไปเลือกหนังสืออีกฝั่งนึง
“กำลังตกใจที่ฉันมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงสินะ” จงออบกวนประสาทด้วยน้ำเสียงโทนเรียบเช่นเดิม “วันนี้ฉันไม่มีอะไรทำ แล้วก็ได้ข่าวแค่ว่านักเรียนหมายเลข666เข้ามาในโรงเรียนแล้ว”
“ไหนบอกว่าจะรับน้องใหม่ อย่าบอกนะว่านายทำตามคำสั่งของฉันด้วย”
“แน่นอนพ่อหนู ฉันก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งเหมือนกันเพราะงั้นคำสั่งของประธานนักเรียนและกฎเน่าๆของโรงเรียนฉันก็ต้องทำตามอยู่แล้ว ไม่เหมือนคิมฮิมชานตัวดีของนาย”
“หมอนั่นไปทำบ้าอะไรอีก”
มุนจงออบเลิกคิ้ว เขาไม่ตอบอะไรนานเสียจนยงกุกขมวดคิ้วแล้วหันมาเห็นร่างเล็กยังคงยืนจ้องเขาที่ช่องเล็กๆนั่นเหมือนเดิม เขาถอนหายใจเบาๆแล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่จงออบก็ปัดหนังสือจากชั้นให้ร่วงลงมาตกพื้นดังตุ๊บต่อหน้าบังยงกุก
ตุ้บ! ครึก ตุ้บ
ยงกุกมองหนังสือที่กองอยู่บนพื้นสองสามเล่มแล้วเงยหน้าขึ้นมาจงออบด้วยแววตาไร้อารมณ์ยากจะคาดเดาว่าเขาคิดอะไรออก แต่จงออบเคาะนิ้วเบาๆแล้วเอ่ยเป็นทำนองเพลง
“ก็ทำแบบที่ฉันทำกับหนังสือไง – ผลักเขาลงไป - ในหลุมอันมืดมิด ”
“เอาล่ะบังยงกุก อาการประสาทๆน่าปวดหัวของเขากำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้วแน่ะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างใจเย็น เขาก้มลงเก็บหนังสือพวกนั้นขึ้นมาแล้ววางไว้ในช่องเช่นเดิมจนหมดครบทุกเล่ม ในขณะที่ร่างเล็กยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน มือหนาเอื้อมไปหยิบหนังสือจากอีกมุมหนึ่งขึ้นมาถือ เขามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเรียวคู่นั้นแล้วพูดขึ้นมาบ้าง
“เรื่องประสาทๆ น่าปวดหัว... เห นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่นายชอบเหรอ?”
บังยงกุกยิ้ม ยิ้มในแบบที่ไม่มีใครเข้าใจได้และเดินออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วทิ้งให้มุนจงออบยืนอยู่ตามลำพัง เขามองร่างสูงที่ทำตัวเป็นประธานนักเรียนที่แสนน่ารังเกียจจนลับตา มือข้างหนึ่งกำแขนของตุ๊กตาเด็กผู้หญิงผมสีดำขลับยาวสลวยเหมือนกับผมของมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยนและริมฝีปากที่แดงเป็นมัน ดวงตาสีแดงกลมโตนั่นจ้องมองเป็นทางตรง
ร่างบางยกตุ๊กตาขึ้นกอดแนบอก พร้อมกับพึมพำเสียงแผ่วที่ไม่มีใครได้ยิน...
“หายนะกำลังจะมาเยือน...อา แต่ฉันชอบมันจัง”
หากจะถามว่าเด็กหนุ่มคนไหนเป็นพวกมีมันสมองฉลาดเฉลียว หล่อเหลา ตลกร้าย และเหลี่ยมจัดมากที่สุดในชั้นมัธยมปลายล่ะก็ ทั้งสมิคฟอร์ดก็มีอยู่คนเดียวที่โดดเด่น นั่นก็คือ ‘ซอนัมโซ’
ร่างสูงเดินผิวปากอยู่ในอาคารเรียนชั้นสามของตึก ในมือถือหนังสืออยู่สองสามเล่ม ในหัวคิดถึงเรื่องแปลกๆที่ลีโฮยอนฆ่าตัวตายในโรงเรียน เขาไม่เคยคุยกับหมอนั่นมากเท่าไหร่แต่ก็ไม่ใช่จะไม่รู้จักเลย ลีโฮยอนเป็นคนพูดน้อย ผิวขาวซีดเหมือนกับชื่อของเจ้าตัวที่แปลว่าหิมะและไม่ค่อยมีเพื่อนมากมายเท่าไหร่แต่อย่างน้อยจางโกซองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ที่น่าสงสัยมากที่สุดคือสัญลักษณ์ school day 666 นั่น
ลีโฮยอนเขียนมันมาเพื่ออะไร? ทำไมถึงเขียน และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องฆ่าตัวตาย ได้ยินมาว่าลีโฮยอนมักจะถูกเพื่อนนักเรียนแกล้งอยู่เสมอและตัวเองก็ไม่ค่อยสู้คนทำให้เจ็บเนื้อตัวบ่อยๆ แต่นั่นจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลีโฮยอนคนนั้นฆ่าตัวเองตายได้ยังไง? มันจะใช่ได้ยังไง?
เขาเก็บงำความสงสัยของตัวเองเอาไว้ แล้วเดินตรงเข้าห้องเรียนไป
“อ้ากกกกกกกกกก!!!!”
เสียงของเด็กนักเรียนด้านนอกดังขึ้นเสียงดัง นัมโซรีบหันกลับไปแล้ววิ่งออกมานอกห้องเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น นักเรียนคนอื่นๆต่างก็รีบวิ่งออกมาจากห้องเรียนอย่างพลุกพล่านเช่นเดียวกัน แล้วก็ต้องพบกับร่างทั้งร่างที่นอนโชกเลือดอยู่ที่สนามบาสด้านล่าง เลือดสีแดงแตกกระจายอยู่รอบๆตัวเขาและดูจากด้านบนก็รู้ว่าหมอนั่นแขนขาบิดอย่างผิดรูปเพราะเกิดจากแรงกระแทก เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กชั้นม.ปลายสีสองที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดร้องไห้แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“เขา...เขา เขาตกลงไปจากชั้นเมื่อกี๊นี่เอง”
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเคร่งขรึมของฮวางซองชินกรรมการคุมกฎสุดหล่อเดินแหวกฝูงชนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เห็นศพของนักเรียนด้านล่าง นั่นทำให้เขารีบวิ่งลงไปดูอาการทันที นัมโซมองแผ่นหลังของเพื่อนร่วมชั้นแล้วแค่นยิ้มมุมปากอย่างยียวน แล้วคิดว่านี่มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ คนดีๆจะตกลงไปได้ยังไง
สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้นัมโซรู้สึกแปลกๆอย่างประหลาด เขาหันมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องพบกับรูปรวมนักเรียนในชั้นเรียนของเขาที่ถ่ายเมื่อต้นปี ในนั้นมีอีกหนึ่งคนที่มองมาทางเขา ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มบางๆของหมอนั่นทำให้เขารู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย
ลีโฮยอน...
________________________________________________________________________________________________
ดีจ้ารีดเดอร์ ><
คือไรต์จะบอกว่าจะมีตอนอดีตสมัยที่เริ่มคำสาปแทรกในเรื่องมาด้วยในทุกๆตอนเลย
คงไม่ว่าอะไรกันชิมิ ตอนนี้ออกมาครอบ6คนเลย ทั้งจางโกซอง คิมฮิน คิมเซจุน
เซฮีวอน ฮวางซองชิน ลีโฮยอน และซอนัมโซ ใครเป็นใครก็เดากันเองละกันนะ
ป.ล หลายคนทายถูกแบบเป๊ะๆ และหลายคนก็เดาไม่ถูกเลย ฮ่าๆ (อันสองนี่เยอะ)
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์และหลายๆคนที่ติดตามกันมานะจ๊ะ
มาแค่นี้แหละ เจอกันตอนต่อไปเมื่อเม้นครบ 20 นะเอออ ^^
-------
ความคิดเห็น