คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : RETRACE I
RETRACE
I
‘นักเรียนหมายเลขที่666 ความจริงแล้วจะเป็นผู้กล้าในการปลดปล่อยคำสาป....
หรือเทวดาตกสวรรค์ผู้นำมาซึ่งหายนะกันแน่’
“นี่พวก”
เสียงแตกหนุ่มของเด็กชั้นมัธยมต้นคนหนึ่งเริ่มเรื่องสนทนากับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งกินข้าวด้วยกันในโรงอาหารขนาดใหญ่ของโรงเรียน เขาวางช้อนลงเมื่อนึกถึงเรื่องที่ควรจะเล่าตั้งนานแล้วได้
“ว่าไง”
“พวกนายเพิ่งเข้ามาใหม่ รู้อะไรหรือเปล่าว่าโรงเรียนนี้มันไม่ปกติ” เขาพูดพร้อมกับทำหน้าชวนสยอง เพื่อนๆอีกสองคนทำหน้าประหลาดใจ เด็กชายกวักมือเป็นท่าที่ให้เพื่อนผู้มาใหม่ทั้งสองยื่นหูเข้ามาใกล้
“ก็...คำสาป school day 666 ของที่นี่ไง”
“สะ...สคูลเดย์ หกร้อยหกสิบหก” เด็กใหม่ขยับปากตามแล้วก็ต้องรู้สึกขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว มันดูขลังๆ อย่างประหลาด ผู้เล่าพยักหน้าแล้วพูดต่อ
“ฉันจะเล่าให้ฟัง ต้นเหตุแห่งคำสาปนั่น...”
6 / 6 / 19XX
ตึก
ตึก
ตึก
เสียงย่ำเท้าในความมืดมิด นาฬิกาลูกตุ้มที่ตั้งไว้กลางหอพักนักเรียนชายโรงเรียนสมิคฟอร์ดบอกเวลาเป็นเวลาเที่ยงคืนเป๊ะ มีแค่แสงไฟสลัวๆจากดวงจันทร์บนฟ้าเท่านั้นที่ทำให้ ‘เขา’ มองเห็นของทุกอย่างได้รางๆ ร่างเล็กเดินไปตามทางพรมสีแดงและหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของตัวเอง
‘แอ้ด...ดด’
เปิดประตูไม้สักเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน เดินไปทางหน้าต่างแล้วเปิดผ้าม่านสีครีมหม่นของตัวเองเผยให้เห็นเงาของตัวเองที่แสงจันทร์สะท้อนผ่านกระจกใสๆนั่น เขาค่อยๆหันหน้าไปมองกระจกเงา เผยให้เห็นเด็กหนุ่มหน้าขาวเนียนที่มีรอยช้ำข้างแก้ม ทรงผมที่ไม่ได้จัดแต่งและใบหน้าซูบซีดแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์อันแสนประหลาดที่ทำให้คนหยุดมองได้ ชุดเครื่องแบบสีขาวของสมิคฟอร์ดที่ดูหลุดลุ่ยและเนกไทที่สวมไม่เข้าที่นั่น ดูก็รู้ว่าเขาคงจะโดนทำร้ายร่างกายมา.... อีกตามเคย
ร่างบางหยิบมีดเล่มเล็กขึ้นมาจากใต้หมอนด้วยใบหน้าเรียบเฉย แล้วค่อยๆ บรรจงกรีดข้อมือบางของตัวเอง เลือดสีแดงเข้มไหลหลั่งลงมาช้าๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เจ็บ เจ็บจนอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยัง ยังไม่ตาย อยากจะทรมาณตัวเองจนกว่าร่างกายจะรับไม่ได้เสียก่อน อยากทำให้พวกมันรู้ว่าเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน
มืดเล่มเล็กเลื่อนไปมาที่ข้อมือมาถึงแขน เขากดมันลงไปจนกลายเป็นประโยคบางอย่าง ผ้าปูที่นอนสีขาวกลายเป็นสีแดงฉานของเลือดที่ไหลลงมาอย่างน่ากลัว เมื่อกรีดแขนตัวเองเป็นคำที่อยากจะบอกเสร็จ เขาวางมีดลงแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจก ใช้มือของตัวเองที่จับมีดนั่นแหละทุบกระจกจนแหลกละเอียด แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ร่วงลงมาที่พื้น
‘พวกแก...จะต้องชดใช้ทุกอย่างให้ฉัน’
เขาดึงผ้าม่านลงมา ยิ้มบางๆให้แสงจันทร์ที่ส่องกระทบดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะหยิบผ้าม่านนั่นไปผูกกับโคมไฟห้อยระย้าด้านบนเพดานโดยการยืนบนเก้าอี้ หลับตาลง แล้วค่อยๆ มองทุกอย่างในห้องเป็นครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะตุ๊กตาหน้าตาน่ารักของตัวเองที่ยิ้มหวานอยู่ที่หัวเตียง ก่อนจะหย่อนคอลงที่ขื่อผ้านั่นพร้อมกับเตะเก้าอี้ออกไป
คึ่ก....คึ่ก
“อะ...อ่อก...อื้อ”
ร่างเล็กสั่นเทา ชักกระตุก ทรมานจนรู้สึกอยากจะตาย ใช่ เขาต้องตาย นั่นคือสิ่งที่ต้องการ ต้องการให้พวกที่กลั่นแกล้งเขาได้เห็นเขาในสภาพที่น่าสังเวชที่สุด จะให้จำไปจนวันตาย จนกว่าจะตายจากกัน
รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ น้ำหูน้ำตาไหลจนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร หน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วยิ่งซีดเข้าไปใหญ่เหมือนศพในโลงเย็น เขาดิ้นอยู่สองสามที
แล้วก็หยุดไป พร้อมกับดวงตาที่ยังคงเปิดค้างและริมฝีปากที่ยิ้มแสยะ มองไปที่ประตู
‘ฉัน...ก็แค่….
รักนายมากไปเท่านั้น’
[ จองแดฮยอน ]
ผมชื่อจองแดฮยอน แค่จองแดฮยอน แต่เพื่อนของผมมักจะเรียกผมว่าไอ้ห่วยจ๋อง ครอบครัวของผมเรียกผมว่าแดฮยอน คุณครูทุกคนที่โรงเรียนประจำจังหวัดเรียกผมว่าคุณจองเกรดต่ำ หมาของผมเรียกผมว่าโฮ่ง ผมอายุครบ 18 ปีปีนี้ และกลายเป็นหนุ่มเต็มตัวเมื่อผมกำลังจะเข้าศึกษาชั้นม.ปลายปีสาม
ผมมันห่วย กีฬาก็ไม่ได้เรื่อง หากคุณเห็นผมไปเล่นฟุตบอลแล้วชนะล่ะก็ แจ้งตำรวจข้อหาโดฟยาได้เลย หรือถ้าเห็นผมทำข้อสอบได้เกิน65คะแนนล่ะก็ เอากล้องวงจรปิดมาตรวจได้เพราะผมคงจะแอบเอาหนังสือไปอ่านหรือหาวิธีขี้โกงจนได้
“แดฮยอน เกรดลูกออกแล้วแน่ะ” แม่เดินเข้ามาแล้วยื่นใบเกรดให้ ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วรับมันมาช้าๆ แล้วคลี่มันออกพร้อมกับอ่าน
“2.00”
อืม... นี่แหละเกรดปกติของผม ทำเกรดได้สี่ก็มีอยู่ครั้งเดียวตอนป.หนึ่ง ตอนเรียนชั้นประถมได้สามกว่าหน่อยๆ แต่พอขึ้นมัธยมแล้วจากนั้นคำว่าสามคืออะไรตรูไม่รู้จัก ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเป็นเหมือนผม
“แกก็ตั้งใจเรียนหน้อยสิโว้ยยย! ไม่งั้นแกจะสอบติดมหาลัยอะไรได้บ้างห๊า!?” เสียงของตาที่นั่งดื่มสาเกญี่ปุ่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันหันมาโวยวายใส่ผมเหมือนทุกครั้งที่ผมเปิดใบเกรด ผมเถียง
“โห่ตา ถ้าตาอยากให้ผมได้เกรดดีๆตาก็ลองมานั่งเรียนกับผมดิ แล้วจะรู้ว่ามันยากนะตา”
“เถียงรึไอ้หลานคนนี้นี่! เดี๋ยวปั้ดโบกด้วยท่ายูโด”
“ระวังกระดูกล่ะตา” ผมแลบลิ้นใส่แกแล้วเดินขึ้นบ้านไป ตาได้แต่ทำหน้าเหมือนจะด่าปมแล้วก็เงียบไปเพราะผมหนีขึ้นมาก่อน แม่มองแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมๆ โถ่เอ้ย ผมมันก็แค่นักเรียนบ้านนอกคอกอีเลิ้ง ผมจะไปเก่งเหมือนนักเรียนในโซลได้ยังไง ผมเคยเฝ้าฝันว่าสักวันผมอาจจะได้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนดีๆ อย่างสมิคฟอร์ด โรงเรียนประจำชายล้วนที่สุดเก่งแล้วก็โด่งดังที่สุดในประเทศที่พ่อของผมเคยเป็นอาจารย์สอนที่นั่นก่อนที่จะเสียชีวิต พ่อของผมเป็นคนเก่งมากส่วนผมไม่ติดท่านสักนิด เลยได้แต่ฝันว่าตัวเองใส่ชุดสูทสีขาวลูกผู้ดีนั่น แต่ผมก็เคยได้ยินเหมือนกันนะว่าสมิคฟอร์ดใช้เส้นของลูกหลานครูพอสมควร ใครที่มีพ่อแม่เป็นครูหรือแม้แต่ภารโรงที่นั่น สมิคฟอร์ดจะรับเข้าได้ง่ายๆเลยทีเดียว
แต่มันคงไม่ขนาดนั้นมั้ง...หรือถ้าใช่ ผมก็มีความหวังอยู่ล่ะนะ
ผมเดินไปเปิดโน๊ตบุ๊คจะพังแหล่มิพังแหล่ของตัวเอง แม่บอกว่าถ้าผมทำเกรดได้ถึง3.00เมื่อไหร่จะซื้อให้ใหม่ แต่ผมว่าให้ผมแปลงร่างเป็นเรนเจอร์ยังจะง่ายกว่า
‘กล่องขาเข้า 1’
ผมเข้าเมล แล้วก็ต้องพบว่ามีคนส่งเมลบางอย่างมาให้ ผมกดเข้าไป
‘ยินดีด้วย! จองแดฮยอน ทางโรงเรียนสมิคฟอร์ดรับคุณเข้าศึกษาในปีการศึกษาหน้านี้ เนื่องด้วยคุณเป็นลูกชายของอาจารย์จองฮยอนจง หากคุณต้องการเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนของเรา ช่วยติดต่อกลับทางอีเมลและเตรียมตัวสำหรับปีการศึกษาใหม่นี้ หากได้รับจดหมายนี้แล้วท่านไม่ตอบกลับภายในสามวัน จะถือว่าสละสิทธิ์ ขอบคุณ’
ผมอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาสิบรอบได้ โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยหักมุก! ผมกำลังจะได้เข้าเรียนในสมิคฟอร์ด ผมจะบ้าตาย! ผมรีบกดตอบรับอีเมลนั้นอย่างรวดเร็ว แหง ใครกันล่ะจะไม่อยากเข้าสมิคฟอร์ด โอกาสทองคำแท่งมาอยู่ตรงหน้าแล้วผมจะปฎิเสธให้โง่หรือไง
ผมเลื่อนอ่านให้ละเอียดอีกที แล้วก็ต้องพบกับตัวหนังสือที่เล็กกว่าเพื่อนที่หัวมุม
‘หมายเลขประจำตัวนักเรียนของคุณคือ 666’
กรี้งงงง กรี้งงงงง!
เสียงกริ่งบอกเวลาเป็นหกโมงเช้า มันเป็นเสียงเพื่อปลุกให้นักเรียนชายที่ขี้เซาตื่นจากการนอนหลับมาทั้งคืน เหล่าหนุ่มๆ ต่างลุกขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และเตรียมตัวสำหรับการเรียนและกิจกรรมในแต่ละวัน มีเวลาเตรียมตัวอีก45นาที อีก15 นาทีพวกเขาต้องไปรวมตัวกันที่ห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้า เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเคยชิน
ยกเว้นร่างของเด็กหนุ่มที่ยังคงนิ่งสนิทที่ห้อยอยู่บนเชือกผูกคอนั่น...
ที่โรงอาหาร นักเรียนนั่งประจำที่กันถ้วนหน้า เหลือเพียงที่ว่างที่หนึ่งที่ไร้ซึ่งเงาของเจ้าของที่
“มันไปไหนซะล่ะ” เสียงของชายหนุ่มอายุสิบแปดถามเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆกัน แต่ก็ได้แค่คำตอบว่าไม่รู้กลับมา ทันใดนั้นใครบางคนก็เดินเข้ามาพอดีกับไม้เบสบอลที่พาดบ่าอยู่ เขาเป็นผู้ชายที่หล่อหาจับตัวยาก แต่นิสัยขี้วีนปากหมาของเขาและกริยามารยาทที่ห่างไกลคำว่าสุภาพบุรุษสุดๆ หากจะเปรียบเขากับตัวละครในนิยาย ก็คงจะเป็นอัศวินที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานี...อัศวินสีดำ
“ลี โฮยอนหายไปไหน?”
“ผม...ผมไม่รู้ครับ”
“หวังว่าพวกแกคงไม่ได้ไปแกล้งเขาใช่ไหม หืม?” ร่างสูงใช้ไม้เบสบอลแตะเบาๆที่หัวไหล่ผู้ถูกถาม บุคคลโดนต้อนส่ายหน้ารัวอย่างกลัวเกรง
“ผม...ผมไม่รู้เรื่องจริงๆครับคุณคิม ฮัน”
“ไม่เอาน่าฮัน นายกำลังทำให้เพื่อนๆกลัวอยู่นะ” เจ้าของรอยยิ้มมีเสน่ห์เหลือล้นเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร เขากวาดสายตาไปรอบๆแล้วอมยิ้มให้ทุกคน หน้าตาที่เหมือนกับคิมฮันราวกับแกะบ่งบอกได้เลยว่าพวกเขาเป็น ‘ฝาแฝด’ กัน เพียงแต่ว่าคนน้องดูมีสง่า เรียบร้อย และสุภาพบุรุษ ถ้าคิมฮันซึ่งเป็นอัศวินแล้วล่ะก็ เขาก็เหมือนกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ คิมเซจุน
“แล้วโฮยอนหายไปไหน ปกติเขาจะมาที่นี่เป็นคนแรกๆ ทุกเช้านี่”
“เขาอาจจะทำธุระไม่เสร็จก็ได้” เซจุนตอบเสียงนุ่ม แล้วนั่งลงบนโต๊ะอาหารโต๊ะถัดไป “เกมส์มันจบลงไปแล้วนี่นา ใช่ไหม?”
เซจุนยกยิ้มมุมปาก ฮันจิ้ปากอย่างขัดใจแต่ก็ต้องนั่งลงข้างๆน้องชายฝาแฝดอย่างจำยอม ไม่ทันไรเสียงนุ่มๆที่เหมาะกับหน้าสวยๆของ จางโกซอง ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ฉันจะไปตามเขามาให้แล้วกันนะ”
“ขอบคุณนะ อา...กลับมาภายในสิบนาทีล่ะ ไม่งั้นสตูในชามของนายคงจะหมดแน่ๆเลยโกซอง” เซจุนหันไปยิ้มให้เซฮีวอนหนุ่มน้อยแว่นตากลมๆเพื่อนในกลุ่มที่ทำหน้าเหมือนอยากกินสตูของโกซองใจจะขาด ฮันลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับบอกว่าจะไปกับโกซองด้วย แล้วพวกเขาก็เดินออกไปจากโรงอาหารพร้อมกัน
ในหอพักชาย ไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคนเดียว จางโกซองกับคิมฮันเดินขึ้นบันไดวนอย่างเงียบเชียบ อากาศชื้นๆ ของที่นี่พวกเขาอยู่มาตั้งแต่มัธยมต้นจนชินทำให้ดูไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ โกซองหันซ้ายหันขวาแล้วอมยิ้มออกมา
“ตอนเด็กๆ ฉันเองก็ชอบแอบขึ้นมาเล่นแถวนี้ตอนทุกคนทานข้าวกัน มันเงียบดี”
ฮันไม่ตอบอะไร โกซองหยุดพูดแล้วเดินตามทางเท้ามาเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องของลีโฮยอน มือเรียวเคาะประตูเบาๆ
“โฮยอน โฮยอนอา”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากคนด้านใน
“โฮยอน นายไม่สบายหรือเปล่า ให้ฉันเข้าไปไหม?” โกซองถาม แต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวภายในนั้นอยู่ดี ร่างบางหันไปมองฉันที่กอดอกอยู่ข้างๆกัน ทำหน้าเป็นไม่ห่วงแต่ก็ตามมาถึงที่นี่เลยเชียวนะ มือเรียวบิดประตูและพบว่าไม่ได้ล็อก เขาค่อยๆ เปิดเข้าไปช้าๆ
แอ้ดดด ด ดดดด
ภาพที่โกซองและฮันเห็น แทบจะลมจับ ร่างของโฮยอนห้อยลงมาจากเชือกเส้นสีขาวแข็งแรงนั่น ใบหน้าขาวซีดระคนเศร้าสร้อย เส้นเลือดสีแดงขึ้นรอบดวงตาที่มีน้ำสีใสคลอจนดูน่ากลัว มือและเท้าหงิกงอแสดงให้เห็นถึงความทรมาณจนถึงขีดสุดจนสิ้นชีวิตลง แขนเรียวถูกสลักเป็นตัวอักษรบางอย่างเอาไว้ด้วยมีด รอยเลือดไหลลงมาเกาะตัวจนแข็ง จากแขนลงสู่พื้นเป็นทางยาว สายตานั่นจ้องมาที่พวกเขา!
“อะ...อา...ฮะ โฮ”
โกซองน้ำตาคลอเบ้าด้วยความกลัวและช็อกสุดชีวิต ร่างกายแข็งทื่อเหมือนจะเป็นลม โกซองไม่เคยเห็นศพเป็นๆแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเลย ฮันเห็นอย่างนั้นจึงรีบใช้มือปิดตาทั้งสองข้างของโกซองแล้วล็อกตัวร่างเล็กเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน
“ฮะ...โฮ โฮยอน เกิดอะไรขึ้น?” โกซองดิ้นแล้วร้องโวยวายอย่างขวัญเสีย ร่างสูงหันหน้าหนีด้วยความเจ็บปวด เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับโฮยอนกันแน่
“นายตามโฮยอนนานเกินไปแล้วนา…”
เซจุนเดินเข้ามาพร้อมกับฮีวอน เขาหยุดพูดแล้วมองร่างทั้งร่างที่ห้อยอยู่บนเชือกด้วยสายตาอึ้งตะลึง ฮีวอนเอามือปิดปากตัวเองแล้วกรีดร้องออกมา
“โฮยอนตายแล้ว!!!!!!!!”
ไม่กี่นาที เหล่าครูอาจารย์ก็รีบเร่เข้ามาเพื่อจัดการกับเรื่องแปลกๆที่นักเรียนฆ่าตัวตายในโรงเรียน หมอชันสูตรศพชาวต่างชาติถูกจ้างให้เข้ามาแล้วพลิกศพดูอย่างระแวดระวัง
“เขาฆ่าตัวตายเอง...แต่ว่ามีร่องรอยถูกชกต่อยและทำร้ายร่างกายอยู่ มีทั้งร้อยเก่าและใหม่” เขาพูดในขณะที่มองใบหน้าและดวงตาของเด็กนักเรียน รู้สึกกลัวอย่างประหลาด ทั้งๆที่เขาเจอศพมาเยอะแยะ
แต่ศพนี้ เป็นศพที่น่ากลัวที่สุด
“ฮึก..โฮ โฮยอนเขา เขาเป็นนักเรียนเข้าใหม่เมื่อต้นปี และเขาก็มักจะถูกแกล้งเสมอครับ” โกซองพูดแล้วปาดน้ำตาของตัวเองทิ้ง เซจุนกอดโกซองไว้หลวมๆ ในขณะที่คิมฮันดูเหมือนจะช็อกไปแล้ว
“แล้วรอยนี่...” หมอหยิบแขนเย็นเฉียบขึ้นมา “คาดว่าเป็นคำใบ้ของผู้ตายก่อนจะเสียชีวิต”
เซจุนก้มลงมอง มันเป็นรอยกรีดเนื้อที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ
‘ school day 666 / everybody must to die’
ณ สมิคฟอร์ด
ค.ศ 2013
“น่าสนุกจังนะ”
น้ำเสียงเฉื่อยของ มุนจงออบดังขึ้นเมื่อมือเรียวบิดลูกบิดประตูห้องประธานนักเรียนของบังยงกุกเข้าไป ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วขีดเขียนงานอย่างขะมักเขม้น
“ออกไปไป”
“นักเรียนหมายเลขที่ 666 กำลังมาที่นี่ ฉันว่ามันน่าสนุกมาก... เลยจะขอท่านประธานนักเรียนว่า จะรับน้องใหม่สักหน่อย”
ยงกุกเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน
“นายมักจะเล่นแรงๆเสมอจงออบ ฉันไม่อนุญาติ”
“นั่นสินะ” เขาพูดด้วยเสียงโทนต่ำกว่าเดิมนิดหน่อย “คำสาปกำลังจะได้รับการแก้ไข งั้นคิมฮิมชานคนสำคัญของนายคงไม่ได้แบบสวยๆ เอาไว้วาดภาพซะแล้ว”
“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ นายอาจจะตายคนต่อไปก็ได้”
“ห่วงฉันด้วยเหรอ? ขอบคุณมากนะ” มุนจงออบยิ้มมุมปาก ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลง
“ฉันยุ่งอยู่” ยงกุกพูดอย่างเริ่มรำคาญ
“ไม่มีใครฟังฉันเลย...เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่สามารถพูดอะไรได้มาก”
มุนจงออบลุกออกจากเก้าอี้ไม้ เขาเดินไปบิดลูกบิดประตูนั่นเบาๆ ก่อนที่จะเดินออกไป ริมฝีปากบางก็เอ่ยคำพูดบางอย่างเสียงเรียบเชียบ แต่ทว่าเหมือนมีมนต์ขลังให้ยงกุกตั้งใจฟังอย่างประหลาด
“นักเรียนหมายเลขที่666 ความจริงแล้วจะเป็นผู้กล้าในการปลดปล่อยคำสาป....หรือเทวดาตกสวรรค์ผู้นำมาซึ่งหายนะกันแน่”
____________________________________________________________________________________
สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทุกคน
ไรต์ตัดสินใจแล้วว่าจะอัพเรื่องนี้พร้อมๆกับเดธเกมส์ค่ะ
เรื่องนี้งงมาก อย่างที่เคยบอก มันเกี่ยวกับการเวลา อดีต และความแค้น
เข้ามาอ่านกันแล้วก็เม้นให้ไรต์หน่อยเถอะค่ะ T^T
สัดส่วนเม้นมันน้อยมากกับคนที่เข้ามาอ่าน ไรต์จะไม่ทนล่ะนะ ถ้าชอบก็เม้น ถ้าไม่ชอบก็กดปิดไปเลย
ไม่ต้องมาทนอ่านต่อโดยไม่เม้นหรอก มันเสียความรู้สึกน่ะ เข้าใจนะคะ
ถ้าคุณนักอ่านไม่เม้น ก็อย่าหวังว่าจะลงตอนต่อไปเลยค่ะ
อ่านตอนนี้แล้วอาจจะงง ใครตาย พวกมันคือใครฟระ? ฮัน เซจุนบ้าบอไรนั่น
ถ้าอยากลุ้นก็ไม่ต้องอ่าน ถ้าอยากรู้ก็คลุมดำ
V
พวกนั้นคือบัพในชาติก่อน ในแปดสิบปีก่อนนั่นเองค่ะ
แต่ใครเป็นใครก็เดากันเอาเองเน้อ ไรต์บอกแค่นี้พอ ฮ่าๆ
บ้ายบายค่า ^^
ความคิดเห็น