ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lucifer of Hell ผู้คุมกฏในห้องเอกสาร

    ลำดับตอนที่ #5 : วิญญาณดวงที่ 5 ทางสว่าง(เพราะฝันละเมอ)

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 54


    บ้างครั้งข้าก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมคนเราต้องเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน ทำไมข้าไม่เกิดมาให้มันธรรมดากว่านี้ ข้าเองก็อยากจะอยู่อย่างสงบ อยู่อย่างสบายๆบ้าง ข้าไม่ต้องการความยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรมานเช่นนี้...
    ...คนที่นั่งบนเก้าอี้น่วมเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดอย่างเงียบๆก่อนอึดใจหนึ่งจะตอบกลับ
    งั้นท่านคงต้องทำงานรับใช้ข้าแทนแล้วล่ะ ถ้าท่านไม่ยอมทำงานนี้ ท่านก็ต้องต่อสู้กับคนอื่น ชีวิตไม่แน่นอน ไม่มีเงินสูงแบบนี้ ไม่ได้อยู่ในห้องสบายๆ(ที่มีเอกสารเป็นทุกอย่าง)แบบนี้ ไม่มีคนเคารพ(อันน้อยนิด)แบบนี้ ไม่มีคนคอยปกป้อง(เพราะจำเป็น)แบบนี้ ก็ถ้าท่านไม่ยอมข้าจะได้..
    ยอม..คนบนเก้าอี้หัวเราะในลำคอก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อพร้อมกับพึมพำด้วยความสมเพชปนขำ
    ละเมอตอบก็เป็นว่ะ หึ
     
    “ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่ากองนี้ให้เอาไว้ชั้นสามน่ะ! ทำไมไม่จำเลยนะ กองนั้นก็ชั้นสองแถวสาม เราควรจะเอาวิญญาณที่ค้างมานานไว้ชั้นล่างๆไล่ระดับความสูงขึ้นไปตามอายุการอยู่ที่เมืองวิญญาณนี้”
    “เข้าใจแล้วๆ”
    “แล้วเวลาพักคือเที่ยงของทุกวัน ตื่นหกโมงเช้า นอนสามหรือสี่ทุ่ม นอกนั้นต้องทำงานให้เสร็จให้ได้ โดยเริ่มจากวิญญาณที่อยู่มานานแล้ว เข้าใจนะ”
    “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว”
    “เอ้า งั้นไปจัดเอกสารได้แล้ว ข้าจะเข้าไปล้างห้องน้ำ”
    “ได้ๆ เชิญเจ้าตามสบายเถิด ..ห๊ะ?”ข้าเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารแล้วร้องเสียงดัง พอหันกลับไปมองก็เห็นรูเซเซ(?) เข้าไปในห้องน้ำแล้ว ...
    นี่ ..ประโยคข้างต้นคนที่คอยสั่งอยู่นั่น ..ใช่ข้ารึเปล่า?
    “เฮ้ ร่าเซรู(?)! ที่เราพูดกันไปเมื่อกี้ข้าสั่งเจ้า แล้วเจ้ารับคำสั่งข้าใช่ไหม!?”ข้าตะโกนถามคนที่อยู่ภายในห้องน้ำ สักพักหนึ่งก็มีเสียงตอบกลับมา
    “ไม่ใช่ ข้าสั่งท่าน เอ๊ย คือท่านสั่งข้านั่นล่ะ”เสียงนั้นเต็มไปด้วยความขบขันและระอาเต็มที่
    “โอ้ โอเคๆ ข้าสั่งเจ้า โอเค...”ข้าก้มลงไปเก็บกองเอกสารที่ท้วมเลยเข่าขึ้นมาอย่างงงๆ แต่ก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ข้าสั่งคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียไม่มี(มันยังไม่รู้ตัว...)
    “เอาล่ะ ..”
    โครม!
    ข้าหอบเอกสารกองที่ทับกันไม่มีความเป็นระเบียบที่อยู่ทั่วห้องขึ้นมาแบบสุ่มๆ แต่ข้าก็รู้อยู่หรอกว่ากลางห้องจะเป็นเอกสารของพวกที่ค้างอยู่เมืองวิญญาณนานที่สุด มุมขวาก็รองลงมา มุมซ้ายก็รองลงมาอีก บลาๆๆ ข้าขี้เกียจอธิบายล่ะ พวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก เพราะข้าอธิบายเองข้ายังงงก่อนพวกเจ้าเลย
    แต่ไอ้เอกสารมันช่างทรยศข้า ขัดขาข้าจนล้มหน้าคว่ำไม่เป็นท่า ทำให้เอกสารกลางห้องปลิวว่อนไปหมด ข้าจึงรีบกระเสือกกระสนเก็บมันมาทันที
    หืม พวกเจ้าว่าไงนะ ทำไมเรื่องราวมันกลายเป็นอย่างนี้ได้งั้นเหรอ โอ้ ง่ายมาก ตอนแรกข้าพยายามอธิบายให้ผู้ช่วยคนแรกข้าฟังว่าข้าคือใคร แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ยอมเชื่อจนเห็นหลักฐานมากมายนี่ล่ะจึงตกลงช่วยข้าโดยมีข้อตกลงว่า
    1.ข้าห้ามทิ้งเซรูซ่า(?) อย่างเด็ดขาด
    2.ข้าจะต้องไม่ให้ราซ่า(?) ไปเกิดอย่างเด็ดขาด
    ข้อแรกข้าพอเข้าใจ เพราะจากข้อสองพวกข้าคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน หรืออาจตลอดไป ก็...จนกว่าจะไม่มีคนตายซึ่งไม่มีวันนั้นบนโลกแน่นอน ดังนั้น พวกสัตว์เทพอาจจะเป็นพวกสันโดษก็จริง แต่ถ้าได้ผูกพันกับใครแล้วจะเกลียดการถูกทิ้งอย่างมาก ซึ่งคนที่จะผูกพันด้วยคือเจ้านาย
    แต่ข้าก็ไม่ใช่เจ้านายของเจ้าเด็กนั่นหรอก เพียงแต่อยู่ด้วยกันไปอาจจะสนิทกันก็ได้ ..มั้ง ไม่รู้ล่ะ แต่ข้าล่ะไม่เข้าใจข้อตกลงข้อสองนั่นจริงๆ ฮู้ พวกวิญญาณนี่ก็ประหลาด ให้เกิดไม่ยอมเกิดข้าล่ะพึ่งเคยเจอ
    แต่ถึงเจ้าเด็กนั่นอยากไปเกิดข้าก็ไม่ให้เหมือนเดิม.... เพราะไม่งั้นคงไม่มีใครช่วยงานข้า ข้าก็ต้องนอนกับเอกสารอีกแน่นอน
    “เอาล่ะเจ้าเอกสาร เจ้าจะหาเรื่องข้าคนนี้ใช่ไหม!? เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครและข้าก็รู้ว่าเจ้าคือใคร ถ้าเจ้าคิดจะลองดีก็มา...”ข้าเริ่มหาเรื่องกองเอกสารที่ทำขาข้าสะดุดล้มหน้าคว่ำจนไม่ค่อยหล่อนัก
    “ท่านทำอะไร!?
    “ข้าคิดว่าเจ้าคนนี้มันนิสัยดีนะ! ไม่น่าตายเล้ย ฮ่าๆๆๆ!”ข้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันทีเพื่อปกปิดว่าเมื่อข้าทำอะไรลงไปโดยการหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งที่เขียนถึงคนที่ตายด้วยสาเหตุ ประหารชีวิตข้อหาฆ่าผู้เยาว์ '
    “อืม ..ข้าใจแล้ว งั้นข้า...”
    “เชิญๆ!”ข้ารีบพูดขัดพร้อมกับผายมือให้เซราซา(?)ไปล้างห้องน้ำต่อทันที คนถูกไล่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าไปในห้องน้ำตามเดิมโดยไม่พูดอะไร
    “วันนี้เจ้ารอดไปนะไอ้เอกสารเบอร์หนึ่งพันสามสิบสอง”ข้าพูดเสียงกระซิบขู่เอกสารที่ข้าตั้งชื่อให้ ใช่แล้ว พวกเจ้าอ่านไม่ผิดหรอก ข้าตั้งชื่อเอกสารทุกแผ่น เพราะเวลาทำงานมันช่างเหงาเสียไม่มี การมีเพื่อนเป็นเอกสารจึงสมเหตุสมผลที่สุด!
    พวกเจ้าต้องเข้าใจ ...ข้าต้องทำงานในห้องนี้นับร้อยๆปี ไม่มีใครเป็นเพื่อนคุย ข้าเลยต้องหาทางคลายเครียดคุยกับเอกสารนี่ล่ะ เชื่อข้าเถอะ ถ้าพวกเจ้าเป็นข้า พวกเจ้าก็บ้าพอๆกัน
     
    20:00 น.
    “ท่าน ..นี่ ตื่นได้แล้วนะ”ข้าปัดมือที่มาเขย่าตัวเองด้วยความรำคาญพร้อมกับโกยเอกสารขึ้นมาทับตัวเองแทนผ้าห่ม
    “เฮ้อ ตื่นยากจริงๆ เอกสารก็ยังจัดไม่เสร็จอีก จากท่วมเท่าเข่าเหลือเท่าน่อง ...ท่านใช้เวลาเกือบสิบชั่วโมงทำอะไรกันแน่เนี่ย”
    “ข้าล้มตลอดเลย ..ครอก ..ฟี้ ...เอกสารมันช่าง ..ครอก! ชั่ว ..ฟี้ ..ช้า”
    “...”เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใสมองคนที่นอนตอบตนอยู่อย่างทึ่งๆ นี่ถึงขั้นละเมอตอบเลยเหรอ อะไรมันจะรู้เรื่องขนาดนั้น
    “ได้ๆ งั้นข้าจะจัดเอกสารต่อให้ท่านเอง แต่ตู้เอกสารดันเต็มซะแล้วสิ นี่คนที่คอยยกเอกสารมาให้ท่านทำไมขยันจังนะ เอามาให้ตลอดเลย”
    “ข้าก็ว่างั้น ..ครอก! มันต้องการแกล้งข้าแน่ๆ”
    “อืม ข้าอยากรู้ว่า ถ้าเอกสารเสียหายขึ้นมา ท่านทำยังไง”
    “...ข้าก็ให้ไอ้เด็กรัชทายาทนั่นเอามาใหม่..ฟี้”
    “อ๊ะ เจ้าชายเป็นคนเอาเอกสารมาให้ท่านงั้นเหรอ!
    “ใช่ หาว~
    “งั้นเวลาแบกเอกสารมาใหม่คงลำบากน่าดูนะ..”
    พรวด!
    “ลำบากงั้นเรอะ!
    “เฮ้ย!”เสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจดังขึ้นทันทีเมื่ออยู่ๆข้าก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนลั่น อา ..ข้าเจอทางสว่างแล้ว ทำไมข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าคนที่เอาเอกสารมาให้ข้าเสมอคือไอ้เด็กรัชทายาทนั่น
    “เฮ้อ เอกสารปลิวหมดเลย”ซุเรรู(?) บ่นอย่างเสียดาย
    ปับๆๆๆ!
    ข้ารีบเอามือตบเอกสารที่ปลิวว่อนอยู่จากการที่ข้าลุกอย่างกะทันหันให้ตกลงที่กองของตัวเองเดิมทันทีก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเองแล้วเขย่าไหล่บางๆนั้นไปมาด้วยความตื่นเต้น
    “ข้าฝันล่ะๆๆ!
    “หา ทะ ท่าน ..ฝะ ..ฝัน ..ฝัน อะ อะ ..อะไร”คนถูกเขย่าถามกลับข้าอย่างมึนๆข้าจึงหยุดการเขย่าแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
    “ฝันว่าข้าได้คุยกับเจ้า!
    “หา!?”คนตรงหน้าข้ามีสีหน้างงงวยทันทีพร้อมกับมองข้าราวกับไม่เข้าใจข้าจึงรีบอธิบายทันที
    “ข้าฝันว่าเจ้าพยายามปลุกให้ข้าตื่น แต่ข้าไม่ตื่น เจ้าเลยบ่นว่าข้าจัดเอกสารไม่ถึงไหนเลย แถมตู้ใส่เอกสารยังเต็มอีก แล้วข้าเลยบอกเจ้าว่าคนที่นำเอกสารมาให้ข้าคือไอ้เด็กรัชทายาทนั่น! แล้วเจ้าเลยบอกข้าว่าไอ้เด็กเวรนั่นคงลำบากน่าดูเวลาแบกเอกสารมาให้ข้า!
    “...”เรเซเร(?) อ้าปากกว้างมองข้าอย่างตะลึง ราวกับว่าไม่เคยเห็นคนที่หล่อได้เท่าข้ามาก่อน ข้ารู้ๆ เจ้าเด็กนี่ต้องอึ้งกับความคิดแสนชาญฉลาดของข้าแน่ๆ
    “เอ่อ ..ท่านละเมอตอบข้าไม่ใช่งั้นเหรอ”
    “อะไร เจ้าพูดอะไร ข้าฝันต่างหากล่ะ อ่าฮ่า ข้ารู้แล้ว ที่เจ้าบอกว่าข้าละเมอพูดกับเจ้าเพราะเจ้าอยากมีหน้ามีตามีส่วนร่วมในแผนการนี้ใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องห่วง ข้าใจกว้างพอจะให้เจ้ามีส่วนร่วมด้วยก็ได้ ฮ่าๆๆๆ!”ข้าหัวเราะอย่างภาคภูมิใจในตัวเองโดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าตะลึงของคนตรงหน้าที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความขบขันและระอา
    “ตามใจท่านก็แล้วกัน แล้ว ...ท่านคิดอะไรอยู่ล่ะ”ข้าชะงักก่อนจะก้มหน้าลงมาหยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างสะใจแทน
    “ก็ถ้าเอกสารมันเสียหาย ก็ต้องเอามาใหม่ แล้วคนที่จะเอามาให้ข้าก็คือเจ้าเด็กตาหวานนั่น ดังนั้นแล้ว...หึๆ”
    “เดี๋ยวท่าน! อย่าบอกว่าท่านคิดจะ...”
    “ใช่! ข้าจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆ!“ข้าหัวเราะอย่างพึงพอใจทันที
    “ข้าหมายถึง ท่านคิดจะทำลายเอกสารเหรอ”
    “เอิ๊ก”ข้าชะงักการหัวเราะ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาฟาดหน้าตัวเองอย่างจัง
    “นั่นล่ะ! ข้าหมายถึงอย่างนั้น เอาล่ะๆ ออกมานี่ๆ”ข้าไหลไปตามน้ำทันทีก่อนจะฉุดมือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นตามข้าแล้วลากออกมานอกห้องเอกสาร
    “ท่านจะทำอะไร ท่านจะทำลายเอกสารพวกนี้จริงๆเหรอ! แล้วดวงวิญญาณนับแสนที่อยู่ในเมืองวิญญาณล่ะ!”คนที่ยืนอยู่ด้านหลังข้าร้องโวยวาย แต่ข้าไม่สนใจพยายามลากไม้ขีดให้มันติดไฟ
    พรึ่บ!
    “โอ้ๆๆ!
    ฟี้~
    “...”ข้าหน้าบึ้งในทันทีเมื่อมันลุกติดไฟได้เพียงวิครึ่งก็ดับไปทันทีราวกับคิดจะลองดีกับข้า ข้าจึงโยนมันทิ้งแล้วหาอันใหม่มาจุดทันที
    “วิญญาณทุกดวงรอการตัดสินเพื่อที่ให้ได้ไปเกิดเสียที ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ! พวกนั้นต้องการหลุดการจากใช้ชีวิตที่ต้องหลอกตัวเองอยู่ทุกวันว่ายังมีชีวิตอยู่ทั้งที่ในใจก็รู้ดีว่าตัวเองตายแล้ว!
    “ข้ารู้ๆ พวกนั้นช่างงี่เง่า จะหลอกตัวเองทำไมก็ไม่รู้ พื้นที่สวนสนุกของข้าต้องหมดไปเพราะพวกมันสร้างเมืองมาอยู่เพื่อหลอกตัวเองนี่ล่ะ”
    “ท่านไม่สนใจพวกวิญญาณเลยงั้นเหรอ! ท่านเป็นผู้นำของคนทั้งปวงเลยนะ!
    “ถ้าข้าสนนะ พวกเจ้าได้ไปเกิดนานแล้วน่า”พอข้าพูดประโยคนี้ไปคนที่อยู่ด้านหลังข้าก็เงียบไปในทันที แต่ข้าไม่สนรีบเข้าไปในห้องเอกสารใหม่แล้วลากถังน้ำมันออกมาแทนก่อนจะจัดการสาดมันใส่ห้องตัวเองที่มีแต่เอกสารสำคัญ
    “ไม่นะ! ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”คนตัวเตี้ยกว่าข้าวิ่งเข้ามากางมือขวางประตูทันทีราวกับปกป้องคนรักตัวเองโดยมีตัวร้ายอย่างข้ายืนจุดไม้ขีดไฟเป็นอาวุธอยู่...
    ฟี้~...
    แล้วก็ดับไป...
    “เอ่อ เจ้าจะสนใจคนอื่นทำไมกัน”ข้าพยายามไม่คิดภาพคนร้ายที่ใช้อาวุธคือไม้ขีดไฟขู่ฆ่าคนอื่นแล้วถามคนตรงหน้าอย่างงงๆ
    “สนสิ ข้าเองก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและรอคอยวันรับโทษที่ไม่เคยมาถึงสักที ท่านจะยัง ...ให้พวกนั้นรออีกนานเท่าไหร่กัน...”ข้ารู้สึกจี๊ดๆกับคำพูดนี้เล็กน้อย แต่เอ่อ ช่างมันเถอะ ความจริงข้าไม่เข้าใจคำพูดที่ลึกซึ้งนัก เพราะข้าเป็นพวกจิตสำนึกเป็นศูนย์
    “เออน่า ถอยไป ข้าจะให้รอก็รอไปเถอะน่า เพราะถ้าเทียบกับการต้องไปนรกนะ อยู่ที่เมืองวิญญาณดีกว่าเป็นร้อยเท่า ถอยออกมาได้แล้ว ...ไม่ถอยใช่ไหม ได้!”ข้าตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าข้าไม่ยอมถอยไปไหน ซันร่าซัน(?)สะดุ้งก่อนจะมองข้าอย่างหวาดกลัวแต่ก็ยังไม่ถอยไปไหน
    “เจ้าไม่ถอย! ..ข้าถอยเอง!!”ข้าตะโกนเสียงต่ำก่อนจะถอยออกห่างเรื่อยๆจนชิดกำแพง ห้องทำงานของข้าพอเป็นประตูออกมาก็เป็นเพียงทางเดินแคบๆมืดๆเท่านั้นล่ะ
    “เอ่อ ...”คนตรงหน้าข้าแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา แล้วจ้องตาข้าด้วยความงงงวย ....แล้วเงียบไป
    พรึ่บ!
    ฟี้~
    ข้าเริ่มต้นจุดไม้ขีดไฟใหม่ด้วยความไม่ยอมแพ้ อา ติดยากจริงๆ
    อย่าถามว่าทำไมข้าถอย เพราะอย่างแรกเลย ข้าไม่สู้คน ใช่แล้ว แม้แต่เด็กข้ายังกลัวเลย ไม่ต้องหวังว่าพระเอกของพวกเจ้าจะเก่งต่อสู้ ตัวจริงฐานะยิ่งใหญ่ มีพลังมหาศาลอะไรนั่นหรอก ข้าไม่มีมันสักอย่างนั่นล่ะ แล้วข้าก็รู้ตัวเองดีด้วยว่าเป็นใคร มีพลังแค่ไหน ไม่เหมือนพวกซื่อบื้อไม่รู้ชาติกำเนิดตัวเองหรอกน่า
    “ให้ข้าช่วยไหม”ข้าเงยหน้าขึ้นตามเสียงถามก่อนจะพบใบหน้าอ่อนเยาว์ของผู้ถามซึ่งบัดนี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว
    “โอ้ดีๆๆ จุดไฟเผาห้องนี้เลย!”ข้าพูดอย่างร่าเริงทันทีพร้อมกับยื่นไม้ขีดไฟพร้อมกับกล่องไม้ขีดไฟให้ ซูซี่(?) มองของที่ถูกยื่นมาก่อนจะพูดเสียงเบา
    “ไม่จำเป็น ข้าเป็นฟีนิกส์ ข้าจุดไฟเองได้”
    “อ้าวไอ้...”ข้าตั้งท่าจะด่าเสียที แล้วให้ข้าจุดไฟเองตั้งนานทำไมเนี่ย! ....แต่ดูเหมือนว่าคนที่หันหน้าไปที่ประตูจะไม่สนใจสิ่งที่ข้าจะด่า เพราะมือที่ยื่นออกไปด้านหน้าเตรียมจะสร้างไฟให้พุ่งไปทำลายห้องเอกสารนั้นเริ่มมีกองเพลิงออกมาทีละนิด
    “เฮ้อ ข้าล่ะงงกับท่านจริงๆ แต่ก็ช่างเถอะ ท่านรับผิดชอบเองก็แล้วกัน ..”
    “ได้ๆๆๆ”ข้ารีบคำอย่างตื่นเต้น
    “ดีนะที่พวกเราเป็นวิญญาณไม่งั้นไฟต้องพุ่งออกมาจากห้องเอกสารเผาเราแน่ๆ”
    “หา ..ข้า ..ข้าไม่ใช่วิญญาณ”
    พรึ่บ!
    “หือ ท่านว่าไงนะ”ซีซ่าหันมาถามข้าในจังหวะที่ไฟพุ่งเข้าไปในห้องเอกสารเรียบร้อยแล้ว ข้าเตรียมจะตะโกนบอก แต่ทว่า...
    ตู้มมมม!!!
    “แอ้กกกกกก!!
    “เฮ้ย! ท่านไม่ใช่วิญญาณหรอกเรอะ!
     
     


              ...ข้าได้กลิ่นไก่ย่าง ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×