ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lucifer of Hell ผู้คุมกฏในห้องเอกสาร

    ลำดับตอนที่ #4 : วิญญาณดวงที่ 4 ทวงสัญญา(แบบมึนๆ)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 54


    ท่านคิดว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร
    ข้าจะรู้เรอะ ...เออๆ ข้าตอบก็ได้ ก็แค่เกิดมาเฉยๆ สร้างบาปหรือความดีขึ้นมาอีกไง
    ข้าไม่อยากเกิดมาเลย ...ข้าเหงา
    ก็นั่นไง เจ้าถึงต้องเกิดมาเพื่อค้นหาสิ่งที่เจ้าต้องการ ...เจ้าอยากหายเหงา เจ้าก็ต้องค้นหาความสนุก
    น่าเบื่อเนอะ
    อย่างน้อยเจ้าก็ยังได้เจอสิ่งต่างๆ แม้จะทุกข์ไปในบางครั้ง ......แต่ยังดีกว่าข้าที่ต้องนั่งงกๆทำงานอยู่แต่ในห้องนะเว้ย!’
    เฮ้อ ท่านเคยพูดให้ซึ้งสักประโยคโดยที่ตัวเองไม่ทำลายบรรยากาศเองจะได้ไหม
    ...ข้าจะรู้เรอะว่าเจ้าอยากให้ข้าซึ้ง ทั้งที่ตัวเจ้าเต็มไปด้วยเลือดน่ะ....
     
    “เฮ้ๆ! จะไปไหนน่ะท่านผู้คุมกฎ”
    “ยุ่งน่า!
    “ใช่ว่าข้าอยากจะยุ่งเรื่องไอ้คนพูดไม่รู้เรื่องอย่างท่านนักหรอก แต่ ...งานล่ะโว้ยยย!!!”ข้าเบ้หน้าอย่างเซ็งๆก่อนจะหยุดเดินให้คนที่วิ่งตามมาด้านหลังวิ่งมาดักด้านหน้าข้า
    “ท่านจะหนีหน้าที่งั้นเรอะ”เจ้าเด็กรัชทายาทกอดอกมองหน้าข้าอย่างเอาเรื่อง
    “ถ้าข้าคิดจะหนีนะ ...เจ้าไม่เห็นหน้าอันหล่อเหลาของข้าตั้งแต่ตอนเจ้าเกิดแล้ว”ข้าตอบกลับอย่างเซ็งๆพร้อมกับกอดอกแบบเดียวกับที่เด็กตรงหน้าข้าทำ
    “อืม ..แล้วท่านจะไปไหนกัน ข้าไม่เห็นท่านออกมาจากห้องทำงานมาราวๆ ..เอิ่ม ตั้งแต่ข้าเกิด”คนตรงหน้าข้าพยายามครุ่นคิดอยู่นานว่าข้าอยู่ในห้องทำงานนานเท่าไร และก็ได้ทำตอบในที่สุด
    “ข้าก็คนนะโว้ย ..อืม ไม่ใช่สิ ข้าไม่ใช่คน เอาเป็นว่าข้าไม่ใช่หนูนะว้อย จะมุดอยู่แต่ในห้องทำงาน ข้าอยากจะไปเที่ยวบ้าง”แต่จริงๆคือข้าจะไปหาซูซูร่าต่างหาก นี่ข้าลงทุนแต่งตัวหล่อที่สุดในรอบ ..อืม หลายร้อยปีเลยนะ!
    “เที่ยวบ้านท่านสิ!
    “เออสิ นี่บ้านข้า”ข้าตอบอย่างงงๆ ก็แดนยมโลกนี่ล่ะบ้านข้า ข้าผิดตรงไหนกันล่ะ
    “ไม่ใช่! นั่นข้าด่าท่าน ..แต่ก็ดีที่ท่านมันโง่ ข้าหมายถึง ดวงวิญญาณราวๆแสนกว่าดวงยังไม่ไปรับโทษทัณฑ์เสียที ท่านไม่คิดจะเคลียร์งานบ้างเหรอ”ข้ารู้นะว่าเจ้าด่าข้าว่าโง่น่ะ ...
    “ข้าคิด และจะทำด้วย แต่ข้าต้องการไปหาคนช่วยนี่ล่ะ”
    “คนช่วย? ท่านจะให้ใครมาช่วย ...วิญญาณงั้นเหรอ? พวกนั้นมันต่ำ ท่านไม่ควรเอา...”
    “เงียบน่า! เจ้าเด็กรัชทายาท ข้าจะไปหาคนช่วย อย่าขวาง!”ข้าผลักหัวของคนที่น่าจะตำแหน่งสูงกว่าข้า(มั้ง ข้าไม่แน่ใจ ข้าลืมแล้วว่าใครสูงกว่าข้า ..อืม สงสัยไม่มีหรอก)ออกอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินเร็วต่อเพื่อไปหาเป้าหมาย
    “ทำไมท่านไม่สนใจข้าบ้าง ...”เจ้าของดวงตาสีชมพูหวานน่ารักฉายแววน้อยใจออกมาเมื่อคนที่เคยสนิทกันดั่งพี่น้องบัดนี้กลับไม่สนใจเขาเลย ...แม้แต่สบตาก็ยังไม่...
     
    “อืม ฮาๆ”ข้าเปาลมหายใจใส่ฝ่ามือตัวเองก่อนจะพยายามสูดดมกลิ่นดูว่ายังมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ในช่องปากของข้าบ้าง ก่อนสำรวจเสื้อผ้า เอาร้องเท้าที่เผลอเหยียบขี้หมาจากไหนก็ไม่รู้ลากไปกับพื้นดินเพื่อเช็ดให้สะอาดก่อนจะกวักน้ำในอ่างน้ำสำหรับให้สัตว์เลี้ยงกินขึ้นกับสางผมตัวเองให้เท่
    ...พวกเจ้าคงไม่คิดใช่ไหมว่าข้าจะประหยัดค่าน้ำใช้สระผมหรือค่าผ้าไว้เช็ดเท้าได้เก่งขนาดนี้ ..นั่นๆ ไม่ต้องชมข้า สักวันพวกเจ้าอาจจะเก่ง(สกปรกซกมก)ได้เท่าข้าเองนั่นล่ะ 
    ..อย่าสนใจวงเล็บต่างๆที่ปรากฏขึ้นในประโยคของข้าเลย มันช่างมั่วซั่วได้ดีแท้
    “สวัสดี”ข้าส่งยิ้ม(เสแสร้ง)ทักทายเจ้าหน้าที่คอยดูแลโซลสามนี้อย่างเป็นกันเอง เจ้าหน้าที่ผู้คุมอยู่หน้าประตูเมืองโซลมองข้าอย่างงงๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นชุดที่ข้าสวมใส่อยู่
    “ท่านผู้คุมกฎ!”เจ้าหน้าที่ร้องลั่นด้วยความตกใจเพราะพันปีสิบวัน(?) ข้าไม่เคยโผล่หัวมามาให้ใครเห็น แต่กลับมาง่ายๆในวันธรรมดาๆแบบนี้
    ดีนะที่ชุดที่ข้าใส่มันบ่งบอกตำแหน่งได้เป็นอย่างดี ไม่งั้นข้าคงถูกไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มทักทายเจ้าหน้าที่หน้าคิงคองนี่ด้วยซ้ำไป
    “ข้าอยากจะเข้าไปตรวจตราโซลสามนี่เสียหน่อย ไม่ทราบว่าท่านพอจะเปิดประตูให้ข้าเข้าไปได้หรือไม่”ข้าพูดอย่างสุสภาพโดยไม่ละจากรอยยิ้มแสนเป็นกันเอง และท่าทางน่าเกรงขามที่พึ่งจะพยายามฝึกอยู่เมื่อเช้า
    “ได้ขอรับ!”เจ้าหน้าที่รีบโค้งหัวรับคำข้าทันทีก่อนจะรีบเปิดประตูให้ข้าโดยไม่เอะใจสักนิดว่าข้าจะเป็นตัวปลอมหรือไม่
    ...ความระวังหายไม่ไหนหมดหา เจ้าหน้าที่งี่เง่า!
    แม้ข้าอยากจะด่าอย่างนั้นเต็มทน แต่ภาพลักษณ์ของข้าก็ยังคงสำคัญกว่ามาก และถ้าเกิดว่ามีคนบุกเข้าไปทำลายเมืองวิญญาณมันก็ไม่ใช่เรื่องของข้า เพราะการเห็นเมืองวิญญาณหรือแดนยมโลกวุ่นวายนี่ความสุขของข้านักล่ะ
    แอ๊ดด~!
    เมืองประตูสีดำขนาดใหญ่เปิดออก ข้าจึงมองเห็นบ้านเมืองที่มีทางเดินอยู่ตรงกลาง พื้นเป็นดินเหมือนที่อยู่แบบชนบท มีวิญญาณมากมายเดินไปมาราวกับเคยมีชีวิตจริงๆ ทุกคนใช้เงินซื้อของ วิ่งเล่น ทำบ้าทำบอของตัวเองเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิต
    ข้าล่ะงงกับไอ้ราชายมโลกจริงๆว่าจะจำลองเมืองต่างๆให้เหมือนแดนของสิ่งมีชีวิตทำไม น่าจะจับขังรอเวลาลงโทษเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่น่าเปลืองพื้นที่เอาซะเลย ชิ
    “หือ นั่นใครน่ะ”
    “แต่งตัวดูหล่อเหลาจริงๆ”
    “ดูเป็นคนตำแหน่งใหญ่ดีนะ”
    พวกวิญญาณที่กำลังทำกิจกรรมของงตนเองอยู่หันมามองที่ข้าก่อนจะซุบซิบกันและมองข้าอย่างปลื้มๆ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะยืดอกรับความภาคภูมินี้ดีรึเปล่า เพราะเมื่อวานนี้ข้ายังโดนขับไล่ปานหมาอยู่เลย
    ข้าต้องข่มความคับแค้นไม่ให้ระเบิดเมืองโซลสามนี้ไว้ส่วนลึกของทวารในสมองก่อนจะค่อยฉีกยิ้มแล้วเดินอย่างองอาจเข้าไปแม้จะแอบสะดุดผ้าคุมตัวเองไปบ้างก็ตามที
    “กรี๊ดดดด”พวกผู้หญิงแอบกรี๊ดให้ข้าเบาๆด้วยความคลั่งไคล้ ข้าก็อยากจะยืดอกอยู่หรอก ถ้าไม่ติดที่ผู้หญิงในกลุ่มนั้นมียัยคนใจร้ายที่เมื่อวานกรี๊ดน้ำลายพุ่งใส่หน้าข้า!
    ข้าพยายามเดินมองหาที่พักของซาเรร่า(?) แต่ก็พบว่าที่พักมันช่างเหมือนกันจริงๆ บ้างก็มีสองสามชั้น อืม ...อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ข้าไม่ได้สังเกตด้านหน้าที่พักของเจ้าเด็กผมสีแสนแสบนั้นเสียหน่อย...
    นั่นสิ ...แล้วข้าจะหาเจ้าเด็กนั่นเจอได้อย่างไร?
    “ขอโทษด้วย”ข้าเดินไปหาเจ้าของร้านขายผลไม้แห่งหนึ่งซึ่งข้าไม่เข้าใจว่าจะขายให้แบ๊ะใครกิน เพราะวิญญาณไม่ต้องการอาหารหรือน้ำเสียหน่อย แต่เอาเถอะ อยากจะทำไปเพื่อหลอกตัวเองว่ายังไม่ตายข้าก็ไม่คิดจะสมเพชยังไงล่ะ
    “ขะ ขะ ขอรับนายท่าน”เจ้าของร้านชายผลไม้ตอบรับด้วยความยำเกรงในความหล่อเหลาของข้า ข้าโปรยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ซึ่งรอยยิ้มนี้ข้าก็พึ่งฝึกเมื่อเช้า
    “ท่านรู้จัก ...เด็กชายผู้มีดวงตาสีฟ้าใสดั่งท้องฟ้า ผมสีแดงเพลิงราวกองไฟที่ลุกโชนหรือไม่”ตอนแรกข้าคิดจะบอกชื่อของเด็กคนนั้นไปซะ แต่เมื่อข้านึกได้ว่าข้าจำชื่อของเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ ข้าจึงต้องพยายามพรรณนาจุดเด่นของซูซูเร(?) ด้วยความสามารถอย่างสูง
    “โอ้ ซันเซร่าหรือขอรับ เด็กคนนั้นอยู่บ้านพักหมายเลขสิบสามขอรับ เดินตรงไปได้เลย”
    “ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านผู้เมตตา”อย่าถามว่าคำขอบคุณแบบนี้มันมีในโลกด้วยหรือ ข้าคิดขึ้นมาเองนั่นแหละเพื่อเสริมให้คำพูดข้าดูเมตตาและสูงส่งแม้ตัวข้าเองจะไม่เข้าใจก็ตามว่ามันแปลว่าอะไรก็ตาม
    “โอ้ ทำไมช่างน่าเคารพเหลือเกินนะ”เสียงซุบซิบดังออกมาเบาๆทำให้ข้าลอบยิ้มแสยะกว้างอย่างสะใจก่อนจะเงยหน้ามองป้ายที่เขียนตัวเลขไว้และพบว่าอีกแค่สี่หลังก็จะถึงบ้านของรันเซร่า(?) แล้ว ข้าจึงรีบเร่งฝีเท้าแล้วเดินเข้าไปในทันที
    ปึง!
    “สวัสดีซาซาเร!(?)”พอขึ้นมาถึงชั้นสามที่ไม่มีใครอยู่แล้วข้าก็ถีบประตูเจ้าของห้องให้เปิดออกเสียงดังทันทีก่อนจะตะโกนทักเสียงดัง
    “เฮือก! ท่านเป็นใคร!”คนในห้องสะดุ้งสุดตัวก่อนจะถามข้าด้วยความไม่พอใจ ข้ามองสภาพเจ้าของห้องตั้งแต่เท้าจรดหัวก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพูดต่อโดยไม่สนใจประโยคคำถามนั้น
    “สวัสดีซูซู เจ้าสบายดีไหม”ซูซู(?) มองข้าอย่างงงงวยราวกับไม่เข้าใจว่าข้าพูดกับใครอยู่ แต่ข้าก็ยังฉีกยิ้มจนเห็นเหงือกอย่างไม่สนภาพพจน์ตนเอง
    “ท่านเป็นใคร”เสียงนั้นทวนถามอย่างไม่สนคำถามข้าเช่นกัน ข้าจึงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนักก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักของเรเซเซ(?) พร้อมกับใช้เวทย์กระแทกตูห้องให้ปิดลงอีกครั้ง
    ปัง
    “อาจจะกะทันหันไม่หน่อย แต่ข้าคือผู้ที่เจ้าเคยช่วยชีวิตไว้ ใช่ ...ข้าจะทวงสัญญาที่เจ้าเคยให้ไว้กับข้า”
    “สัญญา? ..อ๊ะ อย่าบอกนะว่าท่านคือคนบ้าโรคจิตคนนั้น!”ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความสงสัยพลันตะลึงในทันทีเมื่อจำได้ว่าข้าคือใคร
    “ไม่ๆ ข้าคือผู้คุมกฎ เจ้าช่วยผู้คุมกฎสุดหล่อเหลาคนนี้ต่างหาก”
    “นี่ท่านไม่ใช่คนบ้าหรอกเหรอ หรือว่าท่านไปลอบเอาเสื้อผ้าจากใครที่ไหนมา”
    “ข้าไม่อยากจะอวดนักหรอกแต่ตำแหน่งข้ามันช่างยิ่งใหญ่ พอดีตอนนั้นข้าโดนลอบทำร้ายจนสภาพไม่ค่อยหล่อนัก(?) และเจ้าก็ได้ช่วยข้าไว้ยังไงล่ะ”
    “ท่านคงจะเหงาสินะที่ไม่มีเพื่อนเลยต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะเป็นเพื่อนเล่นให้ท่านเอง”
    “ใช่แล้ว ข้าต้องการมาก ...ต้องการให้เจ้าจำสัญญาได้และช่วยข้า”
    “ท่านคงต้องการให้ข้าช่วยเป็นเพื่อนเล่นกับท่านสินะ มาเถอะ ท่านหิวไหม อยากกินอะไรหรือ”
    “ข้าชอบคนรักษาสัญญา เพราะมันซื่อสัตย์ดั่งน้ำซุปที่มีเพียงหนึ่งเดียว(?)”
    “อ่าฮะ น้ำซุป ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้ล่ะ”
    “ดีเลย ข้าชอบ! ในเมื่อเจ้าตกลงแล้วเราไปกันเถอะ!
    “ได้ ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้ล่ะ”
    “เยี่ยมมาก ไปทำงานให้ข้ากันเลย!
    หลังจากพูดกันรู้เรื่องข้าก็เดินเข้าไปสะบัดมือทีหนึ่งก็ปรากฏประตูสองบานสีดำทมิฬน่าเสียวไส้ขึ้น มันค่อยๆเปิดออกพร้อมๆกันก่อนที่จะปรากฏอุโมงค์หลากสีหมุนไปมาน่าเวียนหัว
    “ไปกันเถอะ”
    “เอ๋ อะไร ไปไหน เหวอ!”ข้าไม่สนใจสิ่งที่คนตรงหน้าพูดจับถีบส่งให้ไปมิติอุโมงค์ที่ไม่ว่าใครเข้าไปก็ต้องอ้วกทุกราย
    “แหม ต้องยกความดีความชอบให้ข้าที่เกลี้ยกล่อมคนเก่ง(!?!?)”ข้ายิ้มอย่างภาคภูมิก่อนจะเดินตามเข้าไปในอุโมงค์และประตูก็ค่อยๆปิดลง เอ ประตูมิตินี่มันสะดวกจริงๆ จะพาไปไหนมาไหนก็ได้...
    หืม? แล้วทำไมข้าไม่ใช้มันมาหาเจ้าเด็กแสนแสบนี่แต่แรกกันล่ะ แล้วเดี๋ยวนะ ถ้าเจ้าเด็กนี่พึ่งเคยมาที่ประตูมิติอันน่าเวียนหัวนี่ครั้งแรกก็ต้องอ้วกน่ะสิ
    แล้วข้าก็ให้ไปโผล่ที่ห้องทำงานแล้วที่มีแต่กองเอกสารเสียด้วย
    แย่จัง สงสัยข้าคงต้องให้วิญญาณอีกหลายดวงค้างอยู่ที่โซลวิญญาณอีกสักพักแล้วล่ะ ก็จนกว่าเอกสารกองใหม่ที่ไม่เลอะอ้วกจะมาล่ะนะ
    ...ข้าไม่ผิดนะ!...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×