คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : บทที่สิบหก ความลับไม่มีในโลก...แต่โลกก็ยังมีความลับ[120%]
บทที่สิบหก
ความลับไม่มีในโลก...แต่โลกก็ยังมีความลับ
“ท่านฟราน??”
เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ข้าตื่นจากความคิดตัวเองที่ยังมึนๆอยู่ เห็นเดม่อนทำหน้าตางงมองหน้าข้าที่เหมือนสมองดับไปวูบหนึ่ง...เมื่อครู่มันอะไรน่ะ??
“พวกทหารไปกันหมดแล้วขอรับ เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะขอรับ”
“ว้าว...เดม่อน เจ้าใช้เวทย์อะไรน่ะ ทำไมพวกทหารถึงถอยออกไปแบบนั้นกัน?”เรย์ว่าเสียงตื่นเต้นแต่ถ้าจับน้ำเสียงนั้นได้มันมีความคาคั้นหน่อยๆแฝงเอาไว้อยู่
“ความลับขอรับ ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะขอรับ ยิ่งนานมันจะยิ่งเสียเวลาเปล่านะ”เดม่อนตัดบทพร้อมเดินนำไปก่อน
พวกข้ามองหน้ากัน...ต้องบอกแค่ว่าข้ากับเรย์มองหน้ากันครู่เดียว เหมือนต่างฝ่ายต่างเข้าใจอะไรๆที่คิดเอาไว้อยู่ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบคนอื่นๆที่นำไปแล้ว บทสนทนาเมื่อครู่มันยังดังแว่วอยู่ในหัวข้าไม่หาย เหมือนเป็นเวทย์ประหลาดที่วนซ้ำไปซ้ำมาอย่างไงอย่างนั้น ข้าไม่ได้จ้องจะจับผิดพวกเดียวกันเพียงแต่...มันอดไม่ได้
....เจ้าชาย...เจ้าชายของแดนปีศาจ...
แล้วเขามาช่วยพวกเราทำไม?? ข้าเคยได้ยินว่าอลาวเคยช่วยเดม่อนเอาไว้ก็ตามแต่ทำไมล่ะ...ก็มันเรียกว่า”สันดาน”ในตัวก็ได้มั้ง ต่อให้ถูกทอดทิ้งขนาดไหนแต่สุดท้ายที่ยังอยู่ในใจเสมอก็คือ”ครอบครัว” ข้ากลัวว่าจะโดนทรยศจากผู้ชายคนนี้
“หน้าเครียด...เป็นอะไร?”
ท่านพี่เอ่ยทักข้า ข้าเพียงยิ้มเบาๆแล้วส่ายหัวไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น ยังไม่ใช่เวลา...ไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน
“ไอ้ลูกชั่ว!!!!! แกปล่อยให้อลาวโดนปีศาจนั่นทำร้ายได้ยังไง??? แกทำไม่คิดบ้างหรือไงว่าอลาวสำคัญขนาดไหน จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้นข้า!!!”
เสียงตวาดดังลั่นนั่นไม่ได้สักครึ่งความเจ็บปวดที่เข้าไปในใจ อีกแล้ว...ไม่ว่าใครก็เห็นอลาวสำคัญกว่าอีกแล้ว..แม้แต่ท่านพ่อ...ท่านพี่เองก็ด้วย...ทำไม ทำไม!!!!!!!
ร่างเหนื่อยอ่อนเดินเซไปเซมากลับไปยังห้องของตน เพียงเปิดประตูเข้าไปร่างที่ไม่อยากเห็นทีสุดก็ปรากฎอยู่ในสายตา ร่างที่ดูอ่อนแอและบอบบาง...ดูอ่อนแอยิ่งกว่าเขาเสียอีกในยามหลับใหล เพราะแบบนี้หรือเปล่าใครๆก็ต่างพยายามจะปกป้องเขา...เซนดิเฮลเลอร์ อลาว ลูกชายคนที่สามของน้าของเขา คนที่มีศักดิ์เป็น”ลูกพี่ลูกน้อง”กับเขาและ...เนโรนัวร์ ลูซิเฟอร์....เดม่อน
ใบหน้ายามหลับใหลดูสงบนิ่งจนคล้ายไม่ได้แบกความทุกข์กังวลไว้อย่างเขา ใบหน้ายามตื่นก็ยิ้มร่าสดใสจนน่าหมั้นไส้แต่ก็ทำให้ใครๆรักได้...เกลียด...แต่เขากลับเกลียดคนคนนี้เข้าไส้ คนคนนี้ทำเขาเสียทุกอย่างไป ทั้งคนสำคัญที่รักมาก ทั้งเรื่องราวดีๆที่เคยมี คนที่เหมือนจะทำให้เขาเสียคนที่รักที่สุดไปตลอดกาล...เกลียด...ข้าเกลียดมัน!!!
“ท่านเมล...”
เสียงนุ่มเอ่ยเรียกในระยะประชิดพร้อมมือซ้ายที่ยกขึ้นจับห้ามมือของเมลลาเวียร์...มือที่ยกขึ้นพร้อมกับกริชสีเงินวาวในมือที่พร้อมจะปลิชีพคนตรงหน้าที่หลับไม่รู้เรื่อง
“ปล่อยข้าเรเวอร์เรีย...ปล่อยข้า!!!!!”
“เมลลาเวียร์”
เรเวอร์เรียเสียงอีกฝ่ายเสียงนิ่งก่อนร่างทั้งสองจะหายไปจากตรงนั้น
“เจ้าพาข้าเข้ามาในมิติซ้อนนี่ทำไม??”
เมลลาเวียร์หันไปถามองค์รักษ์ซาตานของตน ดวงตาสองสีฉายแววหมองหม่นเพียงชั่ววูบก่อนจะยิ้มออกมาจากจิตลึกๆภายใน...ยิ้มที่หม่นหมอง
“ข้าก็กันท่านทำอะไรโง่ๆไงเมลลาเวียร์ อย่าทำแบบนั้นเลยเมลลาเวียร์ มันไม่ใช่ทางเลือกที่นัก”
“แล้วไง?”
คำพูดนั้นทำคนฟังสะอึก...ไม่ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เมลลาเวียร์คนเดิมแล้ว ชายผู้ไม่สนโลกนนี้มันอะไรกันน่ะ???
“ท่านเมล....”
“หยุดเรียกชื่อข้า! เจ้าคนทรยศ!”
“ทรยศ...งั้นเหรอ”
เมลลาเวียร์มองร่างตรงหน้านิ่งก่อนจะเพิ่งรู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป
“ใช่...ข้าพาพวกท่านเฟรนด์เข้ามาช่วยท่านฟรานเอง....เป็นคนบอกทางหนีให้เอง...เป็นคนไปหาเขาเอง...ช่วยเขาเอง...ขอร้องเขาเอง...”
“เจ้ามัน!!!”
“แต่ทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะท่านหรอกเหรอ?”
คำถามง่ายๆสั้นๆที่เหมือนจะทำให้คนถูกถามตอบกลับไม่ถูก รอยยิ้มที่เคยปรากฎอยู่บนหน้าของเรเวอร์เรียอยู่เป็นนิจกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย...มองเหมือนว่ามันจะไม่มีทางกลับมาอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง
“ท่านมัวแต่ตีโพยตีพายว่าใครต่อใครละทิ้งท่าน...สุดท้ายท่านก็ละทิ้งตัวเอง...ทิ้งความเป็นตัวเองไปเสียหมดสิ้นไม่เหลือเค้าโครงเมลลาเวียร์ไว้สักนิด ตอนนี้ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากปู่ของท่านหรอก...ยึดเอาตัวเองเป็นหลัก ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่มองเลยว่าใครกันที่ห่วงท่านอยู่ตลอดเวลา..”
เมลลาเวียร์ขยับตัวเพียงครั้งเดียวก็สามารถไปถึงร่างของเจ้าชายปีศาจได้ แว่นตาหนาๆถูกถอดออกพร้อมการจับหน้านั้นให้หันมอง
“จ้องตาข้าเมลลาเวียร์!!! บอกมาว่าท่านต้องการข้าหรือไม่ ถ้าไม่...ข้าจะไปจากชีวิตท่านเอง”
เมลลเวียร์สบดวงตาสองสีตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ที่ผ่านมาอะไรหลายๆอย่างที่เรเวอร์เรียทำให้นั้นเกินกว่าเขาจะขอบคุณ ทุกอย่างนั้นแสนดี ดีเกินกว่าที่ควรจะได้รับด้วยซ้ำไป เรอเวอร์เรียคอยอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลาและเป็นคน..ที่เข้าใจเพียงแต่....
“ข้าไม่ต้องการเจ้า”
...จบแล้วเรื่องราวของปีศาจผู้จงรักภักดิ์ดี เมื่อนายเหนือไร้ซึงความเห็นค่าในตัวเขา ตำนานนี้ก็จบลง....
**************************************************20%***********************************
ความรู้สึกอบอุ่นจากผ่ามือที่แตะบนใบหน้าค่อยๆเลือนหายไปพร้อมภาพคนตรงหน้า
“งั้นเหรอ...”
เสียงนั้นแผ่วเบาลงจนน่าใจหายกับคนฟัง เรือนผมสีม่วงอ่อนและดวงตาสีสวยหายไปพร้อมกับมโนภาพรอบๆกลายเป็นห้องที่เมลลาเวียร์อยู่ที่แรก เสียงเรียกเบาๆทำให้เขาตื่นจากความคิดของตนเอง พอหันไปก็สบตากับคนเรียกชื่อเขา อลาวที่ดูซีดเซียวมองหน้าเมลลาเวียร์อย่างไม่สื่ออารมณ์ นัยน์ตาสีแดงสดเสมองรอบๆกายอีกฝ่าย
“เมลลาเวียร์...”
ว่าที่จักพรรดิปีศาจสินะ....
“เรเวอร์เรียหายไปไหน?”
คำถามที่เปรียบดั่งเข็มเล่มเล็กนับพันเล่มที่พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเมลลาเวียร์ เจ้าชายปีศาจยืนนิ่งไม่ไหวติ่งเพราะไม่เข้าใจอาการของตนเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กับคำถามที่ดูตอบได้ง่ายๆแต่ทำไมแลดูมันลำบากกับเขาเสียเหลือเกิน
“เขาก็...ไม่จำเป็นต้องอยู่กับข้านี่ขอรับ ตัวเราไม่ติดกันเสียหน่อย”
ยืนนิ่งอยู่นานกว่าที่เจ้าชายปีศาจจะหาคำตอบเจอ บนใบหน้ามีเหงื่อเย็นๆซึมออกมาเปียกชุ่มไปทั่วไรผมสีน้ำตาลแดง อลาวมองที่คนตอบก่อนจะเอียงหัวหน่อยๆ
“หรอ...”
ร่างบนเตียงร้องออกมาพลางทำหน้าคล้ายนึกอะไรสักอย่าง”แต่ปกติข้าเห็นเรเวอร์เรียตัวติดเจ้ายังกับอะไรดีนี่นา เขาน่ะเป็นปีศาจที่มีความจงรักภักดิ์ดีสูงมากเลยนะเมลลาเวียร์ หายากเลยล่ะปีศาจแบบนี้น่ะ อย่าปล่อยเขาไปล่ะเพราะเจ้าจะหาองค์ซาตานดีๆแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีก ถ้าเกิดเป็นข้านะเสียเขาไปหนีไปบวชแถวๆถ้ำในป่าดีกว่า”อลาวบอกกับร่างสูงก่อนท้ายประโยคจะติดการแสดงความคิดเห็นลงไปเล็กน้อย
ไม่ทันแล้ว...ช้าไปแล้ว ปีศาจตนนั้นไปแล้วนี่ แค่เขาบอกว่าไม่ต้องการก็หายไปเลยเหมือนรอให้เขาพูดว่าให้ไปอย่างนั้นแหละ อีกทั้งทรยศเขา นั่นน่ะเหรอคือปีศาจที่ภักดิ์ดี เหอะ...ตลกน่า ถ้าภักดิ์ดีจริงทำไมถึงยอมออกไปจากชีวิตเขาง่ายๆแบบนั้นล่ะ?
“เรเวอร์เรียเขาทำทุกอย่างได้เพื่อเจ้าเชียวนะ...เจ้าสั่งเขาไปตายก็คงไปล่ะมั้ง...เฮ้! นี่ฟังที่ข้าพูดอยู่หรือเปล่าเนี่ย???”
“เขาไปแล้วขอรับ”
“หา??”
“ข้าบอกว่าเขาไปแล้วไงขอรับอลาว”
เจ้าชายปีศาจเสนัยน์ตาสีแดงขึ้นจากพื้นสบเข้ากับดวงตาสีแดงอีกคู่ที่ฉายออกมาซึ่งความมึนงงสับสนละคนตกใจ
“ไปแล้ว..ไปไหน?? แล้วทำไมเขาถึงไป?”
“ไปไหนข้าไม่รู้หรอก ส่วนทำไมเขาถึงไป...ข้าไล่เขาไปเองแหละขอรับ”
“ไล่...ไล่งั้นเหรอ??? ไล่งั้นเหรอเจ้าบ้า!”
เสียงที่ทีแรกถามคล้ายพึมพัมดังตวาดออกมาในตอนท้าย อลาวกำผ้าห่มที่อยู่บนตักเหมือนอดกั้นอารมณ์อยากฆ่าปีศาจ
“ถ้าเขาภักดิ์ดีอย่างที่ท่านว่าแล้วทำไมเขาถึงไปโดยไม่คิดจะยื้อขออยู่ต่อละขอรับ? ทำไมถึงไปโดยไม่กล่าวอะไรเลยสักคำทำเหมือนอย่างกับว่าอยากไปเสียเต็มประดาอย่างนั้นเล่า?”
ร่างสูงเริ่มตั้งคำถามกับร่างบนเตียง นัยน์ตาสีแดงเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ...คำตอบจากใครก็ได้ตอบมาทีสิ!
“เพราะรักมากไง....”
“ห๊ะ?”
“เพราะว่ารักและเคารพมากจนไม่อยากให้เจ้าลำบากใจ เมื่อเจ้าไม่ต้องการจะหน้าด้านอยู่เพื่ออะไรเล่า เจ้าไม่ต้องโทษดินโทษฟ้า โทษตัวของเรเวอร์เรียว่าเขาไม่ภักดิ์ดี ว่าเขาอยากจะไป เมื่อคนเขาไม่ต้องการไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อยากหน้าด้านอยู่หรอก เจ้าไล่เขาไปหมายถึงไม่ต้องการให้เขาอยู่ด้วย และเพราะรักมากเรเวอร์เรียถึงไปเพราะไม่อยากให้เจ้าลำบากใจไงเล่า เจ้างั่งเอ๊ย!”
อลาวบ่นยาวพืดก่อนจะหอบแฮ่กสลับไอเล็กน้อย สีหน้าแดงขึ้นมานิดจากอาการที่โกธรจัดผสมปนเปกับการที่เหนื่อยหอบ
“แล้วก็คงไม่มีวันได้คืนแล้วด้วย เขาไปแล้วสะใจเจ้าไหมเล่า?”
อลาวพูดประชดก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกหนโดนหันหลังให้ร่างของเมลลาเวียร์ ริมฝีปากเอ่ยไล่อีกฝ่ายออกไปด้วยข้ออ้างว่าอยากจะพักผ่อนทั้งๆที่นอนมาพอแล้ว เมลลาเวียร์รู้ข้อนั้นดีเพียงแต่ก็เหมือนที่อลาวว่า คนเขาไล่...ใครจะอยากหน้าด้านอยู่ เจ้าชายปีศาจปิดประตูลงอย่างแผ่วสเบาก่อนจะก้าวยาวไปตามทางเดินกว้าง รู้สึกเดียวดายและเงียบงันเกินกว่าที่เคยเป็นมา แค่ปีศาจหายไปตนเดียวทำไมมันถึงได้เงียบขนาดนี้...
“กำลังกลุ้มใจอะไรอยู่เหรอหนุ่มน้อย?”
เมลลาเวียร์หันตามเสียง รอบกายแลดูว่างเปล่าไม่มีสัญญาณว่ามีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย หรือเขาจะหูฝาด? เมลลาเวียร์คิดพลางส่ายหัวแผ่วๆก่อนจะเดินกลับเข้าสู่ห้องพักตัวเอง
“ทำไมมันแปลกไป?”
คำถามอีกหนึ่งผุดขึ้นในหัวของร่างสูง ห้องก็ห้องเดิม ทุกอย่างก็จัดแบบเดิมแต่ทำใจเขาถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม เหมือนอะไรมันขาดหายไป
“รอยยิ้มไงเล่าที่หายไป”
“เจ้า!”
เมลลาเวียร์ร้องลั่นก่อนจะถอนหลังจนสะดุดล้มหงายหลังไปทั้งๆที่นิ้วเรียวยังชี้หน้า”ชายที่ไม่คุ้น”ที่ลอยอยู่ในห้องเขาสบายใจเฉิบ นัยน์ตาสีแดงหรี่มองเจ้าของห้องขำๆ มองเผินๆร่างที่ลอยอยู่นี่มัน...น่าหมั้นไส้ชะมัด!
“แค่นี้ถึงกับตกใจเชียวหรือเจ้าชายปีศาจ ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริง”ชายปริศนาว่าพลางลอยเข้ามามองเมลเวียร์ใกล้ๆ เส้นผมสีดำยาวละต้นคอพริ้วไปตามสายลม
“เจ้าเป็นใคร????”
“อย่างน้อยๆช่วยพูดให้มันไพเราะหน่อยเถอะยังไงข้าเองน่ะแก่กว่าพ่อเจ้าเสียอีก ส่วนถามว่าข้าเป็นใครก็ตอบได้ว่าตาแก่ปลดกเษียรธรรมดาๆตนหนึ่งเท่านั้นและ”
“ตาแก่ปลดกเษียร??”
“อย่าริอาจมาสงสัยอะไรให้มากความน่า”
ร่างที่ลอยอยู่ค่อยๆลอยไปยังเตียงขนาดกว้างก่อนจะย่อนก้นนั่งไคว่ห้างลงบนเตียงนั้นราวกับมันเป็นของตนเสียอย่างนั้น นัยน์ตาสีแดงที่ดูคุ้นตามากมายสำหรับเมลลาเวียร์จ้องเขาไม่วางตาก่อนจะถอนหายใจออกมาซะเฉย
“สถานการณ์แบบนี้เจ้าควรถามว่าข้ามาทำอะไรที่ห้องเจ้าสิ เมลลาเวียร์”
เมลลาเวียร์อึกอักเหมือนเพิ่งนึกได้ เพราะเขามัวแต่อึ้งกับภาพลักษณ์ราวกับนางพญา...หมายถึงจักรพรรดิสูงส่งอะไรเถือกนั้นอยู่ ทุกท่วงท่าและอากัปกริยาช่างดูสง่างามยิ่งนัก แต่เมื่อยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นตามากขึ้น ร่างสูงสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนทำท่าจะถามออกไป
“ไม่ต้องแล้ว...ข้ามาเพื่อช่วยให้อะไรๆมันจบเร็วขึ้น ถ้าไม่จบข้าก็ไม่ได้ไปไหนเสียทีสิน่า”ร่างที่นั่งบนเตียงยกมือห้ามพลางพูดบอกและบ่นไปในตัวแต่ติดว่านั่นเป็นน้ำเสียงเย็นๆที่ดูไร้อารมณ์ล่ะนะ
“เจ้า...ทำไมถึงบอกให้เรเวอร์เรียไป ทำไมไม่รั้งเขาไว้?”
ฉึก!
คำถามแรกก็แทงใจซะเฉยชิบ เมลลาเวียร์มองหน้าคนถามอย่างงงๆเหมือนไม่เข้าใจคำถามแต่ที่จริงก็เข้าใจดีเลยทีเดียว เป็นคำถามที่จี้จุดเอาเรื่อง
“ตอบ”น้ำเสียงติดเย็นๆนั่นฟังแล้วดูบงการกว่าที่เจ้าชายปีศาจจะคาดคิด
“ก็...เขาบอกเองว่าถ้าข้าไม่ต้องการเขาเขาจะไป...”
“มันก็มีทางเลือกไม่ใช่หรือไง? เจ้าลองถามใจตัวเองดูสิว่าเจาต้องการให้เขาไปจากชีวิตเจ้าจริงหรือเด็กน้อย มันไม่ใช่เพราะเจ้าโกธรที่เขาแลดูเข้าข้างอลาว หรือโกธรที่ใครๆต่างห่วงใยอลาวเลยพาลใส่เขาน่ะ ถ้าจเจ้าเองไม่ต้องการเขา แล้วใยหงุดหงิดใจ?”
ฉึก!
โดนไปอีกหนึ่งคำถาม....
“เอาไปอีกหนึ่งคำถาม”สายตาดุๆจ้องมาก่อนจะเอ่ยปากถาม”ถ้าเขาไม่สำคัญการหายไปของเขามันจะมีผลกับเจ้ามากขนาดนี้หรอ?”
“เอ่อ...”
คำถามดูง่ายดายใช่ไหม? แต่มันยากเกินคนในเหตุการณ์จะเอ่ยปากตอบได้ มันดูลำบากเมื่อนึกถึงคำตอบที่แท้จริง ถ้าเขาไม่สำคัญการหายไปของเขามันจะมีผลกับเจ้ามากขนาดนี้หรอ? เมลลาเวียร์ทวนคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจอีกรอบก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
“อย่าเห็นค่าใครเมื่อเขาจากไปเมลลาเวียร์ เพราะเจ้าอาจจะมาไม่ได้เขากลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง”
บุรุษผู้นั้นกล่าวเรียบๆก่อนหันมองเมลลาเวียร์ด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นมาเล็ก ร่างนั้นเคลื่อนเข้าหาคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น เรียวมือยกขึ้นลูบเส้นผมสีน้ำตาลทองเบาๆ
“คิดหาคำตอบของเจ้าไปเทิดเมลลาเวียร์”
ร่างสูงกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะค่อยๆหายไปดังมโนภาพ เมลาเวียร์เพียงกระพริบตาปริบๆอย่างงงงวย
ร่างห้าร่างนั่งหันหน้าไปคนละทิศละทางพลางใช้สมองคิดหาทางช่วยอลาวออกมาจากปราสาทนั่นให้ได้ แต่สิ่งที่ข้าคิดกลับมีเพียงเรื่องของเดม่อนเท่านั้น ข้าไม่รุ้วู่าใครรู้เรื่องนี้บ้างเพราะงั้นจึงยังไม่กล้าปรึกษาใครๆทั้งนั้น ก็ข้ายังไม่อยากจะทำให้ใครเครียดเพิ่มจากเรื่องของอลาว แม้ว่าตัวข้าจะมองออกเล็กๆว่าซีโร่ก็อาจจะรู้เรื่องนี้ไม่น้อยเพราะถ้าจำปฏิกิริยาทันทีที่ข้าบอกว่าอลาวอยู่โลกปีศาจของซีโร่ได้ก็จะรู้ ร่างแรกที่เขาหันเข้าไปหาก็คือเดม่อนแถมยังมีท่าทีโกธรเกรี้ยวอย่างมากด้วย
“ท่านฟราน”
“เฮ้ย!”
ข้าสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงกระซิบที่ต้นคอ ทุกคนหันมามองด้วยความสงสัยก่อนจะเป็นข้าที่ยกมือดันหน้าเรย์ออกห่างๆ
“มีอะไร?”
“ข้ามีเรื่องอะไรจะคุยนิดหน่อย ไปหาที่สงบๆคุยได้ไหมขอรับ?”ว่าจบร่างนั้นก็ยิ้มประกายแสง
“พวกเจ้าจะไปไหน?”
ท่านพี่ลุกขึ้นพลางเอ่ยปากถามข้ากับเรย์ที่เหมือนจะเดินออกจากลุ่ม
“ข้าไม่พาน้องท่านไปเสี่ยงอันตรายหรอกท่านเฟรนด์ ไว้ใจข้าเถอะน่า”
เรย์ตอบกลับยิ้มๆ ท่านพี่เพียงมองแล้วนั่งลง ไอ้บรรยากาศแห่งความเชื่อใจของท่านพี่กับเรย์นี่มันอะไรกันน่ะ? ระหว่างที่ข้าไม่อยู่แค่คืนเดียวมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีกมั๊ย???
“เจ้ามีอะไรจะคุยกับข้า?”
ข้าเอ่ยถามเสียงฉงน อีกฝ่ายหันมองก่อนร่ายเวทย์เก็บเสียงบางๆเอาไว้รอบตัว ข้ามองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเมื่อร่ายมนตร์เสร็จก็หันกลับมามองข้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความจริงจัง
“เรื่องเดม่อน”
“อ่า...”
ข้าร้องรับอย่างพอเดาเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ออกรวมถึงเหตุผลของการที่อีกฝ่ายต้องร่ายเวทย์เก็บเสียงด้วย
“ข้าสงสัยในตัวตนของยมทูตตนนั้น”
“อย่าว่าแต่เจ้า ข้าก็ด้วย”ข้าว่าพลางยกมือขึ้นเกาหัวหน่อยๆ
“อันที่จริงข้าสงสัยเขามาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบแล้ว การที่เขาสามารถไล่ปีศาจชั้นกลางไปได้อย่างง่ายๆนั่นมันไม่ใช่เรื่องปกติ ต่อให้เป็นหัวหน้ายมทูต ยังมีเรื่องที่เดม่อนกับเรเวอร์เรียพูดกันอีก อ่อ...ตอนนั้นท่านไม่ยู่สินะ เอาไว้ข้าจะเล่าไประหว่างที่เราเดินทางแล้วกัน”
“เดินทาง?”ข้าทวนคำพลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆ”เราจะไปไหน?”
“ไปหาลุงคนขายสร้อยขอรับ”
ตอนนี้ข้ากำลังเดินอยู่ในร่างปีศาจเนื่องจากประกาศจับที่ถูกทำออกมาถูกเพิ่มค่าหัวขึ้นซะสูงลิ่บ อีกทั้งพวกทหารปีศาจก็ต่างพากันเดินไปมาเสียจนวุ่นวาย ต้องขอบคุณมนตร์แปลงกายของเรย์จริงๆ นับว่าเป็นมนตร์แปลงกายที่สุดยอดมากเลยก็ว่าได้ มันเนียนสุดๆ ตอนนี้ข้ามีเส้นผมสีขาวและนัยน์ตาสีแดง มีเขาเหมือยเขาแพะงอกออกมาจากหัว แม้มันจะเป็นภาพลวงตาแต่ขอบอกว่าหนักโคตร! ส่วนทางด้านเรย์นั้นมีเพียงเขี้ยวเพิ่มขึ้นมาที่มุมปากก็ช่วยได้มากโข ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ๆของมันน่ะนะ
“ร้านนั้นันตั้งอยู่ตรงไหนนะ?”
ข้าหันไปถามเรย์ที่มีสีหน้าครุ่นคิด เพราะข้าจำไม่ได้แล้วว่าร้านที่เคยตั้งใจจะซื้อสร้อยอยู่ตรงไหน
“คิดว่าน่าจะอีกสองซอยนะขอรับ”
เรย์เอ่ยพลางลูบคางเบาๆแล้วเดินนำข้าไป รอบตัวตอนนี้มีแต่พวกปีศาจเดินกันให้วุ่นบวกกับพวกนักล่าค่าหัวที่เดินลากขวานลากค้อนกันอย่างน่าเสี้ยวไส้ แม้ข้าจะมั่นใจในฝีมือตัวเองมากก็ตามแต่ แต่ว่าการที่มาอยู่กลางดงศัตตรูแบบนี้ทางที่ดีอย่าสู้เป็นอันขาด เสียเปรียบเห็นๆ
“นั่น! ใช่หรือเปล่าขอรับ?”
“อื๋อ...อ่า คิดว่าใช่”
ข้ามองร้านที่ปิดไฟสนิทจนมืดอย่างไม่แน่ใจนัก อย่าบอกว่าปิดร้านน่ะ ข้าจะพังร้านให้ เรย์กับข้าเดินเข้าไปผลักประตูเข้าสู่ร้านอย่างง่ายดาย ทันทีที่เหยียบเท้าลงบนพื้นนั้นไฟในร้านก็สว่างพรึ่บขึ้นจนข้าระแวง คงไม่ได้มีกับดักอยู่ในนี้นะ
“ข้าว่าแล้วนึกแล้วว่าพวกท่านจะต้องกลับมาที่นี่ เหล่าผู้ตามสิ่งสำคัญเอ๋ย”
ผู้ตามสิ่งสำคัญ?
“พวกท่านต้องการทราบอะไรล่ะ ข้ายินดีตอบคำถามเพียงหนึ่งข้อเท่านั้น”
เจ้าของร้านกล่าวเสียงติดเจ้าเล่ห์ ดูๆไปทำไมดูเขาไม่เหมือนกับตอนแรกที่ข้าเจอเลยเล่า? มองดูเขาแปลกๆตาไปทั้งท่าทางและรอยยิ้ม แต่ทำไม...มันคุ้นจังวะ?
“ก่อนอื่นข้าขอซื้อสร้อยก่อนดีกว่า ข้าไม่อยากให้แหวนของคนสำคัญหายไป”ข้าว่าพลางก้าวไปยังเคาน์เตอร์ที่เคยใช้เลือกสร้อย สร้อยเส้นเดิมถูกวางลงตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มแปลกๆของเจ้าของร้าน
“ข้ายกให้”
ห๊ะ? ข้าร้องในใจก่อนมองยังเจ้าของร้านที่ยังไม่หุบยิ้ม แม้ว่าจะระแวงแต่ข้าก็รับมันไว้อย่างง่ายดาย
“ข้าอยากรู้เรื่ององค์ชายที่หนึ่งแห่งอาณาจักรนี้ท่านพอจะตอบเราได้หรือไม่?”เรย์ถามเสียงเรียบพลางเดินมาหยุดข้างข้า พร้อโจมตีทันทีที่อีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวที่แลดูเป็นอันตราย
“องค์ชายที่หนึ่ง องค์ชายผู้โดนเนรเทศออกจากบ้านเกิดด้วยเรื่องที่ไม่น่าเกิด...การโดนใส่ร้ายป้ายสี ถ้าองค์จักพรรดิองค์ปัจจุบันใส่ใจบุตรชายของตนนสักนิดคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”เจ้าของร้านเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะมองหน้าพวกข้าแล้วเล่าต่อ”องค์ชายถูกใส่ร้ายหาว่า...ฆ่ามารดาของตนเองทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรเลย มันเลวร้ายใช่ล่ะ? องค์ชายตัวน้อย...ว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกตอนนั้นพระองค์มีพระชนน์มายุ25ชันษา เป็นวัยที่เหมาะแก่การขึ้นครองราชน์เป็นที่สุดและเพราะด้วยเหตุนั้นใครต่อใครจึงหมายตาให้พระองค์ออกจากโลกปีศาจไปเสีย เพราะองค์ชายที่เพรียบพร้อมทั้งหน้าตา รูปร่าง ฝีมือ และมันสมองย่อมเป็นหนามขวางทางแก่กบฎ”
กบฎ....กบฎอีกแล้วงั้นหรือ??? ทำไมต้องมีกบฎไปเสียทุกที่แหละน่า ข้าบ่นงึมงัมในใจ
“นามของกบฎนั้นคือ?”เรย์เอ่ยถามทำให้ข้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้าน
“คอฟเคย์”
ไอ้ขุนนางปากหมา น่ากระทืบที่โดนอลาวฆ่าทิ้งไปตั้งแต่ตอนสงครามนี่หว่า! ข้าหันมองเรย์เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าข้ารู้จักเจ้าบ้านั่น
“เป็นคนที่ชั่วร้ายจริงๆนะขอรับ วางแผนยึดอำนาจปีศาจไม่สำเร็จก็ไปวางแผนหยึดอำนาจนรกต่อ สุดท้ายก็สิ้นชีพ ตายอนาจ”
ตรงตายอนาจของเรย์ข้าแอบจับน้ำเสียงสะใจได้เล็กๆ ไอ้หมอนี่...
“เพราะโดนน้องสาวขององค์จักพรรดิจับได้ว่าทรยศและไล่ออกจาโลกปีศาจไปก่อนน่ะสิจึงไม่ได้ทำตามที่คิดไว้”เจ้าของร้านว่าพลางหัวเราะน้อยๆ
น้องสาวองค์จักพรรดิที่ว่า...แม่อลาวใช่มะ?
“อ่า...นี่ไงรูปนาง บังเอิญที่ข้าไปจิ๊กเพื่อนมาได้”
ห๊ะ? จิ๊กเพื่อน ข้าทวนคำในใจก่อนจะยื่นมือออกไปรับรูปนั้นมาดู นี่มัน...อลาวดี้เวอร์ชั้นผู้หญิงชัดๆ! แม้จะมีโครงหน้าบางส่วนที่ได้จากท่านน้าไปบ้างแต่ก็คงไว้ซึ่งโครงของท่านน้าอลิซเหมือนกัน ท่านน้าเป็นสตรีที่ควรคู่กับคำว่า”เจ้าหญิง”มากที่สุดที่ข้าเคยพบมา(ยกเว้นอลาวเพราะรายนั้นยันว่าตนเหมาะจะเป็นเจ้าชายมากกว่า) ใบหน้าเรียวรูปไข่ขาวผ่องดุจหิมะ ดวงตาสีเทาที่มองเผินๆอาจจะดูธรรมดาแต่ในแววตานั้นซ่อนไว้ด้วยความถือตน ไม่ได้หยิ่ง...แต่ถือตนอย่างชนชั้นสูง จมูกโด่งรั้นๆนั้นโคตรเหมือนอลาว ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงธรรมชาตินั่นอีก เส้นผมสีเงินดุจสิ่งมีค่ายาวถึงกลางหลังถูกดันลอนเล็กๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยมาก ข้าไม่แปลกใจเลยที่อลาวจะออกมาสวยขนาดนี้
“เหมือนคนที่ท่านรู้จักงั้นหรือ? สีหน้าท่านดูโหยหาจริงๆ”เจ้าของร้านว่าด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นขึ้นมาเฉยๆ ข้ายิ้มรับก่อนพยักหน้าและส่งรูปคืน
“ขอรับ องค์หญิงเหมือนเพื่อนข้ามาก มากจนให้ความรู้สึกโหยหา”ข้าตอบ
“ก็นะ...นางสวยมากจริงๆ ถึงอยากจะพูดว่าเสียดายที่นางไปเป็นสะใภ้ของแดนนรกเพียงแต่...คู่ชีวิตของนางก็ดีจริงๆ เปรียบกับลูกข้าน่าจับสลับตำแหน่งกันชะมัด”
“ห๊ะ? อะไรนะขอรับ?”
ข้าเอียงหูฟังเสียงพึมพัมๆคล้ายบ่นกับตัวเองของเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเพียงหันมายิ้มแห้งๆแล้วโบกมือเหมือนมันไม่มีอะไรที่ข้าต้องใส่ใจ
“แล้วเรื่องขององค์ชายที่หนึ่งเกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายที่สองหรือ?”
“ข้าจำได้ว่าจะตอบข้อเดียวนะ”
“นี่ก็ยังอยู่ในข้อเดิมขอรับ แค่ขยายความ เพราะข้าถามถึง”องค์ชายที่หนึ่ง”แน่นอนว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องท่านต้องตอบมา”
เจ้าเล่ห์...ไม่ ข้าขอใช้คำว่าขี้โกงดีกว่า สำหรับเจ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่ สุดๆ...
“ฮ่ะๆๆๆๆ เจ้ามันร้ายนัก ได้ข้าจะตอบให้”
ไอ้เสียงหัวเราะสนุกๆนั่นมันคุ้นไปกันใหญ่ ไหนจะสรรพนามที่เปลี่ยนไปอีก อะไรวะเนี่ย?
“ตามจริงองค์ชายที่สอง เนโรนัวร์ ลูซิเฟอร์ เมลลาเวียร์นั้นเป็นปีศาจที่เรียกได้ว่านอกคอกและแตกต่างมากกว่าว่าได้ เขาทั้งขี้ขลาด ขี้แย ไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบเห็นเรื่องไม่ยุติธรรม เขาดูเหมือนมนุษย์คนหนึ่งก็ว่าได้ ดังนั้นองค์จักพรรดิจึงไม่ชอบเขาเท่าไหร่ที่เกิดมาเป็นแบบนี้ และเพราะนิสัยแบบนี้ทำให้เกิดเรื่องขึ้น...เมลลาเวียร์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าเดม่อนบริสุทธิ์ เป็นพยายานบุคคลชั้นดี แต่วันนั้นเขากลับไม่มาปรากฎตัวในห้องโถงเลย”
“ทำไม?”ข้าเอ่ยถามพลางนึกถึงเมลลาเวียร์ เขาดูไม่ขลาดขนาดที่จะไม่กล้าออกมาพูดความจริงนี่?
“ไม่รู้เหตุผล”เจ้าของร้านตอบพลางยักไหล่เบาๆ
ข้ากับเรย์มองหน้ากันก่อนถอนหายใจยาว”คำถามสุดท้าย ชื่อขององค์ชายที่หนึ่ง”
“เนโรนัวร์ ลูซิเฟอร์ เดม่อน”
ชัดเจน....
ชายชราในร้านมองเหล่าผู้มาเยือนที่เดินออกไปหลังจากได้ทราบข้อมูลที่เขาทั้งสองอยากจะรู้ ร่างนั้นถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟากลางร้าน
“เหนื่อยชะมัด”
“เป็นไงมั่งเ?”
“แย๊ก! เจ้าบ้า! จะมาก็ขอให้ส่งเสียงหน่อยได้ไหม?”
“ข้าก็พูดแล้วไง”
ร่างสีดำพูดพลางทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาอีกตัว มือเรียวยกขึ้นหยิบรูปในมือชายหนุ่มข้างๆ เจ้าของร้านแก่หงำเหงือกกลายเป็นชายหนุ่มผมขาวยาวถึงไหล่ที่มองดูการกระทำของคนผมดำเงียบๆ
“ใครใช้ให้เจ้าเอารูปใบนี้ไป?”
เสียงเย็นๆตั้งคำถามพลางปรายตาสีแดงมองคนข้างๆอย่างคาดโทษ
“อย่ามาทำเป็นขี้งกไปหน่อยเลย ทางเจ้าเถอะจัดการให้เจ้าหนูนั่นสำนึกเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
ร่างสีขาวเอ่ยถาม พลางใช้นัยน์ตาสีม่วงมอบร่างสีดำแบบที่ใครเห็นก็ต้องขนลุก
พลั่ก!
“จะปู่หรือหลานไม่ได้ต่างกัน”ร่างสีดำว่าเสียงเรียบทั้งๆที่เมื่อครู่ตนเพิ่งเอาพัดกระดาษฟาดหน้าคนข้างๆไปหยกๆ
“ชิ! อย่ามาทำเป็นสาวแรกรุ่นที่เขินอายยามถูกมองน่า”
“ข้าไม่ใช่สาวแรกรุ่นแต่ไม่ชายคนไหนชอบใจยามถูกมองด้วยสานตาโรคจิตแบบนั้นหรอก”
“หน๊อยเจ้า!”
ร่างสีขาวชี้หน้าอย่างคาดโทษก่อนจะผ่อนลมหายใจออกจากเหนื่อยจิต
“ที่จริงเรื่องนี้เราไม่ควรมายุ่งอะไรเลยด้วยซ้ำนะ ปล่อยให้พวกเด็กๆนั่นจัดการไปก็ได้นี่”ร่างขาวว่าพลางท้าวคางมองร่างข้างๆ
“เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้แหละเฟย์ เอาแต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตน ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อน หากเราไม่ช่วยเรื่องมันก็ยิ่งไปกันใหญ่อาจจะกลายเป็นสงครามในไม่ช้าก็ได้ อีกอย่างจะบอกว่าเรื่องนี้เราไม่มีส่วนก็ไม่ใช่ ในเมื่อมันเกี่ยวกับท่านบลังซ์และท่านนัวร์เต็มๆ เจ้ายังจะว่าว่าไม่เกี่ยวอีกไหม? แล้วอีกอย่างเจ้าก้ช่วยไปแล้วจะมาบ่นให้มากความอะไร?”
“ก็มันไม่ใช่เพราะเจ้าตัดผมข้าไปแล้วขู่ว่าจะตัดผมข้าทุกครั้งที่มันยาวเกินไหล่เหรอ? อีกอย่างข้ายังไม่ได้บ่นอะไรสักหน่อยเลยนะอลังซ์”
“ก็เจ้าก็บ่นอยู่นี่ไง”
“ไอ้.....”
ร่างสีขาวชี้หน้าอย่างไม่รู้จะด่าแบบไหนก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองร่างสีดำที่ดูครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้าเป็นไร?”
“ข้ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ...เราจะทำท่านนัวร์ท่านบลังซ์แยกจากกันอีกแล้วนะ ในสงครามนั่นถ้าไม่ได้เวทย์ชำระของท่านนัวร์มาช่วยไว้...ทั้งนรก ทั้งสวรรค์รวมทั้งแดนปีศาจจะเหลือรอดมาถึงตอนนี้เหรอ?”ร่างสีดำเสรตามองก่อนจะหลับตาลง
“เจ้าจะไปกังวลอะไร ในตอนนั้นมันเป็นเพราะเวทย์ที่ถูกวางไว้ด้วยคนทรยศไม่ใช่หรือไงเรื่องมันถึงได้บานปลายน่ะ ตอนนี้คนพวกนั้นก็ตายไปหมดแล้ว เจ้าคอฟเคย์คอฟเค่ออะไรนั่นก็ตายไปแล้ว ไอ้พ่อหมอตัวปลอมนั่นก็อีก”ร่างสีบาวพยายามปลอบใจอีกฝ่าย
“เจ้าคิดว่าคนชั่วมันมีลูกไม่ได้หรือไง?”
“แต่ความชั่วมันก็ไม่ได้สืบมากับสายเลือดหรอกน่า”
“มันก็ไม่แน่”
ร่างสีขาวมองร่างสีดำอย่างอ่อนใจ ความคิดแง่ลบของคนคนนี้มันแน่วน่มั่นคงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
“เอาเถอะถึงเวลานั้นข้าจะไม่ให้ใครต้องมาใช้พลัวอะไรกำจัดใครทั้งนั้นแหละ ข้านี่แหละจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนเอง!”
“เหอะ....”
แล้วไอ้เสียงหัวเราะยั่วประสาทนั่นก็ทำให้เกิดสงครามเล็กๆขึ้นกลางร้านขายเครื่องประดับ อีกทั้งทั้งสองยังลืมร่างเจ้าของร้านตัวจริงที่ถูกมัดแล้วยัดใส่ใต้เคาน์เตอร์ไว้อีกด้วย....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++TBC.++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น