ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No Limit คู่หูต่างขั่ว รั่วกำลังสอง

    ลำดับตอนที่ #22 : บทที่หก เหนื่อยก็พักแต่ถ้าพักอาจจะสายเกินไป...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 275
      0
      30 ส.ค. 56

     

    บทที่หก

    เหนื่อยก็พักแต่ถ้าพักอาจจะสายเกินไป...

                    ข้าไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจอย่างมากว่าทำไมตนเองถึงไม่เข้าไปแย่งอลาวกลับคืนมาทั้งๆที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเก่งแค่ไหนแต่ข้า....ข้ามีพวกอยู่อีกตั้งสี่คนแล้วทำไมจะสู้ไม่ได้แต่ละคนนั้นก็ไม่ใช่ระดับต่ำๆเสียด้วย ข้าย่อนก้นลงอย่างไม่เป็นสุข ภาพที่อลาวโดนดูดเลือดนั่นมันยังชัดเจนในหัวสมองข้า!!

    “โธ่เว้ย!!

                    ตู้ม!!!

    “ฟราน...ข้าว่าท่านใจเย็นๆเสียก่อนเถอะก่อนที่ป่านี้จะหายไปหมดเพราะท่าน เด็กพวกนั้นกำลังกลัวท่านอยู่นะ”เรย์บอกเสียงอ่อน ก็แล้วไง?? ป่าหายแล้วไง?สัตว์พวกนั้นกลัวแล้วไง?

    “ท่านฟราน ท่านอย่าโดนทางฝั่งนั้นปั่นหัวเล่นง่ายๆสิขอรับ การที่ท่านหงุดหงิดวื่งตามเกมส์แบบนนี้มันจะยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นได้ใจไปกันใหญ่ สงบสติอารมณ์แล้วกลับมาสุขุมเช่นเดิมเถอะขอรับ ถึงแม้ความสุขุมนั้นมันจะอยู่ภายใต้รอยยิ้มกวนบาทาแค่ไหนก็ตาม”

                    มันคงจะดีมากซีโร่ถ้ามันไม่มีประโยคหลังที่น่าจับคนพูดทุ่มพื้นเสียนี่กระไร แต่ที่ซีโร่พูดก็มีความจริงอยู่มากกว่าครึ่ง ยังไงเสียถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอลาวแล้วอีกฝ่ายกำลังใช้อลาวทำอะไรอยู่แต่ว่าบางทีการที่ข้าขาดความสุขุมที่เคยมีไปทำให้เกิดเรื่องได้อีกเป็นแน่ ข้าผ่อนลมหายใจยาวๆก่อนจะคลี่ยิ้มที่ใครต่อใครต่างบอกว่ากวนบาทาออกมา

    “นั่นสินะ ข้าอาจจะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนจากความวู่วาบของข้า ขอโทษที่ทำให้เจ้ากลัวนะ”

                    ข้ายื่นมือลงแตะที่หลังกระรอกป่าอย่างแผ่วเบา เจ้าตัวน้อยที่สั่นเทิ่มจากการแผ่รังสีกดดันของข้าเริ่มกลับมานิ่งเช่นเคย

    “แล้วนี่เราจะเอายังไงต่อ?”ท่านพี่ถามหลังจากที่เห็นว่าข้าน่าจะใช้สมองมากกว่าอารมณ์แล้ว

    “เราอาจจต้องพักที่นี่ไปก่อน จากนั้นค่อยหาทางลอบเข้าเมืองที่หลัง ถึงแม้ที่นี่จะเป็นแดนปีศาจแต่ว่าก็มีมาตรการการรักษาความปลอดภัยจากคนต่างถิ่นค่อนค้างสูง”เดม่อนกล่าวเรียบๆก่อนใช้สายตามองพวกข้าทุกคนจากนั้นจึงถอนหายใจ”ลำพังข้า การเข้าไปนั่นไม่มีปัญหาอะไรเลยเพียงแต่มันติดที่พวกท่าน ถึงท่านฟราน ท่านเฟรนด์และซีโร่จะมีกายหยาบแล้วแต่ว่ามันก็ยังกลบกลิ่นไอความเป็นเทพของพวกท่านไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างท่ายเรย์เองก็ด้วย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่กับการละเลยหน้าที่การป้องกันประตูด่านหน้าเข้ามาวิ่งเล่นในเมืองปีศาจเสียเองแบบนี้”

    “ใครบอกข้ามาวิ่งเล่น ข้ามาช่วยพวกเจ้าต่างหาก”

    “เงียบปากแล้วนั่งลงไป”ข้ายกมือขึ้นอุดปากอีกฝ่ายแล้วผลักไปด้านหลัง

    “แล้วทำไมข้าถึงเกี่ยวด้วย ข้าอยู่ในนรกมาตั้งนานกลิ่นไอเทพมันยังไม่หมดอีกงั้นหรือ?”

                    ดูเจ้าตัวจะไม่รู้เลยใช่ไหมว่าตนเองมีกลื่นไอเทพออกมาขนาดไหน ตอนที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมของอลาวนั่นมันก็ทำให้ไม่ชัดเจนอยู่หรอก แต่นี่พออยู่ในกายหยาบคนที่มีเลือดเนื้อเชือดไขเทพเต็มตัวแบบข้าได้กลิ่นชัดเจนมากเลยที่เดียว แปลว่าอลาวเองก็คงช่วยปกปิดสถานะของซีโร่เอาไว้สินะ ใจดีจริงๆ

    “นี่ท่านลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเป็นเทพมากี่ปี ตั้งพะ....”

    “อย่าพูดนะเฟ้ย!!

                    ซีโร่กระโดดปิดปากเดม่อนแทบจะทันที ร่างทั้งร่างโถมเข้าใส่จนเดม่อนหงายตึงลงไปนอนกับพื้นดินเย็นๆ

    “ถ้าเจ้าพูดมากแม้แต่นิดเดียว ข้าจะจัดการส่งเจ้าไปเกิดใหม่ทั้งๆที่ยังไม่หมดอายุไขนี่แหละ”ซีโณ่ว่าเสียงเย็นเฉียบ เดม่อนได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

    “แล้วเราจะเอาไงดีล่ะ ถ้าในเมื่อกลิ่นไอเทพมันยังคละคลุ้งเสียแบบนี้”เรย์ยกมือขึ้นมาโบกไปมาราวกับว่าตรงหน้าเขามีกลิ่นเนื้อเน่าลอยอยู่เต็มอากาศ เฮ้ยๆนีมันกลิ่นไอเทพนะเว้ยมาทำท่าทางรังเกียจแบบนี้เดี๋ยวพ่อตบคว่ำ

    “ก็อย่างว่าแหละขอรับ เราคงต้องหาทางลอบเข้าไปแต่ข้าเกรงว่ายังไม่ใช่ตอนนี้เพราข้ายังหาจุดโหว่ของปราการเมืองไม่เจอ...เปลี่ยนไปมาก”

    “ห๊ะ? เมื่อกี๊เจ้าว่าไงนะเดม่อนข้าไม่ได้ยิน”

                    ข้าเอียงหูเข้าหาร่างที่นั่งลูบคางอยู่กับพื้นเย็นๆเพื่อฟังประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายพูดอย่างแผ่วเบา

    “หา? อ๋อ ข้าแค่บอกว่าเมืองนี้เปลี่ยนไปมากจากข้อมูลที่ได้มาครั้งก่อนน่ะขอรับ”เดม่อนยิ้มรับโดยมีสายตาดุๆของซีโร่มองอยู่ เจ้าสองคนเป็นพ่อลูกกันหรือไงเนี่ย

    “งั้นนอนพักเอาแรงเสียก่อนเถอะ”ท่านพี่เฟรนด์ว่าง่ายๆซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

                    เดม่อนกับซีโร่แยกตัวออกไปจากกลุ่มด้วยเหตุผลที่ว่าจะไปหาอาหารและฟินแต่ข้าว่ามันมีอะไรในก่อไผ่นอกจากหน่อไม้แน่ๆ ซีโร่แลดูเคร่งเครียดชอบกลส่วนเดม่อนก็หงอๆ หรือว่าทั้งคู่จะไปคุยกันตามภาษาสามีภรรยา แล้วใครสามีใครภรรยาล่ะนี่

                    เพลี๊ยะ!

                    ฝ่ามือพิฆาตรลงมากลางหัวข้าเต็มๆ ข้าหันไปมองท่านพี่เฟรนด์ที่ยืนหน้านิ่งมองข้าอยู่

    “นี่เจ้ายังคิดอะไรแบบนี่อีกหรือ รอบก่อนที่ไปคิดต่อหน้าฟีนกับอเล็กซ์นั่นยังไม่เข็ดใช่ไหม?”ท่านพี่ถามเสียงเขียวเล็กๆ(เล็กมากกกกกกกก) ข้าได้แต่หัวเราะแหยๆ

                    รอบก่อนตอนที่เผลอไปคิดว่าระหว่างพี่ฟีนกับพี่อเล็กซ์ของอลาวใครกันที่เป็นภรรยาและใครกันที่เป็นสามี ไอ้ตรงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่หรอกแต่พอข้าคิดว่าท่านพี่อเล็กซ์น่าจะเป็ภรรยาเท่านั้นแหละ ข้าเกือบไม่ได้เจออลาวตลอดชีวิตแล้วไหมล่ะ ก็พี่ท่านเล่นเอามีดบินที่ไม่สามารถระบุจำนวนได้มาถล่มข้าแบบไม่ยั้ง โดนมีท่านพี่ฟีนยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่

    “ไหนเจ้าว่าใหม่สิว่าใครเป็นภรรยาใคร?!!!

                    ตอนนั้ข้ากำลังคิดว่าแทนที่ท่าจะโมโหว่าใครคือสามีและภรรยาท่านควรจะโมโหเพราข้าว่าพวกท่ารักกันมากกว่า แบบนี้แปลว่าไม่ปฏิเสธเพียงแต่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครบน...ใครสามีวครภรรยาใช่มะ?

    “ก็น้องข้าพูดความจริงเจ้าไม่ควรที่จะไปว่าเขาการที่เจ้าทำแบบนี้เจ้าอาจจะหาแฟนไม่ได้อีกเป็นล้านปีเลยนะ”

                แล้วในตอนนั้นท่านพี่ข้าก็ได้พาเราออกสู่ทะเลอันเวิ้งว้างเรียบร้อย....อ่าท้องฟ้า สายลม และแสงแดด

    “การที่ข้าไม่มีคู่ข้านั้นไม่ได้เครียดอะไรแต่การที่เจ้า...ยังมีชีวิตรอดหายใจอยู่ต่อหน้าข้านี่มัน่าเครียดกว่าเยอะ!!!

                    แล้วข้าก็รอดจากมีดบินสังหารได้อย่างงงๆ ข้าขอเข้าข้างตัวเองว่าท่านพี่ช่วยข้าก็แล้วกันนะ ข้านั่งนึกไปนึกมาพลางยิ้มอยู่คนเดียวจนดูเหมือนคนบ้า แต่ด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งวันหรืออะไรไม่รู้ข้าถึงได้ผลอยหลับไปอย่างไม่ทันรู้ตัว

     

    “ท่านบลังซ์โปรดอย่าทำอะไรเราเลย พวกข้าไม่มีเงินแล้วจริงๆ”หญิงชราล่ำร้องปรานขาดใจตาย

                    เจ้าของชื่อขยับยิ้มอย่ายโสพลางใช้ดวงตาสีสวยมองร่างที่นั่งร่ำไห้อย่าสมเพชร มองเหมือนร่างที่กรอมอยู่ที่เท้าเป็นเพียงก้อนดินสักก้อนหนึ่ง

    “ถ้าเกิดข้าไม่หยุดล่ะ...เจ้าจะทำไม?”ร่างสูงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทะนงจนน่าถีบให้คว่ำ

    “ท่านบลังซ์....”

    “อย่ามาบังอาจคิดเรียกชื่อข้า หากไม่มีเงินก็ส่งสิ่งที่มีค่าของเจ้ามา!! ถ้าไม่มีก็อย่าได้มาบังอาจใช้ชีวิตในเมืองนี้!

                    ดาบเล่มบางยกขึ้นเหนือหัวก่อนที่จะเหวี่ยงลงมาอย่างไร้ความลังเล

                    เคร้ง!!

                    ดาบบางหักครึ่งอย่าไม่ทราบสาเหตุ มีเพียงเสียงปริศนาที่ดังขึ้น เจ้าของดาบหันมองซ้ายขวาอย่างระวังภัยแต่เมื่อหันมาก็พบว่าหญิงชราตรงหน้าได้หายไปเสียแล้ว ร่างสูงได้แต่สถบอย่างหัวเสีย ใครมันบังอาจมากระตุกหนวดเสือ!!

     

    “เจ้าเป็นใคร? เจ้าสวะชั้นต่ำ?”

                    นัยน์ตาสีม่วงดั่งอัญมณีเมล็ดงามเสรมองคนที่นั่งลงร่วมโต๊ะกับเขาอย่างไม่พอใจ เชิญก็ไม่ได้เชิญแล้วนี่มานั่งได้ยังไงกันร่างสูงคิด เขายิ่งอารมณ์เสียจากการที่โดนขัดขว้างความสนุกอยู่

    “ข้าชื่อ ทาเอลซัส นัวร์ เป็นคนแถวนี้แหละ”ว่าจบเจ้าของเรือนผมสีดำก็หัวเราะเบาๆดูก็งดงามดีหรอกเพียงแต่มันจะมางามแข่งกับเขาได้ยังไง!!

    “ประโยคนั้นข้าไม่ได้ถามเพื่อให้เจ้าตอบ ออกไปให้พ้นสายตาข้า”เจ้าของเรือนผมสีพิสุทธิ์สั่งอย่างถือตน ไม่มีคำลงท้ายใดๆทั้งๆที่เพิ่งรู้จักอีกฝ่ายได้ไม่นาน

    “แล้วหากข้าบอกว่าข้าไม่ไปล่ะ? ท่านจะว่ายังไงเซนส์ดิลอฟ บลังซ์?”ร่างนั้นยิ้มยั่ว(โมโห)เล็กน้อย

    “เอ๊ะนี่เจ้า!!!

                    นัวร์เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่ายียวน ไม่ได้มีท่าทียี่ระสักนิดแม้มองดูก็รู้ว่าตนผอมบางกว่าอีกฝ่ายแค่ไหน

    “อ่อ...เข้าใจแล้ว...เจ้าอยากได้สักกี่เนลล่ะ? สิบ ยี่สิบ หรือสามสิบ แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่าข้าไม่อยากนอนกับใครมั่วซั่ว”

                    เจ้าของนัยน์ตาสีแดงหัวเราะออกมาจากลำคอก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความสูงที่ไล่เลี่ยกัน ใบหน้างดงามดั่งภาพวาดขยับยิ้มเหี้ยมพร้อมแผ่รังสีน่ากลัวออกมาอย่างไม่ปิดบังจนเหล่าองค์รักษ์คุณชายที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างกรูเข้ามาแต่บลังซ์กลับยกมือขึ้นห้ามเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

    “ข้าขอบอกท่านไว้ตรงนี้เลยน่ะคุณชาย...”ร่างนั้นยิ้มหวานหยดจนไม่เห็นดวงตาสีแดงสดนั่น”เงินน่ะมันซื้อข้าไม่ได้ แล้วข้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยโวย!!! ถึงเป็นผู้หญิงก็ไม่เที่ยวมายั่วผู้ชายอย่างที่ท่านคิดด้วย ยิ่งคนอย่างท่านข้าขอไปให้ไกลสุดโลกเลยเสียดีกว่า! ถามตามตรงเถอะชีวิตท่านมีใครรักท่านที่ตัวท่านจริงๆไม่ได้หวังเงินบ้าง? ข้าขอฝากไว้ให้ท่านคิดก็แล้วกันไว้เจอกันคราวหน้าข้าคงได้คำตอบ!

                    นัวร์เดินสวนอีกฝ่ายออกไปนอกร้านอย่างไม่เหลียวมองหรือใส่ใจในร่างขององค์รักษ์

    “คิดว่าจะได้เจอกันอีกหรือไง?”

                    บลังซ์สถบอย่างหัวเสีย อย่างแรกคือที่อีกฝ่ายอวดดีกับตัว สองหน้าแตกที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงแถมยังเป็นผู้หญิงอย่างว่าอีกและสามคำถามที่จี้จุดแบบเต็มๆนั่น ราวกับคนคนนั้นรู้อะไรอย่างนั้นแหละ

     

                    ร่างสูงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในยามราตรี แสงดาวนวลอยู่เต็มท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แต่ความงามของท้องฟ้านี่มันไม่ได้เข้าไปในสมองเขาเลยแม้แต่น้อย เขานั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนตาม...เสียงที่ได้ยินตามสายลม

    “ถ้ามองท้องฟ้าตอนนี้ใจของท่านจะสงบอย่างประหลาด”

                เสียงนั้นทำให้บลังซ์ก้มลงมองอย่างตกใจ เห็นใบหน้าขาวนวลลอยเด่นในความมืด ดูหลอนดีพิลึก นัวร์ยิ้มแฉ่งแบบตนเองก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนกรอบหน้าต่างอย่างง่ายดายจนนัวร์ผงะแต่ด้วยความรีบร้อนหรือความโง่ส่วนบุคคล คนที่กระโดดขึ้นมากลับถลาไปด้านหน้าล้มทับบลังซ์ดังโครมใหญ่

    “ท่านชาย!!!!

    “กรรม”บลังซ์พูดไม่มีเสียงออกมาพร้อมกับนัวร์ ร่างด้านบนกระซิบให้บลังซ์อยู่เฉยๆแล้วบอกว่าตนจะจัดการเอง

    “ท่าน...”

                    องค์รักษ์ที่เข้ามาถึงกับชะงัก นัวร์ยันตัวขึ้นช้าๆมือข้างหนึ่งยกขึ้นจับเอวตัวเองเบาๆ

    “ท่านบลังซ์ล่ะก็รุนแรงจังนะ”

                    บลังซ์พองลมในปากเล็กน้อย แต่เพียงแค่นั้นทั้งองค์รักษ์ทั้งท่านบลังซ์ก็ปากค้าง

    “จะจ้องข้าอีกนานไหม อารมณ์มันค้างนะ”

                    หลังมือเรียวขาวนวลยกขึ้นแตะปากตนเองเบาๆ นัยน์ตาสีแดงสดเสรออกมองข้าตัว องค์รักษ์ต่างกลืนน้ำลายเอื้อกก่อนจะเผ่นออกด้านนอกอย่างไม่ต้องนัดแนะ

    “หึหึ”

    “นี่เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!!!

                    ร่างทั้งร่างถูกผลักลงเตียงอย่างง่ายดาย

    “ท่านต่างหากจะทำอะไรข้า?”

                    นัวร์ถามเสียงเจ้าเล่ห์เมื่อตอนนี้ร่างของเขาถูกผลักลงไปบนเตียง บลังซ์หน้าเหวอไปชั่วขณะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านพูดออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้

    “แล้วนี่พวกนั้นไม่เข้าใจว่าข้าผิดเพศไปแล้วงั้นหรือ??”

                    บัลงซ์ขยี้หัวตนเอง ร่างบนเตียงยันตนขึ้นมานั่งไคว่ห้างราวกับตนเป็นเจ้าของห้องพลางท้าวคางมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวนประสาทแบบที่ว่าหาตัวจับได้ยากยิ่ง

    “แม้แต่ท่านที่ใครต่อใครว่าฉลาดล่ำยังมองข้าผิดเป็นเพศเมียเลย องค์รักษ์ที่ดูเหมือนก้อนเนื้อเดินได้พวกนั้นคงไม่ทันยั้งคิดหรอกว่าข้าเป็นเพศอะไร”   

                    ร่างนั้นบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ บลังซ์ได้แต่มองคนปากร้ายอย่างนิ่งๆเข้าที่ว่าปากเสียยังเสียไม่ได้ครึ่งนึงของร่างสีดำนี่เลย พรสวรรค์หรือไงเนี่ย?

    “แล้วเจ้าบุกเข้ามาห้องข้าทำไม?”

    “ทำไม?? ข้าคิดถึงไง”

    “ห๊ะ????”

    “ข้าล้อเล่น อย่างท่านอย่าบอกว่าเชื่อนะ ข้าจะโดดหน้าต่างตายให้ดู”

    “เชื่อ”

    “เฮ้ยๆๆๆๆ”

                    บลังซ์เข้าไปรั้งเอวอีกฝ่ายที่ดูท่าว่าถ้าไม่ห้ามไว้ได้มีกระโดดตามที่บอกไว้แน่ๆ นัวร์ดิ้นขลุกขลักๆอยากจะกระโดดหน้าต่างเสียเต็มประดา

    “แล้วสรุปเจ้ามาทำไม?”บลังซ์ถามวำเพื่อให้อีกฝ่านเลิกใส่ใจการกระโดดหน้าต่างมาหาตนและมันก็ได้ผล

    “นั่นสินะ...ว๊ากกกกกก ปล่อยข้าๆ ข้าบอกแล้ว!!!

                    ร่างทั้งร่างห้อยต่องแต่งอยู่กลางเวหา ณ หน้าต่างชั้นสี่ของตัวปราสาทด้วยสีหน้าคนจับห้อยที่บอกเป็นคำพูดได้ว่า”ขืนเอ็งเล่นลิ้นอีกข้าโยนเอ็งไปทัศนานอกโลก(นรก)แน่!!

    “ข้าแค่อยากจะได้บางสิ่งจากท่านและจะมาเตือนท่านเท่านั้น”

    “เตือน?”

    “ใช่ คนอย่างท่านน่ะมันสร้างศัตตรูไปทั่วเพราะปากหมาไม่เลือกเวลา สายตาชอบดูถูกทิ่มแทงชาวบ้าน ชอบมองว่าคนอื่นจะเห็นอะไรๆซื้อได้ด้วยเงินไปหมดเพราะงั้น...อ้าวนั่นท่านเอาดาบออกมาทำไม? ข้าบอกให้ระวังตัวก็จริงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ”

    “ข้าไม่ได้เอามาป้องกันตัว”

    “อ้าว? แล้วเอามาทำไม?”นัวร์เอียงหัวด้วยท่าทางน่ารัก...น่าฟัด...น่ากระทืบให่แม่มจมดินบัดเดี๋ยวนี้!!!

    “จ๊ากกกกกกกกก”

                    เสียงโหยหวนดังไปทั่วก่อนที่ร่างของนัวร์จะวิ่งหลบดาบของเจ้าของบ้านไปทั่ว แต่การเล่นบ้าๆครั้งนี้มันก็ทำให้บลังซ์พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีฝีมือไม่มากก็น้อย แม้การฟันดาบของเขาจะออมๆไว้บ้างแต่อีกฝ่ายก็หลบได้สบายภายใต้การกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าแตกตื่น แต่ด้วยความโง่ส่วนบุคคล(อีกแล้ว)นัวร์ที่วิ่งทะล่าอยู่สะดุดพรมชั้นดีล้มลงไปหัวฝาดพื้นดับอนาจ....อ่อยัง แค่สลบเท่านั้นเอง

    “นี่เจ้า เฮ้ยๆๆเจ้า...นัวร์ ตื่นสิเว้ย!

                    บลังซ์เรียกอีกฝ่ายพลางใช้ดาบสะกิดเบาๆแต่แลดูอีกฝ่ายคงไม่ฟื้นมาปากหมาใส่เขาในเร็วๆนี้แน่ เอายังไงดี?

    “ฮะ....”

                    ไม่ได้สิ ถ้าเกิดเขาเรียกพวกข้างนอกเข้ามาตอนนี้รับรองว่าพวกนั้นต้องรู้ว่านัวร์เป็นผู้ชายแล้วมองเขาด้วยสายตาแปลกๆแน่ๆ สงสัยงานนี้ตนจะเป็นที่พึ่งแห่งตนซะแล้ว บลังซ์ลากร่างของนัวร์ที่สลบไม่ได้สติไปไว้บนเตียงตนเอง นัยน์ตาสีม่วงทอดมองอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยใจ เกิดมาอายุก็เข้าเลขสองแล้วเขายังไม่เคยดูแลใครสักคน แล้วนี่มันอะไรหมอนี่มันเป็นใคร ขนาดคู่หมั่นเขาเขายังไม่เคยดูแลเลยด้วยซ้ำ...คู่หมั่น...

    “ถามตามตรงเถอะชีวิตท่านมีใครรักท่านที่ตัวท่านจริงๆไม่ได้หวังเงินบ้าง?”

                    รัก?โดยไม่หวังผลงั้นหรือ? ทำไมเขาไม่เคยนึกถึงจุดนี้มาก่อนกันนะ ตลอดชีวิตที่เกิดมาเขาคิดว่าเขามีพร้อมทุกอย่าง เงินทอง ลาภยศชื่อเสียง รูปลักษณ์  ฝีมือรวมถึงผู้คนที่เคารพเขา....แต่จะมีสักกี่คนที่ให้ความเคารพเขาด้วยใจจริงโดยไม่มองที่เงินตราของเขาเลย อย่างน้อยๆคู่หมั่นเขาคงไม่ใช่ล่ะหนึ่ง...มาทีไรไม่เคยไม่เสียเงินสักครั้ง

     

                    รุ่งส่งของเช้าวันใหม่บลังซ์ตื่นขึ้นมาพบว่าร่างสีดำยังหลับสนิทอย่างน่าเป็นห่วง ไม่ใช่การเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วนะ เกิดเป็นแบบนั้นขึ้นมาเขาได้แย่แน่ๆ

    “นี่ เฮ้!”บลังซ์ตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆร่างนั้นบัดมือเขาออกแล้วพลิกตัวหนีหน้าตาเฉย

    “อย่ามาขยับหนีนะเฟ้ย”บลังซ์กัดฟันบอกคนที่ขยับตัวหนีเขาก่อนจะดึงคอเสื้อร่างร่างนั้นขึ้นมาเขย่าๆ

    “อ่า...อะไรเล่าอย่ามาปลุกกันแต่เช้าสิน่า”น้ำเสียงงัวเงียนั่นมันน่าจับกด...น้ำซะจริง

                    คิดไม่คิดเปล่าบลังซ์ลากตัวคนที่เบายิ่งกว่าอะไรดีไปในห้องน้ำฉับพลันพลางกดน้ำในอ่างอาบน้ำของตน

    “อ่าห์!! นี่เจ้าทำบ้าอะไรวะ!!!

                    นัวร์ออกเสียงโวยทันทีที่สามรถขึ้นมาหายใจเหนือน่านน้ำ(ในอ่าง)ได้สำเร็จ นัยน์ตาสีแดงเปลี่ยนเป็นตาเขียวในฉับพลันเมื่อมองไปยังคนที่หิ้วคอเสื้อเขาอยู่ ไอ้บ้านี่มันน่าฆ่าทิ้งเสียนี่

    “แล้วเมื่อวานเจ้าจะบอกอะไรข้า?”

    “บอก?”

                    ร่างที่หลุดออกมาจากการจับหิ้วเหนือพื้นได้เอียงคอออย่างไม่เข้าใจคำพูด

    “ก็ที่เจ้าจะเตือนข้าก่อนที่จะสะดุดล้อมสลบไปนั่นน่ะ”

                    นัวร์ยกมือขึ้นลูบคางตามความเคยชินอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะอ้าปากหวอพร้อมทั้งเอานิ้วชี้หน้าบลังซ์

    “ข้าลืมไปแล้ว!!!

                    ตู้ม!!

     

    “ฮัดชิ้ว!

                    เสียงจามดังมาจากคนที่นั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าขนหนูอยู่บนหัวและบนไหล่ แม้จะเปลี่ยนชุดแล้วแต่ในอากาศเย็นๆแบบฤดูหนาวแบบนี้มันก็หนาวอยู่ดีนั่นแหละน่า

    “ทำไมท่านไม่รู้จักฟังคนอื่นพูดให้จบก่อน”

                    นัวร์ถามเสียงสั่น ไม่ใช่อะไร...เขากำลังหนาวมากต่างหาก

    “ก็เจ้ามันกวนตีนข้าอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนนี่”บลังซ์ตอบกลับแบบที่ไม่เรียกว่าใช่เหตุผลเท่าไหร่

                    นัวร์ขยับยิ้มพร้อมหัวเราะหึหึ ร่างบนเตียงค่อยๆคลานมาหาคนที่นั่งไคว่ห้างอยู่บนเก้าอี้สีทองอร่ามข้างเตียงด้วยสภาพการที่จัดได้ว่าหลอนน่าดู

    “ก็ท่านมันเป็นซะแบบนี้ ไม่รอบครอบแถมยังใจร้อนวู่วามระวังจะเสียของรักไปโดยไม่รู้ตัว”

    “ก็อะไรเล่า ใครจะไปรู้ว่าแค่ล้มหัวฟาดพื้นเจ้าจะดันลืมเรื่องที่จะมาบอกไปหมดน่ะ”

                    คราวนี้นัวร์หัวเราะดังเหอะแบบไม่เกรงใจเจ้าของบ้านพร้อมทั้งส่งสายตาเหยียดๆแบบที่บลังซ์เคยส่งให้ไปยังเจ้าของบ้านอีกต่างหาก

    “ท่านมันก็อีหรอบเดิม ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่คิดหน้าคิดหลัง เอาแต่ใจ ไร้ความคิดไตร่ตรองให้ดีแบบนี้สิน่า...หยุดคิดที่จะเอาดาบมาฟันข้ากลยนะข้าอาจจะล้มอีกตาคราวนี้อาจจะความจำเสื่อมแบบสุดๆท่านอยากจะเลี้ยงดูคนไร้บ้านอย่างข้าตลอดชีวิตไหมล่ะ?”

                    นัวร์พูดดักคอจนบลังซ์ต้องเก็บดาบเข้าฝักอย่างช่วยไมได้ คนคนนี้ดูเหมือนจะรู้นิสัยเขาไปเสียหมด เป็นพวกโรคจิตแอบตามหรือไง

    “เหอะ! ถ้าให้ข้าตามท่านสู้ไปตามพวกพ่อมดยังดีกว่า”

    “นี่เจ้า...อ่านใจข้าได้งั้นหรือ”

                    นัวร์ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างฉับไวโดยมีสายตาที่ปรี่มองของบลังซ์จ้องอยู่ คนโดนจ้องสลัดผ้าขนหนูทิ้งก่อนจะแว๊บหายไปที่กรอบหน้าต่าง

    “ข้าว่าข้าหมดธุระแล้ว อ่ออย่าลืมล่ะ นิสัยเสียๆของท่านอาจจะทำให้เสียของรักโดยไม่รู้ตัว”

                    เสียงเตือนแว่วหายไปกับสายลม บลังซ์ได้แต่ทุบมือกับกรอบหน้าต่างอย่างหัวเสียก่อนจะตระหนักได้ในบางสิ่ง...นี่เขากำลังทำอะไรอยู่? ใส่ใจกับเศษมนุษย์งั้นหรือ แค่เพียงสวะหนึ่งตัวในสายตาเขาทำไมต้องไปหัวเสียวุ่นวายกับมันด้วย? เหมือนชั่วขณะที่เขาอยู่กับนัวร์ความหยิ่งยโสที่แสนภาคภูมิใจของเขาได้หายไปพอร่างนั้นออกพ้นรัศมีเขาก็รู้ตนอีกหน...หมอนั่นมันทำอะไรกับเขา?

    “หึ”เสียงทุ้มสถบในรำคอก่อนดวงตาสีสวยจะเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงอีกหน ร่างสูงหมุนกายออกไปสู่ภายนอกห้องส่วนตัวเดินสวนกับองค์รักษ์คนหนึ่ง

    “ท่านชายขอรับมีชาวบ้านไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองขอรับ จะให้ข้าทำเช่นไรโปรดสั่ง”

                    ร่างสูงเหยียดยิ้มเบาๆก่อนเอ่ยออกมาอย่างไม่มีความลังเล

    “ยึดทุกอย่างของมันมารวมทั้งชีวิตด้วย”

                    องค์รักษ์คำนับน้อมก่อนเดินจากไปตามทางเดินไกลสุดลูกตา ทำไมคนอย่างเขาต้องไปใส่ใจคำถามไร้สาระนั่นด้วย สุดท้ายยังไงสิ่งที่สำคัญทาสุดก็คือเงินอยู่ดี ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้

    “ท่านบลังซ์!!!”เสียงเรียกที่ลั่นโถงทางเดินทำให้ร่างสูงหันมองอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่

    “อะไร?”

    “คุณหนู คุณหนูเยนีก้าคู่หมั่นท่าน...โดนดักปล้นระหว่างทางมา พวกโจรเอาของมีค่าไปหมดเลยแถมยัง...ทำเรื่องแบบนั้นกับคุณหนู”

                    บลังซ์เบิกตาโพลงอย่างไม่คราดคิด เขารีบสั่งในองค์รักษ์พาเขาไปหาคู่หมั่นโดยไว

    “เยนีก้า”

                    ร่างสูงเรียกเสียงแผ่ว เจ้าของเรือนผมสีทองให้สภาพดูไม่จืดหันมองด้วยใบหน้าเคร้าน้ำตา

    “ท่านพี่ ฮึก! เครื่องประดับข้า!

    “มันไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องนั้น ใครกันที่ทำแบบนี้กับเจ้า!

                    ร่างสูงดูโมโหเสียจนใบหน้าแดงก่ำพลันคำพูดหนึ่งก็พุดขึ้นในหัว

    “ข้าแค่อยากจะได้บางสิ่งจากท่านและจะมาเตือนท่านเท่านั้น”

                    บางสิ่งที่ว่าที่เขาไม่ทันสนใจหรือจะเป็น...เรื่องนี้ บลังซ์กำหมัดแน่นก่อนผลีผลามออกไปปย่างไม่พูดไม่จาใดๆ สุนัขดมกลิ่นถูกพาออกมาจากกรง เสื้อผ้าของนัวร์ที่ยังอยู่ในห้องเขาถูกโยนให้สุนัขดมอย่างที่คนโยนนึกรังเกียจ เจ้าสัตว์สี่ขาผู้แสนซื่อสัตย์วิ่งตรงดิ่งเข้าไปยังในเมืองท่ามกลางความตกใจของผู้คน ผู้สั่งหาได้ใส่ใจไม่ดวงตาสีม่วงเข้มจดจ้องไปยังด้านหน้าที่สุนัขดมกลิ่นวิ่งนำไป มันไปหยุดและดมๆอยุ่หน้าตรอกแห่งหนึ่ง

    “ฮัดชิ้ว!

    “เจ้ากลับไปก่อน”บลังซ์สั่งสุนัขผู้แสนซื่อสัตย์ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาร่างที่ยืนเอามือถูจมูกอยู่

    “อ้าว...ข้าไม่คิดว่าท่าน...!!!

                พลั่ก!!!

                    แผ่นหลังของคนผมดำกระแทกเข้ากับกำแพงตรอกอย่างจังก่อนคนผลักจะกลางกำแพงเวทย์เพื่อไม่ให้ภายนอกได้ยินเสียงหรือรู้เห็นอะไร

    “เจ้าทำแบบนี้ทำไม?”

                    บลังซ์เอ่ยถามเสียงแข็ง ดวงตาสีม่วงจ้องลึกในดวงตาสีโลหิตที่มองตอบเขาอย่างไม่เข้าใจความหมาย

    “ทำอะไร?”

    “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะใครยอมรับมาซะ!!!

    “ท่านจะให้ข้ายอมรับเรื่องอะไร? ในเมื่อท่านยังไม่บอกข้าเช่นนี้ข้าก็คงตอบคำถามท่านไม่ได้”นัวร์กล่าวเสียงเรียบไม่ได้มีความเกรงกลัวใดๆ

    “เจ้าดักปล้นเยนีก้าแล้วทำเรื่องเสื่อมทรามกับนางทำไม?”บลังซ์กัดฟันถามให้ชัดเจน

    “ข้าจะทำไปเพื่ออะไรเล่า?”

                    มันคือประโยคปฏิเสธเพียงแต่คนฟังดันได้ยินมันเป็นประโยคกวนประสาทของคนปลิ้นปล้อน

                ตึง!!!

    “อย่ามากวนประสาทข้า ความอดทนข้าไม่สูง”

                    หมัดข้างเฉี่ยวข้างใบหน้าของนัวร์ไปเพียงเล็กน้อย แต่แรงที่มากจนกำแพงยุบส่งผลต่อนัวร์ไม่น้อย อย่างน้อยๆเศษอิฐเศษปูนก็กระเด็นเฉี่ยวจมูกเขาไป

    “ข้าไม่ได้กวนประสาท ข้าเพียงอยากรู้ว่าข้าจะทำไปทำไมในความคิดข้าเพราะสำหรับข้ามันไม่มีความจำเป็นใดๆเลย”นัวร์ยังคงใจเย็นอยู่

    “นั่นเพราะเจ้าคือเจ้าไงล่ะ”

                    นัวร์เลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ

    “เพราะเจ้าพูดกับข้าว่าต้องการบางสิ่งไปจากข้า”

    “เพราะเจ้าเป็นเพียงคนต่ำเตี้ยเลี่ยดินที่คิดอิจฉาข้าที่สูงศักดิ์กว่า”

    “เพราเป็นเจ้าที่คิดอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน”

    “เพราะเป็นเจ้าที่มีเพียงคำพูดสวยหรูแต่ตนกลับไม่สามารถทำได้ดั่งปากว่า”

    “เพราะเจ้ามันดีแต่ปาก!!!

                นัวร์ก้มหน้าลงมองพื้นเบื้องล่างอย่างไม่โต้ตอบใดๆจนบลังซ์ยกยิ้มขึ้นอย่างผู้ชนะ

    “ท่านรู้ไหม?ต่อให้ข้าต่ำเตี้ยเลี่ยดินเพียงใด อิจฉาท่านเพียงใด แต่ช้าไม่เคยคิดที่จะใช้วิธีสกปรกดั่งที่ท่านว่าสักคำ”

                    ใบหน้าสงบนิ่งเงยช้าๆ ดวงตาสีโลหิตทอแสงเล็กน้อยกว่าที่บลังซ์จะรู้สึกตัว ร่างของเขาก็อัดเข้ากับกำแพงอีกฝั่งเต็มแรง มือเรียวแตะอยู่บนลำคอเขาแม้สติยังไม่ครบแต่พอจะมองรูปการณ์ออก...หากอีกฝ่ายต้องการสังหารเขาคงทำได้ไม่ยาก

    “ข้าไม่เคยพูดในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ ข้าไม่เคยดีแต่ปากอย่าเอาแต่คิดว่าทุกคนบนโลกจะเป็นแบบท่าน”

                    มือเรียวลดลงข้างตัวก่อนล่างนั้นจะหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปจากตรอก แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวร่างนั้นก็หันเพียงเสียวหน้ามาหา

    “สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านต่อให้ท่านเอาเงินทั้งหมดของชีวิตท่านและพ่อท่านมาซื้อก็ไม่สามารถซื้อมันไปได้หรอก”

                    ร่างสูงไล่เลี่ยกับเขาเดินผ่านกำแพงเวทย์ไปอย่างหน้าตาเฉย บลังซ์ที่ตั้งตัวได้หยิบมีดพกข้างเอวขึ้นมาก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างของบลังซ์.....

    "อย่า!!!!!!!!!!!!!!!”

                ข้าสะดุ้งตื่นสุดตัว ท่านพี่ที่นั่งด้านข้างหันมามองข้าอย่าแปลกใจละคนตกใจ

    “ฝันร้าย?”

                    ท่านพี่เอ่ยถามพลางแตะมือลงบนหลังมือข้า ข้ากลับส่ายหัวแผ่วๆ ฝันเมื่อครู่มันอะไรกัน นั่นมันข้ากับ

    อลาวในอดีตที่ยังเป็นบลังซ์กับนัวร์และนั่นก็เป็นวันแรกที่พวกข้าพบกันด้วย ข้าไม่เคยระลึกได้จนตอนนี้อาจจะเป็นอำนาจของแหวน พวกมันเก็บความทรงจำกันคนละครึ่งพอมาอยู่ใกล้กันเลยทำให้ขาเห็นความทรงจำเหล่านั้นงั้นหรือ? ข้ายกมือที่มแหวนสวมอยู่มาจับสร้อยที่คอเบาๆ มันส่องแสงเล็กน้อยก่อนดับไป

    มันคือสาเหตุของการเดินทางครั้งนี้นายท่าน

    ข้าอยากให้ท่านรู้และทำความเข้าใจ

                เสียงชายหญิงดังในหัวข้าก่อนจะดับไป เสียงของแหวนี่? หมายความว่าที่ข้าต้องไล่ตามอลาวครั้งนี้เพราะเรื่องของชาติที่แล้ว เวรกรรมงั้นสิ? ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่เชื่อมโยงกันหนึ่งคงนิสัย ข้าในอดีตหรือบลังซ์ไม่เคยได้พบรักที่ไม่ใช่จากเงินตรามาชาตินี้เลยมีแต่คนรุมรัก เพราะชาติที่แล้วเข้ากับคนได้ยากชาตินี้เลยกลายเป็นเข้ากับใครก็ได้ ทางด้านอลาวเพราะชาติที่แล้วต่างใจดีกับใครต่อใครชาตินี้ถึงได้มีแต่คนเคารพเทิดทูนแต่และเพราะชาติที่แล้วชอบแกล้งเป็นผู้หญิงหรือเปล่าชาตินี้ถึงได้กลายเป็นว่าต้องอยู่ในร่างผู้หญิงตั้งสิบแปดปี งั้นถ้าคิดกลับกันที่ชาตินี้ข้าต้องวิ่งตามอลาวแต่แรกพบเพราะ....ชาติที่แล้วเขาวิ่งตามข้างั้นสิ แต่เท่าที่ดูอลาวก็ไม่ได้ตามอะไรข้าเท่าไหร่เลยนะ

    “ฟราน....บางครั้งการวิ่งตามไม่จับเป็นต้องตามเพียงตัว อาจจะเป็นความรู้สึก”ท่านพี่เอ่ยขึ้นลอยๆเหมือนเตือนตัวข้า

                    วิ่งตามหาเพื่อได้มาซึ่งความรู้สึกบางอย่างแล้วมันอะไรล่ะ?

    “สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านต่อให้ท่านเอาเงินทั้งหมดของชีวิตท่านและพ่อท่านมาซื้อก็ไม่สามารถซื้อมันไปได้หรอก”
    ************************************************TBC.**************************************

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×