ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No Limit คู่หูต่างขั่ว รั่วกำลังสอง

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่สาม ถ้าอลาวจะ....ขนาดนี้(กรุณาเติมคำในช่องว่าง)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 329
      1
      30 ส.ค. 56

     

     

    บทที่สาม

    ถ้าอลาวจะ....ขนาดนี้(กรุณาเติมคำในช่องว่าง)

                   

    ร่างสูงยืนมองมือตัวเองอย่างไม่คิดจะอยากเชื่อรอบกายเป็นเพียงผืนป่าที่ไม่รู้จัก ดวงตาคล้ำดำจากการอด

    นอนตามปกติที่เคยทำเสรมองไปยังข้างกาย ร่างหนึ่งยืนนิ่งงันราวกับไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เส้นผมสีทองพลิ้วไหวราวกับสิ่งมีชีวิต ราวกับ...เท่านั้นเอง

    “นี่ข้าตาย...แล้วใช่ไหม?”น้ำเสียงทุ้มพึมพัมอย่างเลื่อนลอย

                    มือเรียวยื่นมาคว้ามือคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดให้รู้สึกตัวขึ้นจากความอบอุ่นที่มือ ไม่ใช่อุณหภูมิแต่เป็นความอบอุ่นจากภายใน

    “เราตายแล้วนะสิเจ้าเด็กงั่ง”น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวขัดกับคำพูดที่ดูไร้ไมตรีจิต

                    “เจ้าเด็กงั่ง”ชะงักเพียงชั่วครู่ก่อนจะตวาดลั่นพลางสะบัดมือออก

    “อย่ามาจับมือข้านะเจ้าก้อนมืดมน!!

                    เจ้าของเรือนผมสีเขียวเกือบดำเสรนัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมมองอีกฝ่ายนิ่งก่อนทุ้มเสียงเพราะจะกล่าวออกมาแผ่วเบาราวกับสายลม

    “อย่าปล่อยมือข้าไม่ว่ายังไงก็ตาม”...ข้าจะปกป้องเจ้าเอง

                    ถ้อยคำที่จะเถียงถูกเก็บลงสู่ลำคออย่างไม่คิดเอ่ยออกมา เจ้าของเรือนผมสีทองก้าวตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่เข้าใจ เดินตามพี่ชาย...ต่างมารดาที่เขาไม่เคยคิดยอมรับ ลูกของเมียน้อยที่เกิดก่อนและลูกของเมียหลวงที่เกิดหลังอย่างเขา คนที่เป็นลูกของภรรยาตามกฎหมายย่อมมีสิทธิ์ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลและใช่เบลเฟ่ได้เป็น แต่....ทำไมเขากลับรู้สึกเกลียดอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก

    “ป่านนี้บ้านใหญ่คงวุ่นน่าดู ทายาทตายพร้อมกันตั้งสองคนแล้วตระกูลหลักจะไปเอาคนจากไหนมา หึหึหึ”แบล็กกล่าวพลางหัวเราะเย็น ดวงหน้าคมเข้มที่ถูกซ่อนทับจากดวงตาสีคล้ำดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเอง

    “เจ้ามันโรคจิต”

    “เพิ่งรู้เหรอเบล หึหึ”

                    เบลเฟ่ส่ายหัวด้วยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยความเหนื่อยอ่อน

                    ควับ!!

                    เคร้ง!!

                    เสียงประหลาดทำให้เบลเฟ่เลิกก้มมองพื้นขึ้นมามองตรงหน้าอย่างฉับพลัน มีดสีเงินตกอยู่ห่างเท้าของแบล็กไม่เท่าไหร่ ก่อนจะต้องละสายตาไปมองตาเสียงสวบสาบจากพุ่มไม้ก่อนจะปรากฎร่างสองร่างที่เดินเกาะกันมา...ไม่ใช่ต้องพูดว่าเจ้าของเรือนผมสีดำเกาะติดเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเสียมากกว่า คนเดินนำหน้าทั้งสองคนจ้องกันอย่างไม่วางตาราวกับว่ากำลังระวังไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรคนที่อยู่ด้านหหลังตน

    “เจ้าเป็นใคร?”เป็นร่างด้านหลังของผู้มาใหม่ที่กล่าวขึ้น แบล็กหรี่ตาลงก่อนขยับยิ้ม

    “บ้านเจ้าไม่เคยสอนเรื่องมารยาทหรือว่าก่อนถามชื่อใครต้องบอกชื่อตัวเองก่อน?”เป็นเบลเฟ่ที่แทรกขึ้นแต่แบล็กก็ปล่อยเลยตามเลยเพราะยังไงก็ประโยคเดียวกัน

    “ข้าคอรัสส่วนนี่พี่ข้าเจลาโต้”เจ้าของเรือนผมสีดำตอบพลางทำจิ๊จ๊ะในลำคอ

    “คนหรือผี?”แบล็กถามต่อ คอรัสเหลือบตาลงต่ำก่อนตอบเสียงอ่อมแอ่ม

    “ผี”

                    ทีนี่มันป่าวิญญาณหรือไงกันทำไมถึงได้เจอแต่ผีนะ เบลเฟ่คิดพลางส่ายหัว

    “ตรงนู้นมีใครอยู่ไปด้วยกันไหม?”เด็กหนุ่มคนหน้าที่แทบไม่มีบทกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท สนิทจนคิดว่าอ่านบทอยู่อย่างนั้นแหละ

    “ใคร? เจ้าไม่คิดว่าจะเป็นพวกยมทูตหรือไง?”เบลเฟ่ถามกลับ

    “อย่าดูถูกยมทูต พวกนั้นต่อให้เราหนีไปไกลแสนไกลมันก็ตามได้เจ้าโง่”แบล็กตอบแทน

    “คำก็โง่สองคำก็งั่งอะไรของเจ้านักหนาเนี่ยแบล็ก!

    “ก็มันตามที่ข้าว่าหรือเปล่าล่ะ”

    “ก็มันไม่จริงนะเซ่!

                    เจลาโต้กับคอรัสได้แต่มองสองพี่น้องอย่างไม่รู้จะสอดมือเข้าไปยังไง ใจจริงก็อยากจะเดินสำรวจป่านี้ไปแต่ก็คงต้องรอให้ทั้งคู่เลิกทะเลาะกันก่อนแล้วล่ะ...

     

    “ทางนี้แน่นะ?”เบลเฟ่หันไปถามคอรัสอย่างไม่มีหางเสียงทั้งๆที่ดูแล้วคอรัสก็น่าจะแก่กว่าตนอยู่บ้าง

    “อืม ข้าได้ยินเสียงคนทางนั้น”ว่าจบก็ชี้มือไปทางทิศข้างหน้า

    “เสียง?”

    “ใช่ เสียงข้าเป็นนักดนตรีน่ะ”

                    เบลเฟ่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาก็พอรู้มาบ้างว่าพวกนักดนตรัจะมีประสาทหูที่ดีแต่นี่ได้ยินไกลขนาดนี้เชียว?

    “ข้าบอกว่าอย่างร้องไห้ไงเล่า!

    “สตาร์ ใจเย็นๆพวกเขาร้องไห้กันหมดแล้วนะ”

    “ก็พวกมันงี่เง่าเจ้าก็เห็นนี่สมายด์”

    “แต่ก็ไม่ควรตวาดพวกเขานี่”

    “ใช่ๆอย่ามาตวาดพวกข้านะ”

    “อย่าตวาดพวกข้านะ”

    “เงียบไปเลย!!

    “แง~

                    เบลเฟ่ แบล็ คอรัสและเจลาโต้ยืนมองกลุ่มคนสี่คนที่อีกสองคนนั่งแมะอยู่กับพื้นส่วนอีกสองคนยืนอยู่ เด็กหนุ่มผมสีเขียวน้ำทะเลดูหงุดหงิดน่าดูกับสองคนที่นั่งอยู่กับพื้น เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าพยายามจะทำให้คนผมเขียวทะเลใจเย็นลง ส่วนเจ้าของเรือนผมสีเงินไฮไลท์ฟ้าและสีคาราเมลก็นั่งแปะกับพื้นร้องไห้โฮ

    “พวกเจ้า?”เป็นคอรัสที่กล่าวขัดสถานการณ์ตรงงหน้า ร่างทั้งสี่หันกลับมามอง

    “พวกเจ้าเป็นใคร?”ชายผมเขียวทะเลถามอย่างคลือบแคลงใจ

    “ข้าคอรัส นี่พี่ข้าเจลาโต้คนใส่แว่นชื่อเบลเฟ่กับพี่ชายของเขาแบล็ก”คอรัสจัดการแนะนำตัวเสร็จสับแม้เกือบจะโดนเบลเฟ่กระชวกไส้ข้อหาพูดว่า”แว่น”กับเรียกแบล็กว่าพี่ชายของเขา

    “ข้าสมายด์ นี่เพื่อนี่ขาสตาร์ ส่วนคนผมสีคาราเมลนี่ชื่อชิลลี่แล้วคนผมสีแปลกๆนี่ชื่อซัมวัน”เจ้าของรอยยิ้มเป็นมิตรกล่าวแนะนำอย่างสบายๆแต่กลับมีกลิ่นไอความไม่ไว้วางใจซ่อนอยู่

    “พวกเจ้าเป็นคนหรือว่าผี?”เบลเฟ่ถามคำถามนี่อีกรอบ

    “ก็น่าจะผีมั้ง”สมายด์ตอบเรียบๆแบบไม่ต้องใช้ความคิด

                    สวบๆๆๆ

                    เสียงแหวกพุ่มไม้ที่ดั่งมาจากทิศใดไม่สามารถระบุได้ทำให้”ผี”ทุกตนระวังภัยอย่างสุดตัวก่อนร่างๆร่างหนึ่งจะเดินออกมาจากพุ่มไม้สร้างความ...สยองขวัญแก่อีกแปดคนที่ยืนอยู่เป็นอย่างมาก เจ้าของเรือนผมสีส้มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดจ้องมองพวกเขานิ่งๆก่อนจะ...ล้มแปะลงไปวัดพื้นเล่น

    “เดฟ!!!”เสียงคำรามดังมาจากทิศเดียวกันที่ร่างอาบเลือดเดินมาก่อนจะปรากฎร่างสูงที่มีเรือนผมสีฟ้ายาวถึงเอววิ่งออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิด

    “ไม่ต้องมาแกล้งตายเลยนะเจ้าบ้า ใครใช้ให้เอาน้ำหวานมาราดตัวนะห๊ะ!!”เสียงทุ้มตวาดก่อนจะเตะโครมเข้ากับตัวของร่างที่นอนอยู่แต่ในเสี้ยววินาทีร่างนั้นก็หายไปแล้วปรากฎขึ้นด้านหลังของคนผมฟ้า

    “ข้าแค่จะอาบน้ำ”

    “น้ำหวานเนี่ยนะ ไอ้ๆๆๆ”คนผมฟ้าที่ดูสติแตกทึ้งผมตัวเองอย่างเมามันส์ก่อนจะสังเกตเห็นบุคคลอีกแปดคนที่ยืนงงอยู่

    “พวกเจ้า...เป็นวิญญาณเหมือนกันสินะ?”เจ้าของเรือนผมสีฟ้าถามเสียงเรียบก่อนจะเดินไปลากคอเสื้อคนที่คิดจะอาบน้ำด้วยน้ำหวาน

    “ตามข้ามาถ้าอยากออกจากป่าแห่งนี้....อย่างปลอดภัย”

     

                    แม้จะไม่เข้าใจเท่าที่ควรแต่ก็ยอมเดินตามมาโดยง่ายเพราอย่างน้อยคนฝั่งเขาก็มากกว่าคอรัสคิดว่างั้น พวกเขาทั้งหมดกำลังเดินตามคนที่แนะนำตัวว่าตัวเองชื่อจัสตินโดยมีเจ้าของเรือนผมนามว่าเดฟเดินรั้งท้ายอยู่โดยจัสตินอ้างเหตุผลว่า”ไม่อยากจะฆ่าคนที่เพิ่งเจอกันตอนนี้”

    “เฮ้!นั่นเจ้าจะไปไหนน่ะ!”สตาร์ที่เดินนำหน้าเดฟถามอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายวิ่งไปทางด้านซ้ายมือ

    “ไอ้บ้าเอ๊ย!!”จัสตินสถบอย่างอารมณ์เสียก่อนจะกระโดดขึ้นต้นไม้ตามร่างของเดฟที่เร็วดุจสายลมไปที่เหลือเองก็ตามไปอย่างจำใจเพราะเกรงว่าตนเองจะหลงกับอีกฝ่าย

                    จัสตินกระโดดลัดเลาะไปตามต้นไม้ต่างๆเพื่อตามเดฟให้ทันโดยไม่ทันสังเกตว่าอีกแปดคนที่เหลือก็ตามมาด้วย ร่างนั้นกระโดดไปสถบไปอย่างหัวเสียก่อนที่ทั้งหมดจะไปหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งที่มีเดฟเป็นคนนำมาอย่างไม่ได้คิด...ชายป่าอีกแห่งที่ดูมีกลิ่นไอลึกลับและน่าหวั่นเกรงจนต้องถอยเท้าลงมาอย่างไม่รู้ตัว

    “มีแขกมาแล้วสินะ คิกคิก”เสียงหัวเราะทุ้มต่ำทำเอาขนลุกซู่

                    จัสตินต้องการคำตอบจากเดฟอย่างมากเรื่องการที่อีกฝ่ายนำเขามาที่นี่และอาจรวมถึงคนอื่นๆด้วย..

    “ยินดีต้อนรับเหล่าวิญญาณที่หลงทาง หากอยากจะไปยังดินแดนใหม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระกรุณา....สละชีวิตมาหนึ่งชีวิต”น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวก่อนจะปรากฎร่างเรืองแสงสีทองที่สว่างตัดกับท้องฟ้ายามมืด

                    ...มืด? นี่มันมืดตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมพวกเขาถึงไม่มีใครรู้สึกตัว?

    “ว่าไง?จะสละใครมาดี?”เจ้าของเรือนผมสีทองกล่าวด้วยรอยยิ้มนุ้มลึกดูไร้พิษสง

    “ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ...วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของป่าแห่งการสาปสูญ”คนตอบกลับเป็นเดฟที่ยืนมองอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา

    “คิกคิก แค่โดนหลอกแค่นี้เจ้ากลับดูโกธรน่าดูเลยนะ เด็กน้อย”วิญญาณศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเป็นกันเอง

    “รู้อะไรบ้างไหม?”แบล็กระซิบกับเบลเฟ่ มือที่ถูกจับอยู่ถูกบีบแน่นเป็นการตอบคำถามแต่ว่าไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่คนที่จับมือไว้กลายเป็นเบลเฟ่ไปเสียแล้ว

                    ดวงตาสีเขียวเกือบดำเสรมองอย่างต้องการคำตอบ

    “ถ้าจะพูดให้ถูกก็แค่วิญญาณไร้ญาติที่ต้องการตัวตายตัวแทน”

                    คลืนพลังถูกซัดมาหาเบลเฟ่อย่างไม่ทันตั้งตัวแต่เพียงแค่แบล็กโบกมือเวทย์นั้นพลันสลายไปอย่างไร้ล่องรอยราวกับไม่เคยมีอยู่

    “อย่ามาแตะต้องเจ้านี่”แบล็กว่าเสียงเย็นก่อนจะเสรตามองรอบกายแล้วไปหยุดอยู่ที่เดฟ

    “เจ้าโดนมันใช้เวทย์ลวงตาสินะ เดฟหึหึหึ”

                    คนถูกถามพยักหน้าตอบกอ่นจะรู้สึกได้ถึงว่าที่หางตาไปสบเข้ากับวัตถุสีเงินที่สะท้อนแสงเพียงจะหันไปกล่าวเตือนมีดสีเงินก็พุ่งเข้าหาลำคอของเจลาโต้เสียแล้ว

    “ไม่ตลกเลยนะ”เสียเรียบกล่าวขึ้นก่อนร่างของเจลาโต้จะหายไปจากตรงนั้นแล้วปรากฎตัวอยู่ข้างเดฟโดยมีคอรัสติดมาด้วย

    “อย่ามาคิดจะฆ่าพวกเราเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก”สตาร์กลาวเรียบๆก่อนไปยืนอยู่หน้าของทุกๆคน

    “จะไม่มีใครที่ต้องทิ้งวิญญาณของตนไว้ที่นี่”...ยกเว้นข้า ร่างสูงกล่าวอย่างหนักแน่นและแผ่วเบาในใจ

                    ....เพราะก่อนหน้านี้เขาปกป้องไม่ได้...คนที่อยากปกป้องเขาทำไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นเขาขอชดใช้ความผิดปกป้องอีกฝ่าอีกครั้ง จะไม่ยอมเสียคนที่รักไปแต่ก็ไม่บ้าพอจะใช้ชีวิตคนอื่นเหมือนกัน

    “ไม่ได้นะสตาร์”

    “ใช่ไม่ได้นะ”

                    ซัมวันและชิลลี่ร้องห้ามก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกัน”ถึงเจ้าทำแบบนั้นสมายด์ก็ไม่ได้ดีใจหรอกนะ อย่ามาโง่น่า”

    “ก็ตามที่เด็กๆพูด มันไม่จำเป็นหรอก”สมายด์ว่าด้วยรอยยิ้มแบบตนแต่กลับดูสดใสกว่าทุกที

    “ถ้าทิ้งวิญญาณไว้ก็ต้องทิ้งไปด้วยกัน!!

                    ทุกเสียงกล่าวพร้อมกันราวกับนัดกันมาจนร่างสีทองรู้สึกแปลกใจ เขาสังเกตมาตลอดตั้งแต่ตอนที่แบล็กและเบลเฟ่มายังป่านี้ การพบกันของทั้งหมด แม้จะมีบางคนที่ผูกพันธ์กันแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แล้วทำไมถึงจะทิ้งใครสักคนเอาไว้ไมได้ ร่างสีทองขยับยิ้ม...ก็เอาสิถ้าจะเป็นวิญญาณศักดิ์ระบบหมู่

    “ถ้าต้องการข้าก็ยินดีทำให้”

                    แสงสีทองสว่างวาบขึ้นในมือก่อนจะพุ่งเข้าหาร่างทั้งสิบที่ไม่มีการตกใจเพียงอย่างไรมีเพียงการหลับตาลงเบาๆเท่านั้น

                    ฟู่!!!

                    พลันพลังสลายไปราวกับน้ำที่เข้ามาดับไป ทุกสายตาจับจ้องไปที่แบล็กที่คราดว่าน่าจะเป็นคนทำแต่อีกฝ่ายกัลบส่ายหัวเบาๆ

    “ไม่ตลกเลยนะเรย์ มารังแกวิญญาณมนุษย์แบบนี้น่ะ”

                    น้ำเสียงหวานกล่าวอย่างใจเย็น ทุกสายตามองไปยังต้นเสียที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยปีกสีดำสนิท

                    เด็กผู้หญิง?

                    คำถามเกิดขึ้นในใจเมื่อเห็นร่างของเด็กหญิงอายุอานามราวๆหกถึงเจ็ดขวบพยุงตัวอยู่กลางอากาศ ในมือมีเคียวอันใหญ่ที่ดูแล้วเจ้าตัวไม่น่าจะถือไหว เส้นผมสีเงินพริ้วไปตามสายลมก่อนร่างนั้นจะลงมายังพื้นดิน ยืนขั้นกลางระหว่างเรย์และเหล่าวิญญาณทั้งสิบ

    “เจ้าเป็นใคร?”เรย์กล่าวพลางหรี่ตาลงอย่างสงสัย เด็กหญิงที่สามารถสลายพลังทำลายที่สูงขนาดเผาป่าได้ภายในพริบตาทำไมมันจะไม่น่าแปลกใจ

    “ตัวตนของข้าเจ้าจะได้รู้แน่แต่หลังจากที่เจ้าเล่นเกมส์กับข้าก่อน”

                    เด็กหญิงว่าพลางกระตุกยิ้มสดใส....สดในเสียจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญไปหมาดๆ

    “เกมส์ เกมส์อะไร?”

    “เกมส์เศษลูกแก้ววิญญาณของนภา”

                    เรย์เลิกคิ้วสูง ทำไมเขาจะไม่รู้จักเศษลูกแก้ววิญญาณของนภา เศษลูกแก้ววิญญาณทั้งสิบที่แตกสลายเมื่อพันปีก่อน เศษลูกแก้วทั้งสิบที่ทรงอำนาจ....เศษลูกแก้วทั้งสิบ

    “หรือว่า?!!

    “เขาใจขึ้นมาบ้างนะเรย์”เด็กหญิงหัวเราะในละคอเมื่ออีกฝ่ายสะบัดหน้าไปมองร่างวิญญาณทั้งสิบตน

    “เจ้าจะบอกว่าเจ้าพวกนี้....”

    “เรามาเริ่มต้นกติกากันดีกว่า”เด็กหญิงตัดบทก่อนจะสะบัดมือเก็บเคียวของตน

    “กติกาง่ายแสนง่าย ถ้าพวกนี้มีเศษลูกแก้วทั้งสิบปะปนอยู่ในวิญญาณเจ้าจะต้องมอบพรทั้งสิบประกายแก่เจ้าพวกนี้คนละหนึ่งข้อแล้วข้าจะเอาเจ้าพวกนี้ไป แต่ถ้าไม่ใช่....เจ้าจะได้ข้าเป็นตัวตายตัวแทนพร้อมเจ้าพวกนี้ การพิสูญจ์คือการนำพรทั้งสิบประการใส่เข้าไปในตัวเจ้าพวกนี้ ถ้ามันรับไม่ไหวแปลว่ามันไม่ใช่วิญญาณที่มีเศษลูกแก้วแล้วจะพลันสลายไป เจ้าก็สามารถยึดพวกมันพร้อมตัวข้าไว้ที่นี่ได้เลย”

    “นี่เจ้าน่ะ!!! อย่ามาเอาพวกข้าไปพนันไร้สาระนะ!!”คอรัสตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ

    “เดี๋ยวก่อนคอรัส”จัสตินยื่นมือมาแตะไหล่อีกฝ่าย

    “ไม่อยากรู้เหรอว่าเศษลูกแก้วนั่นคืออะไร”จัสตินว่าเรียบๆถึงเขาจะเป็นสายข่าวก็ไม่ใช่จะรู้เรื่องของเบื้องบน

    “ลูกแก้ววิญญาณของท้องนภา กล่าวคือวิญญาณแห่งท้องฟ้าที่มีพลังมหาศาลจนไม่อาจเทียบเคียงได้ ต่อให้เป็นพระเจ้าเองก็ไม่สามารถใช้มันได้ดั่งใจ เทวดาองค์หนึ่งเกิดอยากครอบครองมันจึงทำให้พลังนั้นแตกออกเป็นสิบส่วนเพื่อง่ายต่อการใช้ แต่แก้วพลังนั้นกลับแตกแล้วกระจายลงสู่พื้นโลกและไร้ซึ่งวี่แววมันตลอดพันปีที่ผ่านมา”เบลเฟ่อธิบายตามความรู้”แล้วมันมาอยู่ในตัวพวกเรา งั้นหรอ?”เจ้าของเรือนผมสีทองเงยหน้าขึ้นสบตากับทุกคนอย่างต้องการคำตอบ

    “จะยังไงข้าก็ไม่ยอม”คอรัสโวย จะให้เขาฝากชีวิตไว้กับเด็กที่มาจากไหนก็ไม่รู้งั้นหรอ?

    “ข้าไม่ได้ถามความสมัครใจของพวกเจ้าเสียหน่อย”เด็กหญิงว่าพลางยิ้มหวาน

    “แค่เชื่อใจข้าก็พอ”

                    ทุกอย่างพลันหยุดชะงักคำพูดที่ดูหาได้ทั่วไปกลับทำให้เผลอไว้ใจอย่างไม่รู้ตัว แม้เป็นน้ำเสียงเด็กๆแต่กลับแฝงความเชื่อมั่นและหนักแน่นพอจะไว้วางใจได้อย่างน่าประหลาด

    “เอาล่ะมาเริ่มกันเลยดีกว่า”ร่างนั้นหันไปบอกกับเรย์

                    เรย์ขยับยิ้มก่อนพยักหน้ารับ ฝ่ามือเรียวโบกสบัดไปรอบๆราวกับกำลังร่ายรำด้วยท้วงทำนองในจิตใจ เด็กหญิงมองดูภาพนั้นก่อนจะเดินถอยห่างมายังเหล่าวิญญาณทั้งสิบตน

    “ไม่ต้องห่วงนะ อะไรที่ข้าอยากได้ก็ต้องได้”

                    มือเล็กแตะลงบนหลังมือของสตาร์อย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

    “พวกเจ้าจะไม่มีใครตายซ้ำสอง เอาล่ะเข้าไปในวงเวทย์ได้แล้ว”

                    เด็กหญิงผมเงินดันหลังร่างของสตาร์ไปยังวงเวทย์ที่เพิ่งวาดเสร็จ แสงสีขาวเรืองรองสว่างจ้าท่ามกลางความมืดของยามราตรี ร่างทั้งสิบเข้าไปยืนในวงเวทย์เล็กทั้งสิบที่ประกอบอยู่ในวงเวทย์ใหญ่ซึ่งมีเรย์อยู่ตรงกลาง ร่างนั้นมองสำรวจร่างทั้งสิบที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆราวกับเชื่อมั่นในตัวของเด็กปริศนานั่น

    “ด้วยอำนาจแห่งตัวข้า จักขอประทานพรทั้งสิบแก่เหล่าวิญญาณผู้เหมาะสม กระแสแห่งการเวลาเอ๋ยจงหยุดนิ่ง สายลมเอ๋ยจงมิพัดผ่าน สายธาราเอ๋ยจงไม่ย้อนไหล เปลวเพลิงเอ๋ยจงหยุดเผาไหม้เพื่อให้แผ่นดินนี้มอบพลังแก่พวกเขา เสี้ยวดวงวิญญาณทั้งสิบ”

                    เวทย์เปิดทางถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาทั้งสิบคู่หลับลงอย่างแผ่วเบาก่อนน้ำเสียงที่ฟังดูไม่เป็นภาษาจะกล่าวขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างทีละร่างค่อยๆเรืองรองขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ เด็กหญิงยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อพิธีจบลงอย่างไม่มีอะไรผิดพลาด ร่างทุกร่างยังคงสงบนิ่งดีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ไม่จริงน่า....”

                    เรย์ว่าอย่างใจลอย เขาก็คิดอยู่บ้างว่าอาจจะมีเศษลูกแก้วอยู่ในวิญญาณของพวกนี้แต่ไม่คิดว่าจะเป็นทั้งสิบคน แถมบางคนก็เป็นพี่น้องกันเสียอีกทำไมสวรรค์ช่างลำเอียงขนาดนี้นะ

    “เป็นไงล่ะพวกเจ้าน่ะ”

                    ทุกร่างเงียบก่อนจะรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนในร่างกาย รู้สึกแสบรอนราวกับกำลังเกิดการปะทะกันภายในร่างของพวกเขา

    “นี่มันบ้าอะไรน่ะ!!!”แบล็กเค้นเสียงตวาดเด็กหญิงแต่สายตามองไปยังน้องชายที่นอนคุดคู้อยู่กับพื้นอย่างทรมาน

    “ก็แค่...พลังมันขัดกัน เศษลูกแก้วเป็นของสวรรค์ แต่พรสิบประการเป็นของปัฐพี พวกเจ้าเป็นวิญญาณที่มีพลังของนรกานต์ เมื่อพลังอีกสองมากเกินไปก็ย่อมต้องเกิดการปะทะกันในร่างเป็นธรรมดา”เด็กน้อยอธิบายราวกับเป็นเรื่องปกติ

    “แต่ไม่ต้องห่วง ชีวิตของพวกเจ้าเป็นของข้าแล้วข้าย่อมต้องรักษาของของตนเอง”

                    เด็กหญิงยิ้มเย็นเฉียบก่อนไอพลังดำมืดจนน่าขนลุกจะแผ่ออกมาจากตัวของร่างนั้น ดวงตาสีเงินถูกซ่อนไว้ภายใต้เปลือกตาบาง กระแสพลังเย็นเฉียบเข้าโอบอุ้มร่างทั้งสิบท่ามกลางความตกตะลึงของเรย์

                    ...ไม่จริงน่า...พลังของยมทูต...เด็กตัวแค่นี้ซ่อนพลังยมทูตได้ยังไงกัน

                    ไอสีดำเข้าโอมอุ้มร่างทั้งสิบที่ดิ้นพล่านเพราะความเจ็บปวดให้หยุดลง แต่ละร่างพยุงตัวลุกขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความเจ็บปวดในทีแรกพลันหายไปจนหมดมีเพียงความเย็นเยยือกตามผิวหนังเท่านั้นก่อนจะทันได้สังเกตว่าร่างตนถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีดำสนิทพร้อมผ้าคลุมยาวที่มีฮูดคลุมหัว

    “ตั้งแต่วันนี้ต่อไปพวกเจ้าคือคนของข้า ห้ามทรยศ ห้ามหักหลัง พวกเจ้าเท่านั้นที่ห้ามทิ้งข้าไป ถ้าจะตายก็จงตายไปด้วยกัน มองหน้ากันไว้คนพวกนี้คือคนที่พวกเจ้าไว้ในได้ที่สุด เหล่าสหายเอ๋ย...จงฝากชีวิตไว้กับข้าผู้ไร้กำลังเสียเทิด”

                    น้ำเสียงหวานกล่าวกังวานทั่วผืนป่า ดูน่าขบขันกับการบอกให้ใครต่อใครฝากชีวิตไว้กับตนที่ไร้ซึ่งพลังแต่มันกลับทำให้ทั้งสิบคนน้อมรับบัญชาจากนายเหนือหัวสดๆร้อนๆของตนอย่างไม่ขัดข้อง

    “นี่มัน....”

    “เจ้าพวกนี้กลายเป็นหัวหน้าหน่วยของข้าแล้ว ทีนี้มีอะไรจะขัดไหมเรย์ พวกเขาได้รับพลังของเจ้าไปแล้วแต่ก็ยังคงสงบสุขดีไม่ได้สลายทันที หืม?ว่าไง?”ร่างเล็กขยับยิ้มทั้งที่เหงื่อยเกาะพราวเต็มใบหน้า

    “ร้ายกาจนักนะตัวแค่นี้”

                    ร่างนั้นแค่ขยับยิ้มรับคำชมหรือด่าไม่รู้ก่อนจะหันหลังเดินนำยมทูตใหม่ทั้งสิบไปยังช่องมิติที่ถูกเปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    “ก่อนจะไปจะไม่บอกชื่อแส่กันหน่อยหรือ?”เรย์รั้ง

                    ร่างเล็กหันกลับมาเพียงเสี้ยวหน้าแล้วขยับยิ้ม

    “ชื่อของข้าคือเซนดิเฮลเลอร์ อลาวดี้ รัชทายาทอันดับที่สามแห่งแดนนรก และผู้ก่อตั้งหัวหน้าหน่วยยมทูตทั้งสิบสามหน่วย”พูดจบร่างนั้นก็หายเข้าไปในช่องมิติทิ้งให้เรย์ส่ายหัวกับความสะเพร่าของตนเอง คนเป็นยมทูตทำไมจะไม่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในวิญญาญกันล่ะ

     

    “อลาวร้ายชะมัด”ข้าว่าหลังจากฟังเรื่องราวที่เรย์เล่าจบ คนเล่าพยักหน้ารับกับความคิดของข้า

    “ใช่ไหมล่ะ ข้าก็ว่าอยู่ว่าเอาอะไรมามั่นใจว่าเจ้าพวกนั้นมีเสี้ยวลูกแก้ววิญญาณที่แท้ก็เห็นนี่เอง แถมคนที่ชักนำให้ทั้งหมดมาเจอกันยังเป็นเจ้าหนู คนที่ฆ่าพวกนั้นก่อนการสิ้นอายุไขก็เจ้าหนูอีก ใจร้ายชะมัด”

    “ฆ่าเลยหรอ?”ผมรอบกลืนน้ำลายก่อนหันไปมองหน้าของซีโร่และเดม่อนทำยิ้มแห้งๆให้

    “แล้วถ้าอลาวดูผิดล่ะ คนพวกนั้นก็ตายฟรีงั้นสิ?”ข้าถามต่อ

    “ตอนแรกที่ข้าเห็นท่านอลาวพาพวกนั้นมาข้าก็คิดไปว่าเป็ยยมทูตในสังกัดเสียอีก ท่านอลาวนี่ใจร้ายจังนะ”เดม่อนว่าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

    “ไม่ๆๆ ตอนแรกข้าก็คิดแบบที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ แต่ได้มาถามที่หลังข้าถึงกับตกใจ อลาวดี้บอกกับข้าว่า...”

    “ถ้าเกิดไม่ใช่ข้าก็จะใช้พลังของข้าคล้ำจุนพวกมันให้ได้ร่างวิญญาณกลับมาตามเดิมแล้วก็ส่งพวกมันกลับไปยังร่างของพวกมัน ข้ามั่นใจว่าพวกญาติมันยังไม่เผาหรือเอาไปฝั่งหรอกน่า ส่วนตัวข้าก็ทำตามสัญญาอยู่ที่นี่แทนเจ้า”

                    ที่เหลือพยักหน้ารับหงึกหงักราวกับจะบอกว่า”มันเป็นแบบนี้นี่เอง” ข้าถอนหายใจยาว ยังไงอลาวก็ยังเป็นอลาวอยู่ดีสินะ โหดกับใครจริงๆจังๆไม่เป็นหรอก

    “แล้วนี่พวกเจ้าจะไปโลกปีศาจทำไม?”เรย์กลับมาเข้าเรื่องหลังจากที่เล่านิทานก่อนนอนจบแล้ว

    “ไปช่วยอลาว”ท่านพี่ตอบแทน

    “หา?อีกทีสิ?”

    “ไปช่วยท่านอลาวครับ”เดม่อนตอบ

    Replayที”

    “ไปช่วยท่านอลาวที่ถูกพาตัวไปโบลกปีศาจขอรับ”

    “หา?อะ....”

    “อลาวถูกจับตัวไปที่โลกปีศาจ พวกข้าต้องการไปช่วยเจ้าจะเปิดทางให้ได้ไหม!!!”ข้าตะคอกเสียงดังถ้าเกิดวิญญาศักดิ์สิทธิ์นี่ยังไม่ได้ยินคงจะไม่เกรงใจแล้วล่ะ(นี่เกรงใจอยู่?)

                    เรย์ลูบคางเบาๆเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในสมองก่อนจะยิ้มเผล่

    “ได้น่ะได้แต่มีข้อแม้”

    “อะไร?”พี่ข้าดูจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ

    “ข้าจะไปช่วยเจ้าหนูด้วย”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×