คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่9 การกลับมาของคนเป็นพี่
บทที่9
การกลับมาของคนเป็นพี่
ตอนนี้ข้าอยู่ที่สวรรค์มาได้จะอาทิตย์แล้วล่ะ ข้านั่งอ่านหนังสืออยู่ในท้องพระโรงข้างๆเจ้าฟรานที่กำลัง…เล่นปั่นแปะกับพวกท่านพี่อยู่ พวกเจ้านี่น่าเอาตำรวจมาจับไปเข้าคุกจริงเชี่ยวล่ะ แถมเหล่าขุนนางสวรรค์ยังมีหน้ามาพนันกันอีกว่าใครจะได้
“นี่น่ะเหรอ เด็กมนุษย์ที่ว่า”เสียงแสดแก้วหูดังขึ้นพร้อมๆกับการปรากฎตัวของนางร้ายละครหลังข่าว
ที่ข้าอยากจะรู้คือนั่นปากท่านไปจกเลือดใครมาแดงเชียว แล้วผมน่ะถามจริงๆเถอะว่านั่งวินมอเตอร์ไซค์มาใช่ป่ะ เหตุฉะไหนใยฟูเป็นรังนกกระจอกรวมกันสามรังเช่นนี้ล่ะท่าน นางเดินมาสำรวจข้า มองจากหัวลงไปเท้าแล้วมองจากเท้าขึ้นมาหัว นี่เจ๊ เอามีดมาผ่าพุงดูเครื่องในเลยไหมห๊ะ?
“ธรรมดา”
จ๊ะแม่แปลกประหลาด ถ้าข้าท่านบอกว่าข้าประหลาดเมื่อไหร่ข้าจะรีบวิ่งไปส่องกระจกทันทีเลยท่าน
“อลาวดี้นี่คือนางฟ้าอาวุธโสของที่นี่ แมรี่”ท่านลุงแนะนำนางแก่ข้า ตามมารยาทข้าเลยลุกขึ้นคำนับนาง
“ไม่ต้องมาคำนับ นังมนุษย์เดินดิน ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็นแค่เศษสวะยังเสนอหน้ามาอยู่บนสวรรค์ หวังจะจับเจ้าฟรานล่ะซิท่า”
ปึ๊ด!
ไม่รู้ว่าเส้นอะไรแตกแต่รู้แค่ว่าตั้งแต่ข้าเกิดมาข้ายังไม่เคยมีใครมาด่าแบบนี้มาก่อนเลยนะ
“เรียนท่านยายที่เคารพรัก”ข้าเน้นทุกคำด้วยใบหน้ายิ้มหวาน เจ้าฟรานเริ่มถอยออกห่างข้าไปไกลโขพร้อมๆกับพวกท่านพี่ แม้อยู่ที่นรกข้ามีคนปกป้องตลอดก็ใช่ว่าข้าจะไม่ได้เลี้ยงสัตว์ผู้น่ารักนาม”สุนัข”เอาไว้ในปากนะ
“กรี๊ดดดดดดดดดดด ใครยายแก!!!”
ก็แกนั่นแหละ!
“ท่านไงคะ ก็ท่านลุงบอกว่าท่านเป็นนางฟ้าอาวุธโส ข้าเรียกว่าท่านยายก็ถูกแล้วนี่ค่ะ”
แล้วท่านยายที่น่ารักของข้าก็นิ่งก่อนจะกรี๊ดเป็นผีโดนน้ำมนตร์อีกรอบ
“แก แก แก๊!!!!!!!!”
“คะ?”
“นังมนุษย์โสเป็นแค่มนุษย์ที่ไร้กำลังแต่ดันมาขัดขืนต่อทวยเทพ เจ้ามันบังอาจนักข้าจะสาปแช่งครอบครัวเจ้า”นางว่าพร้อมชี้หน้าข้า
“ถ้าทำได้ก็เชิญเถอะค่ะ อ่อ! แล้วก็ท่านก็คงต้องสาปท่านลุงด้วยนะคะเพราะว่า เราน่ะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จริงไหม
ฟราน?”ข้าเดินเข้าไปเกาะแขนตัวหัวขาวทีพยายามอยู่ให้ไกลที่สุดแต่ถึงกระนั้น…….
“ใช่จ๊ะ อลาวดี้ที่น่ารักของข้า”ก็ยังรับมุกข้าได้ดี
“ข้าน่ะเป็นมนุษย์(หนึ่งในสิบหกส่วน)เคยฝันว่าอยากจะเป็นเทพยาดา(แม้ตอนนี้มีเลือดนางฟ้าอยู่สองส่วนสิบหก)เพราะนางฟ้านั้นช่างสง่างาม ไร้มนทิล บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนใด อีกทั้งยังเป็นที่ศัทราเคารพนับถือของผู้คนทั่วไป ข้าเองก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง(แม้ตำแหน่งตอนนี้จะใหญ่กว่าก็ตาม) ข้าใฝ่ฝันแบบนี้มาแสนนาน”
อาเจ๊ปอบหยิบเชิดขึ้นอย่าทะนงตน อย่างเพิ่งได้ใจไปเจ๊...
“แต่ความคิดนั้นก็จบลงเมื่อเจอท่าน โถ่นางฟ้าในฝันของข้า”
ข้าประสานมือที่หน้าอกแล้วส่ายหัว โดยมีเจ้าฟรานกับท่านพี่ฟีนทำท่าเดียวกันเป็นแบล็กอัพอยู่ด้านหลัง
“ท่านทำลายความฝันของข้า นางฟ้าที่ข้าได้เคยวาดฝันเอาไว้พังทลายไม่มีชิ้นดี ข้าไม่อยากเป็นอีกแล้วนางฟ้าที่น่ารังเกรียจ เอาแต่ดูถูกดูแคลนคนที่ให้ความเคารพนับถือตน แม้ข้าจะเป็นมนุษย์(หนึ่งในสิบหกส่วน)แต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะดูถูกใครทั้งนั้น ผิดกับท่านที่ได้รับการบูชาแต่กลับดูถูกคนผู้นั้นว่าเป็นสวะหากพวกเขาได้รู้คงจะเลิกนับถือท่านไปอย่างแน่นอน และข้าเองก็อยากจะรู้นักว่ายามทีท่านสิ้นฤทธิ์ใดๆกลายเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ท่านจะไปทำสิ่งใดได้!”ข้าเอ่ยน้ำเสียงสลดก่อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงแข็งในตอนท้าย
ข้าเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย”เพราะความที่ยิ่งทะนงในตัวเองมากเกินไปมันทำให้คนเราตกลงสู่จุดต่ำสุดของชีวิตได้อย่างง่ายดาย อะไรที่มันมากเกินไปมันไม่เคยดีหรอก สักวันท่านก็จะต้องตกลงไปเช่นกัน”
“เจ้าสามหาว!”
“สี่หาว ห้าหาวข้าก็ทำได้!”ข้าตวาดพลางเดินหน้าเข้าใกล้ ที่ข้าเกลียดอีกหนึ่งคือคนที่ชอบดูถูกคนอื่นนี่แหละ
“ท่านอาจไม่เคยได้ยินคำสอนที่ว่าผู้ที่ไม่บูชาใคร ไม่ควรได้ใครให้การบูชา ข้าอยากให้ท่านไปคิดสักเล็กน้อย
บรรดานางฟ้าเทวดาที่ท่านเจออยู่ทุกวันหรือแม้แต่ท่าน มันไม่ใช่วิญญาณมนุษย์หรือไง”ข้าย้ำใส่หน้านาง
ข้าเป็นถึงเจ้าชายยมทูตทำไมจะมองวิญญาณไม่ออกว่าอันไหนเป็นมนุษย์มาก่อน อันไหนเป็นชาวสวรรค์แต่กำเนิด นางนิ่งก่อนจะรีบหันหลังเดินจากไป ทำให้ข้าเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่ข้าเพิ่งด่านางฟ้าอาวุธโสโอเคย์ของที่นี่ไป ข้าค่อยๆหันกลับไปมองพวกท่านลุงที่ยืน…อ้าปากค้างกันอยู่
แปะๆๆๆๆๆ
พวกขุนนางสวรรค์ต่างปรบมือให้ข้าอย่างทั่วถึง
“อลาวดี้ที่รักของข้า เจ้าโคตรเจ๋ง”ฟรานยกนิ้วโป้งให้ข้า
“เจ้านี่ช่างด่าได้สมกับเป็นกุลสตรีจริงๆไม่มีคำหยาบแต่ว่าลึกซึ้งไร้เทียมทานน่าสมัครเป็นศิษย์ เจ้าสนในเปิดสำนักไหมเดี๋ยวข้าจะออกแบบให้”
“เยี่ยม”แม้แต่ท่านพี่เฟรนด์ยังเป็นไปกับเขาด้วย
“เจ้านี่มันลูกเจ้าอลันตัวจริงเสียงจริงมาครั้งแรกก็ทำเอาอึ้งยกห้องโถงอีกแล้ว ด่าไปก็ดีแล้วข้าล่ะโคตรเบื่อนางเลย ทำได้ก็ไล่ไปเกิดตั้งนานแล้ว”
อ้าว…เป็นงั้นไป
ข้าเดินออกมาจากห้องโถงเพราะขี้เกรียจจะเจอพวกนางฟ้า เทวดาองค์ต่อๆไป ข้าเดินทอดน่องตามสบายเพราะเริ่มเคยชินกับที่นี่พอควร ที่นี่มีแสงแดดและสายลมจริงๆ อ่อ ข้ารู้แล้วล่ะว่าทำไมเวลาที่ลมพัดทำไมข้าถึงเหมือนได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้างๆหู เพราะว่านั่นเป็นเสียงที่เจ้าฟราน(บลังซ์)ฝากให้กับข้า ข้ามองยอดไม้ที่พริ้วไสวไปตามแรงลม ถ้ามาคราวหน้าขอเจ้าฟรานพาพวกสิบสามหน่วยมาด้วยได้ไหมเนี่ยM
“นี่ๆเจ้าเคยได้ยินเรื่องอะไรไหม”เสียงที่แว่วมาทางมุมปราสาทเรียกให้ข้ากันไปมอง ข้าเห็นสองทหารยามยืนคุยกันอยู่
“เรื่องอะไรเล่า”
ข้าย่องไปแอบอยู่ที่มุมปราสาทที่ไกลจะพวกนั้นเล็กน้อย
“เรื่องเจ้าชายองค์แรกกับองค์ที่สองของนรกน่ะสิ”
อึก!
“อ๋อ โวะ! เรื่องนั้นข้ารู้ตั้งแต่ชาติปรางก่อนแล้ว!”
“เฮ้ย! เป็นไงว่ะ?”
“เขาเล่าว่า องค์ชายทั้งสององค์นั้นจู่ๆก็หายตัวไปเมื่อสิบปีก่อนโน้น ทิ้งให้น้องสาวตัวเองอยู่คนเดียวข้าว่าสงสัยน้องคงน่ารำคาญมากนั่นแหละ พี่ชายถึงได้พร้อมใจกันทิ้งไปแบบนั้น”
“แล้วทั้งสองคนนั้นหายไปไหนล่ะ?”
“ไม่รู้สิ เขาว่าหายสาบสูญไปแล้วสงสัยตายไปแล้วมั้ง ฮ่าๆๆๆ”
“อลาวดี้เจ้ามา….อลาวเจ้าร้องไห้ทำไม?!!!”เสียงเจ้าฟรานดูตกใจน่าดู
ข้ายกมือขึ้นปาดหน้าปาดตา นี่ข้าร้องไห้เมื่อไหร่เนี่ย
“ข้าไม่เป็นอะไร”น้ำเสียงข้าแหบพล่าจนตัวเองใจหาย นี่ข้าเป็นอะไรไปเนี่ย
“มานี่”
ฟรานลากข้าไปที่ห้องของมันก่อนที่จะกดไหล่ข้าในนั่งลงบนโซฟา
“เจ้าเป็นอะไรอลาว”ฟรานเอ่ยนำเสียงเป็นห่วง ข้าได้แต่ส่ายหัวเบาๆ
“เขาเล่าว่า องค์ชายทั้งสององค์นั้นจู่ๆก็หายตัวไปเมื่อสิบปีก่อนโน้น ทิ้งให้น้องสาวตัวเองอยู่คนเดียวข้าว่าสงสัยน้องคงน่ารำคาญมากนั่นแหละ พี่ชายถึงได้พร้อมใจกันทิ้งไปแบบนั้น”
“อึก!”ข้ายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างห้ามไม่ได้ เสียงหัวเราะของพวกทหารนั่นมันเหมือนดังก้องในหัวข้าตลอดเวลา เหมือนมันจะเยาะเย้ยข้า
“อลาว”ฟรานเรียกข้าเสียงอ่อย มันนั่งลงข้างๆข้าพลางยกมือขึ้นลูบหัวข้าอย่างปลอมประโลม
ข้าเอาแต่ร้องไห้ส่วนมันก็นิ่งไม่พูดอะไรใดๆทั้งสิ้น มันรอจนข้าเงียบแล้วค่อยถามซึ่งมันก็นานพอดู
“เจ้าร้องไห้ทำไมอลาว”
“พี่ข้า”ข้าพูดได้แค่นั้น
ฟรานเบิกตาโพลงอย่างตกใจ มันรู้เรื่องนี้อยู่แล้วนี่นะ
“ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้”
“ข้าได้ยินพวกทหารคุยกัน”
เพราะมัวแต่ก้มหน้าเลยไม่รู้ว่าเจ้าฟรานมันมีแววตาแบบไหน
“เจ้ามีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่า”มันพูดคลายๆที่ข้าเคยพูดกับมัน
ข้านิ่งไปพักใหญ่ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ แต่มันมากจนข้าเรียงไม่ถูก
“ในบางครั้งข้ารู้สึกว่าการรอคอยมันยาวนานและเหนื่อยล้าจนแทบสิ้นแรง ข้ารอคอยอย่างมีความหวัง หวังเอาไว้เสมอว่าการรอคอยของข้ามันจะไม่ไร้ประโยชน์ บางครั้งข้าท้อและว่าข้าก็ยังไม่เลิกที่จะหวัง ทั้งที่ไม่รู้ว่าหวังนั้น การรอคอยนั้น มันมีค่าอะไร ทั้งที่การรอคอยมันทำให้ข้าทรมานและเจ็บปวดแต่ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงยังไม่เลิกหวัง อาจจะเป็นเพราะที่ตรงนั้นมันไม่สามารถมีใครมาแทนได้ ข้าถึงได้รอคนเดิมๆให้กลับมาทีเดิมๆ”
ฟรานไม่ได้พูดอะไร มันเอาแต่นิ่งทำให้ข้าไม่รู้ว่ามันรู้สึกแบบไหน
“ข้าอธิฐานเสมอทุกครั้งที่มีโอกาสได้เห็นดวงดาว อธิฐานให้พวกเขากลับมา อธิฐานให้พวกเขาได้ยินเสียงของข้าบ้าง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นจะส่งไปถึงหรือเปล่า ข้าแค่อยากให้พวกเขาได้ยินเสียงของข้าและกลับมาแค่ครั้งเดียวก็ยังดี แต่บางทีข้าก็อาจจะลืมไปว่าเสียงที่ส่งไปไม่ถึงมันก็ได้แค่ดังอยู่แบบนั้น”
ข้าพูดทุกอย่างที่ข้าอยากพูดออกไปจนหมด ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าหลอกตัวเองมาตลอดและสุดท้ายข้าก็หลอกตัวเองไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง ข้ามันคนโง่ข้ารู้ดีแต่ข้าผิดด้วยเหรอที่ข้าจะรอ ในเมื่อข้ามีพี่อยู่เพียงแค่สองคน
ขอแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็ยังดีที่จะได้พบกัน ข้าขอแค่นั้นจริงๆแต่ทำไม ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่ข้าต้องการ อีกสักครั้งให้ข้าได้ยินเสียงที่เรียกชื่อข้าพร้อมรอยยิ้มนั้น ข้าแค่อยากให้รอยยิ้มนั้นกลับมาอยู่กับข้าอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ที่ข้าเคยไม่ดี ที่ข้าเคยเอาแต่ใจ ข้าขอโทษแต่ว่าพวกเขา พวกเขาเคยได้ยินเสียงของข้าบ้างไหม พวกเขาจะจำได้ไหมว่ามีข้าอยู่บนโลกใบนี้…..
“หรือว่าข้าน่ารำคาญจริงๆข้าเอ่ยขึ้นลอยๆเหมือนคนที่ไม่รู้อะไร
“ขอโทษนะอลาว”พูดจบประสาทการรับรู้ข้าก็ดับลงไป
ข้าตื่นขึ้นมากลางดึกบนเตียงในห้องเจ้าฟราน และได้รู้ว่าเวทย์มนตร์นั้นไม่ใช่หมดลบความทรงจำเพราข้ายังจำทุกสิ่งทุกอย่างได้…เรื่องของท่านพี่ทั้งสอง แค่นึกน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาอีกรอบ โห้ย!!!!เรื่องนี้ข้าเป็นพระเอกนะไม่ใช่นางเอก ร้องอยู่ได้เนี่ย!! ตาที่พล่าไปด้วยน้ำตาเหลือบไปเห็นเจ้าฟรานนอนอยู่บนโซฟาปลายเตียง หัวขาวๆขยับนิดหน่อยก่อนที่มันจะลุกขึ้น
“ยังไม่หยุดร้องอีกเหรออลาว”
“หยุดแล้วร้องใหม่ไม่ได้หรือไง”ข้าพยายามกวนมันเพื่อข้าจะอารมณ์ดีขึ้น
มันลุกขึ้นเดินมาหาหาก่อนจะก้มลงมาให้อยูในระดับสายตาข้า
“ข้ายกห้องนี้ให้เจ้าร้องไห้ไปก่อน ถ้าต้องการคนปลอบเรียกข้าแล้วกัน”มันวางมือบนหัวข้าที่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นข้าถึงได้รู้ว่าทหารสองคนถูกเจ้าฟรานสั่งประหารไปแล้วในฐานะที่ทำให้ข้าร้องไห้ ฟรานมันขาโหดตัวจริงเลยนะเนี่ย และอีกอย่างคือข้าไม่หยุดร้องสักทีอาจเป็นเพราะว่าข้าไม่ได้นึกถึงมันมานานแล้วมั้ง ข้าร้องไห้ไม่กินไม่นอนมาสองวันกว่าข้าจะหยุดร้องได้ สภาพข้าโทรมจนเจ้าฟรานมันทนไม่ได้จับข้าทำผมแต่งหน้าจนกลับมาสวยเป๊ะแต่นี่อาจไม่ใช่ที่ข้าต้องการก็ได้นะ แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังกินอะไรไม่ลงอยู่ดีนั่นแหละ
ร่างสองร่างก้าวเท้าผ่านประตูมิติของแดนนรก พอถึงหน้าด่านเจ้าหน้าที่ต่างลุกขึ้นด้วยความไม่คุ้นกับคนที่เดินเข้ามา
“พวกเจ้าเป็นใครน่ะ?”สมายด์จ้องร่างของผู้ที่มาอย่างไม่วางใจ
ชายคนแรกรูปร่างสูงโปร่งเส้นผมสีดำสนิทไว้ยาวเป็นรากไทรเคียงใบหน้าติดเบื่อหน่ายเต็มทน ดวงตาสีเทาม่นฉายแววไม่พอใจออกมาแบบไม่ปิดบัง ส่วนอีกคนเป็นชายรูปร่างบางเส้นผมสีเงินยาวถึงกลางหลังถูกรวบที่ปลายแบบลวกๆ นัยน์ตาสีแดงฉายแววขบขันนึกสนุกแบบไม่เข้ากับสถานการณ์
“ก่อนจะถามชื่อใครช่วยแนะนำตัวก่อนสิ”เจ้าของเรือนผมสีเงินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“สมายด์ หัวหน้าหน่วยเก้าแห่งสิบสามหน่วยยมทูต ผู้คุมกฎของที่นี่ แล้วพวกเจ้าล่ะเป็นใคร”สมายด์ว่าพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร
ชายสองคนเลิกคิ้วสูงก่อนหันมองหน้ากัน
“เดี๋ยวนี้เขามีหน่วยนี้กันแล้วเหรอ ว่าแต่เอาไงดีล่ะเขาจำเราไม่ได้ด้วยล่ะ’ท่านพี่’”
“ไม่รู้ แล้วอลาวดี้มันไปอยู่ไหนเนี่ย?”คนผมดำเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“พวกเจ้ามีอะไรกับหัวหน้าของข้า”สมายด์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติจากทั้งสองคนจึงเริ่มไม่วางใจ
“มีอะไรกัน…พวกท่าน!!!!”ซีโร่ที่เดินออกมาดูความเรียบร้อยถึงกับชะงักเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือน
“อะไรกันเจ้ารู้จักพวกข้าด้วยหรือ? แต่ข้าไม่รู้จักเจ้านะ”ชายผมดำเอ่ยอย่างเซ็งๆ
“ถ้ารู้ว่าพวกเราเป็นใครก็ช่วยพาพวกเราไปที่ที่เราอยากไปหน่อยสิ”ชายผมเงินเอ่ยอย่างสุภาพ
ซีโร่ได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะเดินนำไปท่ามกลางความงุนงงของผู้ดูแลประตู ตลอดทางที่เดนผ่านพวกขุนนางต่างแปลกใจละคนตกใจเมื่อระลีกได้ว่าแขกสองคนที่เดินตามหัวหน้าหน่วยห้ามาเป็นใคร
“แล้วอลาวดี้ไปไหนล่ะ?”ชายผมเงินเอ่ยถามซีโร่
“จะไปถามหามันทำไม”
“ข้าได้ข่าวว่าท่านถามหาอลาวดี้ก่อนข้าอีกนะ”
คนผมดำหน้าขึ้นสีเล็กน้อยก่อนที่จะโวยวาบกลบเกลื่อน
“เจ้าจะบ้าหรือไงที่ข้าถามหามันเพื่อให้มันมาช่วยพูดให้เราได้เข้ามาต่างหากเล่าเจ้าบ้า!!!!”
คนเป็นน้องได้แต่พยายามทำใจเชื่อท่าพี่ของตัวเองให้ได้
“แล้วไงล่ะ อลาวดี้ไปไหน?”คนผมเงินยังไม่วายกลับไปถามใหม่
“ท่านอลาวดี้ไปแดนสวรรค์ขอรับ”
“หา!!!!!!!!”สองเสียงประสานกันดังลั่นจนซีโร่ต้องอุดหู
“ไปกับใคร?!”คำถามกึ่งตวาดทำเอาซีโร่สะดุ้งเล็กน้อย
“ไปกับท่านฟรานขอรับ”พูดจบก็ก้มหน้าลง
“เจ้าชายสวรรค์งั้นเหรอ”ซีโร่เงยหน้ามองชายผมเงินอย่างทึ่งๆ
อุตส่าห์ไม่บอกแล้วนะวาเป็นใคร ดันรู้อีก
“ว่าไงนะไปกับเจ้าชายสวรรค์ นี่มันบังอาจหนีตามผู้ชายงั้นเหรอ!!!”
“เปล่าขอรับ โดนท่านฟรานฉุดไป”
“หา!!!!! พวกเจ้ามันอะไรกันเนี่ยปล่อยเจ้าหญิงของตัวเองให้ไปกับเจ้าชายแดนสวรรค์ ทำไมไม่ช่วยเกิดมันปล้ำ
อลาวดี้ขึ้นมาทำไง”
ไม่ทันแล้วล่ะขอรับ ปล้ำไม่ปล้ำไม่รู้ รู้แต่จูบกันไปแล้ว
“ท่านพี่ ท่านกำลังพูดเหมือนเป็นห่วงอลาวดี้อยู่นะ”ชายผมเงินแซว
“ใช่ที่ไหน ข้ายังไม่อยากได้หลานตอนนี้ต่างหาก”
เหรอ
“เอาเป็นว่าใจเย็นๆก่อนนะท่านพี่ อลาวดี้ออกจะเป็นคนรักนวลสงวนตัวนะ”
“เอ่อ ถึงแล้วขอรับ”ซีโร่เอ่ยพลางผลักประตูเข้าไป
ร่างสูงบนบรรลังจ้องมองแขกที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้างุนงง ก่อนจะโพลงออกมาดังลั่น
“พวกเจ้า!!!”
สองบุรุษโค้งคำนับร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ซึ่งขณะนี้กำลังรีบกระโดดลงมาด้านล่าง
“พวกเจ้าหายไปไหนมากัน!?”อลันถามด้วยความดีใจ
“ข้าขอโทษพวกเราทั้งสองจำต้องหนี”ชายผมดำเอ่ยเบาๆด้วยใบหน้าสำนึกผิด
“หนี? หนีจากอะไรกัน?”อลันมองหน้าเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้าที่บัดนี้เรียกว่าชายหนุ่มอาจจะเหมาะกว่า
“พวกเราต้องหนีท่านตาตามคำแนะนำ”นัยน์ตาสีแดงจ้องกับนัยน์ตาสีแดงอีกคู่หนึ่ง
“หมายความว่าไง ทำไมต้องหนีแล้วใครแนะนำ?”
ชายหนุ่มสองคนหันไปมองหน้ากัน
“ท่านก็รู้ท่านตากำลังหาทายาทคนต่อไปอยู่ พวกข้าจำต้องหนีไปให้ไกลส่วนเรื่องที่ว่าใครแนะนำพวกข้า…บอกไม่ได้ แล้วที่หกเดือนที่แล้วที่ต้องตัดพลังไปเพราะว่าพวกนั้นเกือบตามพวกเราได้”
“ช่างเถอะ เดม่อนเจ้าไปส่งข่าวให้ข้าหน่อย”อลันหันหาคนที่นั่งอยู่ในหมู่ขุนนาง
“ขอรับ”เดม่อนลุกขึ้น นัยน์ตาสีโลหิตเหลือบมองแขกทั้งสองอย่างรู้กัน
“ไปบอกอลาวดี้ว่า….”
“พี่ของข้ากลับมาแล้ว!!!!!”
ข้าโพลงออกมาดังลั่นหลังจากที่เจ้าฟรานบอกข่าวใหม่แก่ข้า
“จริงๆเหรอฟราน จริงๆเหรอ”
“จริงสิ เมื่อครู่เดม่อนติดต่อมาหาข้าน่ะ”
ฟรานว่าด้วยรอยยิ้มที่ไม่แพ้ข้า
“ฟราน….”
“เรากลับนรกกัน”
“อือ”
ข้าวิ่งผ่านประตูนรกอย่าไม่กลัวภาพพจน์เสียหายโดยมีฟรานวิ่งตามมาติดๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องโถง
“ท่านพี่!!!!”
ข้าตะโกนเรียกท่านพี่ตั้งแต่หน้าประตูพลางวิ่งเข้าหาก่อนที่จะ…กระโดดถีบหน้าพี่อลัวซ์เต็มๆ พี่อเล็กซ์ให้ตายข้าก็ไม่ทำอะไรหรอก
“เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ยอลาวดี้!!”คนผมดำลุกขึ้นพร้อมเสียงโวยวาย
“ถีบท่านไงท่านพี่อลัวซ์ที่รัก หึหึ”ข้าว่าในขณะที่มือยังเกาะหนึบท่านพี่อเล็กซ์อยู่
“ไอ้สองมาตรฐาน!”
“อ๊ะแน่น๊อน~”
“พวกท่านนะพวกท่านจู่ๆก็หายไปเป็นสิบปี ไม่ส่งข่าวส่งอะไรมาเลยเชียว พวกท่านมันบ้า..อึก”ข้ายกมือขึ้นปาดน้ำตา พอเจอหน้าพวกเขาแล้วข้าก็ลืมคำด่าที่เตรียมเอาไว้ไปหมดเลย
“เฮ้ยๆๆ อย่าเพิ่งร้องนะ คือมัน เฮ้ย! พูดไงดี คือ”ท่านพี่อลัวซ์เลิกลั่กสุดขีด
“ข้ารู้แล้วล่ะ”ท่านพี่อเล็กซ์ยิ้มก่อนหันไปกระซิบกับท่านพี่อลัวซ์ ท่านพี่อลัวซ์ทำหน้าเซ็งๆก่อนจะยอมพยักหน้า
ท่านคู่ดึงมือข้าเข้าไปกอดท่านกลางความงงของข้า ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้ข้ารู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
“ข้าขอโทษ”
เสียงสุดท้ายที่ข้าได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง
ร่างบางสลบไปในอ้อมกอดของพี่ชายของตนเอง อลัวซ์ชอนร่างน้องสาวขึ้นพลางส่ายหัวอย่างหน่ายๆ
“พวกท่านสินะพี่ของอลาว”
สองพี่น้องเหลือบมองคนหัวขาวที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาแต่แรก ร่างที่เคยยืนกอดอกพิงประตูเดินตรงมายังทั้งสองที่ยืนอยู่
“ข้าไวท์ทีเซอร์ ฟราน เพื่อนของอลาว”
พลั่ก! พลั่ก!
ใบหน้าของสองพี่น้องหันไปคนล่ะฝั่งตามแรงชก
“และข้าไม่ยอมให้ใครมาทำให้อลาวดี้ร้องไห้แน่ ต่อให้เป็นพี่ของอลาวเองก็ตาม ข้าก็ไม่มีทางปล่อย”นัยน์ตาสีม่วงจ้องด้วยความเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความครุกรุ่นภายใน
“อลาวดี้ร้องไห้มาสองวันโดยไม่ได้นอนเพราะพวกท่าน ลองไปคิดดูแล้วกันว่าแค่คำขอโทษมันพอหรือเปล่า ข้าขอตัว”พูดจบร่างนั้นก็อัตทานหายไปจากตรงนั้น
สองพี่น้องต่างมองหน้ากันก่อนจะมองน้องเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่ใหญ่
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ”
นี่ก็ผ่านมาเดือนเศษแล้วยอมรับเลยว่าตั้งแต่พวกท่านพี่กลับมาข้าติดพวกเขาเพิ่มขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่พี่อเล็กซ์แต่ว่าพี่อลัวซ์ก็ด้วย เรียกว่าติดทั้งคู่เลยดีกว่า แต่ว่าทั้งคู่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆท่านพี่อเล็กซ์ใจดียังไงก็แบบนั้น ท่านพี่อลัวซ์ชั่วร้ายยังไงก็ชั่วร้ายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หรือต้องเรียกคงเส้นคงว่าด้านความชั่วร้าย
โป๊ก!
“อ๊ากกกกก ทำบ้าอะไรของท่านเนี่ย!”ข้าหันไปถามตนที่เอาสันดาบเขกหัวข้า
“ข้ารู้นะว่าเจ้านินทราข้าในใจน่ะ”ท่านพี่อลัวซ์ทำว่าหน้านิ่งพลางเช็ดดาบในมือราวกับไปโดนสิ่งสกปรกมา ข้าไม่ใช่ก้อนอุนจิจังนะท่าน!
“แต่ท่านจะมาเขกหัวสุภาพสตรีได้ไง”ข้าแย้ง
“สุภาพสตรีเขาไม่กระโดดถีบหน้าพี่ตัวเองหรอกนะ อลาวดี้”ท่านพี่อเล็กซ์ว่ายิ้มๆ
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ท่านพี่ ใครใช้ให้พวกท่านหายไปเป็นสิบปีเล่า แค่นี้น้อยไปนะเนี่ย”ข้าว่าพลางกอดอกเชิดหน้าขึ้น
โอ๊ะโอ่...นี่ข้าลืมใครไปใช่ไหม? แน่นอนเจ้าฟรานไง ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะช่วยงานท่านลุงอยู่ก็เลยวุ่นๆและข้าก็มัวแต่ติดท่านพี่เลยลืมมันไปเสียสนิทจิต แต่จู่ๆข้าก็คิดถึงมันขึ้นมามีอะไรหรือเปล่าเนี่ย
“โอ๊ะ! ชาหมดข้าไปเอาชาก่อนนะ”ข้าลุกขึ้นไปพร้อมๆกับถือถ้วยชาไปด้วย
“ท่านอลาวดี้ขอรับ มีคนมาหา”ซีโร่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
แล้วไอ้ตัวหัวขาวที่ข้าเพิ่งนึกถึงเมื่อครู่ก็พุ่งเข้ามากอดข้า
“อลาวดี้ที่น่ารักของข้า คิดถึงข้าไหม?”
“ไม่เลย”แต่หน้าข้ายิ้มแป้นเชียวล่ะ
“ก็ดูดีใจดีนี่”
“ท่านพี่อลัวซ์ เคยยืนอยู่เฉยๆแล้วรู้สึกตัวอีกทีไปอยู่ที่โต๊ะพิพากษาวิญญาณของท่านพ่อไหม?”
ระหว่างที่ข้ากับท่านพี่อลัวซ์กำลังจะวางมวยกันนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น แกกลัวไม่ได้เปลี่ยนประตูใหม่ใช่ไหมเนี่ย ห๊ะ?
“ท่านอลัวซ์ ท่านอเล็กซ์ ท่านอลาวดี้ ขอรับท่านราชาอลันเรียกประชุมด่วนขอรับ!”ทหารชั้นผู้น้อยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตามข้ากับพวกท่านพี่
“มีเรื่องอะไรกันหนอ?”ท่านพี่อเล็กซ์บ่นหน่อยๆก่อนลุกขึ้นนำไปโดยมีท่านพี่อลัวซ์และข้าที่มีเจ้าฟรานเกาะเดินตามไป
“มากันแล้วเหรออลัวซ์ อเล็กซ์ อลาวดี้”ท่านพ่อเอ่ยด้วยหน้าตาร้อนรนแบบสุดๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
“มีอะไรงั้นเหรอท่านพ่อ”
“คือว่า นักโทษชั้นที่สามแหกคุกไปได้สิบสี่ตน”
“หา!!!”พวกข้าร้องเสียงดังพลางหันมองหน้ากัน
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่าท่านอา?”
“อ้าว ฟรานแล้วงานของเจ้า….”
“ข้าเอาไปให้ท่านพี่ทำแล้ว”ช่างเป็นน้องที่ดีเหลือเกิน
“งั้นเจ้าช่วยไปตามจับกับ…อลาวดี้แล้วกัน”
ท่านพ่อสรุปง่ายๆแต่ข้าขอค้านครับท่านประทานที่เคารพ!
“ได้ไงท่านพ่อ ทำไมต้องเป็นข้ากับมัน”ข้าชี้ไปที่’มัน’ที่ว่า
“พวกเจ้าเคยทำงานด้วยกันมาเดือนหนึ่งไม่ใช่หรือไง”
ท่านพี่อลัวซ์ว่าพลางมองเจ้าฟรานด้วยสายตาเกรงๆ
“ท่านไม่พูดก็ไม่มีใครว่าหรอกน่า!”
“แต่เจ้าถามหาเหตุผลนะอลาวดี้”ท่านพี่อเล็กซ์พูดบ้าง
นี่พวกท่านอยู่ด้วยกันมากไปไหมเนี่ย พี่อเล็กซ์จากที่เข้าข้างข้ากลายไปเป็นกำลังเสริมให้ท่านพี่อลัวซ์แล้วง่ะ
“ก็ได้ๆ ข้าไปก็ได้ข้ามันไม่สำคัญนี่เชอะ!”พูดจบข้าก็สะบัดก้นออกมาพร้อมกับเจ้าฟราน
********************************************************TBC.*******************************
ความคิดเห็น