คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 3
เมื่อทำงานในครัวเสร็จลุล่วงก็เป็นช่วงอาทิตย์ตกดิน ความมืดมิดเริ่มปกคลุมพระราชวังอันใหญ่หลวงแห่งนี้ จากตำหนักน้อยใหญ่ที่เห็นรายละเอียดยิบย่อยได้อย่างชัดเจนแปรเปลี่ยนเลือนลาง ไจ้เหลียนเอ่ยปากชวนอี้เอินให้ไปเดินชมบรรยากาศในวังหลวงยามค่ำคืนด้วยกัน ใจหนึ่งอี้เอินอยากปฏิเสธเนื่องจากต้องการพักผ่อน อีกใจหนึ่งก็อยากตอบตกลงเพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับสหายคนใหม่ให้มากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายหัวใจอันโลเลของอี้เอินก็พ่ายแพ้ต่อคำพูดอ่อนหวานและท่าทางเว้าวอนของไจ้เหลียน
ข้ารับใช้ในครัวทั้งสองต่างเดินข้างกายกันและกันอย่างเงียบเชียบ เสียงจังหวะการเดิน ณ ตอนนี้ช่วยทำให้อี้เอินผ่อนคลายจิตใจจากอาการเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทั้งวันได้ส่วนหนึ่ง
ไจ้เหลียนเพียงคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของอี้เอินเงียบๆและอมยิ้มบ้างบางคราเมื่อเจ้าของใบหน้าหวานถอนหายใจ
ไจ้เหลียนรับรู้อารมณ์ของอี้เอินได้ตั้งแต่ทำงานในครัวด้วยกันเมื่อช่วงกลางวัน ดวงตาสวยของสหายคนใหม่ที่คอยยิ้มตามไปกับบทสนทนา แต่หากได้จ้องลึกลงไปแล้วมันเต็มไปด้วยความทุกข์ การคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายพูดความรู้สึกนึกคิดให้ตนฟังนั้นมิใช่นิสัยของเขา การกระทำแบบนี้อาจทำให้เกิดความมิสบายใจในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไจ้เหลียนจึงเพียงลอบมองอี้เอินและรอโอกาสที่อีกฝ่ายจะเปิดปากพูดกับเขาเอง
เท้าทั้งสองคู่ก้าวเดินมาถึงสวนหย่อมที่มีไว้สำหรับผ่อนคลายของพวกข้ารับใช้ สวนนี้อาจมิใหญ่เท่าสวนของพวกนางกำนัลหรือข้าระดับอื่นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด อีกทั้งยังมีดอกโบตั๋นพันธุ์ดีที่ใช้สำหรับปลูกในวังเท่านั้นถูกปลูกอยู่เรียงรายตามขอบลำธารสายเล็ก ไจ้เหลียนจูงมืออี้เอินให้มานั่งพักตรงศาลากลางสวน และเริ่มถามไถ่ถึงวันแรกในวังหลวงของอี้เอิน
“ วันแรกของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อี้เอิน ”
“ ข้าคิดว่าจะมิรอดเสียแล้ว เป็นโชคดีของข้าที่ได้ทำความรู้จักกับเจ้า และพี่ๆคนอื่นในครัวก็ใจดี ”
ไจ้เหลียนหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อฟังจบ เขาคิดว่าอี้เอินช่างเป็นคนที่สดใส ทั้งคำพูดคำจา ท่าทาง และรอยยิ้มที่คล้ายดวงตะวัน
“ แล้วเจ้ามีความสุขไหม ”
“ มีสิ ทุกคนทำดีกับข้าขนาดนี้แล้วข้าจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ” มือเรียวของอี้เอินเอื้อมมากุมมือไจ้เหลียนไว้
“ หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงข้าก็ดีใจ ”
สหายทั้งสองคนต่างเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาลำบากของอี้เอินแบบนี้คงเป็นเรื่องราวที่ดี
“ นี่ ไจ้เหลียน ทำไมเจ้าถึงเข้ามาอยู่ในวังหลวงรึ ”
ไจ้เหลียนนึกย้อนไปถึงช่วงชีวิตก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในวังหลวง ตอนที่ตนยังเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ครอบครัวที่อบอุ่นและตัวเขาที่รายล้อมไปด้วยข้าบริวาร
“ เพราะท่านพ่อเป็นขุนนางเก่าและข้าก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล ท่านคงอยากให้ข้าได้ทำงานรับใช้ฮ่องเต้แบบที่ท่านเคยทำ ”
“ แล้วทำไมเจ้ามิเป็นนางกำนัลหรือนางในล่ะ ”
“ เพราะข้ามิชอบน่ะสิ ข้าอยากใช้ชีวิตอยู่เงียบๆมากกว่า ”
“ แล้วช่วงแรกๆที่เจ้าเข้ามาเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงครอบครัวหรือที่บ้านบ้างหรือไม่ ”
“ คิดถึงสิ… ช่วงแรกที่ข้าเข้ามาก็ปรับตัวได้มิดีนัก ต้องอยู่คนเดียวตลอด ท่านพ่อท่านแม่จึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะอยู่ในวังหลวงต่อ ” แววตาของไจ้เหลียนหม่นลงจนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ ข้า…ข้ามิควรถามเรื่องนี้เลย”
“ สบายใจเถอะ ตอนนี้ข้ามีความสุขแล้วล่ะ ” ไจ้เหลียนส่งยิ้มให้อี้เอินเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนพูด “ แล้วเจ้าล่ะ อี้เอิน ”
“ ข้าก็คิดถึงครอบครัวเช่นกัน ข้าอยู่กับท่านพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กและมิเคยแยกจากกันเลย ”
อี้เอินและไจ้เหลียนนั่งอยู่ที่ตรงนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อเตรียมจะลุกออกจากศาลา ทั้งสองก็ถูกดึงความสนใจด้วยทำนองเพลงไพเราะซึ่งถูกบรรเลงจากขลุ่ยโบราณที่มาตามสายลม
“ ค่ำมืดขนาดนี้ยังมีผู้ใดบรรเลงเพลงอีกรึ ” อี้เอินเดินไปสอดส่องบริเวณรอบศาลา
“ เขามิได้อยู่แถวนี้หรอก อี้เอิน ”
“ หมายความว่าอย่างไร ”
“ ข้าคิดว่าเจ้าของบทเพลงคงจะอยู่ในส่วนอื่นของวัง ข้าเคยเดินสำรวจดูในเขตข้ารับใช้แล้ว มิพบผู้ใดเลย ” ไจ้เหลียนดึงอี้เอินให้นั่งลงเหมือนเดิมและเอ่ยอีกครั้ง “ ทุกคืนที่ข้ามาที่นี่ ข้าจะได้ยินบทเพลงนี้เสมอ ”
“ เจ้ารู้บ้างไหมว่าบทเพลงนี้มีชื่อว่าอะไร ” มิรู้สาเหตุอะไรที่ทำให้อี้เอินคาดหวังคำตอบจากไจ้เหลียน เขารู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้อย่างมาก แต่ยิ่งพยายามนึกชื่อเพลงยิ่งเหมือนเหนื่อยเปล่า
ไจ้เหลียนส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“ กลับโรงนอนกันเถอะ ” เสียงแผ่วเบาจากปากของตนสร้างความแปลกใจให้ข้ารับใช้ในครัวคนใหม่
ข้าเศร้างั้นหรือ… เหตุใดข้าจึงต้องเศร้าด้วยล่ะ…
“ น้องหญิง รอพี่ด้วยสิ ” เด็กหนุ่มร่างอวบวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหวังที่จะตาม ‘ น้องหญิง ’ ให้ทัน
“ ข้าบอกแล้วไงว่าข้ามิใช่น้องหญิงของท่าน! ” น้ำเสียงแข็งกร้าวของอีกคนตอบกลับ
“ แต่เจ้าเคยเรียกข้าว่าท่านพี่”
“ ข้าเรียกเพราะท่านพ่อบังคับ ”
“ แต่ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า ”
ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า…
ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า…
“ อี้เอิน รุ่งเช้าแล้ว ตื่นเสียที ” ไจ้เหลียนใช้สองมือเขย่าร่างของอี้เอินที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ต้องไปรวมกันเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้แล้วแต่ดูเหมือนสหายใหม่ของเขาจะตื่นสาย “ อี้เอิน! ”
ทว่าสหายใหม่ของเขาก็มิตอบสนองใดๆ คาดว่าเมื่อวานอี้เอินคงเหนื่อยถึงได้หลับลึกถึงเพียงนี้
“ ไจ้เหลียน รีบปลุกต้วนอี้เอินเร็วเข้า ” พี่สาวร่วมโรงนอนคนหนึ่งตะโกน
“ อี้เอิน!!! ”
“ ท่านเป็นใคร!! ” คนที่ถูกปลุกเด้งตัวขึ้นจากฟูกนอนแล้วหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“ อะไรของเจ้า ข้าไจ้เหลียนไง ”
“ เอ่อ…ข้าคงฝันไป ”
“ ช่างเถอะ รีบแต่งตัวเร็วเข้า ถึงเวลาที่ต้องไปรวมกันที่หน้าตำหนักฮ่องเต้แล้ว ” อี้เอินพยักหน้ารับและเอ่ยบอกให้ไจ้เหลียนออกไปรอตนข้างนอก มือเรียวยกขึ้นมาลูบสร้อยคอจี้หยกที่ตนใส่มาตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อคลายความกังวล
ความฝันนี้ช่างประหลาด…
“ เร็วเข้า หากเราไปช้าจะถูกตำหนิเอานะ ”
“ ข้ารู้แล้วๆ ” ร่างบางควานหาชุดเครื่องแบบของข้ารับใช้ในครัวที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวาน ก่อนจะสวมทับกับชุดนอนด้วยความรีบร้อน
“ แล้วปิ่นปักผมข้าล่ะ ” หมอนและผ้าห่มโดนรื้อจนกระจัดกระจายไปทั่ว “ เจอแล้ว ” มือเรียวสางผมที่ยุ่งเหยิงแทนหวี มัดมวยลวกๆพอให้เรียบร้อยและเสียบปิ่นในกลุ่มผมสีน้ำตาล
“ อี้เอิน เจ้าเสร็จรึยัง ”
“ ข้าเสร็จแล้ว ” ขาเรียวออกแรงวิ่งจนชายเสื้อผ้าพลิ้วไหว ชายกระโปรงยาวรุ่มร่ามเกือบจะทำให้สะดุดล้ม โชคดีที่ไจ้เหลียนวิ่งมาประคองไว้ทัน
“ ตื่นสายแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะเจ้า ”
อี้เอินเพียงยิ้มบางๆแทนคำขอบคุณและควงแขนไจ้เหลียนให้ก้าวเดินไปด้วยกัน
ถนนในวังหลวงบัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินทางไปหน้าตำหนักของฮ่องเต้ ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าเต็มยศ เดินเกาะกลุ่มกัน นี่เป็นครั้งแรกที่อี้เอินได้พบเห็นพวกข้าราชบริพารในวังหลวงในหลายๆตำแหน่งหน้าที่ บุรุษก็จะเป็นองครักษ์ ขันที เครื่องแต่งกายของพวกเขาจะเน้นความคล่องตัวเป็นสำคัญ ส่วนสตรีที่มิได้เป็นข้ารับใช้ล้วนแต่งกายและแต่งแต้มใบหน้าอย่างงดงาม ผิวพรรณเนียนใสและมีผมสลวย พวกเขาคงมีชีวิตที่สุขสบาย
“ ข้าล่ะอิจฉาคนเหล่านั้นจริงๆ วันหนึ่งแค่ใช้เวลาไปกับการแต่งกายแต่งหน้า มิต้องทำงานหนักอย่างเรา ” ไจ้เหลียนกระซิบ ส่วนคนข้างกายก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย “ นั่นองครักษ์หวังนี่ ” หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพบบุรุษคนหนึ่งโดยบังเอิญ เรียวปากอิ่มของอี้เอินเบะออกด้วยความหมั่นไส้
“ เจ้าก็เจอเขาทุกวันอยู่แล้วมิใช่หรือ ”
“ นานๆครั้งน่ะ องครักษ์หวังเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท เขาได้รับมอบหมายงานมากมาย นานๆทีถึงจะมารวมตัวกับองครักษ์คนอื่นๆ ”
“ คนแบบนั้นเป็นถึงองครักษ์ส่วนพระองค์เชียว ” อี้เอินพึมพำกับตนเองแผ่วเบา
“ มีอะไรรึ ”
“ มิมีอะไร ข้าแค่หาวเฉยๆน่ะ ”
เมื่อเข้ามาถึงส่วนพระราชฐานของฮ่องเต้ ตำหนักใหญ่โตมโหฬารราวสิบตำหนักก็ปรากฏให้เห็น แต่ละตำหนักช่วงโอ่อ่าหรูหราซึ่งมิมีทางได้พบเห็นได้ภายนอกวังหลวง ถึงแม้ครอบครัวอี้เอินจะเป็นขุนนางก็ยังเทียบเท่ามิได้หนึ่งในสิบของเขตพระราชฐานของฮ่องเต้ได้แม้แต่น้อย ไจ้เหลียนอธิบายว่า ตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้บนหลังคาจะมีรูปปั้นมังกรตามแนวสันกระเบื้อง ส่วนของพระมเหสีและพระสนมจะมีรูปปั้นหงส์ในแบบต่างๆ ลดหลั่นกันไปตามบรรดาศักดิ์ ส่วนตำหนักที่ต้องไปถวายความเคารพ คือตำหนักของฮ่องเต้ที่มีไว้เพื่อว่าราชการ มิใช่ตำหนักบรรทมอย่างที่อี้เอินเข้าใจ
“ อี้เอิน ไจ้เหลียน ทางนี้ ” เสียงตะโกนของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ไจ้เหลียนที่กำลังตั้งใจอธิบายเรื่องราวใหม่ๆให้อี้เอินฟังเกือบจะเดินตามกลุ่มนางในไป
พี่ๆทุกคนที่อี้เอินได้พบเมื่อวานมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ครบแล้ว บางคนดูง่วงนอน บางคนดูอ่อนเพลีย แต่ก็ยังส่งยิ้มให้เขา บางทีเวลานี้อาจเช้าเกินไปสำหรับข้ารับใช้ในครัวที่งานหนักอย่างพวกเขา
“ เมื่อคืนเจ้าไม่สบายหรือ ข้าเห็นท่าทางเจ้าดูกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน ” พี่สาวที่นอนฟูกข้างๆถาม นางมีผมสีดำขลับ ดวงตาเรียว และนัยน์ตาสีนิล
“ ข้ารู้สึกแปลกที่ เลยนอนมิค่อยหลับ ”
“ เอ้อ ยังมิได้แนะนำตัวให้เจ้ารู้จักเลย ข้าหยางหยาง เข้าวังมา 2 ปีแล้วล่ะ ”
พอจะคาดเดาได้ว่า พี่สาวนางนี้คงจะอายุมากกว่าเขาราวๆ 2 ปี เพราะการเข้ามารับหน้าที่ในวังหลวงมีข้อกำหนดว่าจำต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นในแต่ละปีทุกคนจะมีอายุเท่ากัน จึงง่ายแก่การทราบอายุ
“ ส่วนนี่เหม่ยหลิน นางเข้ามาพร้อมข้าเช่นกัน ” หยางหยางแนะนำหญิงสาวอีกคนให้รู้จัก ใบหน้าหวาน ผิวพรรณเนียนสวยไร้ริ้วรอย ทำให้ยากจะเชื่อว่านางเป็นเพียงข้ารับใช้ นัยน์ตาลึกลับสบกลับมาอี้เอิน ร่างบางคลี่ยิ้มพอเป็นมารยาท ทว่าความนิ่งเฉยคือสิ่งที่ได้รับกลับมา “ นางมิค่อยสุงสิงกับใครน่ะ ”
บรรดาทหารตีกล้องสามครั้งเพื่อแสดงว่าฮ่องเต้กำลังจะเสด็จ แต่ละคนจัดเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อยและเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามที่ได้แบ่งแยกไว้ พื้นที่ของบุรษอยู่ด้านซ้าย สตรีอยู่ด้านขวา และทางเดินขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นเส้นกั้น
อี้เอินรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องอยู่ท่ามกลางหญิงสาวมากมาย แม้ตอนนี้เขาจะปลอมตัวเป็นหญิงเช่นเดียวกับคนพวกนี้ แต่ก็มิสามารถปฏิเสธความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ได้
“ เป็นอะไรของเจ้า ” ไจ้เหลียนกระตุกชายเสื้อเรียกสติสหายที่กำลังเหม่อลอย
เมื่อมองไปรอบข้างก็เห็นทุกคนยืนอยู่ในท่าทางสำรวม มือประสานกันไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะลงเพื่อมิให้สายตาเหลือบมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ อี้เอินเห็นดังนั้นจึงรีบทำตาม
“ ฮ่องเต้เสด็จ ”
ข้าราชบริพารต่างก้มลงคำนับ หน้าผากจรดพื้นดิน เพื่อแสดงความเคารพโอรสแห่งสวรรค์ แล้วจึงกลับมายืนตรง มือประสานกันเหมือนเดิม ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จกลับไป
“ พิธีตอนเช้ามีเท่านี้เองรึ ” อี้เอินถามสหายของเขา
“ อื้ม เป็นเพียงแค่การแสดงความเคารพน่ะ เหตุเพราะฮ่องเต้ทรงต้องการใกล้ชิดข้าหลวงให้มากที่สุด ข้าคิดว่าเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดคิดโค่นล้มบัลลังก์ ” ไจ้เหลียนกระซิบกระซาบในประโยคสุดท้าย
ทั้งสองคนรีบพากันเดินออกจากลานกว้างที่มีผู้คนมากมายไปยังครัวเพื่อเตรียมมื้ออาหารเช้า ข้ารับใช้ในครัวมีทั้งหมดประมาณ 30 คน และแม่ครัวอีก 30 คน ครัวที่อี้เอินทำงานอยู่นั้นเป็นโรงครัวที่ปรุงอาหารสำหรับเจ้านายชั้นสูงโดยเฉพาะ ส่วนสำหรับข้าหลวงจะเป็นโรงครัวขนาดใหญ่อีกที่หนึ่ง
อี้เอินได้รับคำสั่งให้ไปเตรียมเนื้อสัตว์จำนวนมากที่จะนำมาทำตามรายการอาหาร
ร่างบางเปิดตู้เก็บวัตถุดิบ หยิบเนื้อออกมาแบ่งใส่กะละมังเพื่อล้าง
ด้วยจำนวนเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณมาก ทำให้มือเรียวที่แช่น้ำเป็นเวลานานเริ่มเปื่อยและแขนก็เริ่มเมื่อยล้า อี้เอินได้แต่ผ่อนลมหายใจกับชีวิตวันที่สองในวังหลวง
ข้าอยากกลับไปหาท่านพ่อ
-----------------------------------
-----------------------------------
Talk2
เรา…เรามีเรื่องจะบอก
เราติดมหาลัยแล้วนะ!!!
ที่หายไปนี่ทั้งหายไปทำพอร์ตแล้วก็หายไปหาข้อมูลมาแต่งตอนนี้ด้วย
หงึก แบบดีใจอ่ะ
ไม่มีไรมาก แค่บอกเฉยๆ555555555
ตอนนี้แต่งเหนื่อยมาก สมองตันไปหลายรอบ
ลบแต่งใหม่ไปหลายรอบ ปวดหัวสุดๆ
เพราะฉะนั้นอย่าลืมส่งฟีดแบคให้กำลังใจเรานะ
#ฟิคเพียงใจต้องรัก เลิฟๆ
ความคิดเห็น