ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพียงใจต้องรัก [JARK]

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 3

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 59










              เมื่อทำงานในครัวเสร็จลุล่วงก็เป็นช่วงอาทิตย์ตกดิน ความมืดมิดเริ่มปกคลุมพระราชวังอันใหญ่หลวงแห่งนี้ จากตำหนักน้อยใหญ่ที่เห็นรายละเอียดยิบย่อยได้อย่างชัดเจนแปรเปลี่ยนเลือนลาง ไจ้เหลียนเอ่ยปากชวนอี้เอินให้ไปเดินชมบรรยากาศในวังหลวงยามค่ำคืนด้วยกัน ใจหนึ่งอี้เอินอยากปฏิเสธเนื่องจากต้องการพักผ่อน อีกใจหนึ่งก็อยากตอบตกลงเพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับสหายคนใหม่ให้มากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายหัวใจอันโลเลของอี้เอินก็พ่ายแพ้ต่อคำพูดอ่อนหวานและท่าทางเว้าวอนของไจ้เหลียน


              ข้ารับใช้ในครัวทั้งสองต่างเดินข้างกายกันและกันอย่างเงียบเชียบ เสียงจังหวะการเดิน ณ ตอนนี้ช่วยทำให้อี้เอินผ่อนคลายจิตใจจากอาการเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทั้งวันได้ส่วนหนึ่ง


              ไจ้เหลียนเพียงคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของอี้เอินเงียบๆและอมยิ้มบ้างบางคราเมื่อเจ้าของใบหน้าหวานถอนหายใจ


               ไจ้เหลียนรับรู้อารมณ์ของอี้เอินได้ตั้งแต่ทำงานในครัวด้วยกันเมื่อช่วงกลางวัน ดวงตาสวยของสหายคนใหม่ที่คอยยิ้มตามไปกับบทสนทนา แต่หากได้จ้องลึกลงไปแล้วมันเต็มไปด้วยความทุกข์ การคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายพูดความรู้สึกนึกคิดให้ตนฟังนั้นมิใช่นิสัยของเขา การกระทำแบบนี้อาจทำให้เกิดความมิสบายใจในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไจ้เหลียนจึงเพียงลอบมองอี้เอินและรอโอกาสที่อีกฝ่ายจะเปิดปากพูดกับเขาเอง


     


              เท้าทั้งสองคู่ก้าวเดินมาถึงสวนหย่อมที่มีไว้สำหรับผ่อนคลายของพวกข้ารับใช้ สวนนี้อาจมิใหญ่เท่าสวนของพวกนางกำนัลหรือข้าระดับอื่นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด อีกทั้งยังมีดอกโบตั๋นพันธุ์ดีที่ใช้สำหรับปลูกในวังเท่านั้นถูกปลูกอยู่เรียงรายตามขอบลำธารสายเล็ก ไจ้เหลียนจูงมืออี้เอินให้มานั่งพักตรงศาลากลางสวน และเริ่มถามไถ่ถึงวันแรกในวังหลวงของอี้เอิน


              วันแรกของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อี้เอิน


              ข้าคิดว่าจะมิรอดเสียแล้ว  เป็นโชคดีของข้าที่ได้ทำความรู้จักกับเจ้า และพี่ๆคนอื่นในครัวก็ใจดี


              ไจ้เหลียนหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อฟังจบ เขาคิดว่าอี้เอินช่างเป็นคนที่สดใส ทั้งคำพูดคำจา ท่าทาง และรอยยิ้มที่คล้ายดวงตะวัน


              แล้วเจ้ามีความสุขไหม


              มีสิ ทุกคนทำดีกับข้าขนาดนี้แล้วข้าจะไม่มีความสุขได้อย่างไร มือเรียวของอี้เอินเอื้อมมากุมมือไจ้เหลียนไว้


              หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงข้าก็ดีใจ


              สหายทั้งสองคนต่างเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาลำบากของอี้เอินแบบนี้คงเป็นเรื่องราวที่ดี


              นี่ ไจ้เหลียน ทำไมเจ้าถึงเข้ามาอยู่ในวังหลวงรึ


              ไจ้เหลียนนึกย้อนไปถึงช่วงชีวิตก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในวังหลวง ตอนที่ตนยังเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ครอบครัวที่อบอุ่นและตัวเขาที่รายล้อมไปด้วยข้าบริวาร


              เพราะท่านพ่อเป็นขุนนางเก่าและข้าก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล ท่านคงอยากให้ข้าได้ทำงานรับใช้ฮ่องเต้แบบที่ท่านเคยทำ


              แล้วทำไมเจ้ามิเป็นนางกำนัลหรือนางในล่ะ


              เพราะข้ามิชอบน่ะสิ ข้าอยากใช้ชีวิตอยู่เงียบๆมากกว่า


              แล้วช่วงแรกๆที่เจ้าเข้ามาเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงครอบครัวหรือที่บ้านบ้างหรือไม่


              คิดถึงสิ ช่วงแรกที่ข้าเข้ามาก็ปรับตัวได้มิดีนัก ต้องอยู่คนเดียวตลอด ท่านพ่อท่านแม่จึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะอยู่ในวังหลวงต่อ   แววตาของไจ้เหลียนหม่นลงจนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า


              ข้าข้ามิควรถามเรื่องนี้เลย


              สบายใจเถอะ ตอนนี้ข้ามีความสุขแล้วล่ะ  ไจ้เหลียนส่งยิ้มให้อี้เอินเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนพูด  แล้วเจ้าล่ะ อี้เอิน


              ข้าก็คิดถึงครอบครัวเช่นกัน ข้าอยู่กับท่านพ่อมาตั้งแต่ยังเล็กและมิเคยแยกจากกันเลย


              อี้เอินและไจ้เหลียนนั่งอยู่ที่ตรงนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อเตรียมจะลุกออกจากศาลา ทั้งสองก็ถูกดึงความสนใจด้วยทำนองเพลงไพเราะซึ่งถูกบรรเลงจากขลุ่ยโบราณที่มาตามสายลม


               ค่ำมืดขนาดนี้ยังมีผู้ใดบรรเลงเพลงอีกรึอี้เอินเดินไปสอดส่องบริเวณรอบศาลา


              เขามิได้อยู่แถวนี้หรอก อี้เอิน


              หมายความว่าอย่างไร


              ข้าคิดว่าเจ้าของบทเพลงคงจะอยู่ในส่วนอื่นของวัง ข้าเคยเดินสำรวจดูในเขตข้ารับใช้แล้ว มิพบผู้ใดเลย ไจ้เหลียนดึงอี้เอินให้นั่งลงเหมือนเดิมและเอ่ยอีกครั้ง ทุกคืนที่ข้ามาที่นี่ ข้าจะได้ยินบทเพลงนี้เสมอ


              เจ้ารู้บ้างไหมว่าบทเพลงนี้มีชื่อว่าอะไรมิรู้สาเหตุอะไรที่ทำให้อี้เอินคาดหวังคำตอบจากไจ้เหลียน เขารู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้อย่างมาก แต่ยิ่งพยายามนึกชื่อเพลงยิ่งเหมือนเหนื่อยเปล่า


              ไจ้เหลียนส่ายศีรษะเป็นคำตอบ


              กลับโรงนอนกันเถอะเสียงแผ่วเบาจากปากของตนสร้างความแปลกใจให้ข้ารับใช้ในครัวคนใหม่


               ข้าเศร้างั้นหรือ เหตุใดข้าจึงต้องเศร้าด้วยล่ะ


     


     


     


              น้องหญิง รอพี่ด้วยสิเด็กหนุ่มร่างอวบวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหวังที่จะตาม น้องหญิง ให้ทัน


              ข้าบอกแล้วไงว่าข้ามิใช่น้องหญิงของท่าน! ” น้ำเสียงแข็งกร้าวของอีกคนตอบกลับ


              แต่เจ้าเคยเรียกข้าว่าท่านพี่


              ข้าเรียกเพราะท่านพ่อบังคับ


              แต่ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า


     


              ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า


              ข้าอยากให้เจ้าเป็นน้องหญิงของข้า





              อี้เอิน รุ่งเช้าแล้ว ตื่นเสียทีไจ้เหลียนใช้สองมือเขย่าร่างของอี้เอินที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ต้องไปรวมกันเพื่อถวายพระพรฮ่องเต้แล้วแต่ดูเหมือนสหายใหม่ของเขาจะตื่นสาย อี้เอิน! ”     


              ทว่าสหายใหม่ของเขาก็มิตอบสนองใดๆ คาดว่าเมื่อวานอี้เอินคงเหนื่อยถึงได้หลับลึกถึงเพียงนี้       


              ไจ้เหลียน รีบปลุกต้วนอี้เอินเร็วเข้า พี่สาวร่วมโรงนอนคนหนึ่งตะโกน


              อี้เอิน!!! ”


              ท่านเป็นใคร!! ” คนที่ถูกปลุกเด้งตัวขึ้นจากฟูกนอนแล้วหอบหายใจอย่างหนักหน่วง


              อะไรของเจ้า ข้าไจ้เหลียนไง


              เอ่อข้าคงฝันไป


              ช่างเถอะ รีบแต่งตัวเร็วเข้า ถึงเวลาที่ต้องไปรวมกันที่หน้าตำหนักฮ่องเต้แล้ว  อี้เอินพยักหน้ารับและเอ่ยบอกให้ไจ้เหลียนออกไปรอตนข้างนอก  มือเรียวยกขึ้นมาลูบสร้อยคอจี้หยกที่ตนใส่มาตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อคลายความกังวล


              ความฝันนี้ช่างประหลาด


             เร็วเข้า หากเราไปช้าจะถูกตำหนิเอานะ


             ข้ารู้แล้วๆร่างบางควานหาชุดเครื่องแบบของข้ารับใช้ในครัวที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวาน ก่อนจะสวมทับกับชุดนอนด้วยความรีบร้อน


              แล้วปิ่นปักผมข้าล่ะหมอนและผ้าห่มโดนรื้อจนกระจัดกระจายไปทั่ว เจอแล้ว มือเรียวสางผมที่ยุ่งเหยิงแทนหวี มัดมวยลวกๆพอให้เรียบร้อยและเสียบปิ่นในกลุ่มผมสีน้ำตาล


              อี้เอิน เจ้าเสร็จรึยัง


              ข้าเสร็จแล้วขาเรียวออกแรงวิ่งจนชายเสื้อผ้าพลิ้วไหว ชายกระโปรงยาวรุ่มร่ามเกือบจะทำให้สะดุดล้ม โชคดีที่ไจ้เหลียนวิ่งมาประคองไว้ทัน


              ตื่นสายแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะเจ้า


              อี้เอินเพียงยิ้มบางๆแทนคำขอบคุณและควงแขนไจ้เหลียนให้ก้าวเดินไปด้วยกัน


           


              ถนนในวังหลวงบัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินทางไปหน้าตำหนักของฮ่องเต้ ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าเต็มยศ เดินเกาะกลุ่มกัน นี่เป็นครั้งแรกที่อี้เอินได้พบเห็นพวกข้าราชบริพารในวังหลวงในหลายๆตำแหน่งหน้าที่ บุรุษก็จะเป็นองครักษ์ ขันที เครื่องแต่งกายของพวกเขาจะเน้นความคล่องตัวเป็นสำคัญ  ส่วนสตรีที่มิได้เป็นข้ารับใช้ล้วนแต่งกายและแต่งแต้มใบหน้าอย่างงดงาม ผิวพรรณเนียนใสและมีผมสลวย พวกเขาคงมีชีวิตที่สุขสบาย


              ข้าล่ะอิจฉาคนเหล่านั้นจริงๆ วันหนึ่งแค่ใช้เวลาไปกับการแต่งกายแต่งหน้า มิต้องทำงานหนักอย่างเรา  ไจ้เหลียนกระซิบ ส่วนคนข้างกายก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย นั่นองครักษ์หวังนี่หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพบบุรุษคนหนึ่งโดยบังเอิญ เรียวปากอิ่มของอี้เอินเบะออกด้วยความหมั่นไส้


              เจ้าก็เจอเขาทุกวันอยู่แล้วมิใช่หรือ


              นานๆครั้งน่ะ องครักษ์หวังเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท เขาได้รับมอบหมายงานมากมาย นานๆทีถึงจะมารวมตัวกับองครักษ์คนอื่นๆ


              คนแบบนั้นเป็นถึงองครักษ์ส่วนพระองค์เชียว  อี้เอินพึมพำกับตนเองแผ่วเบา


              มีอะไรรึ


              มิมีอะไร ข้าแค่หาวเฉยๆน่ะ


     


              เมื่อเข้ามาถึงส่วนพระราชฐานของฮ่องเต้ ตำหนักใหญ่โตมโหฬารราวสิบตำหนักก็ปรากฏให้เห็น  แต่ละตำหนักช่วงโอ่อ่าหรูหราซึ่งมิมีทางได้พบเห็นได้ภายนอกวังหลวง ถึงแม้ครอบครัวอี้เอินจะเป็นขุนนางก็ยังเทียบเท่ามิได้หนึ่งในสิบของเขตพระราชฐานของฮ่องเต้ได้แม้แต่น้อย ไจ้เหลียนอธิบายว่า ตำหนักส่วนพระองค์ของฮ่องเต้บนหลังคาจะมีรูปปั้นมังกรตามแนวสันกระเบื้อง ส่วนของพระมเหสีและพระสนมจะมีรูปปั้นหงส์ในแบบต่างๆ ลดหลั่นกันไปตามบรรดาศักดิ์  ส่วนตำหนักที่ต้องไปถวายความเคารพ คือตำหนักของฮ่องเต้ที่มีไว้เพื่อว่าราชการ มิใช่ตำหนักบรรทมอย่างที่อี้เอินเข้าใจ


              อี้เอิน ไจ้เหลียน ทางนี้ เสียงตะโกนของหญิงสาวคนหนึ่งทำให้ไจ้เหลียนที่กำลังตั้งใจอธิบายเรื่องราวใหม่ๆให้อี้เอินฟังเกือบจะเดินตามกลุ่มนางในไป


              พี่ๆทุกคนที่อี้เอินได้พบเมื่อวานมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ครบแล้ว บางคนดูง่วงนอน บางคนดูอ่อนเพลีย แต่ก็ยังส่งยิ้มให้เขา บางทีเวลานี้อาจเช้าเกินไปสำหรับข้ารับใช้ในครัวที่งานหนักอย่างพวกเขา


              เมื่อคืนเจ้าไม่สบายหรือ  ข้าเห็นท่าทางเจ้าดูกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน พี่สาวที่นอนฟูกข้างๆถาม นางมีผมสีดำขลับ ดวงตาเรียว และนัยน์ตาสีนิล


              ข้ารู้สึกแปลกที่ เลยนอนมิค่อยหลับ


              เอ้อ ยังมิได้แนะนำตัวให้เจ้ารู้จักเลย ข้าหยางหยาง เข้าวังมา 2 ปีแล้วล่ะ


              พอจะคาดเดาได้ว่า พี่สาวนางนี้คงจะอายุมากกว่าเขาราวๆ 2 ปี เพราะการเข้ามารับหน้าที่ในวังหลวงมีข้อกำหนดว่าจำต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นในแต่ละปีทุกคนจะมีอายุเท่ากัน จึงง่ายแก่การทราบอายุ


              ส่วนนี่เหม่ยหลิน นางเข้ามาพร้อมข้าเช่นกัน หยางหยางแนะนำหญิงสาวอีกคนให้รู้จัก  ใบหน้าหวาน ผิวพรรณเนียนสวยไร้ริ้วรอย ทำให้ยากจะเชื่อว่านางเป็นเพียงข้ารับใช้  นัยน์ตาลึกลับสบกลับมาอี้เอิน ร่างบางคลี่ยิ้มพอเป็นมารยาท ทว่าความนิ่งเฉยคือสิ่งที่ได้รับกลับมา  นางมิค่อยสุงสิงกับใครน่ะ


             


              บรรดาทหารตีกล้องสามครั้งเพื่อแสดงว่าฮ่องเต้กำลังจะเสด็จ แต่ละคนจัดเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อยและเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบตามที่ได้แบ่งแยกไว้ พื้นที่ของบุรษอยู่ด้านซ้าย สตรีอยู่ด้านขวา และทางเดินขนาดใหญ่ตรงกลางเป็นเส้นกั้น


              อี้เอินรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องอยู่ท่ามกลางหญิงสาวมากมาย แม้ตอนนี้เขาจะปลอมตัวเป็นหญิงเช่นเดียวกับคนพวกนี้ แต่ก็มิสามารถปฏิเสธความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ได้


              “ เป็นอะไรของเจ้า ”  ไจ้เหลียนกระตุกชายเสื้อเรียกสติสหายที่กำลังเหม่อลอย


              เมื่อมองไปรอบข้างก็เห็นทุกคนยืนอยู่ในท่าทางสำรวม มือประสานกันไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะลงเพื่อมิให้สายตาเหลือบมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ อี้เอินเห็นดังนั้นจึงรีบทำตาม


              ฮ่องเต้เสด็จ


              ข้าราชบริพารต่างก้มลงคำนับ หน้าผากจรดพื้นดิน เพื่อแสดงความเคารพโอรสแห่งสวรรค์ แล้วจึงกลับมายืนตรง มือประสานกันเหมือนเดิม ไม่นานฮ่องเต้ก็เสด็จกลับไป


              พิธีตอนเช้ามีเท่านี้เองรึอี้เอินถามสหายของเขา


              อื้ม เป็นเพียงแค่การแสดงความเคารพน่ะ  เหตุเพราะฮ่องเต้ทรงต้องการใกล้ชิดข้าหลวงให้มากที่สุด ข้าคิดว่าเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดคิดโค่นล้มบัลลังก์ ไจ้เหลียนกระซิบกระซาบในประโยคสุดท้าย


     


              ทั้งสองคนรีบพากันเดินออกจากลานกว้างที่มีผู้คนมากมายไปยังครัวเพื่อเตรียมมื้ออาหารเช้า  ข้ารับใช้ในครัวมีทั้งหมดประมาณ 30 คน และแม่ครัวอีก 30 คน ครัวที่อี้เอินทำงานอยู่นั้นเป็นโรงครัวที่ปรุงอาหารสำหรับเจ้านายชั้นสูงโดยเฉพาะ ส่วนสำหรับข้าหลวงจะเป็นโรงครัวขนาดใหญ่อีกที่หนึ่ง


              อี้เอินได้รับคำสั่งให้ไปเตรียมเนื้อสัตว์จำนวนมากที่จะนำมาทำตามรายการอาหาร


              ร่างบางเปิดตู้เก็บวัตถุดิบ หยิบเนื้อออกมาแบ่งใส่กะละมังเพื่อล้าง


              ด้วยจำนวนเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณมาก ทำให้มือเรียวที่แช่น้ำเป็นเวลานานเริ่มเปื่อยและแขนก็เริ่มเมื่อยล้า  อี้เอินได้แต่ผ่อนลมหายใจกับชีวิตวันที่สองในวังหลวง


               ข้าอยากกลับไปหาท่านพ่อ         










     


    -----------------------------------




    -----------------------------------


    Talk2


    เราเรามีเรื่องจะบอก


    เราติดมหาลัยแล้วนะ!!!


    ที่หายไปนี่ทั้งหายไปทำพอร์ตแล้วก็หายไปหาข้อมูลมาแต่งตอนนี้ด้วย


    หงึก แบบดีใจอ่ะ


    ไม่มีไรมาก แค่บอกเฉยๆ555555555


    ตอนนี้แต่งเหนื่อยมาก สมองตันไปหลายรอบ


    ลบแต่งใหม่ไปหลายรอบ ปวดหัวสุดๆ


    เพราะฉะนั้นอย่าลืมส่งฟีดแบคให้กำลังใจเรานะ


    #ฟิคเพียงใจต้องรัก เลิฟๆ













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×