ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Break Down! ภารกิจพิชิตรักร้ายนายจอมหยิ่ง

    ลำดับตอนที่ #9 : Break 7: Blackmail [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 265
      1
      31 มี.ค. 56



     



    7

    Blackmail
     



     

     

     “จะไปไหนอีกเนี่ยลีน” เฮนรี่เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาวางแก้วกาแฟและจานเค้กราวๆ สิบใบที่เพิ่งไปเก็บทำความสะอาดโต๊ะมาลงในอ่างล้างจานอย่างเบามือ วันนี้เป็นวันเสาร์ ลูกค้าในร้านก็เลยยิ่งแน่นขนัดจากเดิมขึ้นเป็นสองเท่า หนุ่มๆ ทั้งหลายกำลังหัวหมุนอยู่กับการบริการสาวๆ ที่เรียกร้องโน่นนี่นั่นไม่ยอมหยุดราวกับชะนีร้องเรียกหาผัว (เลวจัง นินทาลูกค้า) ส่วนพี่มาร์บอกว่าจะออกไปทำธุระตั้งแต่เช้าจนป่านนี้แล้วยังไม่เสด็จกลับมา

    “ออกไปธุระน่ะ”

    “ธุระ? ธุระอีกแล้ว ธุระอะไร” เขาหันมามองหน้าฉันอย่างเค้นคำตอบในขณะที่มือก็กำลังสาละวนกับการล้างถ้วยล้างจานตรงหน้า

    “ก็...ไปซื้อของนิดหน่อย”

    “ซื้ออะไร” เขาซัก

    อย่าลืมใส่ผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยล่ะ ฉันจะได้ทั้งขาวทั้งหอมไปเลยไง! =_=

    “จะซื้ออะไรมันก็เรื่องของฉันน่า ไม่ยักรู้ว่าแกอัพเกรดตัวเองจากเพื่อนมาเป็นพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่” ฉันยกข้อมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกา คำนวณเวลาแล้วถ้าไม่รีบไปตอนนี้ ฉันต้องไม่ทันฮีวอนออกจากห้องสอบแน่ๆ  “ฉันไปก่อนนะ ถ้าพี่มาร์กลับมาก่อนฝากบอกด้วยว่าแล้วฉันจะรีบกลับ Muah~

    ฉันส่งจูบให้เฮนรี่แล้วรีบวิ่งออกมาจากร้านก่อนที่จะถูกเขาถามโน่นถามนี่ไปมากกว่านี้

     

    อาทิตย์หน้าก็จะคริสมาสต์แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันก็ปีใหม่แล้วสินะ ด้วยเพราะมหาลัยของฮีวอนเป็นมหาลัยอินเตอร์ที่ค่อนข้างจะไฮโซหรูหราและโอ่อ่า บรรยากาศคริสมาสต์ภายในมหาลัยตอนนี้ก็เลยเหมือนกำลังเดินอยู่ในลอนดอนหรือปารีสยังไงยังงั้น...ถ้าไม่ติดว่าไม่มีหิมะแถมแดดยังแรงอีกด้วยน่ะนะ –_–^

    ฉันขึ้นลิฟต์ไปนั่งรอฮีวอนแถวๆ หน้าห้องสอบ ช่วงนี้เป็นช่วงคริสต์มาสเบรค นักศึกษาก็เลยค่อนข้างบางตา นั่งไม่ถึงสิบนาที ฮีวอนก็เดินออกมาจากห้องสอบพร้อมกับเพื่อนๆ

    “มาทำไมเนี่ย” และนี่คือคำแรกที่ฮีวอนใช้ทักทายฉัน คนที่ยืนอยู่รอบๆ และได้ยินต่างก็พากันหัวเราะในความขวานผ่าซากที่น่าตบให้หัวหลุดของเขา

    เคยคิดบ้างไหมว่าคนโดนถามก็อายเป็นน่ะ –*–

    “สอบเสร็จแล้วใช่ป่ะ” ฉันไม่ตอบ แต่กลับถามเขากลับ

    “อืม ทำไม”

    “งั้นก็ไปกันเถอะ”

    “ไปไหน”

    “เถอะน่า ถามมากจริง ไปก่อนนะคะ บ๊ายบาย~” ฉันหันไปบอกกับเพื่อนๆ ของฮีวอนในท้ายประโยคพร้อมทั้งโบกมือลาก่อนจะลากฮีวอนลงลิฟต์มาที่ลานจอดรถ

    “จะลักพาตัวฉันเหรอไง” เขาถามติดตลกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

    “คงงั้นมั้ง” ฉันเบ้ปากพร้อมทั้งแบมือไปตรงหน้าเขา “เอากุญแจรถมา”

    “ฮะ?”

    “บอกว่าเอากุญแจรถมา หูตึงหรือไง!” พูดดีๆ ด้วยไม่ชอบ ชอบให้ขึ้นเสียง –_–

     

    เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถสปอร์ตสีขาวคันงามของฮีวอนก็พาเราสองคนเดินทางมาจนถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนักอย่างปลอดภัย เพราะฉันเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยชอบไปเดินตามแหล่งช้อปปิ้งที่แออัดยัดเยียดเหมือนเบียดเสียดกันเป็นปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศกระป๋องอย่างพวกสยายมสแควร์อะไรเถือกนั้น แต่เพราะวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของฮีวอน ฉันก็เลยอยากพาเขามาเดินเล่นหาอะไรทำผ่อนคลายซักหน่อย และที่นี่ก็สะดวกสุดด้วยประการทั้งปวง

    เคยมีใครบางคนบอกไว้ว่า ไม่ใช่ความรักที่ชนะทุกอย่าง แต่เป็นความดีต่างหากมาคิดๆ ดูแล้ว ทุกครั้งที่ฮีวอนทำตัวดีและน่ารักมันก็มักจะทำให้ฉันใจสั่นอยู่เสมอ แทนที่ฉันจะวิ่งไล่ตามเขาไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ฉันควรจะตั้งวางแผนในการดำเนินเกมนี้ใหม่

    ไม่อย่างงั้นฉันอาจจะต้องแพ้และเป็นฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตเขาในเร็วๆ นี้ก็ได้

    ซึ่ง...ฉันจะไม่ยอมให้มันลงเอยแบบนั้นแน่นอน!

    ฮีวอนยังคงสีหน้าแบบเดิมตั้งแต่ออกจากมหาลัยมาจนถึงจุดหมายปลายทาง เห็นแล้วอยากจะควักลูกกะตากลมๆ นั่นมาขยำทิ้งให้แร้งให้การุมจิกกินซะจริง หมั่นไส้ –_–

    ด้วยความสะเพร่าของฉันที่คิดไว้แค่ว่าจะมาเดินเล่น แต่ดันลืมวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะมาทำอะไรบ้าง ฉันก็เลยทำได้แค่ลากฮีวอนเดินซอกแซกไปมาทั่วห้างอย่างไร้จุดหมายปลายทางจากชั้นหนึ่งไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เราก็พากันเดินขึ้นมาจนถึงชั้นหกชั้นสุดท้ายของห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นโซนพวกเอนเตอร์เทนต่างๆ ทั้งโรงหนัง คาราโอเกะ โบว์ลิ่ง และเกมส์เซ็นเตอร์

    เอาน่า ชั้นนี้แหละ มันต้องมีอะไรสนุกๆ ให้ทำซักอย่างสิ –3–

    “นี่มาสำรวจห้างหรือไงเนี่ย” ฮีวอนบ่น...เป็นรอบที่หนึ่งร้อยสี่สิบแปด

    “พูดมากน่า”

    “ถามจริงๆ เหอะ เธอพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย”

    “ก็มาเดินเล่นไง ตากแอร์ ชิลๆ” ฉันตอบหน้าตาย เดินกันทั่วห้างขนาดนี้แล้วเพิ่งจะมาถามว่ามาทำไม แหม มาดูคอนเสิร์ตไทเทเนี่ยมล่ะมั้งคะคุณชาย –_–

    “ถ้าไม่ได้มาทำอะไรบนนี้ก็ลงไปหาอะไรกินข้างล่างกันเถอะ หิวข้าวอ่ะ บนนี้เสียงดังชะมัด –*–” ฮีวอนมองไปยังต้นตอของเสียงและกลุ่มคนที่กำลังห้อมล้อมอะไรบางอย่างอยู่ที่มุมหนึ่งหน้าเกมส์เซ็นเตอร์ด้วยสีหน้ารำคาญอย่างสุดจะบรรยาย แต่แทนที่ฉันจะเห็นด้วยแล้วเดินลงบันไดเลื่อนไปหาอะไรกินตามที่เขาเรียกร้องกลับลากแขนเขาตรงไปที่วงล้อมของไทยมุงกลุ่มนั้นซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะกำลังร่วมกิจกรรมชิงรางวัลอะไรสักอย่างนั้นกันอยู่หน้าตาเฉย

    “อะไรของเธอเนี่ย ไหนว่าไม่ชอบคนเยอะๆ ไง” แน่นอนว่าฮีวอนโวยวาย

    “ก็ไม่ชอบ แต่อยากรู้อ่ะ” ถึงวันนี้ฉันจะไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงมาด้วย แต่ด้วยความสูงราว 167 เซนติเมตรของตัวเองทำให้ฉันสามารถมองเข้าไปข้างในใจกลางวงล้อมได้สบายๆ เพื่อแค่เขย่งเท้านิดหน่อย

    “เราจะนับถอยหลังอีก 30 วินาทีนะคะ ใครอยากได้ตุ๊กตาน้องหมีคู่รักสองตัวนี้ไปนอนกอดรีบควงคู่กันเข้ามาร่วมสนุกหน้าด้าน เอ๊ย ด้านหน้าได้เลยค่ะ สามสิบ...ยี่สิบเก้า...ยี่สิบแปด...”

    หลังสิ้นสุดเสียง MC สาวหุ่นเพรียวลมในชุดเดรสสีชมพูแปร๋นประกาศออกไมโครโฟน ฉันก็พยายามเขย่งเท้ามองหาของรางวัลที่เธอพูดถึงอีกครั้งก่อนจะประสบพบเจอกับเจ้าตุ๊กตาหมียักษ์สองตัว ตัวนึงสีน้ำตาล ส่วนอีกตัวสีขาว ท่าทางขนของมันจะนุ่มนิ่มเอาการ เห็นแล้วน่ากอดชะมัด

    “ยี่สิบสี่...ยี่สิบสาม...”

    “นี่นาย! ฉันอยากได้ตุ๊กตาอ่ะ” ฉันหันไปบอกฮีวอน

    “ก็ไปซื้อสิ –_–

    “ไม่เอา จะเอาสองตัวนั้น!” ฉันชี้เข้าไปในวงไทยมุง ฮีวอนมองตามพร้อมกับถอนหายใจ

    “แล้วจะให้ทำยังไง”

    “สิบห้า...สิบสี่...สิบสาม...” เสียงนับถอยหลังของ MC เร่งเร้าให้ฉันต้องรีบตัดสินใจ

    “ไปเล่นเกมกัน เผื่อเราจะได้รางวัลนั่น”

    “แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ?”

    “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง ลองดูหน่อยก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเนี่ยนี่” ฉันพยายามโน้มน้าว

    “เก้า...แปด...เจ็ด...”

    “ไปซื้อเอา...”

    “หก...ห้า...สี่...”

    “...ไม่ง่ายกว่าเหรอ” ฮีวอนพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับฉัน แต่ตามตรงว่ามันแทบไม่ได้เข้าหูฉันเลยด้วยซ้ำ เสียงนับของ MC กับน้องหมีที่วางล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าสะกดจิตฉันให้ฉุดกระชากลากเขาฝ่าวงล้อมเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ MC จะนับศูนย์

    “สาม...สอง...อ๊า! ได้ผู้ร่วมสนุกเพิ่มอีกหนึ่งคู่แล้วนะคะ เชิญเลยค่ะ ชื่ออะไรกันเอ่ย”

    “มาเดอลีนค่ะ” ฉันตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม MC ทวนชื่อฉันอีกครั้งก่อนจะยื่นไมค์ไปตรงหน้าฮีวอนเพื่อรอให้เขาแนะนำตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกับมากลับมีเพียงแค่ความเงียบและปมคิ้วบนหน้าผาก –*–

    “ฮีวอนค่ะ เขาชื่อฮีวอน” ฉันคว้าไมค์ในมือ MC มาตอบแทน

    น้องหมีจ๋า~ รอพี่สาวแป๊บนึงนะ 

     

     

    “เอาล่ะค่ะ อีกชั่วอึดใจเราก็จะได้รู้กันแล้วนะคะว่าตุ๊กตาหมีคู่รักสองตัวนี้จะตกเป็นของใคร ขอย้ำอีกครั้งค่ะว่าน้องหมีสองตัวไม่ธรรมดา เพราะบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลเป็นตุ๊กตาคู่รักเมืองผู้ดีจากอังกฤษ และเกมที่เราจะใช้ในการร่วมสนุกครั้งนี้คือ...”

    MC หยุดพักหายใจหลังจากร่ายยาวเพื่อปล่อยให้ผู้เข้าร่วมสนุกและบรรดาไทยมุงได้รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เธอกั๊กไว้กันเล่นๆ ก่อนจะถือกล่องขนมปังกรอบแบบแท่งเคลือบช็อกโกแล็ตกล่องหนึ่งเดินมายื่นให้ผู้เข้าร่วมสนุกแต่ละคู่ที่ดูเหมือนจะเป็นคู่รักกันทั้งนั้น หลังจากคู่แรกและคู่สองหยิบขนมออกมาคู่ละแท่งแล้ว MC จึงเดินมายื่นกล่องขนมนั่นให้ฉันกับฮีวอนเป็นคู่สุดท้าย

    “และเกมที่เราจะใช้ในการร่วมสนุกครั้งนี้ก็คือป๊อกกี้คิสนั่นเองค่ะ!” สิ้นสุดเสียงประกาศของ MC ทั้งฉันและฮีวอนต่างก็ยืนนิ่งมองหน้ากันอย่างตกตะลึงท่ามกลางเสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือของผู้ที่มารอชม

    “ปะ...ป๊อกกี้ คิส?” ฉันทวนชื่อเกมกับตัวเองเบาๆ

    “กติกาก็คือคู่รักแต่ละคู่จะต้องกัดป๊อกกี้คนละด้านเข้าหากัน และถ้าคู่ไหนเหลือน้อยที่สุด คู่นั้นก็จะได้รับรางวัลตุ๊กตาหมีคู่รักจากอังกฤษไปนอนกอดที่บ้านกันสบายๆ เลยค่ะ! เตรียมพร้อมเลยนะคะ!

    ฉันมองไปที่อีกสองคู่ พวกเขาต่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อมคือคาบป๊อกกี้ที่ MC ให้มาไว้คนละด้าน ฮีวอนยกขนมในมือเขาขึ้นมาทิ่มจึ้กๆ ที่ปากฉันเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ฉันอ้าปากคาบมันเอาไว้เหมือนคู่อื่นๆ

    “หลับตาซะ”

    “ฮะ?”

    “บอกให้หลับก็หลับเถอะน่า” ฮีวอนดุก่อนจะก้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้ความสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับฉันก่อนจะอ้าปากคาบป๊อกกี้อีกด้านหนึ่งเอาไว้ กลายเป็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนห่างกันเพียงแค่ไม่ถึงคืบ ถึงจะงงๆ กับสิ่งที่เขาสั่งให้ทำ แต่สุดท้ายฉันก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทนลืมตามองเห็นหน้าเขาอยู่ในระยะประชั้นชิดแบบเมื่อกี้ก็แล้วกัน โชคดีที่รอบตัวเราสองคนตอนนี้เสียงดังมาก ไม่งั้นเขาอาจได้ยินเสียงหัวใจของฉันที่มันกำลังทำงานอย่างหนัก แต่ใกล้กันขนาดนี้ เขาต้องเห็นใบหน้าที่กำลังเปลี่ยนสีของฉันชัดเจนแน่ แง บ้าชะมัด! T^T

    “ผู้เข้าแข่งขันทุกคู่ พร้อมหรือยังคะ ขออนุญาตทวนกติกาอีกครั้ง คู่ไหนกัดขนมคำสุดท้ายได้เหลือน้อยที่สุด คู่นั้นจะได้รับตุ๊กตาหมีคู่รักจากประเทศอังกฤษคู่นี้ไปครอบครอง ถ้าพร้อมแล้ว...”

    ไม่พร้อม! ไม่เอาแล้วได้ไหมตุ๊กตานั่น T^T

    “เริ่มได้ค่ะ!

    ระ...เริ่ม? ฉันต้องกินมันเข้าไปใช่ไหม ขนมที่ถูกฉันคาบไว้นานจนรู้สึกได้ว่าช็อกโกแล็ตที่เคลือบอยู่บนแท่งขนมปังกรอบกำลังละลายและตัวขนมปังกรอบเองก็กำลังเปื่อยยุ่ยด้วยน้ำลาย ฉันค่อยเริ่มกัดป๊อกกี้เข้าปากไปทีละนิด เสียงเชียร์จากบรรดาแม่ยกไทยมุงทั้งหลายยิ่งทำให้ฉันกดดันเข้าไปใหญ่ ไม่อยากจะบอกเลยว่าฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังกว่าเสียงบรรยายของ MC ซะอีก

    เฮือก! O_O

    สัมผัสแผ่วเบากระทบเข้ากับริมฝีปากของฉันและเสียงโห่ร้องที่ดังลั่นขึ้นรอบตัวทำเอาฉันตกใจจนต้องลืมตาขึ้นพร้อมกับปล่อยให้ป๊อกกี้ร่วงจากปากเพียงเสี้ยววินาทีที่รู้สึกเหมือนริมฝีปากถูกกัดเบาๆ

    คังฮีวอน!!!

    “ตอนนี้ทุกคู่ก็มีเศษของขนมที่เหลืออยู่ในมือแล้วนะคะ เดี๋ยวเราจะมาวัดขนาดของขนมกันว่าคู่ไหนช่วยกันกินจนเหลือน้อยที่สุด เริ่มจากคู่แรกเลยนะคะ...”

    MC กำลังทำหน้าที่ของเธอ แต่สมองฉันกลับไม่ยอมทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง

    เมื่อกี้...เขาจูบฉันงั้นเหรอ!

    ฉันยืนแข็งทื่ออยู่แบบนั้นจนกระทั่งถึงตาของฉันกับฮีวอน MC เดินเข้ามาเพื่อทำการวัดเศษขนมที่ฉันนึกว่าทำมันตกพื้นไปแล้วซะอีก แต่เปล่าเลย เหมือนฮีวอนจะเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าสิ่งที่เขาทำจะต้องทำให้ฉันตกใจ เขาก็เลยเอามือมารองและรับเศษขนมที่หล่นจากปากฉันไว้ได้พอดี

    “ป๊อกกี้ของคุณฮีวอนและคุณมาเดอลีนวัดได้ศูนย์จุดเก้าเซนติเมตรค่ะ ในที่สุดเราก็ได้ผู้ชนะในเกมป๊อกกี้ คิสแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ เย้!

    ป๊อกกี้ คิส...

    ป๊อกกี้ คิส...

    ป๊อกกี้ คิส...

    ...คิส

    ไหนใครบอกว่าลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ไหนใครหน้าไหนมันบอกยะ!! TT^TT

    ฉันแบกตุ๊กตาน้องหมีสองตัวเดินตามฮีวอนลงไปชั้นที่เป็นเหมือนศูนย์รวมของร้านอาหารต่างๆ ฮีวอนบอกว่าในเมื่อฉันอยากได้ตุ๊กตาและเขาก็ อุตส่าห์ เอามันมาให้ฉันจนได้แล้ว ฉันก็ต้องเป็นคนเทคแคร์ดูแลและแบกมันไปที่รถเอง คือถ้าจะ อุตส่าห์ ขนาดนี้ก็ไม่ต้องก็ได้นะ ฉวยโอกาสจูบฉันต่อหน้าคนเกือบร้อยแล้วมาบอกว่า อุตส่าห์ ช่วยฉันเนี่ยนะ!

    ฮึ่ย! T_T

     

     “เธออยู่บ้านกับใคร” ฮีวอนถามขึ้นพลางมองผ่านกระจกรถเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ สงสัยพี่มาร์จะยังไม่กลับ หลังจากทานข้าวเสร็จ ฉันก็ให้ฮีวอนขับรถมาส่งที่บ้านเลยเพราะไม่อยากแบกน้องหมีกลับไปที่ร้านให้คนอื่นมานั่งสอบสวน

    “อยู่กับพี่สาวน่ะ แต่สงสัยจะยังไม่กลับจากร้าน”

    “แล้วพ่อแม่เธอล่ะ”

    “อยู่ฝรั่งเศส”

    “ให้ฉันลงไปเป็นเพื่อนไหม”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว เดี๋ยวดึกๆ พี่มาร์ก็กลับ” ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่จำความได้ ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่มาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่เลยต่างหาก หมู่บ้านนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยเป็นเลิศ แถมเพื่อนบ้านก็สนิทชิดเชื้อกันราวกับวงศาคณาญาติ ฉันก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่เวลาต้องอยู่บ้านคนเดียว

    “อืม งั้นเดี๋ยวฉันลงไปเป็นเพื่อน” ฮีวอนพูดจบก็ดับเครื่องยนต์ ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดประตูก้าวลงจากรถทันที นี่เขาไม่ได้ฟังฉันเลยหรือไงนะ ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงเล่า =_=

    “นายกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันเข้าไปคนเดียวได้จริงๆ”

    “รีบๆ เข้าไปข้างในแล้วเปิดไฟเร็วๆ เถอะน่า ฉันจะได้รีบกลับ ง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว”

    ฮีวอนบอกว่าเมื่อคืนเขาต้องอยู่ทำรายงานจนดึก เพิ่งได้นอนไปแค่ไม่สองสามชั่วโมงก็ต้องตื่นไปสอบต่อ แล้วไหนจะโดนฉันลากไปทรมานอีก ฉันเบ้ปากใส่เขา เอาแต่ใจตัวเองชะมัด ก็บอกอยู่ว่าให้กลับไปก่อนก็ไม่ยอมกลับแล้วยังจะมีหน้ามาเร่งคนอื่นอีก

    “เดี๋ยวๆ นั่นเธอจะเอาตุ๊กตาไปทั้งสองตัวเลยหรือไง”

    ฉันก้มลงมองน้องหมีสองตัวในอ้อมกอด

    “ก็ใช่น่ะสิ ทำไม”

    “ฉันให้เธอแค่ตัวเดียวเท่านั้นแหละ อย่าโลภมาก”

    “ให้? ฉันไปขอนายตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ ตุ๊กตาสองตัวนี้ฉันเล่นเกมได้มาต่างหาก” ฉันเถียง

    “ก็แล้วถ้าไม่มีฉัน เธอจะได้มันมาไหมล่ะ เอาเข้าไปเก็บในรถตัวนึงเลย” เขาย้อน

    ฉันจิ๊ปากใส่เขาอย่างหมั่นไส้ในความเอาแต่ใจก่อนจะยอมยัดน้องหมีกลับเข้าไปในรถตัวนึงเพราะขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ

    “นายรีบกลับไปนอนเถอะไป หน้านายตอนนี้อย่างกับผีดูดเลือดแน่ะ”

    ฉันไล่เขากลับทันทีที่เปิดไฟในบ้านครบทุกดวง ทุกดวงจริงๆ นะ เพราะฮีวอนบังคับให้ฉันเดินขึ้นไปเปิดไฟในครัวและบนห้องนอนก่อนที่เขาจะกลับด้วย –*–

    “ผีดูดเลือด โว้...จะชมว่าฉันหล่อก็บอกมาเถอะ”

    “แหวะ รีบๆ กลับไปเลยไป!” ฉันดันหลังเขาให้เดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ “ขับรถดีๆ ล่ะ”

    “แน คิซือรึล โจฮา?” ฮีวอนเลื่อนกระจกลงแล้วพูดอะไรบางอย่างที่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง (อีกแล้ว) ก่อนจะขับรถออกไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

    อะไร!

    หมอนั่นหลอกด่าอะไรฉัน! แน่จริงก็กลับมาแปลก่อนสิยะ!!! ว๊ากก >O<

     

    วันรุ่งขึ้น

    ฉันตื่นแต่เช้ามาช่วยพี่มาการองเปิดร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส (เหรอ) ฮีวอนโทรมาปลุกฉันตั้งแต่ตอนตีสี่เพื่อบอกว่าเขากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยดีแต่ลืมโทรบอกแต่แรกเพราะเผลอหลับไปและเพิ่งสะดุ้งตื่น คือถ้าจะโทรมาดึก...ไม่สิ ถ้าจะโทรมาเกือบเช้าขนาดนี้เพื่อบอกเรื่องแค่นี้ ทำไมไม่ขับรถมาเคาะประตูบ้านบอกซะเลยล่ะไอ้บ้า! ฉันยิ่งเป็นพวกตื่นกลางดึกแล้วจะนอนต่อไม่ค่อยหลับซะด้วยสิ

    “ลีน มีเพื่อนมาหาแน่ะ” เสียงพี่มาร์ตะโกนเรียกจากหน้าร้านสร้างความฉงนงงงวยให้กับฉันเป็นยิ่งนักว่านอกจากเฮนรี่เพื่อนเพียงคนเดียวของฉันตลอดทั้งเรื่องแล้ว ฉันมีเพื่อนคนอื่นอีกเหรอ ฮือออ น้ำตาจะไหล ซาบซึ้งใจในบุญคุณของคนเขียน T^T

    ฉันวางมือจากงานที่ทำตรงหน้าเดินออกจากหลังร้านมาเพื่อพบกับเพื่อนคนที่ว่าด้วยความสงสัยใครรู้ แต่พอได้เห็นเจ้าของเรือนร่างอันบอบบางในชุดเดรสสั้นคล้องคอสีเหลืองสดกับรองเท้าส้นสูงสีโอดโรสที่วัดจากสายตาแล้วน่าจะสูงเกือบๆ ห้านิ้วแล้วแทบอยากจะเปลี่ยนจากความซาบซึ้งใจเป็นตีลังกาสามตลบแล้วกระโดดถีบขาคู่ยัยคนเขียนซะจริง

    นี่น่ะเหรอเพื่อนฉัน! =_=

    ใบหน้าเรียวเล็กภายใต้กรอบปอยผมที่จงใจปล่อยไว้จากการเกล้าฉีกยิ้มทันทีที่เห็นฉันเดินออกมา เช่นเดียวกับพี่มาร์ที่ปลีกตัวไปทำอย่างอื่นแทน ถ้าฉันไม่ได้ความจำเสื่อมหรือเธอไม่ได้เข้าใจอะไรผิด เราสองคนน่าจะจำรู้ตัวกันดีนะว่าเราไม่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน...วิสกี้!

    ฉันเดินนำเธอมาที่มุมหนึ่งของร้านเพื่อที่บทสนทนาของเราจะได้ไม่ไปกระทบเข้ากับโสตประสาทของพี่มาร์ที่เพิ่งเดินเข้าไปหลังร้าน

    “คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วซะอีก แต่ฉันคงหวังมากไปสินะว่าคนอย่างเธอจะเข้าใจคำพูดฉันง่ายๆ น่ะ”

    ฉันเริ่มเปิดประเด็นหาเรื่องก่อนทันทีเพราะรู้ดีว่าคนอย่างยัยนี่คงไม่มีทางมาหาฉันด้วยเจตนาดีแน่ จะให้มานั่งเสแสร้งแกล้งปั้นหน้ายิ้มใส่กันทั้งที่ตอนนี้ในร้านก็ไม่มีใครนอกจากเราสองคนก็เห็นจะเสียเวลาเปล่า พอวิสกี้ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มร้ายกาจออกมาทันที สลับคราบนางฟ้าเปลี่ยนไปเป็นนางมารภายในชั่วพริบตาเชียวนะยะ! เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าจะตีหน้าซื่อใส่กันไปทำไมในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว

    “อีกไม่นานเราก็คงไม่ได้เจอกันแล้วแหละ เอ๊ะ หรือจะพูดว่า เธอคงไม่โผล่มาวอแวกับฮีวอนให้ฉันเหม็นขี้หน้าอีก ดีนะ?” วิสกี้ขำกับคำพูดของตัวเองที่ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีประโยคไหนน่าขำเลยสักนิด

    “หมายความว่ายังไง”

    “ก่อนจะให้ฉันแปลความหมายให้ ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยแล้วกัน” วิสกี้จ้องหน้าฉันด้วยสายตาที่มุ่งมั่นจนน่ากลัว ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าสวยหวานนั่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มในแบบฉบับของนางมารร้ายหรือรอยยิ้มของนางฟ้าที่เธอจงใจปั้นเสริมเติมแต่งมันขึ้นมา

    “เธอจะถามอะไรก็รีบๆ พูดมา” ฉันกลั้นใจถามออกไปแม้ว่าลึกๆ จะรู้สึกหวั่นใจกับคำถามที่จะได้รับอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม

    “คำถามของฉันก็คือ ถ้ามีไฟกำลังลุกตัวเธอกับฮีวอนพร้อมกัน แล้วมีน้ำที่จะดับไฟนั้นได้เพียงแค่คนเดียว เธอจะเลือกดับไฟให้ตัวเองหรือว่าจะเลือกเขา”

    “...”

    “เธอจะยอมทรมานเองหรือจะยืนมองดูเขาดิ้นทุรนทุราย?”

    “...”

    ฉันนิ่งมองผู้หญิงตรงหน้าโดยไม่พูดไม่จาอะไร คำถามน่ากลัวแบบนี้...ยัยนี่คิดอะไรอยู่กันแน่นะ!

    “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิมาเดอลีน ฉันไม่ได้จะมาจุดไฟเผาเธอจริงๆ เหมือนที่ถามไปซะหน่อย” วิสกี้แค่นหัวเราะอย่างสะใจเต็มทนที่เห็นฉันนิ่งไป

    “ถ้างั้นเธอมาที่นี่ทำไม ทำไมจะต้องทำอะไรที่มันอ้อมค้อม เธอต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า!

    “ฉันต้องการอะไรงั้นเหรอ ฉันจำได้ว่าฉันพูดกับเธอทุกครั้งที่เจอหน้านะ แล้วเธอล่ะ...จำไม่ได้บ้างเลยเหรอไงฮะมาเดอลีน...เลิกยุ่งกับฮีวอนซะที!” วิสกี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนแทบจะตวาดใส่หน้าฉัน แววตาที่เธอจ้องมองฉันมันจิกกัดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ตายไปข้าง ซึ่งมัน...ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกไก่ในกำมือของยัยนี่ที่กำลังจะถูกบีบให้กระอักเลือดตายยังไงยังงั้น

    “แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ” ฉันพยายามควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงของตัวเองเอาไว้ ถ้าเธอรู้ว่าฉันกำลังกลัว เธอก็ยิ่งได้ใจ แล้วเรื่องอะไรฉันจะต้องทำตามที่เธอพูดด้วย!

    วิสกี้แค่นหัวเราะก่อนจะก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ในมือตัวเอง

    “ดูนี่แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นะ” เธอยื่นหน้าจอโทรศัพท์มาตรงหน้าฉันพร้อมกับเริ่มหัวเราะเบาๆ อย่างร้ายกาจอีกรอบ

    นี่มัน...!

    ฉันตัวแข็งทื่อกับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพบนเตียงของฉันกับฮีวอนที่เคยทำให้วิสกี้เข้าใจผิด

    เธอถ่ายมันเก็บไว้!

    แม้ว่าความจริง ฉันกับฮีวอนจะไม่ได้ทำอะไรเลยเถิดกันอย่างที่วิสกี้เข้าใจ แต่มุมกล้องในภาพ...ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครฟัง เพราะขนาดตัวฉันเองรู้ดีแก่ใจว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ยังอดตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ได้เลย

    วิสกี้ฉีกยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ฉันรู้ดีว่ารอยยิ้มแสนหวานนั่นมันก็เปรียบเสมือนแอปเปิ้ลอาบยาพิษที่แม่มดใจร้ายใช้หลอกล่อสโนไวท์

    “ว่าไงล่ะ เธอจะยอมทรมานเองหรือจะยืนมองดูเขาดิ้นทุรนทุรายดี”


    To be continued…

    ติดตามเรื่องนี้
    Click!
    ©Tenpoints!

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×