ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Break Down! ภารกิจพิชิตรักร้ายนายจอมหยิ่ง

    ลำดับตอนที่ #7 : Break 6: I can't be a loser! [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 329
      7
      30 มี.ค. 56




     



    6

    I can't be a loser!

     

     

    “นายจะทำบ้าอะไรเนี่ย!” ฉันโวยวายพร้อมทั้งออกแรงดิ้น เคยจำมาจากในทีวีว่าถ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ยังไงผู้หญิงก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะสู้แรงของผู้ชายไม่ได้ ฉันควรจะตั้งสติและสิ่งที่ควรจะทำมากกว่าการดิ้นพล่านไปมาก็คือการยกเข่าขึ้นกระแทกจุดอ่อนที่เรียกว่ากล่องดวงใจ พอเขาจุก...โอกาสหนีของจะเป็นของเรา

    แต่! ฮีวอนดันใช้ขาของเขาพาดกดทับเข่าของฉันไว้ทั้งสองข้างอย่างรู้ทัน! TT^TT

    “นี่เธอคิดว่าฉันจะปล้ำเธอจริงๆ เหรอไง” เขาก้มลงใกล้กว่าเดิมแล้วกระซิบถามข้างหูด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ

    “หมายความว่าไง นายแกล้งฉันเหรอ!” ฉันพยายามจะผลักเขาออกแต่สู้น้ำหนักตัวของเขาไม่ไหว

    “ก็ใครใช้ให้เธอกวนประสาทฉันก่อนล่ะ”

    ไอ้บ้า! บ้าที่สุดเลย

    พอได้ยินว่าเขาแค่แกล้งเล่น ฉันก็เลยหยุดขัดขืน ดิ้นไปก็มีแต่เหนื่อยเปล่า เก็บแรงไว้หายใจดีกว่า

    ฮีวอนฟุบหน้าลงกับหมอน ดูเหมือนตอนนี้เขาจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาโดยไม่แคร์เลยว่ามันอาจจะทำให้ฉันแบนติดเตียงไปเลยก็เป็นได้ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ารดต้นคอทำให้หัวใจฉันเต้นระส่ำระส่ายจนรู้ตัวเลยหน้าฉันต้องแดงจัดมากจนถ้าไปยืนอยู่สี่แยกคนต้องนึกว่าเป็นไฟแดงแน่ๆ (อันนี้ก็เว่อร์ไป –*–)

    “กรี๊ดดด! ทำอะไรกันเนี่ย” เสียงแหลมกรีดร้องลั่นห้อง ซักผ้าอยู่มั้งยะ! ฉันตกใจเลยพยายามจะลุกขึ้นแต่ติดฮีวอนที่ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกรู้สากับเสียงกรี๊ดบาดแก้วหูเมื่อกี้กับเจ้าของเสียงที่กำลังยืนจ้องพวกเราอยู่เลยสักนิด

    “นี่เธอไม่คิดจะล็อกห้องบ้างเลยเหรอไง” เขาถาม

    แล้วตอนนี้มันใช่เวลามาถามเรื่องนี้เหรอไงยะ TOT

    “ฉันถามว่าทำอะไรกัน ไม่ได้ยินเหรอไง!” ได้ยินย่ะ แต่ไม่ตอบ และเพราะว่าไม่มีใครสนใจจะตอบนั่นแหละเลยทำให้วิสกี้ยิ่งแผดเสียงแหลมๆ แปดหลอดของเธอลั่นห้อง เอาเลยจ้ะ อีกคนไม่สนใจ อีกคนก็ยิ่งเสียงดัง ทำไมไม่เคาะประตูเรียกข้างห้องเข้ามานั่งดูไปด้วยเลยล่ะ T^T

    “หน้าไม่อาย กลางวันแสกยังคิดทำเรื่องทุเรศๆ แบบนี้กันอีก!

    พอได้ยินว่าเจ้าหล่อนเริ่มเปลี่ยนจากคำถามเป็นคำด่า ในที่สุดฮีวอนก็ยอมลุกขึ้นจากเตียงปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ เขาเดินผ่านวิสกี้เข้าไปในห้องน้ำโดยไม่สนใจจะพูดอะไรกับเธอสักคำ...และนั่นทำให้บุญกรรมที่ทำไว้ลอยละลิ่วปลิวสไวมาตกใส่หัวฉันแทนอย่างสวยงาม

    “แก! นังผู้หญิงหน้าด้าน ทำเป็นตีหน้าซื่อ ที่แท้ก็ใช้ยอมร่างกายตัวเองเพื่อแลกใจเขาสินะ หึ!” วิสกี้แค่นหัวเราะอย่างเยาะเย้ยพร้อมทั้งพ่นคำพูดต่ำๆ ใส่ฉันไม่ยั้งทั้งที่ความจริงแล้ว ฉันกับฮีวอนยังไม่ได้ทำอะไรๆ กันอย่างที่เธอเข้าใจเลยด้วยซ้ำ

    “มันจะมากไปแล้วนะ ถึงภาพที่เธอเห็นมันจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าไม่รู้อะไร...ฉันว่าหุบปากไว้จะดีกว่านะ” ฉันพูดเสียงเรียบในขณะที่มือทั้งสองกำแน่นพร้อมที่จะเสยคางคนตรงหน้าเต็มที่แล้ว

    “แน่ล่ะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก ถึงฉันจะวิ่งไล่ตามเขาไปวันๆ แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยทำเรื่องทุเรศๆ แบบเธอ และถึงเขาจะไม่มองฉัน ฉันก็จะไม่มีวันยอมเสียศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อให้ได้เขามาแบบนี้หรอก”

    เป็นคำพูดที่น่าชื่นชมนะ ฉันควรจะปรบมือให้ด้วยหรือเปล่า

    “งั้นก็ดี! จำคำที่เธอพูดเอาไว้แล้วกลับไปซะ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก เขาเป็นของฉัน!

     

     

    แม้ว่าจะได้รับเสื้อผ้าที่ใช้เวลาซักแห้งนานข้ามคืนคืนจากทางโรงแรมเรียบร้อยแล้ว แต่เพราะฮีวอนบอกว่าเขารู้สึกมึนหัวเหมือนจะอ้วกหลังจากที่ทานอาหารเช้าเข้าไป ฉันก็เลยต้องนั่งๆ นอนๆ รอให้เขานอนพักอีกจนตอนนี้ก็เที่ยงกว่าเข้าไปแล้วเรายังไม่ได้ออกจากโรงแรมกันเลย แถมบอยกับจูเนียร์ก็พายัยวิสกี้ที่จู่ๆ ก็บอกว่าไม่สบายขึ้นมากะทันหันกลับกรุงเทพฯ ล่วงหน้าไปกันก่อน โอ๊ยยยย! นี่ฉันจะอ่านนิตยสารทุกเล่มที่มีและเปิดทีวีไล่วนจนครบแทบทุกช่องแล้วนะ เบื่อค่ะเบื่อ!

    ฉันโยนนิตยสารแฟชั่นในมือลงบนโซฟาแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะเดินออกไปยืนรับลมที่ระเบียง อากาศดีจัง~ >_< อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล ทำไมฉันจะต้องมานั่งเฝ้าหมอนี่หลับด้วยเนี่ย ฉันเบ้ปากใส่ฮีวอนก่อนจะย่องออกมาทิ้งให้เขานอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องเพียงลำพัง

    มาทะเลทั้งที ถ้าจะมานอนหลับแบบนี้ ฉันว่านอนตากแอร์อยู่บ้านก็ได้นะ ไม่ต้องขับรถมาตั้งไกลให้เปลืองเงินหรอก ไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะค่าโรงแรมอีก –*– (บ่นอย่างกะคนจ่าย)

    ฉันเดินออกจากโรงแรมผ่านสระว่ายน้ำด้านหน้ามุ่งตรงลงไปที่ชายหาด ถอดรองเท้าแตะออกแล้วใช้เท้าเปล่าเดินย่ำลงไปบนพื้นทรายที่ฉุ่มช่ำไปด้วยน้ำทะเล โชคดีที่วันนี้เมฆเยอะก็เลยทำให้ไม่มีแดด เกลียวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งพัดพาเอาเม็ดทรายกระทบกับเท้าทั้งสองข้างฉัน ลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดกระทบเข้ากับใบหน้าเปื่อยเปล่าไร้เครื่องสำอางของฉันชวนให้รู้สึกดีเป็นบ้า

    จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันไม่ได้มาเดินเอ้อละเหยลอยชายปล่อยใจล่องลอยไปกับสบายลมทำตัวสบายๆ แบบนี้ เดือนก่อนที่ร้านก็เจอกับวิกฤติหนักจนแทบจะเจ๊งไม่เป็นท่า ตอนนั้นฉันกับพี่มาการองเครียดกันมาก จำได้ว่าฉันเครียดมากถึงขนาดหวีผมที ผมร่วงเป็นกระจุกๆ เลยแหละ พอร้านปรับปรุงโน่นนี่นั่นและที่สำคัญคือเปลี่ยนพนักงานใหม่จนทำให้กลับมาขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฉันก็ต้องยุ่งโน่นยุ่งนี่และเครียดกับเรื่องสอบมิดเทอมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วอีก

    คิดๆ แล้วก็แปลกดีเนอะ หลายๆ คนดิ้นรนขวนขวายเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในเมืองหลวงที่แสนจะวุ่นวาย แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ฉันไม่เห็นว่าชีวิตในเมืองกรุงจะสุขสบายอย่างที่หลายๆ คนคิดเลย ก็อาจจะใช่ในบางเรื่องนะ หลายๆ อย่างทันสมัย แต่ในขณะเดียวกัน ความทันสมัยก็ทำให้ความเป็นธรรมชาติหายไป

    ฉันชอบทะเล ชอบสายลมเย็นๆ และชอบเสียงคลื่นที่ชวนรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้สัมผัส ฉันว่าทะเลนี่มีหลายความรู้สึกนะ ถ้าเปรียบเหมือนผู้หญิงก็คงเป็นคนที่สวยและน่าหลงใหล แต่ในขณะเดียวกันก็ลึกลับและน่าค้นหา ฉันฝันอยู่เสมอว่าฉันจะจัดงานแต่งงานริมชายหาด ใส่ชุดเจ้าสาวชาวเลสีขาวและสวมมงกุฎดอกไม้ คงจะโรแมนติกดีไม่น้อยเลยแหละ แต่ก่อนอื่น...

    หาเจ้าบ่าวให้ได้ก่อนดีกว่า –*–

    “เธอ!

    ฉันละสายตาจากทะเลและท้องฟ้าตรงหน้าหันไปตามต้นเสียง ฮีวอนเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

    “ตื่นแล้วเหรอ” ฉันถาม

    “ทำไมถึงไม่ปลุกฉัน” เขาเหล่ตามองฉันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

    “ก็ฉันเห็นหลับอยู่เลยไม่กล้าปลุก ไม่ใช่ความผิดฉันสักหน่อย”

    “ก็เลยทิ้งฉันให้อยู่บนห้องคนเดียวเนี่ยนะ ถ้าฉันโดนใครย่องเข้าไปทำมิดีมิร้ายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ”

    “ก็คนที่มันปล้ำนายไง”

    “ตลกละ ฉันถามเพื่อให้เธอมีสำนึก”

    “ปกติก็ไม่เคยมีนะ”

    “เล่นน้ำกันเถอะ” เขาเปลี่ยนเรือ่ง

    “ไม่อ่ะ เดี๋ยวดำ ความเค็มของน้ำทะเลสามารถทำให้ฉันดำได้แม้วันนี้จะไม่มีแดด” แถมความดำที่ได้จากทะเลต้องใช้เวลานานซะด้วยสิกว่าจะฟื้นตัว

    “ตกลงนี่เธอไม่อยากเล่นน้ำหรือเธอกลัวดำ?”

    อืม...

    “ถ้าถามว่าอยากเล่นไหม ก็อยากนะ แต่ไม่อยากดำมากกว่า”

    “ทำไมผู้หญิงชอบห่วงเรื่องพวกนี้กันจัง ฉันล่ะไม่เข้าใจ อยากเล่นน้ำแต่กลัวดำ อยากกินแต่กลัวอ้วน” ฮีวอนยืดแขนทั้งสองข้างไปข้างหลังแล้วใช้มันยันกับพื้นไว้ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆสีขาว

    “งั้นฉันถามนายหน่อย ระหว่างผู้หญิงสวยกับไม่สวย นายจะเลือกใคร”

    “ก็ต้องเลือกคนสวยดิ ถามแปลกๆ” เขาตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด

    “เห็นไหมล่ะ เพราะผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆ ไง ผู้หญิงถึงได้วิตกจริตเรื่องพวกนี้กัน”

    “ที่แท้ก็กลัวผู้ชายไม่มอง”

    “นี่! ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นย่ะ ผู้หญิงก็แค่กลัวตัวเองดูไม่ดีเท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะในสายตาใครก็ตาม ยิ่งเห็นผู้หญิงด้วยกันเองสวยเกินหน้าเกินตายิ่งยอมไม่ได้ แถมเดี๋ยวนี้ ผู้ชายบางคนก็จะสวยแซงหน้าผู้หญิงแล้วด้วย”

    ฮีวอนแสยะยิ้มก่อนจะลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกงก่อนจะดึงฉันให้ลุกตาม “ไปเล่นน้ำกันดีกว่า”

    “ฮะ?! ก็บอกว่าไม่เล่นไง!

    ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ปฏิเสธหรือออกแรงขัดขืน ฮีวอนก็ลากฉันลงมาน้ำสำเร็จก่อนจะเหวี่ยงฉันล้มลงไปจนเปียกไปทั้งตัวแถมยังกลืนน้ำทะเลเข้าไปอีกอึกใหญ่ๆ กรี๊ด! ไอ้บ้า ฉันลุกขึ้นลูบน้ำออกจากหน้าตัวเอง เค็มชะมัด! ฮีวอนหัวเราะร่า เสียงหัวเราะและใบหน้าสดใสของเขาแบบที่ฉันไม่เคยได้เห็น แม้วันนี้คุณพระอาทิตย์จะแอบอู้งานนอนหลบอยู่ภายใต้อ้อมกอดของหมู่เมฆ แต่ฉันกลับรู้สึกว่านัยน์ตาสีเฮเซลนัทของฮีวอนเปล่งประกายยิ่งกว่าแสงแดดอันเจิดจ้าซะอีก

    “ฉันอยากขี่เจ็ตสกี ไปขี่เจ็ตสกีกัน” เขามองไปยังเจ็ตสกีสองลำที่กำลังโต้คลื่นคู่กันอย่างเมามันส์ไกลออกไปไม่มากนัก แววตาที่เหมือนเด็กน้อยอยากได้ของเล่นของเขาทำเอาฉันอดที่จะขำไม่ได้

    ก็ได้! อยากจะไปขี่เจ็ตสกีหรือเรือหางยาวอะไรก็ตามใจนายเลย แต่...

    ฉันใช้โอกาสตอนที่เขาเผลอออกแรงผลักเขาจนล้มก้มจ้ำเบ้าลงไปในน้ำ หึ! แต่ฉันเปียก นายก็ต้องเปียก!

    “นี่เธอ!

    “แบร่~

     

     

    “ฮ้า~ สนุกจัง >O<” ฉันกระโดดโลดเต้นขึ้นมาบนฝั่งหลังจากที่ไปซิ่งเจ็ตสกีมาจนหน่ำใจ ทำไมเวลาทำอะไรสนุกๆ ถึงได้รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วจังนะ ฉันหันกลับไปหาฮีวอนที่เดินตามมา เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำของเขาแนบสนิทกับลำตัวเผยให้เห็นกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายท่อนบนอย่างเห็นได้ชัดจนฉันต้องรีบหันหน้ากลับด้วยความรู้สึกเขินขึ้นมาแปลกๆ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเดินตีตื้นขึ้นมาแล้วแตะไหล่ฉันเบาๆ แต่เล่นเอาฉันสะดุ้งโหยงอย่างลืมตัว

     “ปะ...เปล่า”

    “หน้าเธอแดงๆ นะ ไม่สบายเหรอ” เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมทั้งเอามืออังที่หน้าผาก มันทำให้สายตาของฉันซึ่งก้มหน้าหลบสายตาเขาอยู่ปะทะเข้ากับเสื้อที่บางแนบซิกซ์แพ็คของเขาพอดิบพอดีจนฉันต้องรีบหมุนตัวหนีก่อนที่เลือดกำเดาจะทะลัก ให้ตายสิ! สติสตังฉันเตลิดเปิดเปิงหมดแล้ว –O– “เป็นอะไรของเธอเนี่ย!

    “ก็...” ก็จะบอกได้ไงล่ะว่าฉันเขินซิกซ์แพ็คนั่นน่ะ –///–

    เดี๋ยวนะ! เสื้อเขา...เสื้อฉัน...เสื้อพวกเราเปียกอีกแล้วนี่น่า!!!

    “เฮ้ย! นายกับฉันไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนี่น่า” ฉันหันหลังกลับไปหาเขาแล้วร้องลั่น ฮีวอนอ้าปากค้างราวกับเพิ่งจะระลึกขึ้นได้เช่นกัน

    “ก็...ให้โรงแรมซักแห้งให้ก็ได้นี่” เขาบอกหลังจากใช้เวลาคิดไป 0.00003 วินาที หรือจะให้พูดง่ายๆ สบายๆ และเป็นกันเองก็คือพูดแบบไม่คิดนั่นแหละ –*–

    No!” ฉันสวนกลับทันควัน ขืนให้โรงแรมบ้านี่ซักให้อีก มีหวังฉันได้ค้างต่ออีกคืนแน่ๆ กะอีแค่เสื้อผ้าสองชุดไม่รู้จะซักอะไรกันข้ามวันข้ามคืน แถมคราวนี้ฉันกับหมอนี่เปียกทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฉันต้องอยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองโดยที่ไม่มีเหลือแม้แต่ชุดชั้นในไว้ติดตัว

    ซึ่งนั่น...ไม่มีทางเด็ดขาด!

    “ไปหาซื้อเสื้อผ้ากันเถอะ” ฉันยื่นข้อเสนอที่ดูเหมือนจะเป็นทางออกเดียวที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนพร้อมกับลากแขนเขาเดินไปถามทางเท้าที่มีร้านค้าร้านอาหารโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด และแน่นอนว่ารวมถึงร้านขายเสื้อผ้าก็ด้วย ฉันลากเขาเข้าไปในร้านหนึ่งที่มีทั้งเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิง ฮีวอนแยกไปเลือกชุดของเขาในขณะที่ฉันก็แยกมาเลือกของตัวเอง อืม...เอาแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นใส่สบายๆ ก็พอมั้ง แค่ใส่นั่งรถกลับบ้านเอง

    ไม่ถึงห้านาที ฮีวอนก็เดินกลับมาหาฉันพร้อมกับเสื้อเชิ้ตสีขาวบางๆ (อะเกน)และกางเกงเซิร์ฟสีน้ำเงินในมือ เขามองเสื้อยืดสองตัวในมือที่ฉันกำลังลังเลอยู่ว่าจะเลือกตัวไหนดีก่อนจะคว้ามันไปแขวนไว้ที่ราวตามเดิม

    “อะไรของนายเนี่ย!” ฉันโวยวาย แต่เขาไม่สนใจ แถมยังหยิบชุดเดรสแม็กซี่คล้องคอสีขาวลายดอกสีม่วงตัวหนึ่งออกมาจากราวแขวนแล้วยื่นให้คนขาย

    “ซื้อแยกชิ้นมันแพง” เขาบอกหน้าตาย “เอาตัวนี้ครับ คิดเงินรวม”

    “ฮะ?” ตรรกะบ้าบออะไรของเขา ใครสั่งใครสอนหมอนี่เนี่ยว่าการซื้อเสื้อผ้าแยกชุดแล้วมันจะแพงกว่าการซื้อชุดเดรสตัวหนึ่งน่ะ อยากจะบ้าตายจริงๆ –*–

     

     

    ห้าชั่วโมงต่อมา

    “มาเดอลีน”

    อ่า...ใครเรียกเนี่ย คนจะหลับจะนอน

    “มาเดอลีนตื่น!

    เสียงเรียกดังขึ้นอีกพร้อมตัวฉันที่ถูกเขย่าสั่นราวกับแผ่นดินไหวจนในที่สุดก็ต้องยอมตื่น พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าฮีวอนขับรถมาส่งฉันหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว แถมตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วด้วย

    “โอ๊ย เมื่อย T^T” ฉันร้องออกมาทันทีที่ขยับตัว ปวดคอชะมัด ไม่สิ! ต้องบอกว่าปวดไปทั้งตัวเลยต่างหาก ขยับทีเหมือนกระดูกจะหลุด ฮึ่ย! ต้องเป็นเพราะเจ็ตสกีบ้านั่นแน่ๆ “ขอบใจนะ”

    ฉันหันไปบอกฮีวอนก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเตรียมจะเปิดประตูลงจากรถแต่กลับถูกฮีวอนดึงแขนไว้ เขาโน้มตัวเข้ามาหาฉันจนหน้าของเราสองคนใกล้กันมากอย่างที่ฉันไม่ทันตั้งตัวและไม่ทันได้เตรียมใจ ปลายจมูกของเขาที่ชนอยู่กับปลายจมูกของฉันทำเอาฉันอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อแทบลืมหายใจ ฮีวอนแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะผละออกไปราวกับจงใจจะแกล้งให้ฉันตกใจเล่นไปอย่างงั้น

    “คิซือฮาโก ชิพอ”

    “ฮะ?”

    “ฉันบอกว่าให้ลงไปได้แล้ว ฉันจะกลับบ้าน” เขาพูดอีกครั้งเป็นภาษาไทยเมื่อเห็นว่าฉันทำหน้าเอ๋อไม่เข้าใจ ทีหลังก็พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกสิยะฉันจะได้ฟังรู้เรื่อง จะได้ไม่ได้เสียเวลาแปลซ้ำ –*–

    “นายก็ขับรถดีๆ แล้วกัน” ฉันบอกก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

    ยัยมาเดอลีน! หยุดใจเต้นตึกๆ ตักๆ เหมือนจะเป็นบ้าเดี๋ยวนี้นะ เธอจะหลงรักเขาไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด! แสงไฟท้ายรถของฮีวอนค่อยๆ ไกลออกไปจนลับตาไปในที่สุด แต่ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่สนว่าจะมียุงซักกี่ตัวที่กำลังเกาะตามร่างกายและสูบเลือดออกไปจากตัวฉัน

    หัวใจที่เต้นรัวๆ ก่อนหน้านี้ค่อยๆ แผ่วลงแต่สั่นไหวและรู้สึกเจ็บอย่างประหลาด หนทางเดียวที่จะไม่ต้องยืนมองดูแผ่นหลังของเขาค่อยๆ หายไปแบบวันนี้คือเธอจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาดมาเดอลีน!

    ห้ามแพ้เด็ดขาด...
     

    To be continued…


    ติดตามเรื่องนี้ Click!
    © Tenpoints!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×