คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 19 : Sage Performance (2)
Chapter 19 -- Sage Performance (2 ) --
บัตรเข้างานแสดงละครเวที
เวลา 8.00 17.00 น. (เด็ก+ผู้ใหญ่)
รายการแสดง: สโนไวท์ภาคพิสดาร
ราคา: หนึ่งกำลังใจ
PS.ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางโรงเรียนสามารถเข้ามาร่วมชมการแสดงได้
--Change! --
เสียงโวยวายเอ็ดตะโรดังลั่นมาจากห้องห้องหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเวทีขนาดใหญ่ ผู้คนจำนวนมากพากันเดินขวักไขว่ไปมาอย่างไร้จุดสิ้นสุด และนั่นรวมไปถึงการโวยวายของเหล่าคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วด้วย
“...ผมต้องใส่ชุดนี้จริงๆ หรือครับ คาร์”
คิริวคือคนที่เริ่มงอแงขึ้นมาเป็นคนแรก หลังจากที่เขาพยายามกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับสภาพของตัวเองมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายมันก็...สุดจะทนจริงๆ!
“ไม่ใส่ชุดนั้นจะไปใส่ชุดไหนล่ะ คุณสโนไวท์?”
คาร์เน้นย้ำคำหลังเป็นพิเศษก่อนจะหันกลับมาจัดการกับเสื้อผ้าของตนเองอย่างไร้เยื่อใย
คิริวทำท่าจะร้องไห้โฮขึ้นมาจริงๆ ยังดีที่โซลเดินเข้ามาโอ๋ทันเสียก่อน มิเช่นนั้นคงต้องลำบากมานั่งแต่งหน้าให้ใหม่หมดตั้งแต่ต้น
“ฉันแสดงบทผู้ชายนะคาร์ ทำไมมันเหมือนผู้หญิงอย่างนี้ล่ะ!”
คาร์จิ๊ปากอย่างรำคาญก่อนจะหันไปตอบสั้นๆ ง่ายๆ และเมินกลับมานั่งแต่งตัวต่อด้วยท่าทีไร้เยื่อใยหนักกว่าเก่า
“ผู้ชายหน้าหวาน!”
โดยไม่ลืมที่จะเน้นย้ำคำหลังเป็นพิเศษเช่นเดิม...
ในขณะที่แบล็คและฟิวส์ยังคงมีท่าทางสบายๆ ชิลๆ เพราะเครื่องแต่งกายของพวกเขานั้นนอกจากจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วยังเสริมให้ตนดูหล่อเหลาขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวอีกด้วย
สภาพของทุกคนเป็นยังไงน่ะเหรอ?
*แบมือขอบัตร* งั้นก็รีบเข้าไปชมกันเลยดีกว่า!
--Change! --
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้ถึงห้าร้อยกว่าคนซึ่งปกติจะเงียบเหงามาก แต่ในบัดนี้กลับบังเกิดเสียงดังโหวกเหวกและเสียงสนทนาพูดคุยกันไม่หยุด เก้าอี้อย่างดีที่ถูกวางเตรียมไว้ราวห้าร้อยตัวถูกจับจองจนเต็ม แต่ด้านหลังก็ยังมีคนยืนเบียดเสียดกันอยู่อีกหลายร้อยคน
แสงไฟดับวูบลง เสียงเซ็งแซ่ที่เคยดังก้องห้องประชุมแห่งนี้สงบลงในทันทีราวกับว่าเสียงเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน ทันใดนั้นเอง สปอร์ตไลท์สีทองบนเวทีก็พร้อมใจกันฉายขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องและเสียงปรบมือดังลั่น
ร่างสองร่างที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ธรรมดา เพราะทั้งสองคนเล่นโผล่ขึ้นมาท่ามกลางฝูงคนที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่! ทุกคนพากันหลีกทางให้พวกเขาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวเดินตรงไปที่เวทีพร้อมกับคอยโบกมือให้กับผู้คนตลอดทาง
นักเรียนคนหนึ่งรีบนำขาตั้งที่เสียบไมค์ไว้เรียบร้อยแล้วสองอันขึ้นมาวางไว้ที่ริมเวทีก่อนจะวิ่งหายไปด้านหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่พิธีกรทั้งสองคนเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างพอดิบพอดี
“สวัสดีครับ!”
“พวกเรากอล์ฟไมค์ครับ!”
ผัวะ!
“ขอโทษครับ พอดีวันนี้มันกินยาลืมเขย่าขวด ผม สิงห์ ส่วนไอ้บ้านี่ชื่อ มิค ครับ”
ชายหนุ่มที่เป็นคนลงมือ ‘หวด’ ฝ่ามือของตนลงไปบนศีรษะงามๆ ของคนที่ชื่อมิคเอ่ยแก้หน้าตาย เขามีเรือนผมซอยสั้นสีรัตติกาลเช่นเดียวกับสีนัยน์ตา หน้าตาออกจะดูเย็นชาแต่กลับปากคอเราะร้ายเสียยิ่งกระไร ท่วงท่าของเขานั้นแลดูสง่างามราวกับพระราชาผู้ยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ถูกแนะนำว่าชื่อ ‘มิค’ ที่กำลังลูบหัวตัวเองป้อยๆ อยู่นั้นมีเรือนผมซอยยาวระต้นคอสีรัตติกาล แต่นัยน์ตากลับเป็นสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างสูงโปร่งกำลังพอดี ใบหน้าหล่อเหลาและองค์ประกอบต่างๆ ของร่างกายทำให้เขาดูเหมือนคุณชายเจ้าสำอางที่หาได้ยาก
ทั้งสองอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทผูกหูกระต่ายสีแดงแปร๊ดและสวมแว่นกรอบเหลี่ยมสีดำที่ไม่ใช่แว่นสายตา
“ผมเขย่าแล้วนะ...เอ้อ ช่างเถอะ! จะรอช้าอะไรอยู่ล่ะครับ! ในวันนี้พวกเราจะมาชมละครเรื่องอะไรกันหรือครับท่านผู้ชมทุกท่าน!”
มิคเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เขาระบายยิ้มกว้างบนใบหน้าของตนอย่างพอประมาณ ก่อนจะเอ่ยถามและยื่นไมค์ไปทางคนดู
“สโนไวท์ภาคพิสดาร!”
ทุกๆ คนที่อยู่ในที่แห่งนี้พากันตอบรับมุขของพิธีกรจำเป็นอย่างพร้อมเพรียง
“ใช่ครับ ‘สโนไวท์ภาคพิสดาร’ แล้วมันจะ ‘พิสดาร’ แบบไหนกันล่ะครับเนี่ย?”
ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแต่น่าแปลกที่มันกลับไม่ทำให้ดูน่าเบื่อเลยสักนิดเดียว สิงห์เอ่ยเป็นเชิงตั้งคำถาม และหันไปทำท่าพยักพเยิดกับมิค
มิคเก๊กท่าราวกับตนเป็นผู้ฉลาดล้ำโลกจนชายหนุ่มข้างกายอดไม่ได้ที่จะ ‘หวด’ ใส่ศีรษะของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลอีกครั้งหนึ่งจนผู้ถูกทำร้ายร่างกายแทบจะถลาตกเวที
“อะแฮ่ม...เพราะว่าเจ้าชายเมินสโนไวท์แล้วหันไปรักกับผู้ชายด้วยกันเองยังไงล่ะครับ!”
“ใช่ครับ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร อย่ารอช้า! เชิญรับชม...สโนไวท์ภาคพิสดาร!”
สิงห์เกริ่นนำทิ้งท้าย ก่อนที่สปอร์ตไลท์ทั้งหมดจะดับไป ไม่นานนัก สปอร์ตไลท์สีฟ้าก็ถูกฉายขึ้นพร้อมๆ กับฉากที่ถูกนำมาตั้งในลักษณะของ ‘ป่า’ และ ‘กระท่อม’
และการปรากฏตัวของ ‘สโนไวท์’ ก็เรียกเสียงฮือฮาจากคนดูได้ดีเลยทีเดียว
“ฉันชื่นชอบธรรมชาติเหลือเกิน มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจในวันนี้ ราวกับว่าจะเป็นลางดีสำหรับฉัน”
เหล่านักเรียนในโรงเรียนนี้ทั้งชายและหญิงพากันเบิกตากว้างและชี้มาที่คิริวด้วยความตื่นตระหนก เพราะร่างที่อยู่บนเวทีนั้นแลดูเปลี่ยนไปมากราวกับเป็นสาวน้อยน่ารักมาเองเลยก็ว่าได้
เรือนผมสีรัตติกาลที่ซอยสั้นถูกจับมาต่อผมจนยาวถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนถูกจับใส่คอนแทคเลนส์สีดำบดบังเอาไว้ ร่างโปร่งอยู่ในชุดกระโปรงสีฟ้าสวยยาวเลยเข่ามาเล็กน้อยและมีเสื้อกั๊กสีขาวสะอาดสวมทับเอาไว้ ใบหน้างามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สโนไวท์ผู้แสนจะน่ารักน่าเอ็นดูกล่าวประโยคนั้นเสียงหวานพร้อมออกท่าทางพลิ้วสไวเป็นธรรมชาติ
ทันใดนั้นเอง สปอร์ตไลท์สีฟ้าก็ดับลงก่อนจะฉายแสงสีแดงวูบวาบพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้มาใหม่ สโนไวท์แสดงท่าทีตกใจขึ้นมาในทันที
“ถูกแล้ว วันนี้คงจะเป็นวันดีของเธอ เพราะท่านเทพแห่งสวรรค์เบื้องบนได้มีรับสั่งให้เรามาช่วยบันดาลให้เธอได้มีความรัก”
เด็กหนุ่มร่างเล็กผู้มาใหม่ก็คือคาร์นั่นเอง การแต่งกายของเด็กหนุ่มผู้แสนจะน่ารักเรียกความสนใจจากทุกๆ คนได้เป็นอย่างดี
เรือนผมสีรัตติกาลที่เคยยาวคลอเคลียไหล่บางถูกจับต่อให้ยาวสลวยลงมาถึงเอวตามแบบฉบับของเหล่าเทวดา ดวงตากลมโตสีรัตติกาลถูกตกแต่งให้ดูโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม ร่างเล็กอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงที่ยาวจนแทบจะลากพื้นสีขาวสะอาดรับกับปีกที่ติดอยู่ด้านหลังได้เป็นอย่างดี
ราวกับเทวดาตัวน้อยๆ ก็ไม่ปาน!
“ท่านจะช่วยฉันยังไงหรือ?”
คิริวว่าตามบทพร้อมเอียงคอแสดงท่าทางเป็นเชิงรู้สึกสงสัย
“เราต้องการให้เธอกินแอปเปิ้ลนี่ซะ แล้วเธอจะได้พบกับเนื้อคู่ผู้ซึ่งรักเธอหมดหัวใจ”
คาร์เอ่ยขึ้น ควักแอปเปิ้ลลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อและยื่นให้กับคิริว ก่อนที่สปอร์ตไลท์สีแดงจะดับไป ไม่นานนักสปอร์ตไลท์สีฟ้าก็ถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง
เทวดาหายตัวไป เหลือสโนไวท์ยืนอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
สโนไวท์กัดแอปเปิ้ลก่อนที่จะล้มลงไปนอนราบกับพื้น
“ที่นี่คือที่ใด ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่?”
เสียงทุ้มน่าฟังดังขึ้น ปรากฏร่างสูงสง่าของฟิวส์ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นหันซ้ายทีขวาทีด้วยความงุนงง
เรือนผมซอยระต้นคอสีทองถูกจับเซ็ตให้ลู่ลงคลอเคลียใบหน้าหล่อเหลาช่วยเสริมภาพลักษณ์เจ้าชายได้เป็นอย่างดี เขาอยู่ในชุดเจ้าชายแบบทะมัดทะแมงที่แลดูละม้ายคล้ายชุดทหารราชองครักษ์สีดำขลิบขอบแดงพร้อมผ้าคลุมสีขาวสะอาดที่ยาวเรี่ยพื้น
ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกรายล้อมด้วยคนแคระทั้งเจ็ด
“คนแคระทั้งเจ็ด นางผู้นี้คือใครกันหรือ?”
เขาเอ่ยถาม คนแคระทั้งเจ็ดพากันแย่งเล่าเรื่องทั้งหมดคนละประโยคสองประโยค กว่าจะฟังจบก็เหนื่อยกันเลยทีเดียว
คนแคระหนึ่งในเจ็ดเอ่ยถามกลับว่าเขาล่ะ เป็นใครมาจากไหนกัน
“เราชื่อ อัลบา เป็นเจ้าชาย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนแคระจึงอ้อนวอนให้เจ้าชายอัลบาช่วยจุมพิตสโนไวท์ เจ้าชายอัลบานั้นมีท่าทีอิดออดไม่อยากทำ ทว่าเมื่อถูกเซ้าซี้มากๆ เข้าเขาก็เลยจำใจต้องยอมรับคำไปอย่างเสียมิได้ แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงไปจุมพิต ก็บังเกิดเสียงปริศนาบางอย่างดังขึ้นมาเสียก่อน
โครม!
“นายเป็นใครกัน?”
เหล่าผู้ชมพยายามเพ่งสายตาไปยังข้างหลังฉากที่เป็นต้นไม้ใหญ่กันอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะได้รู้ว่าผู้มาใหม่คือใคร ทันใดนั้นเอง เสียงกรี๊ดและเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นก็ดังกระหน่ำขึ้น
“ระ เราขอโทษ พอดีว่าเราเพิ่งเคยเข้ามาเดินป่าแถวนี้น่ะ เราซุ่มซ่ามมาก จึงเผลอสะดุดกิ่งไม้ที่พื้นจนล้ม”
ผู้มาใหม่ก็คือร่างบางหวานใจของฟิวส์นั่นเอง เรือนผมสีพระเพลิงที่สั้นประบ่าถูกเซ็ตให้ลงมาคลอเคลียใบหน้าหวานมากขึ้น แถวๆ ปอยผมด้านหน้านั้นโดนคาร์จับแต้มสีทองเข้าไปเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตสดใสถูกแต่งให้ดูเน้นมากขึ้นคล้ายๆ กับของคาร์
ร่างบอบบางอยู่ในชุดแนวเจ้าชายแบบเดียวกับฟิวส์ แต่ของฟรานนั้นเป็นเสื้อคลุมสีดำสนิทกลมกลืนกับสีของชุด
“บอกชื่อของนายให้เรารู้ได้หรือไม่?”
“เราชื่อ ครีอา เป็นเจ้าชายจากประเทศข้างเคียง”
“ชื่อของเราคือ อัลบา เป็นเจ้าชายเช่นกัน”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
ฟรานตอบอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะเผยรอยยิ้มหวานในประโยคหลัง ฟิวส์ทำท่าสะดุดค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีหลงใหลในความน่ารักของคนตรงหน้า
“ชะ เช่นกัน”
ทั้งคู่ตกหลุมรักกันในทันที พวกเขารักกันมาก จึงตกลงปลงใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน โดยที่ทั้งคู่ได้ทิ้งสโนไวท์ไว้เบื้องหลังอย่างไร้เยื่อใย
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ หรือว่าเรื่องที่เทวดามาแจ้งแก่เรานั้นเป็นเรื่องผิดพลาด
สโนไวท์ผู้เลอโฉมซึ่งตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่อาจจะลืมตาหรือเคลื่อนไหวร่างกายได้หากแต่ยังมีสติรับรู้เรื่องภายนอกอย่างครบถ้วนรำพึงกับตนเองในใจด้วยความโศกเศร้า
ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏร่างของผู้มาใหม่ ซึ่งก็คือ โซล นั่นเอง ทั้งเรือนผมและการแต่งกายของเขานั้นเป็นแบบเดียวกับฟิวส์ทุกกระเบียดนิ้วแต่กลับให้อารมณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง เจ้าชายหนุ่มนาม เพชา มาเดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวๆ โลงแก้วอยู่นานสองนาน ในที่สุดเขาก็ก้มลงจุมพิตสโนไวท์อย่างอ่อนโยน
“เรารักท่าน สโนไวท์ผู้เลอโฉม ได้โปรดใช้ชีวิตอยู่กับเราด้วยเถิด”
โซลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานล้ำเสียจนคิริวหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ผงกศีรษะรับรัวๆ
ก่อนที่สปอร์ตไลท์จะดับไปและฉายแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นมาใหม่
บนเวทีปรากฏเพียงร่างของเทวดาตัวน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
“ในที่สุดก็สมหวังทั้งสองคู่แล้วสินะ ภารกิจเป็นอันเสร็จสิ้น แต่อันที่จริงเราก็กำลังครึ้มอกครึ้มใจอยากมีคนรักอยู่เหมือนกันน้า...”
“ทะ ท่านเป็นใครกัน ทำไมถึงมีปีก?!”
คาร์หันไปตามเสียงในทันที ปรากฏร่างของแบล็คที่แต่งตัวแบบธรรมดาๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกับกางเกงขายาวสีดำ เรือนผมสีพระเพลิงที่ซอยละเอียดยาวประบ่าถูกเซ็ตให้ฟูนิดๆ รับกับนัยน์ตาสีรัตติกาลเข้มข้นที่คมดุจนัยน์ตาเหยี่ยวได้เป็นอย่างดี
“เรามิใช่ใครจากไหน เราคือเทวดาจากเบื้องบน”
เสียงหวานเอ่ยตอบ แบล็คทำท่าเพ้อฝันขึ้นมาในบัดดลก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยน และประโยคคำพูดเองก็หวานเลี่ยนไม่แพ้กัน
“ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน เราตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบ โปรดรับรักจากมนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้นี้ได้หรือไม่?”
คาร์ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะนัยน์ตาสีนิลกาฬของอีกฝ่ายนั้นฉายแววจริงจังไม่เหมือนกับตอนซ้อมบท
แบล็คค่อยๆ ขยับปากอย่างช้าๆ เขาเอื้อนเอ่ยโดยไร้เสียง
“พี่-รัก-คาร์”
ใบหน้างามของเทวดาตัวน้อยซับสีแดงก่ำในทันที
คาร์พยักหน้ารับโดนพลัน ไม่มีลังเลเลยสักนิดเดียว
แบล็คยิ้มกว้างก่อนจะคว้าฝ่ามือเล็กมาจุมพิตเบาๆ กอบกุมไว้แน่น แล้วจึงจูงมือร่างน้อยไปยืนแสตนด์บายรอตามจุดที่ตกลงกันไว้
ตัวละครทั้งหมดค่อยๆ ทยอยออกมาที่หน้าเวที ทุกคนยืนเรียงกันในตำแหน่งที่ได้เซ็ตไว้ ทั้งหมดยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยประสานเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วทุกคนในอาณาจักรก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปตลอดกาล”
...เสียงจากผู้ชมดังโหวกเหวกขึ้นพร้อมๆ กับเสียงปรบมืออย่างเกรียวกราว...
To Be Continue
เยส!!!!! (ตะโกนลั่นห้องด้วยความดีใจ) ในที่สุดก็เสร็จเสียที...เนื่องจากเป็นวันครูจึงได้กลับบ้านตั้งแต่บ่ายสอง เริ่มแต่งตั้งแต่บ่ายสาม กว่าจะเสร็จ 1 ทุ่ม...
15/ม.ค./53 อัพ
19/ก.พ./55 Re-Write
ความคิดเห็น