ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Change! เปลี่ยนพี่ชายมาเป็นคนรัก (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #53 : Special Chapter 2: กำเนิดสิบสามมรณะ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 54



    Title:
    กำเนิดสิบสามมรณะ

    Author: ~ninjung~

    Pairing: All x Un, ETC.

    Rating: PG-13

    Warning: เนื้อเรื่องไม่ตรงประเด็นอย่างรุนแรง อ่านทวนกี่รอบๆ ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับ กำเนิดสิบสามมรณะตรงไหนกันเนี่ย T___T!

     

              “พวกนายน่ะเหรอที่จะมาเป็นเพื่อนของฉัน”

              เด็กชายตัวน้อยที่มีเรือนผมยาวสลวยสีดำขลับ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู และดวงตากลมโตใสแจ๋วสีท้องมหาสมุทร เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงหวานล้ำลื่นหู

              ผู้ที่ถูกออกปากถามคือกลุ่มเด็กชายที่มีลักษณะแตกต่างกันไปคนล่ะขั้วทั้งสิบสองคน ซึ่งบัดนี้พวกเขากำลังมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างรุนแรง

              ทว่านั่นไม่ใช่ความ กลัวแต่เป็นความ เขินอายต่างหาก...

              ก็ใครใช้ให้เจ้าตัวเล็กเบื้องหน้าที่เป็นบุรุษแท้ๆ ทั้งสวยทั้งน่ารักกว่าบรรดาผู้หญิงที่พวกเขาเคยเจอมาทั้งหมดกันล่ะ!

              เด็กชายทั้งสิบสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนที่เด็กชายคนหนึ่งผู้มีเรือนผมและดวงตาคมดุสีแดงเพลิงจะถูกใครก็ไม่ทราบถีบออกมารับหน้าอย่างน่าสงสารยิ่งนัก

              “อ่ะ อ่ะ อ่ะ เอ่อ...” คนที่มีนิสัยโผงผาง เลือดร้อน แถมยังไร้ความอดทนสิ้นดีอย่างเขาก็เพิ่งจะเคยได้พูดติดอ่างแบบชาวบ้านเขาบ้างเป็นครั้งแรกนี่แหละ “มะ ไม่ใช่ครับ!

              ร่างน้อยๆ ที่ดันไปทำร้ายหัวใจของคนอื่นโดยไม่ทันรู้ตัวเบะปาก ทำท่าเสียอกเสียใจนักหนา แต่ก็ยังถามต่อว่า “ทำไมล่ะ”

              คราวนี้เด็กชายคนเดิมเป็นต้องยืนใบ้กินไปครู่ใหญ่ๆ เลยทีเดียว เมื่อเขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณถึงสายตาทิ่มแทงทั้งสิบเอ็ดสายตาถ้วนจากทางเบื้องหลังในข้อหาที่พูดจาไม่ระวัง ทำให้คนน่ารักของพวกเขาทำท่าจะร้องไห้

              ร่างสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกันเล็กน้อยตัดสินใจใช้คำตอบที่ดูจะปลอดภัยจากการรุมกระทืบมากที่สุด “คะ คือ...พวกผมถูกส่งมาให้ รับใช้คุณน่ะครับ”

              ประโยคนี้ฟังดูเข้าทีสำหรับกลุ่มเด็กทั้งสิบเอ็ดคน แต่ดันไม่เข้าหูเด็กน้อยคนงามซะนี่

              “ไม่เอา!” อีกฝ่ายกรีดร้องเสียงดัง ทำเอาพวกเขาสะดุ้งกันเป็นแถวๆ “ฉันไม่อยากได้คนรับใช้หรอกนะ!

              พวกเขาหน้าเสียและรู้สึกชาวาบไปทั้งกาย แต่ก็เพียงไม่นานนักเมื่อมันถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนกเมื่อหยาดน้ำใสเม็ดโตเริ่มหลั่งรินลงมาอาบใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยร่างเล็ก

              ร่างทั้งสิบสองร่างแทบจะวิ่งไปวิ่งมาด้วยท่าทางราวกับหนูติดจั่น แต่ละคนต่างก็ได้แต่มองหน้ากันไปๆ มาๆ เพราะพวกเขาไม่เคยปลอบใครมาก่อน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการปลอบมันต้องทำอย่างไร

              ในเมื่อทำอะไรไม่ถูก พวกเขาก็เลยได้แต่ยืนเรียงหน้ากระดานรวบมือประสานไว้อย่างเรียบร้อยพลางทำคอตก อับจนในทุกวิถีทางอย่างแสนจะปวดร้าวใจนัก

              ตอนแรกคนที่ยังเอาแต่สะอื้นฮักๆ อย่างน่าสงสารก็มิได้ให้ความสนใจอะไรกับพวกเขามากนัก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพการยืนเรียงแถวอันงดงามและแสนจะแปลกตานั้น น้ำตาที่ไหลเป็นทางยาวก็ดันหยุดชะงักไปได้อย่างดื้อๆ

              และแล้วรอยยิ้มสดใสบาดตากรีดแทงหัวใจก็เผยขึ้นมาบนใบหน้าน่ารักในที่สุด เล่นเอาเด็กชายทั้งสิบสองคนแทบจะลืมหายใจไปเลยทีเดียว

              “ฮิๆๆ ทำไมยืนเรียงแถวกันแบบนั้นล่ะ ตลกจัง!

              พลัน ร่างทั้งสิบสองร่างก็รู้สึกราวกับว่าตัวมันอ่อนยวบยาบไปหมดหลังจากที่เหมือนต้องแบกภูเขาลูกโตไว้บนหลังมาตั้งนาน แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงกับมีใครต้องทรุดลงไปสร้างความสนิทสนมกับพื้นดินให้เสียภาพพจน์

              ดวงตากลมๆ น่ารักกลอกไปมาเพื่อทำการสำรวจร่างทั้งสิบสองร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไล่ไปทีล่ะคนๆ จนเมื่อมาบรรจบอยู่ที่คนสุดท้าย เด็กน้อยก็ยิ้มแฉ่งออกมาอย่างเริงร่า

              “ฉันชื่อ เอิง ...พวกนายล่ะ!

              นัยน์ตาต่างสีทั้งสิบสองคู่จำต้องเบี่ยงมาสบกันเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วก็ไม่ทราบอย่างเสียมิได้ ก่อนที่พวกเขาจะใช้การส่งซิกทางสายตาที่หากไม่แน่จริงก็คงทำไม่ได้เป็นสัญญาณลับๆ

              “พวกเราชื่อ...”

     

              “...ว..หน้า”

                ใครน่ะ?

                “หัวหน้าครับ!

                เฮือก!

              ร่างเพรียวบางสะดุ้งโหยง และกระเด้งร่างขึ้นมาจากเตียงนุ่มสีขาวบริสุทธิ์ด้วยความตื่นตระหนกในทันที นัยน์ตาสีมหาสมุทรคู่สวยของเขาฉายแววงุนงงอยู่เล็กน้อย มือเรียวบางสีขาวผ่องถูกยกขึ้นมากุมขมับด้วยความที่ยังมึนไม่หายจากการที่ต้องตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

                “...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?

                ผู้ที่อาจหาญเข้ามาปลุกเขาถึงที่เป็นบุรุษที่มีรูปร่างเล็ก และมีนัยน์ตากับเรือนผมสีชา

                เขาก็คือ ทรัวซ์ ผู้อยู่ในลำดับที่สามของเหล่าสิบสามมรณะนั่นเอง

                หัวหน้าสอดส่ายสายตาไปรอบอาณาบริเวณอยู่ครู่หนึ่งเงียบๆ และเด็กหนุ่มผู้แสนจะสุภาพก็ไม่กล้าพอที่จะรบกวนการกระทำของเขา จึงได้แต่ยืนสำรวมกิริยารออย่างสงบเสงี่ยม

                “เปล่า” เขาพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อเรียกสติกลับมาได้ “ไม่มีอะไรหรอก”

                ทรัวซ์พยักหน้ารับคำตามมารยาท แม้ว่าจะยังนึกสงสัยอยู่ไม่หายก็เถอะ

                นัยน์เนตรคู่งามของอีกฝ่ายช้อนขึ้นมองเขา ก่อนเอ่ยปากถามเสียงนุ่ม “มีอะไรหรือเปล่าทรัวซ์”

                “วันนี้มีนัดร่วมทานอาหารเช้ากับนายท่านครับ ทุกคนเห็นหัวหน้ายังไม่ตื่นเสียทีจึงส่งผมมาปลุกครับ”

                คนสวยแต่ดันมึนๆ บื้อๆ แสดงสีหน้าการ ระลึกชาติแล้วจมดิ่งอยู่กับความทรงจำของตนเองและโลกส่วนตัวอันสูงส่งของเขาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าเขาจะเรียกความทรงจำที่ต้องการให้กลับคืนมาได้ ทว่าทรัวซ์นั้นก็ยังมีความอดทนมากพอที่จะยืนรออย่างสงบเสงี่ยมตามเดิม

                นับว่าเหล่าสิบสามมรณะนั้นเลือกส่งคนมาได้ถูกจริงๆ

                “อา...ฉันจำได้แล้วล่ะ” เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ “ขอบใจเธอมากนะที่มาปลุก บอกทุกคนว่าเดี๋ยวฉันตามลงไป”

                “ครับ”

                อีกฝ่ายรับคำอย่างว่าง่าย เขาโค้งให้บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มนักฆ่านาม สิบสามมรณะเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับออกไปทางประตูบานเดียวกันกับตอนขามา

                แม้ปากจะบอกว่า เดี๋ยวตามลงไปแต่ร่างที่อยู่บนเตียงนั้นยังคงนั่งจมจ่อมอยู่กับความทรงจำของตนเองเงียบๆ หวนนึกถึงภาพฝันที่เพิ่งปรากฏให้เขาเห็นอยู่เมื่อครู่นี้ มันคือภาพในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่แสนจะน่าจดจำ

                ท่ามกลางความเงียบงันของห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีดำสนิท ร่างเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในห้องแห่งนี้ได้เผยรอยยิ้มบางที่แสนจะงดงามออกมา

                ...อดีตที่น่าคิดถึง...

     

                “เอิง มีภารกิจใหม่”

                “ครับ?

                คนหน้าหวานทำตาแป๋วใส่ผู้เป็นนาย เขาจำต้องเงยหน้าขึ้นมาจากจานกราแต็งสุดแสนอร่อยอย่างเสียมิได้ เพราะหากคิดจะเมินนายเหนือหัวผู้ทรงอิทธิพลในวงการมืดอย่าง ดิซัสเทอร์ ขึ้นมานี่เห็นทีคงจะไม่ได้ตายดีอย่างแน่นอน...

                เจ้าตัวดีไม่วายเคี้ยวกราแต็งในปากต่อตุ้ยๆ และกลืนลงคอไปอย่างอาลัยก่อน ถึงจะปริปากถามต่อได้

                “ผมคนเดียวเหรอครับ?

                ดิซัสเทอร์ยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงรังสีทะมึนขนาดยักษ์อันเนื่องมาจากความมาคุอย่างพร้อมเพรียงกันของเหล่าสิบสามมรณะทั้งสิบสองชีวิต เว้นเพียงเอิงผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ยังคงทำตาบ๊องแบ๊ว ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเขาบ้างเสียเลย

              ไอพวกติดหัวหน้าเอ๊ย...

              นายใหญ่ผู้น่าเกรงขามได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างติดจะเอือมนิดๆ ปนขบขัน ช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งที่คนสิบสองคนจะปักใจรักในตัวคนคนเดียวเรื่อยมาอย่างมั่นคงเป็นเวลานานนับตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก โดยที่ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวที่เบนใจไปหาใครอื่นบ้างเลย

              สงสัยเขาจะเผลอปลูกฝังแนวความรัก ฉบับนักฆ่าให้พวกนี้ดีเกินไปหน่อย

              คิดไปคิดมาก็ลองเหลือบไปแอบมอง หลาน คนงามของตัวเองที่เสน่ห์แสนจะล้นเหลือเหมือนกับพ่อของเขา ฟังไม่ผิดหรอก... พ่อ’!

                เขาไม่เคยแต่งงาน ที่เอิงมีศักดิ์เป็นหลานของเขาก็เพราะว่าพ่อของเอิงเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา ซึ่งน้องชายคนนี้นั้นดันมีใบหน้าหวานมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งโตก็ยิ่งสวย เขายังจำได้ดีถึงความลำบากเมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ยังต้องลงทุนลงแรงไล่แมลงหวี่แมลงวันอยู่ได้ทุกวี่ทุกวันจนแทบจะเอียน ยังดีที่อีกฝ่ายตัดสินใจแต่งงานเร็ว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องขาดใจตายเข้าสักวันเป็นแน่แท้

                “นายท่าน?

                ดิซัสเทอร์แอบสะดุ้งเล็กน้อยอย่างเนียนๆ เขาดึงตัวเองให้กลับคืนมาจากโลกส่วนตัว ใช้สายตาเย็นชาติดลบศูนย์องศาเช่นปกติกราดมองร่างทุกร่างที่ร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยกันอยู่ แล้วจึงเปิดปากตอบคำถามกลับไป

                “เปล่า ก็ไปกันทั้งสิบสามคนนั่นแหละ”

                ราวกับเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นก็ไม่ปาน แค่คำพูดไม่กี่พยางค์ของเขา ก็สามารถทำให้รังสีทะมึนอันน่าอึดอัดเมื่อครู่สลายหายไปได้ในพริบตา สิบสองในสิบสามมรณะมีสีหน้าชื่นบานขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์หลังจากได้รับคำตอบอันน่าพึงพอใจ

                ...ทว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อีกนานเท่าไหร่กันนะ?

                นายเหนือหัวขี้แกล้งแอบเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างแนบเนียน

              เดี๋ยวไปติดต่อขอยืมกล้องวงจรปิดจากแฟทัลมาสักสองสามตัวหน่อยดีกว่า!

                ในขณะที่ผู้เป็นนายกำลังแอบวางแผนชั่วในใจ เหล่าสิบสามมรณะทั้งหลายนั้นกลับไม่ได้รู้สึกสะกิดใจอะไรเลยแม้แต่น้อย เอิงยังคงก้มหน้าซัดกราแต็งของโปรดอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนอีกสิบสองคนที่เหลือนั้นก็คอยแอบโลมเลียหัวหน้ากลุ่มของตนเป็นอาหารตายามเช้าเป็นระยะๆ

                ...จนเพราะกิเลสโดยแท้...

                “จริงสิ” น้ำเสียงเนิบๆ ของดิซัสเทอร์เรียกความสนใจของทุกคนให้มุ่งกลับมาอยู่ที่ตนอีกครั้งหนึ่ง “เกือบลืมบอกไป”

                ปากบอก เกือบลืม แต่นัยน์ตากลับบอกเป็นนัยว่าที่จริงเขากะจะ จงใจลืม

                “ครับ?

                เป็นเอิงอีกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมาพูดคำคำเดิม

                รอยยิ้มเหยียดของชายวัยกลางคนที่ภายนอกยังดูหนุ่มแน่นถูกคลี่ขึ้นมาบนใบหน้าของเขาระหว่างที่กล่าวว่า “งานนี้น่ะ...เธอต้องแต่งเป็นผู้หญิงนะเอิง”

                “อ้อเหรอครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงเตรียมพร้อมสวาปามต่อ แล้วรับปากด้วยท่าทีสบายๆ “ได้ครั...”

                ไม่ได้!!!!!!!!!!!!!!!

                “...ครับ

                นัยน์ตาสีท้องสมุทรอันงดงามกะพริบปริบๆ ฉายแววงุนงงอย่างเด่นชัด หูของเขาอื้ออึงไปหมด และเต็มไปด้วยคำว่า ไม่ได้

                คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะแสยะยิ้มชั่ว ทำทีเป็นอธิบายว่า “ภารกิจของพวกเธอในครั้งนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลอกให้ท่านเคานท์คนหนึ่งตายใจ และ ผู้หญิงจะเป็นปัจจัยที่ดีที่สุด”

                “...คุณลุง ผมไม่ใช่ ผู้หญิงนะครับ”

                ท่าทางคำคำนั้นมันจะทำให้เอิงรู้สึกขุ่นเคืองใจมากถึงมากที่สุด เขาจึงถึงกลับหลุดคำว่า คุณลุงออกมาในที่สาธารณะเลยทีเดียว

                “เออน่า” อีกฝ่ายบอกปัดอย่างไม่ยี่หระ “คือๆ กัน”

                อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!

                ...ภายใต้ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มงดงาม เอิงกำลังกรีดร้องอย่างโหยหวนอยู่ในใจ...

                ตึง!!!

              “ไม่ได้นะครับนายท่าน!

                และแน่นอนว่าคนที่ออกตัวมารับหน้าก่อนใครเพื่อนก็ย่อมเป็นบุรุษที่เลือดร้อนที่สุดเช่นเคย

              ...ดิซ ผู้อยู่ในลำดับที่สิบ...

                “ทำไมจะไม่ได้” บุรุษที่กุมอำนาจมากที่สุดในที่แห่งนี้ทำทียักไหล่อย่างไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทั้งสิ้น

                ท่วงท่ากวนประสาทที่เป็นไปอย่างธรรมชาติสุดๆ นั่นทำให้แทบทุกคนในห้องอาหารอันโอ่อ่าแห่งนี้ต้องพานยกมือขึ้นมากุมขมับกันแทบไม่ทัน

                และแม้ว่ามันจะทำให้ดิซรู้สึกขุ่นเคืองใจมากเพียงใด แต่จิตสำนึกลึกๆ ก็ยังคงเตือนให้เขารู้ว่าเขาไม่ควรแม้แต่คิดที่จะหาเรื่องนายเหนือหัว ซ้ำยังมีสายตาปรามๆ ที่ถูกส่งมาอย่างแนบเนียนจากบุคคลที่เขารักสุดหัวใจอีกต่างหาก

                อันที่จริงเหตุผลแรกน่ะเขาไม่สนใจเท่าไหร่หรอก แต่เหตุผลหลังนี่คงไม่มีวันจะทำเป็นไม่สนใจได้...

                กึด

              แรงกระตุกที่ชายเสื้อของเขานั้นเบาบางมาก ทว่าด้วยสัญชาตญาณของมือสังหารอันเฉียบคม ดิซก็สามารถที่จะรับรู้มันได้อย่างชัดแจ้ง เมื่อลองปรายตามองตาม นัยน์ตาสีแดงสดของเขาก็พลันไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีชมพูสวยของใครบางคนเข้าเสียก่อน

                สีตาแปลกๆ แบบนี้ ในแวดวงคนรู้จักของเขาก็มีแต่ เนิฟ ผู้อยู่ในลำดับที่เก้า ซึ่งควบตำแหน่งเป็นทั้งพี่เลี้ยงจำเป็นและผู้ควบคุมความประพฤติของเขาด้วยเท่านั้นล่ะ

                แววตาของอีกฝ่ายกำลังสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าหากเขายังไม่ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดี กระบองเหล็กที่แสนคุ้นตาก็จะลอยมาหวดศีรษะของเขาในอีกไม่กี่วินาทีนี้อย่างแน่นอน

                ความจริงหัวทุยๆ อันน่าสงสารของดิซนั้นได้วิวัฒนาการมีภูมิคุ้มกันกระบองเหล็กของเนิฟไปเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ทว่า เมื่อหวนนึกถึงการห้ามปรามของใครบางคนก็ทำให้เขาจำต้องพยักหน้ารับไปในทันทีโดยอัตโนมัติ

                อย่างน้อยมันก็คุ้มล่ะ! เพราะการทำตัวว่านอนสอนง่ายของเขานั้นทำให้รอยยิ้มหวานๆ ถูกคลี่ขึ้นมาบนใบหน้าของเอิง

                และในเมื่อดิซทำการประท้วงไม่สำเร็จ แถมยังมีตัวขัดขวางชั้นเยี่ยมอย่างเอิงอีก สิบสามมรณะอีกสิบเอ็ดคนที่เหลือเลยได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ ยอมก้มหน้าตอบรับภารกิจใหม่แต่โดยดี

                ...ถือซะว่าเป็นโชคดีที่ได้เห็นหัวหน้าคนสวยแต่งเป็นผู้หญิงละกัน!...

                “เอ้อ...คุณลุงฮะ”

                อยู่ดีดีเอิงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน และด้วยสรรพนามที่เขายังคงใช้อยู่อย่างติดลมก็ทำให้นัยน์ตาดุๆ ของใครบางคนตวัดมามองเขาในทันที

                “เรียก นายท่านสิ เอิง!

                “คร้าบๆ รู้ครับว่าไม่อยากแก่” คนสวยของกลุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอาแล้วจึงตั้งต้นพูดใหม่ “ นายท่านครับ ผมแต่งตัวเป็นผู้หญิงไม่เป็นหรอกนะครับ”

                ทั้งๆ ที่พูดไปตามจริง แถมมันยังเป็นเรื่องปกติทั่วไปอย่างที่สมควรจะเป็น แต่หลานคนงามกลับได้แววตาเหมือนจะด่าว่าเขาโง่ย้อนกลับมาจากผู้มีศักดิ์เป็นลุงไปซะอย่างนั้น

                “แต่งเองไม่เป็นก็ให้คนอื่นช่วยแต่งให้สิ” ว่าง่ายๆ อย่างแสนจะไม่ยี่หระ

                เอิงเริ่มมีสีหน้าเหม็นเบื่อมากขึ้นเรื่อยๆ “ก็ไอ้ คนอื่นที่ว่านี่มันใครกันล่ะครับ”

                ณ จุดนี้ ดิซัสเทอร์ เจ้าพ่อแห่งวงการมืดก็พลันเงียบลงไปครู่หนึ่งและก้มหน้าลงเหมือนกับว่ากำลังใช้ความคิดอยู่อย่างจริงจัง ไม่นานนักเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ออกปากบอกเสียงเรียบ

                “ได้ยินมาว่าลูกชายคนเล็กของแฟทัลมีความสามารถรอบด้าน ลองไปให้เขาช่วยดูละกัน”

              ความสามารถรอบด้านนี่มันรวมไปถึงการแต่งตัวเป็นผู้หญิงทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่งด้วยน่ะเหรอ?

                  สีหน้าปุเลี่ยนๆ ของเหล่าสิบสามมรณะนั้นบ่งบอกถึงประโยคคำพูดประโยคหนึ่งได้เป็นอย่างดี

                ถึงแม้ว่าจะเริ่มเคืองผู้เป็นนายเหนือหัวมากขึ้นเรื่อยๆ และอยากคัดค้านความคิดเห็นของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเขาจะไหวตัวทัน จึงรีบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ และหายตัวไปด้วยความเร็วสูงยิ่งกว่าอะไรดี

                ...ทิ้งเจ้าระเบิดลูกโตๆ ที่พร้อมจะบึ้มได้ทุกเมื่อไว้ให้เหล่าสิบสามมรณะต้องนั่งตัดชนวนกันเองอย่างน่าสงสาร...

     

                “ให้ช่วยแต่งหญิงงั้นเหรอฮะ?

                เด็กหนุ่มที่ดูมุมไหนก็ยังคงน่ารักไม่สร่าง แถมยังหน้า ละอ่อนอย่างรุนแรงอีกต่างหากเอ่ยปากถามเสียงใสหลังจากรับฟังประเด็นสำคัญอันทำให้สิบสามมรณะต้องอัปเปหิมาหาเขาถึงที่จนจบ

                อันที่จริงตอนแรกฟรานเกือบจะปิดประตูกระแทกหน้าไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเอิงโผล่มาก่อน ด้วยมันเป็นสัญชาตญาณป้องกัน ภัยหลังจากที่เจ้า ภัยที่ว่านี่ขยันก่อเรื่องเสียเหลือเกิน แต่ยังดีที่สัญชาตญาณมือสังหารของอีกฝ่ายนั้นก็เป็นเลิศไม่แพ้กัน เขาจึงรอดพ้นจากการถูกประตูกระแทกหน้าไปได้อย่างหวุดหวิด

                กลุ่มนักฆ่าเลื่องชื่อทั้งสิบสามชีวิตที่บัดนี้ใบหน้าเริ่มทะมึนไปเป็นแถบพยักหน้าหงึกหงักรับอย่างแสนจะหน่ายใจ

                “อ้อ” เป็นฟรานบ้างที่กำลังพยักหน้าหงึกหงัก “ของง่ายๆ ฮะ”

                นัยน์ตาต่างสีทั้งสิบสามคู่แทบจะถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสประดุจดวงตะวันของร่างน้อยเบื้องหน้า ด้วยพวกเขาไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะ แต่งหญิงเป็นอย่างที่ดิซัสเทอร์คาดการณ์ไว้

                “อีกอย่าง...” น้ำเสียงหวานเจี๊ยบลากยาว ในขณะที่ร่างเล็กลุกขึ้นไปยืนประชิดร่างของเอิง ดวงตากลมโตสีเงินกลอกไปมา สอดส่ายสายตาไปทั่วเรือนร่างอันแสนสมบูรณ์แบบของอีกฝ่าย “พี่เอิงน่ะถึงไม่แต่งอะไรก็สวยอยู่แล้ว เสริมอะไรไปนิดๆ หน่อยๆ ก็เนียนแล้วล่ะฮะ!

                เป็นความจริง

              สิบสองในสิบสามคนพลันเผลอพยักหน้าวูบเป็นการยอมรับไปโดยอัตโนมัติ

              มีหัวหน้าสวยขนาดนี้ก็อยากจะอวดบ้างอะไรบ้าง ถึงจะแอบหวงหน่อยๆ ก็เหอะ...

              เดาได้ไม่ยากว่าหากเอิงสำเร็จวิชาการอ่านใจผู้อื่น และได้ยินความในใจของลูกน้องในกลุ่มล่ะก็ มีหวังเขาได้อาละวาดคฤหาสน์แตกเป็นแน่แท้

                “เอาล่ะๆ ตอนนี้พี่ชายพาเฟมีลกับเฟรันไปช็อปปิ้งอยู่พอดี ทางสะดวกเลยล่ะฮะ”

                คำว่า ทางสะดวกของ เด็กนรกตลอดกาลเบื้องหน้าทำให้เหงื่อกาฬของแขกทั้งสิบสามเริ่มไหลเป็นทาง

                “หึๆๆ รับรองว่าพี่เอิงจะต้อง สวยจนโลกตะลึงแน่นอนฮะ!

                ...ได้ข่าวว่าเอิงเขาจะไปทำภารกิจมือสังหาร ไม่ได้จะไปประกวดนางงามจักรวาลหรืออะไรทำนองนั้นนะฟราน...

     

                ในระหว่างที่หัวหน้าสุดรักสุดหวงถูกลากเข้าไปในห้องแต่งตัว สิบสามมรณะที่ไร้หัวหน้าที่เหลือก็ได้แต่นั่งจ๋องอยู่บนโซฟาตัวหรูในห้องรับแขก ปรึกษากันเสียงเครียดด้วยท่าทางลึกลับ

                ซิส นายรู้สึกบ้างมั้ยว่าภารกิจคราวนี้ดูมีลับลมคมในยังไงชอบกล”

                แซ็ง ผู้อยู่ในลำดับที่ห้าเอ่ยถามผู้อยู่ในลำดับต่อจากเขาที่มีความชำนาญเรื่องเล่ห์กลมากที่สุดในหมู่สิบสามมรณะ

                เจ้าของเรือนผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม รวมไปถึงนาม ซิสพยักหน้ายืนยันในทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดให้ดีเสียก่อน เขารู้สึกเอะใจแปลกๆ มาตั้งแต่ที่นายเหนือหัวเริ่มออกปากถึงภารกิจในครั้งนี้แล้วด้วยซ้ำ

                “แปลกเสียยิ่งกว่าแปลก” ไม่ลืมที่จะพูดตอกย้ำเพิ่มไปอีก

                หน้าที่ว่าเครียดอยู่แล้วก็ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ใช่ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้น...หึ! มันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั่นแหละ ตราบใดที่ดิซัสเทอร์ยังไม่กลายเป็นตุ๊กตาไร้อารมณ์ไปเสียก่อน วันดีคืนดีเขาก็นึกตลกร้ายขึ้นมาได้ และหนูทดลองชั้นเยี่ยมที่จะมอบความหฤหรรษ์ให้แก่เขาก็ย่อมหนีไม่พ้นเหล่าสิบสามมรณะที่อีกฝ่ายปั้นแต่งมาเองกับมือ

                ถ้าหากจินตนาการไม่ออกว่า ตลกร้ายของดิซัสเทอร์นั้นครอบคลุมอยู่ในระดับใด ก็ให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่สิบสามมรณะได้เจอกับสองพี่น้องตระกูลแฟทัลเป็นครั้งแรก และเกือบจะฆ่ากันตายไปข้างหนึ่งด้วยความเข้าใจผิด

                ความเข้าใจผิดที่เป็นตัวบังหน้าความเป็นจริงที่ว่าแท้จริงแล้วมันคือ คำสั่งของดิซัสเทอร์น่ะนะ!

                อันที่จริงแซ็งไม่ควรจะเปิดประเด็นขึ้นมาเลยจริงๆ เพราะมันทำให้หัวใจของพวกเขายิ่งร้อนรุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม กระทั่งคนที่ว่าเย็นชาสุดๆ แล้วอย่าง แซ็ต ผู้อยู่ในลำดับที่เจ็ด ก็ยังเริ่มมีอาการร้อนรนขึ้นมากับเขาบ้าง

                “เอาเถอะ” แซ็งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ปล่อยเลยตามเลยไปละกัน”

                แล้วประเด็นมั่วๆ มึนๆ นี้ก็เป็นอันต้องถูกพับเก็บใส่สมองกลับคืนไปอย่างช่วยไม่ได้

                และยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ดีดีประตูสุดหรูหราบานใหญ่อันเป็นประตูเชื่อมมายังห้องรับแขกแห่งนี้ก็ถูกเปิดผลัวะออกมาอย่างกะทันหัน เล่นเอาเหล่าสิบสามมรณะที่บัดนี้เหลืออยู่เพียงสิบสองคนเกือบจะชักอาวุธออกมาแล้ว หากไม่ทันได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยที่โผล่พ้นบานประตูนั้นมาเสียก่อน

                “อ้าว พวกนาย...”

                 ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแสนจะดูดี และคงจะดูดีกว่านี้อีกหลายเท่า หากมือของเขาในยามนี้ไม่ได้กำลังหิ้วถุง ‘TOP’ พะรุงพะรังอยู่เต็มไปหมด

                อ้อ ที่แท้ช็อปปิ้งที่ว่านี่หมายถึงซื้อของกินเข้าบ้าน ไม่ได้หมายถึงซื้อเสื้อผ้าสุดหรูหรืออะไรเทือกนั้นหรอกเหรอ...

              “สวัสดีครับคุณฟิวส์”

                และแน่นอนว่าคนที่จะสามารถเอื้อนเอ่ยประโยคที่แสนจะสุภาพออกมาเช่นนี้ได้ย่อมหนีไม่พ้นทรัวซ์

                ฟิวส์ไม่ได้ตอบกลับ แค่พยักหน้าน้อยๆ แสดงการรับรู้ เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับการต้อนเด็กน้อยทั้งสองให้เดินเข้าไปในห้องรับแขก และจัดการกับถุงพลาสติกทั้งหลายที่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ

                “อ๊า! พี่ๆ สิบสามมรณะนี่นา!

                เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยวัยกำลังไร้เดียงสาเล่นเอาร่างในชุดสีดำสนิททั้งสิบสองร่างต้องสะดุ้งไปตามๆ กันราวกับเล่นเวฟก็ไม่ปาน พวกเขามีภูมิต้านทานสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า เด็กค่อนข้างจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เห็นจะมีเพียงหัวกลุ่มคนสวยเท่านั้นที่ชอบนักชอบหนา

                ร่างเล็กๆ ของเฟมีลวิ่งถลาเข้ามาประชิดโซฟาที่พวกเขากำลังพักพิงอยู่ ดวงตากลมโตสีเหลืองสดดุจดั่งดอกทานตะวันจ้องมองพวกเขาตาแป๋ว น่ารักน่าเอ็นดูแบบสุดๆ

                ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างเล็กเพรียวระหงของเฟรันก็เดินตามฝาแฝดของตนเองมาติดๆ ดวงตาเรียวสวยสีเงินจับจ้องพวกเขาด้วยความเฉยชาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปริปากถามออกมาเสียงเรียบ

                “พี่เอิงไม่อยู่หรือครับ?

                ประโยคนั้นทำเอาฟิวส์สะดุ้งเฮือก ดวงตาสีทองเป็นประกายสวยกราดมองไปทั่วบริเวณในทันทีด้วยความเร็วสูง และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีร่างของเอิงอยู่ในสายตา เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

                เห็นทีหัวหน้าคนงามของสิบสามมรณะจะมาก่อเรื่องบ่อยเกินไป ฟิวส์จึงถึงกับมีอาการหวาดผวาอย่างนี้ให้ได้เห็น

                เหล่ามือสังหารผู้เลื่องชื่อลือนามสบตากันล่อกแล่ก รู้สึกสงสารพี่ชายสุดที่รักของเจ้าปีศาจน้อยจับใจ ทว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องบอกความจริงแก่เด็กน้อย การสอนให้เด็กรู้จักโกหกเห็นทีจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ และปีศาจน้อยเองก็คงไม่มีวันปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น

                ดังนั้น เนิฟ ผู้มักจะนิ่งเงียบจึงเป็นตัวแทนในการตอบคำถามของเฟรันอย่างสั้นๆ ง่ายๆ แสนจะกระชับ “อยู่”

                ดวงตาทั้งสองคู่ของฟิวส์แทบจะถลนออกมา

                “ที่?

                เด็กน้อยยังคงซักต่อตามประสา

                “ที่นี่”

                ...ชัดเจน...

                หากมิใช่ว่าต้องไว้ท่าทางของผู้สืบทอดตระกูลแฟทัลคนต่อไป ฟิวส์อาจจะล้มตึงไปตั้งแต่คำคำแรกแล้วก็ได้

                ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแสดงท่าทางเว่อร์อะไรมากมายหรอกนะ แต่ถ้าพวกคุณได้มาลองโดนลูกระเบิดเดินได้ที่ชื่อว่า เอิง ถล่มเข้าให้บ่อยๆ คุณก็จะต้องมีอาการเหมือนเขาอย่างแน่นอน!

                มือหนาเลื่อนมากุมขมับของตนเอง ก่อนที่นิ้วเรียวยาวจะคลึงมันเบาๆ หวังว่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดไปได้บ้าง

                “พวกนายนี่ว่างกันจริงๆ เลยนะ”

                “ไร้สาระ!วิทท์ ผู้อยู่ในลำดับที่แปด ซึ่งค่อนข้างไม่ถูกกับฟิวส์เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่ถูกอีกฝ่ายกวนประสาทตั้งแต่แรกพบ เถียงเสียงสูง “สิบสามมรณะนะเว้ย ไม่ใช่คนขัดส้วม จะได้ว่างขนาดนั้นน่ะ!

                ประเด็นมันไม่ใช่การที่อีกฝ่ายพูดหยาบคายหรอก แต่เป็นคำพูดที่แสนจะไม่เข้าหูนั่นมากกว่าที่ทำให้กระทั่งฝ่ายเดียวกันยังรู้สึกอยากจะรุมกระทืบเขาขึ้นมาตงิดๆ

                ฟิวส์ทำหน้าละเหี่ยใจ “แล้วมาทำไม”

                ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาน้ำใจใครก็ตามที่ไม่ได้ชื่อฟราน แฟทัล...

                “อ่ะ..เอ่อ...” ทรัวซ์เริ่มมีอาการตะกุกตะกักเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มมาคุ “งาน...น่ะครับ”

                “งาน?

                ชายหนุ่มทวนคำเสียงสูง หน้าตาท่าทางเตรียมมีเรื่องเต็มที่ หากไม่ติดว่า...

                “ปาป๊า!

                ดุจดั่งคำประกาศิตที่ทำให้ร่างทั้งร่างของฟิวส์พลันแข็งทื่อ สลัดท่าทางนักเลงออกไปจนหมดสิ้น ก่อนจะหันไปส่งยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดให้กับบุตรสุดที่รักทั้งสองโดยอัตโนมัติ

                “ครับ”

                “มาม๊าเคยบอกว่าห้าม กัดกับพี่ๆ สิบสามมรณะพร่ำเพรื่อไงคะ!

              ฟิวส์ได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง ระดับความเสียหายพุ่งพรวดไปที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์...

                เหล่ามือสังหารที่ควรจะนิ่งเงียบบางคนเริ่มยกมือขึ้นมาปิดปาก พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กน้อยเฟมีลไม่ได้มีความประสงค์ในแง่ลบเลยสักนิด หากทว่าประโยคคำพูดที่ลอกเลียนแบบจากผู้ที่มีศักดิ์เป็นมารดามาเป๊ะๆ ต่างหากที่ทำให้ฟิวส์แสนจะร้าวรานใจ

                “อ่ะ...ปาป๊าเข้าใจแล้วครับ”

                ว่าพลางผงกศีรษะงกๆ อย่างจนใจ แต่ก็ยังไม่วาย ตวัดสายตาคมกริบไปจิกเหล่าสิบสามมรณะที่นั่งกลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดงอยู่ไม่ห่างอย่างคาดโทษ

                และก่อนที่จะมีการวางมวยเกิดขึ้น ประตูห้องรับแขกก็ถูกผลักให้เปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เผยให้เห็นใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มไร้ริ้วรอยอันคุ้นเคยของฟรานที่กำลังทำท่าฉุดกระชาก อะไรบางอย่าง อยู่

                “อายอะไรกันล่ะฮะ! เข้ามาเหอะน่า!

                เด็กหนุ่มเริ่มโมโหจนแก้มป่อง คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ

                “อ๊า...ก็มันน่าอายจะตายนี่นา!

                เสียงคุ้นเคยดังแว่วนำมาเพียงอย่างเดียว เพราะร่างของเขายังคงถูกบานประตูบานใหญ่บดบังเอาไว้ตามความประสงค์ของเจ้าของร่าง

                สายตาของคนทั้งห้องพลันจับโฟกัสไปที่ตำแหน่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว เหล่าสิบสามมรณะที่บัดนี้มีอยู่เพียงสิบสองชีวิตล้วนแล้วแต่มีนัยน์ตาที่กำลังเปล่งประกายพราวระยับ ในขณะที่ฟิวส์ เฟมีล และเฟรัน ที่เพิ่งมาใหม่ได้แต่ตีสีหน้างุนงงออกมาอย่างไม่ทันเหตุการณ์

                ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งคนที่รู้เรื่องและไม่รู้เรื่องต่างก็กำลังลุ้นกับการฉุดกระชากลากถูว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ

                ซึ่ง...แน่นอน...ไม่มีใครทนฤทธิ์ของเจ้าปีศาจน้อยนั่นได้หรอก...

                “หวา...!

                น้ำเสียงหวานล้ำอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ร่างเจ้าของเสียงอุทานนั้นจะถลาตามเข้ามาในห้องรับแขกแห่งนี้

                ความเงียบเข้ามาปกคลุมสถานที่แห่งนี้ร่วมหนึ่งนาทีเต็ม

                ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง

                นิ้วเรียวยาวของหลายๆ คนถึงกับยกขึ้นมาชี้ไปยังใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างแสนจะเสียมารยาท

                แล้วจึงร้องว่า...

                “เฮ้ย!!

              สวรรค์ช่วย!

              ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปจนพวกเขาจำไม่ได้ เพราะที่แน่ๆ ชุดนักฆ่าสีดำสนิทก็ยังคงอยู่บนเรือนร่างเพรียวระหงนั้น ท่อนล่างน่ะไม่มีปัญหา...แต่ท่อนบนนี่สิ!

                เรือนผมสีรัตติกาลเข้มข้นถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย แต่ก็มีบางส่วนตกลงมาระใบหน้างามที่บัดนี้ถูกแต่งแต้มไว้เพียงเล็กน้อย ทว่าก็สามารถทำให้ใบหน้างดงามนั้นดูหวานล้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัว เรียกได้ว่ามองมุมไหนก็ผู้หญิงชัดๆ!

                โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในยามนี้ ซึ่งเอิงค่อนข้างจะกำลังกระดากอายกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมายังตนเป็นตาเดียว ดวงหน้าสวยนั้นจึงฉายชัดถึงแววประหม่า ชวนให้รู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่

                สำหรับฟิวส์ เฟมีล และเฟรัน สายตาที่จับจ้องโดยไม่ละไปเสียทีของพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่ความแปลกใจ แต่สำหรับสายตาอีกสิบสองคู่...มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น

                พอเห็นทุกคนพากันตกตะลึงกับ ผลงานของตัวเองเสียยกใหญ่ เด็กหนุ่มที่ใบหน้าดูจะไม่มีวันแก่เสียทีก็ยิ้มแฉ่ง โอ้อวดด้วยความภาคภูมิใจ

                “ผมบอกแล้วว่ารับรองว่าพี่เอิงจะต้อง สวยจนโลกตะลึงแน่นอน!

                โลกมันจะตะลึงหรือไม่ตะลึงน่ะ ช่างหัวมันเหอะ!

                ที่แน่ๆ สิบสามมรณะน่ะ...

                โคตรตะลึงเลยแหละ!

                ฟรานทำแก้มป่องเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ว่าคำพูดของเขานั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของทุกคนไปเสียแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจมัน พูดเจื้อยแจ้วต่อทันที

                “พี่เอิงก็สวยเช้งแล้ว ทีนี้ก็ไป ทำงานกันได้แล้วล่ะฮะ!

                พลัน ใบหน้าของเหล่ามือสังหารทั้งหลายก็ผงกอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยท่าทางราวกับชักกระตุก ก่อนที่พวกเขาจะเดินเรียงแถวออกไปจากห้องรับแขกด้วยท่าทางราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง โดยมีเอิงที่ยังกระดากอายไม่หายเดินตามไปติดๆ

                เมื่อจัดการไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญออกไปเรียบร้อยแล้ว ครอบครัวแฟทัลจึงมานั่งจับเข่าคุยกันบนโซฟาตัวหรูซึ่งเป็นที่พักพิงของแขกชุดใหญ่เมื่อครู่นี้

                ฟรานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟิวส์และลูกสุดที่รักทั้งสองฟังอย่างกระชับ และเมื่อฟังจบครบถ้วน นัยน์ตาสีทองสวยของฟิวส์ก็เปล่งประกายวิบวับ

                “เห็นทีพวกนั้นจะไม่ได้ไป ทำงานกันซะแล้วล่ะ...

                เรื่องที่จะเกิดขึ้น...ก็มีแต่ ศึกชิงนางนั่นแหละ!!!

             

                “พวกเธอมั่นใจกับคำตอบที่ให้มาแล้วแน่นอนนะ?

              “ครับ!

              “จะไม่มีวันขอย้อนกลับไปเปลี่ยนคำพูดของตัวเองได้อีกแล้วนะ?

              “ครับ!

              “ดี!” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่น่าจะเป็นนายเหนือหัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชายในชุดดำทั้งสิบสองคนลั่นวาจาเสียงดัง “ภารกิจอย่างอื่นก็เป็นแค่เศษไม้ริมทาง ภารกิจที่สำคัญที่สุดของพวกเธอคือการปกป้องเอิงยิ่งกว่าชีวิต!

              “ครับ!

              ร่างทั้งสิบสองร่างนิ่งค้างไปเล็กน้อยเป็นการเว้นจังหวะ ก่อนที่พวกเขาจะประกาศเสียงดังกร้าว ราวกับหวังจะให้คำปฏิญาณของพวกเขาสื่อไปถึงหัวใจของผู้เป็นที่รักของพวกเขาได้

              “แม้ตัวตาย หัวใจของเราก็จะยังคงอยู่!

              หัวใจ...ที่ไม่ได้หมายถึงอวัยวะส่วนหนึ่งภายในร่างกายของพวกเขา   

              แต่เป็น หัวใจ...ที่หมายถึงผู้เป็นที่รักยิ่ง

                แม้นชีวิตจะต้องจมดิ่งลงไปในเงามืด แม้นชีวิตจะต้องยืนอยู่บนเส้นด้ายที่ราวกับจะขาดสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ แม้นมือคู่นี้จะต้องเปื้อนเลือดของใครต่อใคร แต่ขอเพียงชีวิตนี้สามารถพลีไปเพื่อปกป้องผู้เป็นดั่งหัวใจของพวกเขาได้ จะให้ตายสักกี่หนก็ยังไม่พอ...

             

                นั่นเป็น...เหตุการณ์ในอดีต...เมื่อนานมาแล้ว...

                และ...แน่นอน...ความสำคัญของวาจาสัตย์ในครั้งนั้น จวบจนปัจจุบัน...มันก็ยังคงอยู่...

                ความรู้สึกในใจของพวกเขา...ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...

                ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...

     

                “เฮ้! พวกนาย! แต่งตัวกันเร็วๆ หน่อยสิ! รีบๆ ไปทำภารกิจให้เสร็จ ฉันจะได้ถอดชุดน่าอายพรรค์นี้เร็วๆ!

                หัวใจของพวกเขาทำหน้าบูดบึ้ง ยืนพิงรถลีมูซีนคันหรูสีดำขลับด้วยท่าทางเกียจคร้าน ดูท่าจะกำลังเคืองชุดราตรีสีอเมทิสต์แสนหรูหราที่อยู่บนเรือนร่างของตนเองไม่น้อย ทั้งๆ ที่พวกเขานั้นออกจะปลื้มมันมากเลยทีเดียว

                เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวสวยๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่แค่คิดว่าเรือนร่างนี้จะต้องถูกสายตาโลมเลียของใครต่อใครที่ไม่ใช่สายตาของพวกเขาทั้งสิบสองคนจับจ้อง...แค่คิดก็ชักจะของขึ้นเสียแล้ว

                ...หวังว่าจะไม่หน้ามืดเผลอรุมเปิด ฮาเร็มไปซะก่อนล่ะนะ...

                แต่ไม่ว่าอย่างไร...ภารกิจครั้งนี้...พวกเขาก็พร้อมจะถวายชีวิตปกป้องอีกฝ่ายอยู่เหมือนเคย...

               

                จวบจนชีวิตจะหาไม่

     

     

    The End

    .

    .

    .

    Or…To Be Continue in… “กำเนิดสิบสามมรณะ เวอร์ชั่นฮาเร็ม” :)

     

                โอ้ ค่อนข้างคิดถึงการตีเส้นจบตอนมากเลยทีเดียวค่ะ - -“

                กราบสวัสดีท่านผู้อ่านทั้งหลาย (ที่ไม่รู้ว่าจะยังเหลืออยู่หรือเปล่า...) งามๆ ครั้งหนึ่งค่ะ ปกติก็ว่าเราอู้มากแล้ว แต่คราวนี้...อืม...ค่อนข้างจะทำลายสถิติเลยแฮะ...ตั้งแต่ Special Chapter 1...พ.ค. ยัน ต.ค. TT [     ] TT!! การเรียนชั้น ม.3 นี่มันเลวร้ายมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยล่ะค่ะ งานยุ่งตัวเป็นเกลียวจนคอมหยากไย่จับเลยทีเดียว...

                เอ้อ...ก่อนจะพูดถึง Special ตอนนี้ คงต้องสารภาพบาปกันก่อนล่ะค่ะ ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ตอนนี้มาช้าก็คือ...คนเขียนมันเมาไปเขียนผิดตอนค่ะ TT^TT ดันไปเขียนตอน “ตระกูลแฟทัล” เสร็จไปซะครึ่งตอนถึงจะเพิ่งรู้สึกตัว ขออภัยอย่างยิ่งค่ะ!

                สำหรับตอนนี้...เหมือนใน Warning ข้างต้นค่ะ...อะไรก็ไม่รู้... (_    _)

                เหตุการณ์ของตอนนี้จะต่อเนื่องกับ Special ตอนที่แล้วนะคะ แต่จะมีเหตุการณ์ในอดีต (ตัวเอียง) มาแทรกเป็นบางครั้งบางคราว และคนเขียนพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะ ยัดประเด็นจริงๆ ของเนื้อเรื่องเข้าไปให้มากที่สุดแล้ว...

                เอ้อ...แล้วก็...สำหรับเราเองคงจะไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดเกิดรู้สึกว่าบางจุดในตอนนี้อาจจะขัดแย้งกันไปบ้างก็ขอให้ทักมาได้นะคะ เพราะเราเริ่มแต่งตอนนี้ก็นานแล้ว เปิดมากระดึ๊บๆ ไปวันละบรรทัดสองบรรทัด จนคืนนี้ถึงเพิ่งฮึดมาแต่งต่อจนจบได้...

                Special ตอนต่อจากนี้ก็อย่างที่บอกนะคะ เป็นตอน “กำเนิดสิบสามมรณะ เวอร์ชั่นฮาเร็ม” หรือก็คือเป็นตอนต่อจากตอนนี้น่ะค่ะ ซึ่งก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีฤกษ์ออกสู่สายตาท่านผู้อ่านทั้งหลายเมื่อใด ท่านผู้ใดต้องการอ่านอย่างจริงจัง โปรดให้อภัยกับความขี้เกียจของไรเตอร์ และรอด้วยความอดทนเถอะค่ะ T___T

                ตอนต่อไปคงจะได้เข็นสิบสามมรณะบางคนที่ยังไม่ได้ออกโรงในตอนนี้ออกมาจนครบล่ะค่ะ ตัวละครคงจะเยอะไปหน่อย คิดซะว่ามันเป็นสีสันอย่างนึงละกันนะคะ... (แม้ว่าขนาดคนแต่งจะยังต้องเปิดหน้า Character ที่เคยเขียนไว้อ้างอิงตลอดอยู่ก็ตาม)

                ซ้ำร้ายอันที่จริงตอนหน้าต่างหากที่น่าจะเป็นเนื้อเรื่องหลักจริงๆ ตอนนี้ยังแค่เกริ่นๆ อยู่แหละค่ะ!

                ไว้เจอกันใหม่ในโอกาสหน้านะคะ สวัสดียามดึกค่า =)

       

                11/ต.ค./54 อัพ

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×