คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : Special Chapter 1: ทายาทตัวน้อย แฝดนรกยกกำลังสอง
Title: ทายาทตัวน้อย แฝดนรกยกกำลังสอง
Author: ~ninjung~
Pairing: ฟืวส์xฟราน, ETC.
Rating: PG-13 (เด็กน้อยสุดๆ)
Warning: เบนไปเบนมา เหมือนจะไม่ตรงคอนเซปต์เนื้อหาสักเท่าไหร่ - -^
สวัสดีฮะ ผม ฟราน “แฟทัล” ฮะ!
เอ๋? ทำไมต้องย้ำนามสกุลน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าถึงผมจะแต่งงานแล้ว แต่ก็แต่งกับพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ดังนั้นผมก็ยังเป็น ‘ฟราน แฟทัล’ อยู่เหมือนเดิมฮะ!
โอ๊ะ! นอกเรื่องไปหน่อย วันนี้ผมไม่ได้จะมาเล่าเกี่ยวกับงานแต่งงานเสียหน่อย แต่เป็นเรื่องหลังจากนั้นต่างหากฮะ
...หลังจากวันนั้นไปห้าปี!
ห้าปีนี่มันฟังดูเหมือนนานมากเลยใช้มั้ยล่ะฮะ แต่สำหรับผมน่ะมันสั้นมากๆ เลย เผลอแปบเดียวก็อายุเพิ่มขึ้นไปอีกตั้งห้าปีแล้ว!
อืม...แต่ผมคิดว่าผมรู้นะว่าทำไมเวลาห้าปีสำหรับผมถึงดูสั้นๆ
...ก็เพราะว่าทุกๆ วันมันน่าเบื่อมากเลยน่ะสิ!!!
.
.
.
“น่าเบื่อจังเลย...”
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดลอยๆ แต่สมาชิกในครอบครัวแฟทัลอีกสามชีวิตนั้นไม่กล้าที่จะมองข้ามมันไปโดยเด็ดขาด
สังเกตเห็นได้ชัดจากอาการของพวกเขาที่ในตอนแรกกำลังสนุกสนานกับ ‘งาน’ ของตนเองอยู่ แต่เมื่อคำคำนั้นหลุดออกมาจากปากของฟราน อากัปกิริยาทั้งหมดก็พลันแปรเปลี่ยน
มิสแฟทัลผู้งดงามไม่เคยสร่าง ทำเข็มถักนิตติ้งที่หนักราวๆ สามกิโล ตกกระแทกพื้นจนพื้นทะลุ (แน่นอนว่าเข็มถักนิตติ้งไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน)
มิสเตอร์แฟทัลผู้หล่อเหล่าไม่มีวันจาง ทำหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า ‘ตลาดหุ้นวันนี้’ ลื่นหลุดมือลงไปกองอยู่ที่พื้น แถมเขายังเหยียบ (กระทืบ) มันซ้ำอีกต่างหาก...
และท้ายสุดทายาทแฟทัลคนพี่ ‘ฟิวส์ แฟทัล’ กำลังฉีกกระดาษเอกสารที่เห็นตัวอักษรสีแดงแวบๆ ว่า ‘เอกสารลับสุดยอด ห้ามยับแม้แต่นิดเดียว’ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และแน่นอนว่าคำเตือนอะไรนั่นเขาเมินมันไปหมดแล้วล่ะ
“อะไรนะลูก...”
“อะไรนะลูกฟราน...”
“อะไรนะครับฟราน...”
คนที่โดนย้ำสรรพนามของตนเองหลายๆ ครั้งทำแก้มป่อง พูดด้วยน้ำเสียงระดับไม่เบาว่า
“ฟรานบอกว่าเบื่อ!”
วินาทีนั้น ครอบครัวแฟทัลรู้สึกเหมือนกันว่ามีตัวอักษรคำว่า ‘เบื่อ’ ลอยคว้างไปมาอยู่กลางอากาศก็ไม่ปาน แต่แน่นอนว่ามันไม่อยู่จริง เพราะนี่เป็นนิยาย ไม่ใช่อนิเม...
“เบื่อเหรอครับ ถ้างั้นเราไปเที่ยวสวนสนุกกันดีมั้ย?”
ฟิวส์รีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และสองสามีภรรยาแฟทัลเองก็รับมุขเออออตามในทันที
“นั่นสิๆ หรือจะไปบ้านพักตากอากาศที่ฝรั่งเศสดี?”
“ใช่ๆ ไปเที่ยวชายทะเลก็ไม่เลวนะจ้ะลูกฟราน”
ฟรานทำแก้มป่องขึ้นมาอีกข้างหนึ่ง ใบหน้าเริ่มจะทะมึนไปเป็นแถบ แต่ก็ยังคงพูดเจื้อยแจ้วตอบไปว่า “ไม่เอาฮะ พวกนั้นก็เบื่อแล้ว”
สามในสี่เจ้าของนามสกุลแฟทัลได้แต่ใบ้กินเมื่อคิดไม่ออกว่าจะเสนออะไรต่อดี ในเมื่อพวกเขาเริ่มรับรู้แล้วว่า คำว่า ‘เบื่อ’ ของฟรานในยามนี้นั้นค่อนข้างจะไม่ธรรมดา
ร่างเล็กเห็นเช่นนั้นก็เงียบไปอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ แต่เป็นเพราะว่ากำลังใช้ความคิดอยู่ต่างหาก คิ้วเรียวสวยค่อยๆ เริ่มขมวดกันเป็นปม
บรรยากาศทะแม่งๆ แบบนี้กระจายตัวอยู่ร่วมหนึ่งนาทีเต็ม ก่อนที่ตัวต้นเหตุจะดีดนิ้วดังเป๊าะและร้องออกมาเสียงดัง
“จริงสิ!”
สามชีวิตที่เหลือสะดุ้งโหยง ออกปากถามเชิง ‘มีอะไรเหรอ’ ด้วยความงุนงง
ดวงตากลมโตสีเงินเป็นประกายระยิบระยิบ “ฟรานอยากมีลูกจังเลยฮะ!”
โครม!
ร่างสามร่างทะยานหล่นจากเฟอร์นิเจอร์อันเป็นที่พักพิงลงไปจูบพื้นอย่างสวยสดงดงาม พูดได้ว่าเล่นเอาหมดมาดกันไปเลยทีเดียว
ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ยังคงเห็นแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมของฟราน และนั่นทำให้คุณพ่อที่โอ๋ลูกอย่างหนักหลุดปากพูดออกมาอย่างไม่ทันคิด
“ฟรานเค้าบอกว่างั้นน่ะฟิวส์”
ทว่าคนที่ยังมีสติเต็มร้อยย่อมว้ากกลับเสียงดังว่า “ละเมอแล้วพ่อ! พ่อก็ลองลากคุณลุงดิซัสเทอร์เข้าห้องไปอยู่ด้วยกันซักคืนสองคืนก่อนสิ! ถ้าท้องเมื่อไหร่ค่อยมาบอกผมใหม่ละกัน!”
“ได้...” มิสเตอร์แฟทัลที่ท่าทางจะละเมออยู่จริงๆ ตอบด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “เอ้ย! ไม่ใช่! พูดอะไรบ้าๆ ฟิวส์!”
“ก็ใช่น่ะสิ!” ฟิวส์เถียงกลับทันควัน “รู้ตัวแล้วก็ย้อนกลับไปทบทวนประโยคคำพูดของตัวเองใหม่ด้วย!”
บิดาบังเกิดเกล้ายืนค้างไปราวๆ สิบวิ และในที่สุดก็ต้องกล่าวขอโทษขอโพยลูกชายไม่ขาดปากเมื่อพบว่าคำพูดของตัวเองมันช่างบ้าบอจริงๆ
มิสแฟทัลเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปไกล่เกลี่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ใจเย็นๆ กันก่อนสิ วิธีที่จะมี ‘ลูก’ ได้น่ะ ไม่ได้มีแค่วิธีเดียวหรอกนะคุณคะ ฟิวส์”
สองผู้ที่ถูกพาดพิงถึงในประโยคเบื้องต้นพากันตีสีหน้างุนงงในทันที และคงจะต้องทำหน้าอย่างนั้นไปอีกนาน ดังนั้นคุณนายหญิงแฟทัลจึงจำต้องสงเคระห์เฉลยคำตอบให้แต่โดยดี
“ก็ ‘การรับลูกบุญธรรม’ ยังไงล่ะคะ” เว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อหันไปส่งยิ้มหวานให้บุตรชายคนเล็กสุดที่รัก “เอาอย่างนี้ดีมั้ยจ้ะลูกฟราน”
ใบหน้าน่ารักที่แทบจะถอดแบบออกมาจากมารดาด้วยพิมพ์เดียวกันพยักหน้าหงึกหงักอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มหวานๆ เผยออกมาในที่สุด และนั่นทำให้มิสเตอร์แฟทัลไม่คิดจะนั่งบื้อรอช้าอยู่อีกต่อไป ร่างสูงสง่าแทบจะรีบถลาออกไปหา ‘ลูกบุญธรรม’ มาถวายให้แก่ฟรานตั้งแต่มิสแฟทัลออกปากพูดคำแรกแล้ว
...และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้!...
.
.
.
“ทำไมอยู่ดีดีถึงอยากเลี้ยงเด็กล่ะครับฟราน?”
แว่วเสียงถามมาจากพี่ชายคนโตแห่งตระกูลแฟทัลที่แม้นัยน์ตาคมจะกำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารในมือ ทว่าความรักต่อน้องชายหรือ “ภรรยา” ก็ยังคงมีท่วมท้นมากกว่าอยู่ดี
คนโดนถามหยุดชะงักหลังจากที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงด้วยความเบื่อหน่ายอยู่นานพอตัว ร่างเล็กพลิกตัวให้นอนคว่ำ ช้อนดวงตากลมโตมองพี่ชายหรือ “สามี” สุดที่รัก ก่อนจะตอบเสียงหวาน
“ก็ฟรานอยากมีลูกนี่ฮะ”
เล่นตอบออกมาตรงๆ อย่างนั้นทำเอาฟิวส์หน้าขึ้นสีไปเลยทีเดียว
ภายในดวงตาสีเงินสดใสพลันเกิดประกายระยิบระยับ เสียงหัวเราะคิกคักด้วยความชอบอกชอบใจเหลือคณาหลุดออกมาจากเรียวปากเล็กๆ นั้นหลังจากได้เห็นใบหน้าเขินอายของอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นมาเสียนาน (ว่าง่ายๆ คือฟิวส์มันหน้าด้านเกินไป)
ฟิวส์ทอดสายตามองร่างน้อยๆ ที่เริ่มเข้ามาคลอเคลียออดอ้อน พยายามเรียกความสนใจจากเขาให้เลิกยุ่งวุ่นวายกับเอกสารกองเบอเริ่มเสียที และแน่นอนว่าคนอย่างฟิวส์...มีหรือจะไม่สนองตอบในทันที!
ใบหน้าคมเข้มโน้มเข้าไปประชิดใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูที่มองกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเสียที อันที่จริงต้องบอกว่านั่งมองมาตั้งแต่อีกฝ่ายเกิดจนบัดนี้ก็ยังไม่เบื่อเลยด้วยซ้ำ และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยออกมาอย่างแช่มช้า
ลมหายใจอุ่นๆ ระรดใบหน้างดงาม ก่อนที่ร่างสองร่างจะแนบชิดกันมากขึ้นทีล่ะนิด...ทีล่ะนิด...
ปัง!
“ฟิวส์! ฟราน! พ่อหาลูกบุญธรรมได้แล้วล่ะ!” ตัวขัดจังหวะชั้นยอดโผล่ออกมา ส่งรอยยิ้มเจิดจ้าไปทั่วห้องก่อนจะไปปะทะเข้ากับรังสีทะมึนของฟิวส์ “โอ๊ะ สวีทกันอยู่เหรอ งั้นพ่อไปรอด้านล่างนะ!”
ฟรานเกาแกมน้อยๆ ด้วยความกระดากอาย ในขณะที่ใบหน้าของฟิวส์ก้มต่ำจนคางแทบชิดลำคอ เสียงกัดฟันกรอดๆ ดังออกมาอย่างชัดเจน
อย่าให้รู้นะว่าเมื่อกี้จงใจเข้ามาขัดน่ะ!
.
.
.
คนหัวทองตาทองต้องใช้เวลาสงบจิตใจร่วมกว่าสิบนาทีเพื่อที่จะไม่ให้เผลอตัวกระโจนเข้าไปงับแขนคุณพ่อผู้แสนจะกวนประสาทนั่นให้เสียรู้แล้วรู้รอด และแล้วในที่สุด สองพี่น้องฟิวส์ฟราน (หรือคู่สามีภรรยา) ก็ตัดสินใจอัปเปหิตนเองลงไปยังห้องโถงชั้นล่างเพื่อไปยลโฉมลูกบุญธรรมของตนเองได้เสียที
แต่แล้ว เมื่อเท้าของทั้งคู่เหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย พวกเขาก็ต้องตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริด ด้วยคาดไม่ถึงว่า ‘ลูกบุญธรรม’ ที่ท่านพ่อที่เคารพรักพูดถึงน่ะ...
จะหามาให้ตั้งสองคน!
ในขณะที่ฟิวส์กำลังเริ่มรู้สึกทะแม่งๆ ยังไงชอบกลจากลางสังหรณ์ของเขา ฟรานก็ร้องว้าวออกมาด้วยท่าทางปลาบปลื้มใจ สองขาเรียวเล็กเร่งก้าวยาวๆ มุ่งตรงไปยังใจกลางของห้องโถงอันโอ่อ่านี้อย่างรวดเร็ว
“มากันแล้วนั่นไง แนะนำตัวกันหน่อยสิจ้ะ”
คุณหญิงแฟทัลเป็นคนแรกที่หันมาเห็นผู้มาใหม่ รอยยิ้มหวานและน้ำเสียงนุ่มนวลถูกส่งไปยังเด็กน้อยทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาและกำลังหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“มาม้าฟราน!” เด็กสาวตัวน้อยร้องออกมาด้วยเสียงแหลมเล็ก “หนูชื่อ เฟมีล ค่ะ!”
เด็กชายที่อยู่ข้างๆ หันมามองตาม พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชาว่า “เฟรัน ครับ”
“สองคนนี้เป็นฝาแฝดกันนะลูก!”
มิสเตอร์แฟทัลกล่าวด้วยท่าทางปลาบปลื้มไม่แพ้กัน ในจังหวะนี้เอง คุณพี่ชายที่เดินทอดน่องแบบสุดๆ ก็มาถึงใจกลางห้องโถงเสียที
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งสองพากันกวาดสายตาพินิจพิจารณาเด็กน้อยสองคนที่กำลังจะมาเป็นลูกบุญธรรมของพวกเขาอย่างเป็นทางการกันอย่างละเอียดยิบ
ฝ่ายเด็กหญิงนั้นดูน่ารัก ร่าเริง และสดใส ดวงตากลมโตสีดอกทานตะวันและเรือนผมสีแดงเพลิงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ ใบหน้าน่ารักที่มีแก้มยุ้ยช่างน่ารักน่าหยิกเสียยิ่งกระไร
ในขณะที่เด็กชายเฟรันดูจะเป็นคนเย็นชาไปหน่อย แต่ที่สะดุดเสียเหลือเกินก็คงจะเป็นเรือนร่างเพรียวบางและใบหน้าหวานซึ้งนั่นที่ทำให้คนที่กำลังจะมาเป็น ‘คุณพ่อ’ รู้สึกเห็นภาพแมลงหวี่แมลงวันอยู่รำไร ดวงตาเรียวสีทองและเรือนผมสีเงินออกจะดูแปลกตาไปบ้างแต่ก็เข้ากันได้ดี
เด็กน้อยทั้งสองดูเหมือนกับว่าเอาอะไรหลายๆ อย่างระหว่างฟิวส์กับฟรานมาผสมกันได้อย่างลงตัว แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ฟิวส์ก็ได้แต่คิดว่าพ่อของตนช่างคัดเลือกเด็กมาได้ดีจริงๆ
...แต่แล้วฟิวส์ก็ต้องถอนความคิดของเขาแทบจะทันที
“ถึงจะยังเด็กไปหน่อยแต่ก็มีฝีมือด้านการต่อสู้อยู่พอตัว การันตีจากซัสเทอร์เลยนะ!”
ก็ว่าทำไมถึงเร็วนัก...ที่แท้ก็โทรไป ‘อ้อน’ ขอจากคนที่ตามใจเพื่อนรักเสียยิ่งกว่าอะไรดีอย่างเจ้าพ่อวงการมืดดิซัสเทอร์นี่เอง
ฟิวส์กำลังคิดว่าลางสังหรณ์ของเขานี่ช่างแม่นยำจริงๆ ในขณะที่แอบจิกกัดบิดาของตนเองในใจไปด้วยทำนองว่าขอให้อีกฝ่ายช่วยกรุณาสำเหนียกนิดนึงว่าตระกูลของพวกเขาน่ะประกอบธุรกิจ ไม่ใช่เป็นมาเฟีย เอะอะอะไรก็ต่อสู้ๆ ลูกเดียวเลย!
ทว่า แม้ฝ่ายคุณพ่อมือใหม่จะกำลังรู้สึกอยากหงายหลังตึง แต่ฝ่ายคุณแม่มือใหม่นั้นกลับทำท่าตื่นเต้นเหมือนเจอไดโนเสาร์มาเต้นระบำให้ดูอยู่ตรงหน้า ฟรานไม่รอช้า ร่างเล็กๆ พุ่งเข้าไปหาเด็กทั้งสองแทบจะทันที
กว่าฟิวส์จะหลุดออกมาจากโลกของตนเองได้ เขาก็พบว่า ‘ครอบครัวสุขสันต์’ กำลังจะถือกำเนิดขึ้นเสียแล้ว เมื่อฟราน เฟมีล และเฟรัน กำลังพูดคุยเจื้อยแจ้ว เข้าขากันได้ดีราวกับรู้จักกันมาสิบปี ทั้งๆ ที่ความจริงเพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีก็เถอะ
...แบบนี้คุณพ่อมือใหม่ก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็น ‘ปาป๊า’ ซะหน่อยแล้วล่ะ...
.
.
.
[“เห...เป็นงั้นไป?”]
“เออ เชื่อไม่เชื่อพวกเขาก็เป็น ‘ลูก’ ของฉันมาสองเดือนแล้วล่ะ”
ฟิวส์กรอกน้ำเสียงที่ฟังดูสบายๆ ลงไปในโทรศัพท์เครื่องหรู ปลายสายของเขาก็คือว่าที่ศาสตราจารย์ชื่อดังที่เลื่องชื่อลือนามว่าทั้งหล่อ ทั้งหนุ่ม ทั้งเก่ง
...แต่สำหรับเขาอีกฝ่ายก็ยังคงเป็น ‘โซล’ เพื่อนสนิทของตนอยู่วันยังค่ำ
[“จะให้ไม่เชื่อได้ไงล่ะ นายนี่ก็ท่าทางจะบ้า ส่งรูปลูกมาอวดเป็นอัลบั้มอย่างนี้ เล่นเอาคิริวร้องอยากมีลูกตามเลยเนี่ย”]
“คุณภรรยาอยากมีก็มีๆ ให้เค้าไปหน่อยซะสิ” ฟิวส์กระเซ้าเย้าแหย่กลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
อีกฝ่ายสวนกลับมาแทบจะทันทีด้วยคำที่แสนจะคุ้นหูแบบสุดๆ [“ไอ้บ้า!”]
“บ้าไม่บ้าฉันกับฟรานก็รับลูกมาเลี้ยงกันไปแล้ว แถมเป็นลูกแฝดน่ารักสุดๆ ไปเลยด้วย!” ก่อนที่คุณพ่อเห่อลูกจะเปลี่ยนเรื่องให้ฟังดูดีขึ้นมาบ้าง “แล้วนายกับคิริวเป็นยังไงกันบ้างล่ะ อยู่ทางนั้นโอเคมั้ย”
‘ทางนั้น’ ที่ว่าก็คืออเมริกา และหากถามว่าเหตุใดถึงต้องไปก็เป็นเพราะว่าคุณแม่ของคิริวตกลงปลงใจย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ร้อนให้ลูกชายยอดกตัญญูจำต้องถ่อตามไปอย่างเสียมิได้ และแน่นอนว่าถ้าคิริวไปก็ย่อมมีอีกหนึ่งคนที่พ่วงตามไปด้วย
เวลาห้าปีนั้นยาวนานมากจนเกินพอสำหรับการที่จะทำอะไรหลายๆ อย่าง ตัวอย่างเช่นโซลกับคิริวที่ใช้เวลาไม่นานนักก็ลัดชั้นมหา’ลัยที่อเมริกาจนได้เป็นศาสตราจารย์ในเวลาเพียงห้าปีนี้นั่นแหละ!
[“ก็ดีล่ะมั้ง ถ้าไม่นับเรื่องที่คิริวเอาแต่ร้องงอแงอยู่ทุกวันว่า ‘เบื่อ! ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย’ อะไรประมาณนั้น”]
“ฮะๆ ก็สมกับเป็นเจ้าเด็กนั่นดี”
ชายหนุ่มฟังแล้วแทบจะนึกภาพรุ่นน้องคนโปรดกำลังร้องไห้งอแงโวยวายใส่โซลได้เป็นอย่างดี
[“หึ นายไม่เจอกับตัวนี่ฟิวส์ ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันอยากหิ้วคิริวกลับไทยมากขนาดไหน แต่กลัวแม่เขาจะหาว่าหนีตามกันนี่ดิ!”]
“ฮ่าๆๆ หนีตามกัน! นี่มันตั้งยุคอะไรแล้ว ใครเขาจะไปทำเรื่องแบบนั้นกัน!” ฟิวส์ถึงกับฮาแตกเมื่อลอง
[“ตะกี้ ‘หึ’ งั้นคราวนี้ขอ... ‘เหอะ!’ อย่างน้อยๆ แม่ของคิริวกับแม่ของฉันก็คิดล่ะนะ เล่นนั่งดูละครหลังข่าวด้วยกันอยู่ทุกวันเนี่ย”] ว่าพลางส่งเสียงถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมาอีกครั้ง [“นายก็ช่างชอบพาออกนอกเรื่องจริงๆ ฉันไม่ได้ถามซักทีเนี่ย...แบล็คเป็นไงบ้าง?”]
ได้ยินเช่นนั้นอนาคตนักธุรกิจก็บ่นอุบอิบออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ทำไมพวกเราถึงเอาแต่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไปมาเหมือนพวกตาแก่เลยเนี่ย”
ทว่าโซลกำลังร้อนใจอย่างมาก...กับค่าโทรต่างประเทศที่แพงหูฉี่! [“เออน่า ตอบๆ มาเหอะ”]
“คร้าบๆ” ฟิวส์ลากเสียงยาว จงใจกวนประสาทเต็มที่ “คุณชายแบล็คเค้าก็อยู่ดีมีสุขเหมือนปกตินั่นแหละ จะไม่สุขหน่อยก็ตรงที่โดนคาร์รบเร้าให้พามาเจอหน้าลูกฉันอยู่ทุกวันอ่านะ”
[“โอเค เข้าใจแล้ว”] ปลายสายตอบกลับมาอย่างปิดน้ำเสียงละเหี่ยใจไม่มิด
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งวาง ให้ฉันถามนายก่อนว่าตกลงจะกลับมาเมื่อไหร่”
โซลเงียบไปเล็กน้อยเหมือนจะกำลังคิดไม่ตก [“ภายในสามอาทิตย์ละกัน”]
“ได้”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตอบรับสั้นๆ ก่อนจะกดตัดสายไปอย่างรวดเร็ว คราวหน้าจะได้ไม่ต้องฟังอีกฝ่ายบ่นเรื่องค่าโทรศัพท์อีก รวยก็รวยแท้ๆ แต่ดันมากังวลเรื่องค่าโทรศัพท์ซะได้...
...คิดถึงค่าสินสอดไปเหอะ!
.
.
.
“ฟรานจัง~~~~~~!”
ร่างเล็กเจ้าของนามสะดุ้งโหยงเมื่อโสตประสาทของเขารับรู้ได้ถึงเสียงเสียงหนึ่งที่ลากยาวเสียจนชวนหลอนประสาท นัยน์ตากลมโตขยับลอกแลกไปมาเพื่อค้นหาที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว
และนั่น...
“หวา!”
ตึง
ยังไม่ทันตั้งตัว เก้าอี้กำมะหยี่ชั้นดีก็ถึงคราวเคราะห์ต้องหงายหลังตึงไปพร้อมๆ กับผู้ที่กำลังพักพิงมันอยู่ และสาเหตุนั้นจะเป็นเพราะอะไรไปมิได้นอกจาก...
“พี่เอิง!”
ใช่แล้ว! อาคันตุกะผู้มาใหม่ที่กำลังโปรยยิ้มหวานเป็นเชิงขอโทษให้กับเขาอยู่ก็คือ เอิง หัวหน้ากลุ่มนักฆ่า ‘สิบสามมรณะ’ ที่แม้ว่าจะผ่านไปห้าปีแต่ดูเหมือนว่าระดับความเป็นผู้ใหญ่ของเขาจะไม่กระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่กลับสวยวันสวยคืนเสียจนน่าหมั่นไส้นี่สิ!
ใบหน้างดงามของเอิงยังคงประดับด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายในขณะที่กล่าวว่า “สบายดีมั้ยเอ่ย? แล้วเฟมีลจังกับเฟรันจังล่ะ? พี่เอาเค้กมาฝากด้วยนะ!”
ฟรานเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลที่วิ่งแล่นเข้ามาในสมองของตนเร็วเกินไปเสียจนรับไม่ทัน และเอิงเองก็รู้ดี เขาจึงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาขนาดใหญ่และยกถ้วยน้ำชาแถวๆ นั้นมาจิบรอ
ราวๆ ยี่สิบวินาทีได้กว่าร่างเล็กจะหายงง เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นมาจากพื้น เดินไปนั่งข้างๆ เอิงก่อนจะตอบรัวออกมาแบบที่ถ้าคนอื่นมาได้ยินคงไม่มีวันรู้เรื่อง
“ก็สบายดีมั้งฮะ...เฟมีลกับเฟรันนอนกลางวันอยู่บนห้อง แล้วเฟรันก็เป็นเด็กผู้ชายนะฮะ เลิกเติม ‘จัง’ ได้แล้วมั้ง...ขอบคุณฮะ”
เจ้าของร่างเพรียวบางที่มีเสน่ห์ล้นเหลือยิ้มบาง พยักหน้ารับให้กับประโยคคำพูดสามประโยคที่ถูกใช้ตอบคำถามของเขาอย่างครบถ้วน มือเรียวบางยื่นกล่องเค้กให้กับร่างข้างกายที่รับไปอย่างว่าง่ายและกล่าว ‘ขอบคุณ’ เบาๆ ให้กับเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ก็เฟรันจังน่ารักนี่นา ฟรานจังก็น่ารัก คนที่น่ารักก็ต้องเติม ‘จัง’ ให้หลังชื่อสิ!”
นั่นมันทฤษฎีอะไรเนี่ย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เอิงจัง’ ด้วยน่ะสิ!
ใบหน้าน่ารักกระตุกยิกๆ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้แม้มันจะดูเจื่อนสนิทก็ตาม
ฟรานถอนหายใจ ถามว่า “วันนี้มาทำอะไรเหรอฮะ”
แม้ว่าประโยคเบื้องต้นจะฟังดูค่อนไปทาง ‘ขวานผ่าซาก’ มากเกินไปหน่อย แต่ทั้งสองต่างก็รับรู้อยู่แล้วว่าประโยคคำพูดนั้นมิได้มีเจตนาใดๆ แอบแฝงอยู่
ดังนั้นคนถูกถามจึงเพียงแค่ยิ้มหวานเช่นปกติ “ก็แค่คิดถึงฟรานจังกับเด็กน้อยฝาแฝดสุดแสนจะน่ารักน่ะ”
“...ผมว่าไม่ใช่นะ” ดวงตากลมโตหรี่เล็กลงในบัดดล “อืม...ถึงกับซื้อเค้กมาฝากด้วยแบบนี้ งอนพวกพี่ๆ คนอื่นอีกแล้วเหรอฮะ?”
ใบหน้าที่มีเหงื่อไหลพลั่กๆ ของเอิงเฉลยคำตอบให้กับฟรานได้อย่างดีเยี่ยมว่าเขากำลังจี้ถูกจุดแล้ว
ไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงใช้คำว่า ‘อีกแล้ว’ แน่นอน...คำคำนี้มักจะถูกใช้สำหรับการกระทำที่ซ้ำซากเสียจนน่าเบื่อ และในกรณีของเอิงเองก็เช่นเดียวกัน
“อ่า...ขอค้างซักสองวันนะ”
เมื่อพบว่าดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าของนัยน์ตาสีมหาสมุทรแสนสวยจึงยอมรับข้อกล่าวหาที่ฟรานตั้งไว้แต่โดยดี ไม่วายเอ่ยปากขอพักพิงอีกด้วย
บุตรคนเล็กสุดรักสุดหวงของตระกูลแฟทัลเบ้ปาก เอ่ยจิกแบบเน้นย้ำทีล่ะคำๆ ไปว่า “พี่เอิงจำครั้งที่แล้วที่พี่หนีมาค้างที่นี่เหมือนกันไม่ได้เหรอฮะ? คฤหาสน์ตระกูลผมไม่ได้มีไว้ให้ถล่มเล่นนะฮะ ต้องซ่อมตั้งนาน ล่อไปหลายล้านแน่ะ!”
‘ครั้งที่แล้ว’ ที่ว่านั้นหมายถึงประมาณสองเดือนก่อน และเอิงก็หนีมาด้วยปัญหา ‘รักร้าวราน’ ตามแบบฉบับของสิบสามมรณะเหมือนในครั้งนี้ และเมื่อหัวหน้าสุดที่รักดันหายลับไปกับสายลมก็เล่นเอาอีกสิบสองคนที่เหลือแทบคลั่ง ตามหาตัวแบบพลิกแผ่นดินหากันเลยทีเดียว พอพวกเขาหาเจอเอิงก็ดันเล่นตัวไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี แล้วเป็นไงล่ะ...
หึ! ก็แค่คฤหาสน์แฟทัลโดนถล่มไปครึ่งหลังเท่านั้นเอง!
นัยน์ตาเรียวสวยของเอิงจ้องมองใบหน้าที่ทะมึนไปเป็นแถบของฟรานซึ่งเกิดจากการระลึกความหลังอย่างหวาดๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้ ร้องขอที่หลบภัยต่อไปอย่างมุ่งมั่น
“นะๆ แค่คืนเดียวก็ได้ ถ้ามีค่าเสียหายเดี๋ยวพี่จ่ายให้เอง สาบานเลย!”
“พี่เอิงฮะ...” น้ำเสียงหวานเริ่มแฝงแววเหี้ยมเกรียม “จำครั้งที่แล้วไม่ได้อีกงั้นหรือฮะ? ผมเพิ่งรับลูกมาเลี้ยงได้ไม่ทันครึ่งวัน พวกพี่ก็พยายามจะเอามีด ระเบิด เข็มอาบยาพิษ แล้วก็อะไรทำนองนั้นมาโยนใส่ลูกผมแล้วน่ะ!”
“ฮือ...”เอิงเริ่มงอแงเมื่อเห็นท่าทีว่าจะต้องยอมแพ้ “ก็พี่ไม่รู้นี่นาว่าเรารับเด็กมาเลี้ยงแล้วน่ะ แต่เฟมีลจังกับเฟรันจังก็เก่งน้า! พี่เคยฝึกให้พวกเขาด้วยตัวเองเลยน้า!”
“มันเกี่ยวกันซะที่ไหนล่ะฮะ” ฟรานยัวะปรอทแตก เปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงอุณหภูมิติดลบอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ ทว่าในยามมีภัยก็ย่อมมีพระเอกขี่ม้าขาว แม้ว่า ‘พระเอก’ คนนี้ดูเหมือนจะมาทำให้สถานการณ์แย่ลงมากกว่าดีขึ้นก็ตามแต่...
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปาป๊าผู้กำลังเห่อลูกสุดใจอย่างฟิวส์ที่เปิดประตูเข้ามาได้จังหวะอย่างพอดิบพอดี แถมดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงรังสีทะมึนที่ตลบอบอวลอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งสาวเท้ามาถึงระยะประชิดตัวเขาถึงจะเอะใจขึ้นมาได้
“มีอะไรเหรอครับฟราน?”
พี่ชายแสนดีได้โล่ไม่รอช้าเอ่ยปากถามโดยพลัน และก็ได้รับใบหน้าหงิกงอของน้องชายสุดที่รักตอบกลับไป
“พี่เอิงหนีพวกพี่ๆ สิบสามมรณะคนอื่นมาอีกแล้วน่ะฮะ”
นัยน์ตาสีทองคมกริบของฟิวส์หรี่เล็กลงเสียจนน่ากลัว ก่อนที่เขาจะส่ายศีรษะไปมาอย่างสุดแสนจะเหนื่อยใจ
“ถึงจะซ่อมเสร็จแล้วแต่ก็อย่ามาถล่มซ้ำเลยดีกว่านะ ถ้ายังมีอีกครั้งพ่อคงได้อาละวาดบ้านแตกแหงมๆ รอบนี้ต่อให้เป็นลุงดิซัสเทอร์ก็คงจะฉุดไม่อยู่แล้วล่ะ”
ก่อนที่ใบหน้าของทั้งสามชีวิตที่อยู่ในห้องรับแขกแห่งนี้จะพร้อมใจกันซีดเผือดลงอย่างพร้อมเพรียงหลังจากที่ลองจินตนาการคิดภาพตามดู
“มิสเตอร์แฟทัลน่ะยิงปืนเก่งที่สุดในโลกเลยนะ...”
“...และฉันก็คงต้องบอกว่าเสียใจด้วย เพราะฉันคิดว่าถ้านายยังอยู่ต่อคงจะได้ไปเป็นเป้าให้พ่อฉันยิงจริงๆ แน่งานนี้”
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่ลอยๆ แต่เป็นความจริง ซึ่งเอิงก็เคยได้รับชมฝีไม้ลายมือของ ‘มือปืนที่เก่งที่สุดในโลก’ มากับตาเองแล้วด้วย และเขาเองก็ไม่มีแม้แต่ความคิดที่อยากจะไปยืนเป็นเป้ายิงปืนเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ...
“เรื่องนั้นฉันรู้ดีอยู่แล้วล่ะน่า...แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา!”
“...ใช้เหตุผลว่า ‘ช่วยไม่ได้’ น่ะมันฟังไม่ขึ้นหรอกนะครับ”
“มันฟังไม่ขึ้นตรงไหนกัน”
นัยน์ตาเรียวสวยสีฟ้าครามหรี่เล็กลง ตวัดมามองฟิวส์และฟรานที่มีสีหน้าแปลกๆ อย่างอาฆาต
ฟรานเก็บสีหน้าประหลาดเมื่อครู่กลับไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเบิกบาน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริงสุดๆ ว่า “เย้! คฤหาสน์เรารอดแล้วฮะพี่!”
“ก็คงงั้นล่ะครับ” ฟิวส์ยิ้มเจื่อน แล้วจึงหันไปเฉลยคำตอบของท่าทีทั้งหมดให้แก่เอิงที่ขมวดคิ้วมุ่น “มีคนมารับกลับบ้านแล้วแน่ะ”
ทันใดนั้นเอง ใบหน้างดงามก็ซีดเผือดลงไปอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะดูดีกว่าที่ซีดลงไปในครั้งแรกก็เถอะ และก่อนที่ใครจะได้ทันตั้งตัว มือหนักๆ ก็วางลงบนไหล่เล็กของหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าเลื่องชื่อดัง ‘ตุบ’
ในสายตาของคนดูแล้ว ฉากนี้นั้นช่างคู่ควรแก่การไปอยู่ใน ‘หนังผี’ เสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าซีดๆ ของเอิงที่ค่อยๆ หันไปมองด้านหลังอย่างแช่มช้า มือที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ และ...ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของอาคันตุกะผู้มาใหม่ที่เกรงว่าจะน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก!
“น่ะ...เนิฟ...”
เจ้าของร่างเพรียวบางและใบหน้าหวานสวยที่ดูยังไงๆ ก็ควรจะไปเกิดเป็นผู้หญิงชัดๆ แสดงอาการตื่นตระหนกขั้นร้ายแรงออกมาในทันทีที่หันไปเห็นว่าเจ้าของมือที่ถือวิสาสะมาสัมผัสกายเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นคือใคร
“ครับ ผมเอง” ชายหนุ่มรับคำหน้าตาย
เอิงเผยสีหน้าคล้ายประสาทจะกิน มือเรียวยาวภายใต้ถุงมือหนังสีดำขยี้เรือนผมของตนเองเป็นการระบายอารมณ์
“ฉันรู้น่าว่าเป็นเธอ!” น้ำเสียงติดจะหวานพูดกึ่งตะคอก “มาทำไม”
พลัน ราวกับว่าห้องรับแขกแห่งตระกูลแฟทัลกลายเป็นหุบเขาที่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะซึ่งกำลังโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงไปโดยบัดดล นัยน์ตาสีชมพูอันหาได้ยากของเนิฟสาดรังสีอำมหิตไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าเอิงเองก็สาดรังสีแบบเดียวกันนั้นกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
กระทั่งอดีตสองพี่น้อง ปัจจุบันสามีภรรยา ก็ยังอดจะรู้สึกหนาววูบวาบทั้งกายไปด้วยอย่างเสียมิได้
อยู่ดีไม่ว่าดี มีความผิดติดตัวแล้วยังจะไปยั่วให้เขาโกรธอีก...
ร่างเพรียวระหงราวกับจะปลิวไปกับสายลมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักแน่น พยายามตั้งสติให้ดี ก่อนกล่าวว่า “ผมมาคนเดียวเพราะไม่อยากให้วุ่นวาย กลับกันเถอะครับ”
ใบหน้าสวยของเอิงเริ่มงอง้ำ “แต่ฉันยังไม่อยากกลับนี่!”
“ไม่อยากกลับก็ต้องกลับนะครับ ทุกคนเป็นห่วงคุณมากนะ”
“...ถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่ฉันก็ยังไม่อยากกลับอยู่ดีอ่ะ!”
สัญลักษณ์แสดงความโมโหปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเนิฟที่มักจะรักษาคอนเซปต์ของตัวเองซึ่งก็คือ ‘นิ่งเงียบ’ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทว่ามันก็ไม่เคยที่จะต่อต้านความดื้อรั้นของบุคคลตรงหน้าของเขาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
และก่อนที่ใครต่อใครจะได้ยืนรับชมเหตุการณ์ ‘รักร้าวราน’ ต่อไป เนิฟก็ตัดสินใจที่จะตัดบทเอาดื้อๆ เดินดุ่มๆ ไปอุ้มร่างของเอิงพาดบ่าแล้วพุ่งออกไปในทันทีโดนไม่คิดจะร่ำลาให้เสียเวลา
...ไม่วายทิ้งเสียงด่ารัวไว้เป็นของที่ระลึก
“ไม่เอา ไม่กลับ เนิฟบ้า เกลียดที่สุดเลย!”
และเสียงหลอนๆ ของเนิฟที่ตอบกลับประโยคนั้น
“ไม่ได้ครับ...ต้องกลับครับ...บ้าก็บ้าครับ...ทำใจเกลียดได้ก็ตามสบายครับ...”
อืม...มันช่างเป็นยุทธวิธีรับมือเอิงที่น่านับถือจริงๆ ตอบรัวไปอย่างนั้นเล่นเอาหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าคนสวยงงจนนึกคำด่าไม่ออก เงียบกริบไปทันควัน
ฟรานแสยะยิ้ม รีบบันทึกกระบวนการนั้นเอาไว้ในสมองอย่างเร็วรี่
...มาแล้วก็ไป จะว่าสมกับเป็นมือสังหารดีก็กระไรอยู่...
.
.
.
“เฟมีล! เฟรัน! อยู่ที่ไหนกันลูก!”
ฟรานกำลังเดินวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น
มิใช่อะไรอื่น มันเป็นเพียงเหตุผลง่ายๆ ว่าสองฝาแฝดตัวน้อยของเขาเกิดนึกสนุกอยากเล่นซ่อนแอบกับปาป๊าฟิวส์ขึ้นมา และก็ดันหาที่หลบได้อย่างดีเยี่ยมจนชายหนุ่มหายังไงก็หาไม่เจอ แถมคฤหาสน์ก็ใช่ว่าจะเล็กๆ เสียด้วย
ลงท้ายพอถึงเวลามื้ออาหารเย็นเด็กน้อยทั้งสองก็ยังคงไร้วี่แววที่จะโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อน ฟิวส์เองก็โดนมิสเตอร์แฟทัลลากไป ‘ฝึกงาน’ ต่อ ดังนั้นหน้าที่ในการตามหาเฟมีลและเฟรันจึงตกลงมาอยู่ที่ฟรานซึ่งว่างสุดๆ
เอาล่ะ รู้ที่มาที่ไปกันเรียบร้อยแล้ว ฟรานก็คงต้องขอตัวไปตามหาลูกของตัวเองต่อก่อนล่ะ!
“เฮ้อ...เด็กๆ นี่เล่นซ่อนแอบเก่งที่สุดจริงๆ นั่นแหละ”
คุณแม่ตัวน้อยยังน่ารักได้แต่ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยแสนจะกลัดกลุ้มใจ
ทันใดนั้นเอง สัญชาตญาณที่ถูกลับมาให้คมกริบตั้งแต่เด็กก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ แม้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะมีฝีมือชั้นเยี่ยม ลงฝีเท้าแต่ละก้าวอย่างเงียบงัน ทว่า ‘เสียงตกค้าง’ ของรองเท้าก็ดังเกินพอที่จะทำให้ฟรานได้ยิน
ร่างเล็กหมุนคว้าง หันกลับหลังไปอย่างรวดเร็ว และหากไม่ใช่เพราะนัยน์ตากลมสีเงินของเขาไปสะดุดกับ ‘อะไรบางอย่าง’ เข้าเสียก่อน บางทีเขาอาจจะเผลอใช้ท่ายูโดทุ่มอาคันตุกะผู้มาใหม่เสียแล้ว
...เผลอทุ่มลูกของตัวเองที่เดินขาลากตามหาอยู่ตั้งนานน่ะนะ
ฟรานตะลีตะลานรีบเก็บไอสังหารของตนเองเสียยกใหญ่พลางยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเด็กน้อยฝาแฝดทั้งสองที่เขาคาดไว้ในตอนแรกว่าจะต้องพบกับใบหน้าที่ตกตะลึง ทว่าในความเป็นจริงนั้นมันดันกลับตาลปัตรไปเสียคนละขั้ว
กลายเป็นดวงตากลมสีเหลืองสดและดวงตาเรียวสีทองที่มีประกายระยิบระยับไปเสียได้
อ้อ...ใช่! สองคนนี้เป็นลูกศิษย์ของพี่เอิงนี่นา!
คิดได้เช่นนั้น ฟรานก็เลือกที่จะสลัดเรื่องเมื่อครู่ทิ้งออกไปจากหัวสมองอย่างไม่ใยดี คุณแม่ยังเด็ก (หนุ่ม) คลี่รอยยิ้มหวานให้กับเด็กน้อยทั้งสอง แล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่มว่า
“ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วนะทั้งสองคน คราวหลังอย่าเล่นเพลินกันอีกนะ”
เฟมีลได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดเจื้อยแจ้วแทรกขึ้นมาทันควันว่า “ก็ปาป๊าบอกว่าจะหาให้เจอให้ได้เลยนี่คะ!”
เฟรันยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าสวยหวานนั้นดูนุ่มนวลขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนที่เจอกันครั้งแรก แต่เด็กชายก็แอบพยักหน้าสนับสนุนแฝดของตนนิดๆ
“อย่างนั้นเหรอ” ฟรานยิ้มจางก่อนส่งเสียงหัวเราะคิกคัก “ฮะๆ ก็อาจจะหาเจอก็ได้ถ้าไม่โดน ‘ปาป๊าใหญ่’ ลากไปทำงานซะก่อน”
ได้ยินดังนั้นฝาแฝดตัวน้อยก็ยิ้มกว้าง พูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ว่าแล้วเชียว”
“หึๆ มาม๊าก็คิดเหมือนกันนั่นแหละว่าคงจะโดนลากไปสะสางงานเข้าซักวัน” นัยน์ตากลมมีประกายวิบวับเล็กน้อยในขณะที่พูด “เอาล่ะ! นี่ก็เย็นมากแล้ว รีบเข้าบ้านกันเถอะนะเฟมีล เฟรัน”
“ค่ะ!” เด็กหญิงรับคำเสียงใส
“ครับ” เด็กชายรับคำนิ่งๆ แต่มีรอยยิ้มหวานประดับอยู่ที่มุมปาก
ก่อนตัดฉากอยากจะกล่าวว่า?
“หวังว่าปาป๊าฟิวส์จะไม่จมกองเอกสารตายไปซะก่อนล่ะนะ...”
.
.
.
เป็นยังไงกันบ้างล่ะฮะ? พวกคุณคิดว่าทุกๆ วันของผมยังดูน่าเบื่อเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า
ถ้าถามผม...ผมก็คงได้แต่บอกว่ามันวุ่นวายชะมัดเลย!
หลังจากสองอาทิตย์แห่งความวุ่นวาย อาทิตย์ที่สามของผมก็มาพร้อมกับเซอร์ไพรซ์แบบไม่ทันตั้งตัว เมื่ออยู่ดีดีตื่นมากำลังงัวเงียได้ที่ก็ต้องตาค้างเมื่อเห็นร่างของคิริวกับพี่โซลกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นความผิดของพี่ชายที่เอาแต่บ้าเห่อลูกจนลืมเล่าเรื่องที่คุยกันทางโทรศัพท์กับพี่โซลให้ผมฟัง ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก!
เที่ยงวันนั้น คาร์กับพี่แบล็คก็ปรากฏกายมาพร้อมกับขนมเต็มมือ (แน่นอนว่าเป็นของฝาแฝด)
และเมื่อบุคคลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีได้กลับมาอยู่ด้วยกันจนครบ...งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น!
พวกเรานั่งล้อมวง ดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เฟรันติดหนึบอยู่กับผม ส่วนเฟมีลก็โดนปาป๊าโอ๋ไม่หยุด สองฝาแฝดตัวน้อยวัยกำลังน่ารักมีคนป้อนขนมนมเนยกันไม่หยุดปากเลยทีเดียว
และเมื่อบรรยากาศกำลังอินได้ที่ พี่โซลก็เข้าโหมดดราม่าอย่างกะทันหัน บรรยายความลำบากสารพัดที่ต้องทำเพื่อที่จะชิงตัวคิริวกลับมาที่ไทยให้ได้ฟังกันอย่างทั่วถึงและแทบจะเจาะลึกทุกรายละเอียด
อย่างน้อยก็ยังดี...ที่ในแผนการของพี่โซลไม่ได้ไปเอี่ยวกับการ ‘หนีตามกัน’ อะไรเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นมารดาบังเกิดเกล้าของทั้งสองคงได้ตีโพยตีพายไปเองจนอกแตกตายเป็นแน่แท้
ถัดมาก็เป็นตาแบล็คกับคาร์ คู่รักสุดบ้าบิ่นซึ่งเบนเข็มไปทำอาชีพที่ตื่นเต้นเร้าใจอย่างการท่องเที่ยวไปทั่วโลก รวบรวมสิ่งของมีค่าต่างๆ มาจัดประมูล พวกเขาพากันสาธยายถึงการเดินทางที่มีสีสันเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น...
ดำดิ่งลงไปในมหาสมุทรเพื่อเก็บ ‘ไข่มุกอภินิหาร’
ปีนเทือกเขาหิมาลัยไปรวบรวม ‘ดอกไม้แห่งความสุขสมหวัง’
ผจญไปในป่าใหญ่เพื่อแย่งชิง ‘ไข่ของนกลึกลับที่ยังไม่เปิดเผยนาม’
และอีกมากมาย บรรยายไม่หมด บลาๆๆ
...ห้าปีผ่านไป พี่ฟิวส์กับผมก็ได้เด็กน้อยฝาแฝดสุดน่ารัก เฟมีลกับเฟรัน มาเป็นลูกบุญธรรม...
...ห้าปีผ่านไป พี่โซลกับคิริวก็ประสบความสำเร็จทางด้านวิชาการ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างลือเลื่อง...
...ห้าปีผ่านไป พี่แบล็คกับคาร์ก็พากันท่องไปในโลกกว้าง ได้พบเจอกับสีสันต่างๆ มากมายในแต่ละมุมโลก...
...ห้าปีผ่านไป สิบสามมรณะก็ดูจะรักกันลึกซึ้งมากกว่าเดิม (?)...
เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นภายใน ‘ห้าปี’
พวกเรามีการเปลี่ยนแปลง
พวกเรามีการเสริมแต่ง
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ผันแปรไปเลยแม้แต่น้อยในเวลาห้าปีนี้
...มิตรภาพและความรัก...
...จะคงอยู่สืบไป...
The End
มาอัพแล้วค่า~ ก่อนอื่นก็คงต้องขออภัยอย่างใหญ่หลวงที่ช้ามากถึงเพียงนี้ T_T
ไรเตอร์พยายามอย่างหนักหนาสาหัสที่จะ...กระดึ๊บมันไปทีล่ะนิดในแต่ละวัน...
ยิ่งตอนนี้ยิ่งหัวหมุนเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี
นิยายที่ลงอยู่ก็ยังเหลือเรื่องที่ไม่จบ / Or not Friend? ก็เริ่มลงแล้วอีก / นิยายแฟนตาซีที่ทุ่มเทแรงใจแต่งอย่างหนักกะส่งสำนักพิมพ์ก็ต้องกระเตื้องไปเรื่อยๆ (ไม่ได้ลงเว็บไหน แต่งอย่างเงียบๆ ค่ะ)
ตีกันไปตีกันมา กลายเป็นว่าบางวันพอฟ้ามืดก็นึกขึ้นมาว่า ‘อ้าว วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย!’ - -^
แต่ยังไงก็จะพยายามใส่ใจกับตอนพิเศษของ Change! อย่างเต็มที่นะคะ ตอนนี้ก็ดันยาวปรื๊ดไม่จบเสียที
คงเพราะขอบข่ายเนื้อเรื่องมันกว้างเกินไปมั้งคะ ลงท้ายก็ตัดจบได้ซะทีที่ 22 หน้า!
...สาบานทีว่านี่มันแค่ sf ตอนเดียว T[ ]T!!!...
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สเปเชี่ยลตอนอื่นจะพยายามทยอยลงตามมาให้เร็วที่สุดละกันนะคะ~
PS.สามารถติดตามบทลงโทษของเอิง (ต่อเนื่องจาก sf นี้) ได้ในสเปเชี่ยล “กำเนิดสิบสามมรณะ” เวอร์ชั่นฮาเร็ม ที่กำลังจะลงต่อจากนี้ค่ะ >w<!
10/พ.ค./54 อัพ
*Or Not Friend? นั้นแสนร้าง...ลงไปสองตอนแล้วค่ะ ว่างๆ ก็เข้าไปเยี่ยมไปอ่านไปคอมเม้นท์กันบ้างนะคะ~
Warning! ตัดสินใจไปแล้วค่ะว่าจะดำเนินเรื่องนี้ไปในแนว ‘ดาร์ค’ ซักสี่ห้าตอนแรกๆ อาจจะยังดูสดใสน่ารักไปบ้างแต่ต่อจากนั้นต้องเตรียมใจกันไว้แล้วล่ะค่ะ -w-!
(ลงทุนทำแบนเนอร์เองเลยนะคะเนี่ย - -^)
ความคิดเห็น