คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : Chapter 45 : Into the future [The End]
Chapter 45 -- Into the future [ The End]--
“...ถ้าปีหน้าโรงเรียนวอดวายขึ้นมาก็อย่ามาโทษท่านประธานอย่างผมละกันนะครับ”
--Change! --
...แม้ว่าจะเคยลั่นวาจาไว้อย่างนั้นก็เถอะ...
ตอนที่เขาประกาศกร้าวตอบรับเจตจำนงของประธานคนเก่าออกมาเช่นนั้น ก็ทำเอาเหล่าคณาจารย์แทบจะหัวใจวายไปตามๆ กัน และนักเรียนผู้น่าสงสารทั้งหลายต่างก็มีใบหน้าซีดเผือดชนิดที่มัมมี่ยังต้องอาย ถึงอย่างไรก็ตาม ในภายหลังคิริวก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นในที่สุดว่าเขามีความรับผิดชอบมากเกินกว่าที่จะสร้างความ ‘วอดวาย’ ให้กับโรงเรียนด้วยตนเอง
...แต่ใช่ว่าคนบางคนจะไม่ทำ!
ครั้นเมื่อทุกๆ คนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในพิธีสืบทอดตำแหน่งในคราวนั้น พวกเขาก็เป็นต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บใจที่อ่านความนัยในประโยคนั้นไม่ออก เพราะอันที่จริงแล้วคิริวต้องการจะสื่อว่าแม้ตัวเขาจะยังไม่ทันได้ลงมือทำ แต่ ‘เพื่อน’ ของเขาก็จะเป็นคนทำแทนให้เองอยู่แล้ว!
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะบอกกับทุกๆ ท่านว่าโรงเรียนยังอยู่ดีมีสุข และก็ไม่มีนักเรียนคนใดตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของแผนการชั่วร้ายอีกเลยด้วย
แต่ใช่ว่าถ้าไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องเองแล้วจะไม่มีปัญหา เพราะรู้สึกว่าฟราน แฟทัล นั้นช่างเป็นแม่เหล็กดูดปัญหาชั้นเยี่ยมเสียเหลือเกิน ขนาดอยู่เฉยๆ ก็ยังก่อปัญหาได้เลย ให้ตายสิ!
แน่นอน อย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่ แม้ปีศาจน้อยของเราจะเล่ห์ร้ายมากเพียงใด แต่ก็มีรูปร่างหน้าตาที่น่าหลงใหลอยู่เป็นทุนเดิม ประจวบเหมาะกับที่กระดูกชิ้นโตหลุดออกจากวงโคจรเด็กมัธยมปลาย และนั่นทำให้เหล่าแมลงหวี่แมลงวันที่ไม่กลัวตายทั้งหลายเข้ามายุ่งวุ่นวายกันไม่เว้นแต่ละวัน
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับฟรานเท่านั้น มันรวมไปถึงเพื่อนรักทั้งสอง...คาร์และคิริว
ช่างเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ก็เป็นโรงเรียนสห ผู้หญิงมีอยู่เกลื่อนกลาด แต่ดันมารุมจีบคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว และที่สำคัญที่สุด เจ้าของเหล่านั้นไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!
อันที่จริงเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยมของปัญหาก็คือนิสัย ‘สบายๆ’ ของทั้งสามคนที่มองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ และพวกเขาสามารถจัดการปัญหาเองได้
และแม้ว่าครั้งหนึ่ง คิริว ประธานนักเรียนคนปัจจุบันจะถึงกับยัวะปรอทแตกและตะคอกใส่ไมค์ว่า “นี่เป็นประกาศิต! ใครมาวุ่นวายกับผม ฟราน และคาร์ ผมขอสาบานว่าคนผู้นั้นจะต้องมีจุดจบที่ไม่น่าดูเลยแม้แต่นิดเดียว!”
เขาพูดจริง...และทำจริง! เพราะตั้งแต่นั้นมา ทุกคนที่ล้ำเส้นล้วนถูกเหล่าสิบสามมรณะ (เบ๊เฉพาะกิจ) จัดการ ‘สั่งสอน’ จนผวาไปตามๆ กัน
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย...ที่เราจะต้องบอกว่าความดื้อด้านของมนุษย์นั้นร้ายแรงกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น จนกระทั่งมันทำให้คิริวขี้เกียจจะให้ความสนใจ เขาจึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่มันก็ส่งผลให้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าใกล้เขาอีกต่อไป!
ท่ามกลางความตึงเครียด เห็นจะมีแต่ฟรานที่ยังคงทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกับการที่คิริวแผ่รังสีอำมหิตออกมารอบนอกตลอดเวลา หรือกับคาร์ที่มีนัยน์ตาดำมืดและโหดเหี้ยมมากขึ้นทุกๆ วัน
และการที่เรามาสาธยายยืดยาวเล่าเรื่องสัพเพหระพวกนี้ ก็เพียงเพราะต้องการที่จะบอกว่า...
ต่อให้ไม่ได้ลงมือเองก็ยังสามารถสร้างความวอดวายได้ และนั่นไม่ใช่แค่ต่อโรงเรียน แต่เป็นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง!
.
...และแล้วชีวิตนักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายของสามมารน้อยก็เอวังไปด้วยประการนั้นแล...
--Change! --
“ฟรานครับ เสร็จหรือยัง?”
ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งในชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์ที่ช่างเหมาะสมกับรูปร่างหน้าตาของเขาราวกับกิ่งทองใบหยกส่งเสียงถามคนรักของตนผ่านบานประตูที่ขวางกั้น ข้างกายของเขามีชายอีกคนหนึ่งผู้โดดเด่นด้วยเรือนผมสีพระเพลิงที่อยู่ในชุดสูทสีดำมันวาว ซึ่งในเวลานี้กำลังมีนัยน์ตาที่ปกปิดความขบขันเอาไว้ไม่มิด
“เอาน่าเพื่อน ที่จัดงานมันไม่หนีไปไหนหรอกน่า อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลา”
ชายในชุดสูทสีดำก็คือแบล็คนั่นเอง เขากำลังเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ พร้อมกับตบบ่าของเพื่อนสองสามทีด้วยความหวังดี แต่ก็ดันโดนนัยน์ตาคมกริบสีทองตวัดมามองอย่างหาเรื่องไปซะได้
“แกจะไปเข้าใจได้ยังไงเล่า! รอให้เข้าพิธีกับคาร์เสร็จก่อนเถอะค่อยมาปลอบคนอื่นเขาน่ะ!”
แบล็คเผยสีหน้าไม่ซาบซึ้งใจเท่าไหร่นัก “แกน่ะดีจะตายที่ได้แต่งแล้ว! แต่ฉันสิ! ทำไมพ่อแม่ของคาร์ถึงได้หัวดื้อขนาดนั้นเนี่ย...”
คราวนี้ถึงตาฟิวส์ตบไหล่เพื่อนดังป้าบๆ บ้าง “ไม่ต้องห่วง ถ้าเรื่องมันทำท่าจะไม่ลงตัวเดี๋ยวฟรานก็คงยื่นมือลงไปช่วยแน่ๆ”
ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงักให้กัน ในจังหวะนั้นเองบานประตูที่ปิดสนิทอยู่มานานเป็นเวลากว่าสามชั่วโมงก็เปิดออกมาอย่างกะทันหัน เล่นเอาฟิวส์กับแบล็คเบนตัวหลบกันแทบไม่ทัน
พวกเขาทำท่าจะหันไปโวยวายกับคนที่เปิดประตูออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเสียหน่อย แต่แล้วก็ได้แต่ชะงักค้าง เบิกตาโพลงจ้องมองบุคคลเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
ผู้ที่เปิดประตูออกมาจะเป็นใครไปได้นอกจากฟราน ซึ่งบัดนี้เด็กหนุ่มอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่ประดับประดาอย่างอลังการ ใบหน้าน่ารักถูกแต่งแต้มเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อยพองาม ในขณะที่เรือนผมซอยสั้นสีเพลิงของเขานั้นก็ถูกต่อจนยาวสลวยถึงกลางหลังและประดับด้วยดอกไม้สีสันสดใส
ทั้งสามชีวิตยืนอึ้ง มองหน้ากันไปๆ มาๆ อยู่เช่นนั้นร่วมเกือบนาทีเต็ม แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูตะโกนออกมาจากข้างใน
“ฟราน! บอกแล้วไงว่าอย่าให้กระโปรงลากพื้น!”
“อ๊ะ!” เด็กหนุ่มอุทานเบาๆ ก่อนจะรีบกุลีกุจอยกชายกระโปรงขึ้น ตะโกนตอบไปว่า “เข้าใจแล้ว!”
ณ วินาทีนี้ ฟิวส์กับแบล็คก็เรียกสติคืนกลับมาได้ในที่สุด เจ้าสาวตัวน้อยเดินเข้าไปยืนเคียงข้างคนที่เป็นทั้งพี่ชายแท้ๆ และคนรักของเขา ส่วนแบล็คนั้นไม่รอช้า เดินเข้าห้องไปหาสุดที่รักของตนเองในทันที
ทิ้งไว้เพียงสองพี่น้องแฟทัลที่ดูเหมือนว่าจะเข้าหน้ากันไม่ติดไปเลยทีเดียว
“อะ เอ่อ...” ฟิวส์พยายามอย่างหนักที่จะบังคับเสียงของเขาไม่ให้สั่นไหว “วันนี้ฟรานน่ารักมากเลยครับ!”
ร่างบางยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางนั้น “พี่ชายเองก็ดูดีสุดๆ ไปเลยฮะ!”
และแล้วบรรยากาศตึงเครียดก็ถูกกำจัดให้มลายหายไป ทั้งสองส่งยิ้มให้กัน ก่อนจะสร้างบรรยากาศหวานแหววออกมา ซึ่งนั่นทำให้อาคันตุกะผู้มาใหม่ไม่รอช้าที่จะส่งเสียงทักให้ทั้งสองร่างนั้นรับรู้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
“เฮ้ๆ ฉันก็เข้าใจนะว่า ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเค้าจะต้องหวานกัน แต่ไม่ต้องหวานแบบน้ำตาลเรียกพี่ขนาดนั้นก็ได้นา”
เจ้าของคำพูดเบื้องต้นก็คือโซลนั่นเอง เขามีรอยยิ้มยียวนปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่บนใบหน้าคมคายและนัยน์ตาสีอเมทิสต์ก็กำลังสั่นระริกด้วยความขบขัน เรือนผมสีรัตติกาลถูกจัดทรงเสยขึ้นไปแบบผู้ดี เข้ากับชุดสูทดำสนิทของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ
“นั่นสิครับ ตอนแรกผมก็สงสัยอยู่ว่าไอ้รังสี ‘เลิฟๆ’ หวานเลี่ยนนี่มันมาจากไหน แต่พอมาพบว่าตัวการก็คือพวกคุณสองคน มันก็ทำให้ผมหมดความสงสัยไปเลยทีเดียว”
ผู้ที่เอื้อนเอ่ยตามมาก็คือคิริว หนุ่มน้อยเจ้าเสน่ห์ที่ยังคงคอนเซปต์ของการที่ทั้งแมนและสวยไปในเวลาเดียวกัน ใบหน้าคมสวยของเขากำลังฉายแววเหนื่อยหน่ายใจ นัยน์เนตรสีน้ำตาลจับจ้องมายังเบื้องหน้า ในขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งเท้าเอวเอาไว้ และภาพทุกอย่างนั้นก็ยิ่งดูลงตัวเข้าไปใหญ่เมื่อเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นกำลังอยู่ในชุดสูทสีครีมงามสง่า
ฟิวส์หันมาหาผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะทั้งสองก่อนจะส่ายศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา “เฮ้อ ไม่กัดใครเขาสักวันจะลงแดงตายหรือไงกัน เจ้าคู่รักพิลึกพิลั่นนี่”
‘คู่รักพิลึกพิลั่น’ มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนหันกลับมายังทิศทางเดิมและยืนยันเสียงหนักแน่น “ใช่!”
ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าบ่าวผู้หล่อเหลาหน้ากระตุกไปเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเองร่างเล็กที่ยืนนิ่งเงียบมาโดยตลอดก็ส่งเสียงร้องขึ้น “คิริว!”
“ครับๆ”
ฟรานกระโจนเข้าไปหาคิริวอย่างกะทันหัน ซึ่งมันก็ร้อนให้คิริวต้องรีบยกแขนขึ้นมารับร่างร่างนั้นไว้แทบไม่ทัน หลังจากที่ร่างเล็กออดอ้อนเพื่อนรักจนหนำใจ ในที่สุดน้ำเสียงหวานใสก็เปล่งออกมา
“ฟรานนึกว่าคิริวกับพี่โซลไปอเมริกากันแล้วซะอีก!”
นัยน์ตากลมโตฉายแววงุนงง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับฟิวส์ที่ส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมา “เออ ใช่ๆ มีกำหนดการเดินทางเมื่อวานไม่ใช่หรือไง?”
ณ จุดนี้ โซลเผยรอยยิ้มเจื่อนออกมา “ที่จริงก็ขึ้นเครื่องไปแล้วล่ะ ไปถึงอเมริกาแล้วด้วยซ้ำ! แต่พอคิริวรู้ว่าพวกนายจะจัดงานวันนี้ก็เลยบินกลับมาทันทีเลยน่ะ”
ฟิวส์กับฟรานเบิกตากว้าง ตกตะลึงกับคิริวผู้บ้าดีเดือดเสียเหลือเกิน
คิริวเลิกคิ้วเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไป “งานของพี่ฟิวส์กับฟรานจะพลาดได้ยังไงกันล่ะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเทียบกันการที่ต้องไปเซ็นสัญญากับบริษัทกระจอกๆ น่ะ”
ใบหน้าของผู้รับฟังบทสนทนาทั้งสามพลันกระตุกยิกๆ ขึ้นมาในทันที
เฮ้ๆ ไอ้บริษัทกระจอกๆ ที่นายว่าน่ะมันเป็นบริษัทชั้นนำของอเมริกาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเลยไม่ใช่หรือไงกัน?!
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถกเถียงอะไรกันมากไปกว่านั้น ประตูห้องแต่งตัวก็เปิดออกมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับร่างของคาร์และแบล็คที่ก้าวออกมาอย่างเร่งรีบ
“ฟราน!” เสียงหวานร้องเรียกเมื่อนัยน์ตาสีนิลกวาดมาพบร่างเพื่อนรักของตน “คุณแม่โทรมาบอกว่าให้ออกไปเตรียมตัวได้แล้ว”
“อื้ม!”
ร่างเล็กส่งเสียงตอบรับก่อนจะหันไปหาร่างข้างกายผู้ที่ยังคงเป็นทั้งพี่ชายที่แสนดีและคนรักที่อบอุ่น ซึ่งเขาก็หันมาสบตาร่างบางเช่นเดียวกัน
ฟิวส์คลี่รอยยิ้มบางเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด “ไปกันเถอะครับ”
ฟรานยิ้ม รอยยิ้มของเขานั้นช่างดูเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น “ฮะ!”
เหล่าผองเพื่อนเองก็ยิ้มไปพร้อมๆ กัน ในขณะที่สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานที่แสนสำคัญในวันนี้
งานที่ผู้นำตระกูลแฟทัลรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะทำให้มันยอดเยี่ยมที่สุด!
...งานแต่งงานของฟิวส์และฟราน แฟทัล!...
--Change! --
ร่างทั้งหกร่างก้าวย่างมาถึงบริเวณหน้าประตูของห้องจัดงาน และก็ได้พบเข้ากับเหล่าสิบสามมรณะที่แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำขลับ และนั่นก็ทำให้พวกเขาดูองอาจมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก
เอิงยิ้มร่าออกมาในทันทีเมื่อเห็นฟราน “ฟรานจัง!”
ฟรานยิ้มตอบ และเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายเล็กน้อย “ขอบคุณนะฮะที่อุตส่าห์มาร่วมงาน ทั้งๆ ที่ติด ‘ภารกิจ’ อยู่แท้ๆ”
“อ้อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ”
คนที่ส่งเสียงตอบรับออกมาไม่ใช่เอิง แต่เป็นแซ็ต ผู้อยู่ในลำดับที่เจ็ดซึ่งมีนิสัยเย็นชาแบบสุดๆ น้ำเสียงของเขายังคงเป็นเสียงโมโนโทน ไม่มีต่ำ ไม่มีสูง ทำให้รู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยิน
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ถ้าหมายถึงงานลอบสังหารประธานาธิบดีล่ะก็ เรียบร้อยไปแล้วล่ะ”
แน่นอนว่าประโยคเบื้องต้นนั้นทำให้ใครหลายๆ คนสะดุ้งโหยงกันเสียยกใหญ่
เดอส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดขยายความ “ใช่ ก็คราวนี้หัวหน้าของเราเขากระตือรือร้นอยากรีบมางานแต่งจะตาย ก็เลยออกโรงด้วยตัวเองน่ะ”
ดิซส่งเสียงหึๆ ในลำคอ “ระบบรักษาความปลอดภัยก็ห่วยแตก ปาดคอทีเดียวก็ตายแล้ว!”
ฟังมาถึงตรงนี้ฟรานก็เผยสีหน้าละเหี่ยใจออกมา ซึ่งมันก็มิได้แตกต่างไปจากสีหน้าของอีกหกชีวิตที่เหลือสักเท่าไหร่
“โธ่...พี่ๆ นี่ล่ะก็! พูดเสียงเบาๆ กันหน่อยสิฮะ ฟรานขี้เกียจไปตามแก้ข่าวให้นะ”
เอิงหัวเราะร่วน “เราพูดอย่างนี้ทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็จัดการเคลียร์ปัญหาให้ทุกครั้งเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? แต่อันที่จริงไม่ต้องช่วยก็ได้นะ นายท่านบอกว่าแค่นี้ก็ซาบซึ้งใจจะแย่อยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มในชุดเจ้าสาวแสนสวยหัวเราะเฝื่อนๆ เพราะรู้ว่าเจ้าพ่อวงการมืดอย่างดิซัสเทอร์คงไม่ได้หมายความตามคำว่า ‘ซาบซึ้งใจ’ จริงๆ แน่
“ฟิวส์! ฟราน!”
ร่างร่างหนึ่งกระแทกบานประตูออกมา ซึ่งก็คือคุณนายหญิงแห่งตระกูลแฟทัลนั่นเอง เธอไม่รอช้า รีบเอ่ยรัวในบัดดล “มัวทำอะไรกันอยู่จ้ะ งานจะเริ่มแล้วนะ!”
“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ฟิวส์ตอบรับ
ฟรานได้ยินดังนั้นจึงพูดขึ้นมาบ้างว่า “ขอโทษที่ช้าฮะ”
มารดาผู้สวยสง่าไม่สร่างพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำหายลับเข้าไปหลังบานประตู เห็นดังนั้นฟรานจึงถอนหายใจยาวก่อนหันมากล่าวทิ้งท้ายกับเอิงไว้
“ยังไงก็ตาม พยายามอย่าก่อปัญหานะฮะ”
“บอกกับตัวเองเถอะ!!!”
ไม่ใช่เอิงที่เป็นคนตอบ แต่เป็นทุกๆ คนที่อยู่ในบริเวณนี้ทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ฟรานหัวเราะร่าเสียงใสออกมา
และแล้วบรรยากาศรื่นเริงก็จบลงเมื่อเพื่อนๆ ทั้งหลายพากันทยอยไปนั่งรอในงาน เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยังดูเคอะเขินเล็กน้อยในยามที่ต้องอยู่กันเพียงลำพังสองต่อสอง
นัยน์ตากลมโตสีเงินสวยของฟรานฉายแววละล้าละลังเล็กน้อย ก่อนที่มือเล็กจะยื่นไปสัมผัสมือของพี่ชายเบาๆ
ฟิวส์เหลือบมามองเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน กระชับมือน้อยๆ นั่นไว้แน่น นัยน์ตาต่างสีสบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะเอื้อนเอ่ยไปพร้อมๆ กับรอยยิ้มหวาน
“ไปกันเถอะฮะ”
“ครับ” พี่ชายที่แสนดีซึ่งบัดนี้ควบตำแหน่งคนรักตอบรับเสียงนุ่ม “แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่พี่ต้องบอกฟรานก่อน”
“เอ๋?” ฟรานอุทานด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรเหรอฮะ?”
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับปากเอื้อนเอ่ยออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ฟรานต้องเบิกตาโพลง ก่อนที่อารามตกใจจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“พี่ชายนี่ล่ะก็... ”
ร่างน้อยหัวเราะคิกคัก เป็นเหตุให้ฟิวส์ต้องเผยรอยยิ้มตามไปอย่างเสียมิได้ สองมือกระชับกันแน่น และแล้วร่างของพวกเขาก็หายลับไปหลังบานประตูสีขาวบริสุทธิ์เลี่ยมทองคำตามเหลี่ยมมุมบานนั้น
อยากรู้มั้ยว่าฟิวส์บอกฟรานว่าอะไร?
.
.
.
.
.
“คืนนั้นน่ะ...พี่ไม่ได้เมาหรอกนะครับคนดี!”
The END!
อ๊า! ในที่สุดเรื่องเรื่องนี้ก็จบลงในที่สุดแล้วค่ะ TT^TT๐ ตอนจบถูกใจหรือไม่ประการใดก็บอกกล่าวกันได้นะคะ เพราะว่าเร่งแต่งภายในวันนี้ ช่วงแรกๆ นั้นแต่งตอนกำลังง่วงๆ อยู่ด้วยซ้ำค่ะ (ยังตื่นไม่เต็มตา)
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Change! เปลี่ยนพี่ชายมาเป็นคนรัก จบแล้วค่ะ ^^
อันที่จริงอยากให้มันจบในวันเกิดตัวเองเมื่อสองวันก่อนนะคะ แต่ดันโดนลากไปฉลอง ก็เลยต้องเอวังไปอย่างนั้นแหละค่ะ - -^
ถ้ายังไงก็อย่าลืมติดตามเรื่องใหม่ที่กำลังจะมีการตั้งขึ้นในเร็วๆ นี้นะคะ ตกลงชื่อเรื่องคือ ‘Or Not Friend?’ ค่ะ! หากอัพเดทเมื่อไหร่จะแจ้งข่าวผ่านทาง QMSG ในทันทีค่ะ
และสำหรับตอนพิเศษที่เรียกร้องกันมามากมาย กดไปหน้าต่อไปเพื่อไปโหวตกันได้เลยค่ะ ^^!
4/เม.ย./54 อัพ
10/มี.ค./55 Re-write
ความคิดเห็น