ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : A : ทำไมต้องมีศาสนา ?
 
   
        ก่อนอื่น..คือว่า เนื้อหาในตอนนี้ เราไม่ได้คิดเองทั้งหมดอะค่ะ แต่ว่าอ้างอิงมาจากที่ไหนซักที่ที่เคยอ่าน(จำเวปไม่ได้T0T)
        อ้ะๆ ไม่ได้ก๊อปมาทั้งดุ้นนา...อย่าเข้าใจผิดๆ
        เอาเป็นว่า ถ้าใครเห็นว่าช่วงไหนคุ้นๆเหมือนเคยเห็นมาก่อน แล้วพอจำเวปได้ ก็ช่วยบอกเราด้วยน้า><
        ขอบคุณมากๆเลยจ้า (>/\\<)
_____________________________________________________________________________________________________
        “คุณยังไม่ตอบคำถามของผมเลยนะครับ ว่ายังไงล่ะ! ...ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงล่ะก็ ผมจะยอมมาสวดมนต์ที่นี่ทุกสัปดาห์เลยก็ได้!! ”
        หลังจากที่ฮิโรตะโกนออกมาอย่างท้าทาย คุณพ่อก็ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้เขา...อีกครั้ง
        “เธอเองก็ยังไม่แน่ใจใช่มั้ยล่ะ ว่าฉันจะทำได้รึปล่าว............ถ้าเธอมั่นใจว่าฉันจะทำไม่ได้ ก็คงพูดว่า \'จะยอมมาสวดมนต์ที่นี่ทุกวัน\' แล้วล่ะ” .................ฮิโรเริ่มรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา บาทหลวงคนนี้ ภายนอกดูใสๆ แต่จริงๆแล้วกวนประสาทใช่เล่น
        “ก็ได้! ผมจะยอมมาที่นี่ทุกวัน ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อได้นะ”
        “อา...” คุณพ่อนั่งลงบนเก้าอี้สวดมนต์ซึ่งเป็นแถวยาว แล้วกวักมือเรียกฮิโรให้มานั่งข้างๆ............เขาเดินไปนั่งลงอย่างเงียบๆ โดยเว้นระยะห่างจากบาทหลวงผู้นั้นเล็กน้อย
        “ฉันชื่อคุณพ่อซาวาระ ยูอิจิ อายุ28 แล้วเธอล่ะ”
        “โฮชิโนะ ฮิโร อยู่ปี1ครับ” ฮิโรตอบเรียบๆ.........บาทหลวงคนนี้ช่างเริ่มต้นบทสนทนาได้ธรรมดาสามัญเสียจริง.........
        “ชื่อเพราะดีนะ โฮชิโนะคุง...........เอาล่ะ เรื่องของหลักฐานน่ะ  เธอเองก็รู้ใช่ไหมว่ามีคนมากมาย พยายามหาหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ เพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นได้เห็น .............แล้วก็มีคนอีกมากมายพยายามหาหลักฐานมาเพื่อต่อต้านในสิ่งที่ตนเองไม่เชื่อ หรือไม่กล้าที่จะลองเชื่อ เพราะกลัวจะถูกมองเป็นคนโง่ งมงาย”
        “หลักฐานว่าพระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงน่ะ  ถ้าพ่อบอกเธอว่าพ่อเคยเจอผี เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ หลักฐาน? ต้องมีรูปถ่าย ร่องรอยในที่เกิดเหตุ หรือว่าความน่าเชื่อถือยังงั้นหรอ ..........ถ้ามีคนบอกว่าบนดวงอังคารเป็นยังงั้นยังงี้นะ เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นยังไง หลักฐาน? ...................ณ เวลาที่เธอยังไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้แปลว่าบนดาวอังคารจะไม่ได้เป็นอย่างที่นักดาราศาสตร์บอกนี่นา  และถึงเขาเอาภาพถ่ายมาให้เธอดู เธอก็แค่มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเฉยๆ เธอก็ยังแค่อยู่ในระดับที่เรียกว่า\'ความเชื่อ\' อยู่ดี”
        “พระเจ้า....เมื่อพระเจ้ามีจริง เธอคิดว่าจะมีอะไรหรือใครสามารถบันทึกพระเจ้าได้เหรอ ................หลักฐานจะมีกับคนที่ได้เจอเท่านั้น เชื่อไม่เชื่อก็เป็นสิทธิของเธอ ..............แต่การที่พระเจ้ามีจริงนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะพระเจ้าไม่ได้มีจริงก็ต่อเมื่อเธอเชื่อ โลกกลมอยู่แล้วโดยไม่ต้องรอให้เธอเชื่อว่าโลกกลม ...........................อ้อ แต่ว่าผู้ที่จะได้สัมผัสกับพระเจ้าน่ะ มีแต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ตายตัว”
        “สรุปแล้วคุณก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี”
        “โฮชิโนะคุง มนุษย์น่ะทำได้ทุกอย่างเพราะ ความเชื่อ และศรัทธา .............มันก็เหมือนกับการที่คนป่วยเกือบตาย กลับหายป่วยได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำของคนที่เขารักนั่นแหละ เรื่องของจิตใจ เราไม่สามารถพิสูจน์พระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ต้องรู้จักตีความมันให้ถูกวิธี” ..................เอาล่ะ เขายอมรับ ก็ได้ ว่าที่บาทหลวงนี่พูดมาก็มีเหตุมีผลอยู่เหมือนกัน
        “มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในสมัยที่พระเยซูลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์..........มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นโรคร้าย เลือดไหลไม่หยุด เธอไม่สามารถแตะต้องสิ่งใดได้เลย นานถึง12ปี เพราะถูกสิ่งที่เธอแตะ จะมีมลทิน...เลือดน่ะ”
        “.......อยู่มาวันถึง พระเยซูได้ทรงเสด็จมาเทศนาในที่แถวนั้น เมื่อพระองค์เทศนาเสร็จและกำลังจะจากไป เธอก็เอื้อมมือไปจับที่ชายเสื้อของพระองค์ และทันใดนั้น เลือดของเธอก็หยุดไหล ..................หญิงสาวคนนั้นเป็นคนเดียว ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง.............แล้วบุตรของพระเจ้าก็หันมากล่าวกับเธอว่า \'จงวางใจเถิด ความเชื่อทำให้เจ้าสมบูรณ์แล้ว\' ”
        “ปัจจุบันนี้ ผู้คนมากมายมาสวดมนต์ ขอพรที่โบสถ์ แล้วก็ได้รับความเชื่อมั่น ความไว้วางใจกลับไป ไม่ใช่เพียงศาสนาคริสต์เท่านั้นนะ............. ทุกๆศาสนานั่นแหละที่สอนให้มนุษย์ที่ความเชื่อและความศรัทธา  ที่สำคัญ ศาสนาไม่ได้ทำให้เราแย่ลง....แต่ศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี และรักเพื่อนร่วมโลก สอนให้รู้จักแบ่งปันความรัก และเผื่อแผ่ความปรารถนาดีๆให้กัน ........ เธอคงเคยได้ยินมาบ้างล่ะ เรื่องของคนที่สิ้นหวังในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่ถูกตัดสินแล้วว่าไม่มีสามารถหายได้ หรือถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย คนเหล่านั้นมาสวดมนต์ที่โบสถ์ สัญญากับพระเจ้าว่าจะทำความดีและเชื่อมั่นในพระองค์ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ”
        “พ่อเดาว่าเธอคงชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์  แต่ว่า ศาสนาน่ะมีความพิเศษ เพราะว่าศาสนาเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ สองสิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพียงแต่ศาสนามีความยิ่งใหญ่กว่า....ก็เท่านั้น”
        “ตอนนี้เธออาจจะยังไม่เชื่อพ่อหรอกนะ แต่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า เวลานั้นจะมาถึงสำหรับทุกคน เมื่อเธอต้องการมากกว่าวิทยาศาตร์ในการพิสูจน์ความจริง เมื่อเธอต้องการเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง ที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ  นั่นแหละคือสิ่งที่ศาสนามอบให้กับเรา............ปาฏิหาริย์ยังไงล่ะ”
        ................ถึงแม้ฮิโรจะไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่คุณพ่อพูดมาทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างละนะ...........
        ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิด ที่ไปทำท่าลบหลู่ท้าทายแบบนั้น  เขาไม่ใช่คนก้าวร้าว นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของเขาซักหน่อย
       
          “เอี๊ยด...” เสียงประตูโบสถ์ถูกเปิดขึ้นช้าๆ ฮิโรและคุณพ่อยูอิจิหันไปมองด้านหลัง แล้วก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไว้ผมสั้น ใส่แว่นตา และเสื้อยืดสีฟ้า เธอเดินเข้ามาช้าๆ ฮิโรจำได้ทันทีว่าเธอคนนั้นอยู่ห้องเดียวกันกับเขา และมีชื่อว่า อายูมิ ...............
        เธอมีท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าบุคคลที่นั่งคุยอยู่กับคุณพ่อคือใคร เด็กสาวหรี่ตาลงเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน
        “สวัสดีค่ะคุณพ่อ........” อายูมิกล่าวทักทายคุณพ่อ แล้วหันมาแสดงสีหน้าประหลาดใจใส่ฮิโรอย่างที่ไม่คิดจะปิดบัง “นาย....โฮชิโนะ....นายเองก็มาที่นี่เหมือนกันหรอ” เธอพูดอย่างไม่อยากเชื่อ...........ฮิโรจึงส่งสีหน้าเย็นชากลับไป.......คราวนี้มาคนเดียวแฮะ ไม่ยักตัวติดกับเพื่อนเหมือนทุกที
        “สวัสดีจ๊ะ อายูมิจัง^^.........วันนี้ชินยะคุงไม่ได้มาหรอกนะ.........” คุณพ่อทักทายเด็กหญิง ประโยคหลังทำให้เธอก้มหน้าลง ใบหน้าซับสีเลือดเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินชื่อของ ชินยะ
        “เอ่อ..เปล่าหรอกค่ะ คือว่าหนูอยากจะมาสวดมนต์นิดหน่อย”
        ................เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของเด็กหญิงก็กลับมาซีดขาวเหมือนเดิม.............
        “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณพ่อ..........แล้วก็ ผมจะมาที่นี่ทุกวัน เริ่มจากพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หลังจากที่ฮิโรพูดจบ ผู้เป็นบาทหลวงก็ทำหน้าประหลาดใจ
        “อ้าว เธอยังไม่เชื่อไม่ใช่หรอ ไม่จำเป็นต้องมาโดยไม่เต็มใจหรอกน่า”
        หมอนี่ เขาอุตส่าห์ยอมมาแล้วยังกวนประสาทไม่เลิกอีก.......“ถึงผมจะยังไม่ได้เชื่อซะทีเดียว แต่คุณก็เปลี่ยนความคิดของผมได้...............นึดนึงน่ะ”  ฮิโรตอบพลางยักไหล่ ทำให้คุณพ่อเผยรอยยิ้มออกมา
        “อย่างนี้นี่เอง^^ เอาเป็นว่า ถ้ามาทุกวันล่ะก็ คงไม่มีเวลาไปทำการบ้านพอดี เอาเถอะ แวะมาทุกวันอาทิตย์ก็แล้วกัน แบบนี้คงโอเคใช่มั้ย”
        “เข้าใจแล้วครับ งั้นผมไปนะ สวัสดีครับ” เด็กชายหันไปกล่าวลาคุณพ่อซึ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มพิมใจเหมือนเดิม ตอนนี้บาทหลวงเริ่มหยิบไม้กวาดและที่โกยผงมาปัดกวาดพื้นอีกครั้ง  ..............ฮิโรเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อย เธอกำลังงุนงงกับบทสนทนาของทั้งคู่เมื่อซักครู่นี้..........หน้าตาเหรอหราตลกดี
_____________________________________________________________________________________________________
        ฮิโรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูหลังจากเดินออกมาจากโบสถ์แห่งนั้น............... 16.00 นี่เขาใช้เวลาคุยกับบาทหลวงนั่นนานถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเชียวเหรอเนี่ย ป่านนี่เจ้ามินยูคงกำลังหาเขาให้ควั่กอยู่แน่ๆ..........
        ว่าแต่ว่า ยัยนั่น มีคนที่ชอบอยู่งั้นหรอ ............ชินยะ ผู้โชคร้ายคนนั้นจะหน้าตาเป็นยังไง......ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้นะ
        ..............ถ้าฟังจากคำพูดของคุณพ่อแล้ว ยัยนั่นก็ร้ายไม่ใช่เล่น เห็นหน้าตาท่าทางเป็นด็กเรียนเรียบร้อย แต่กลับใช้โบสถ์เป็นสถานที่พบรักงั้นเหรอ......... บาปยิ่งกว่าเขาซะอีก
        ...................แล้วทำไมเราต้องมานั่งคิดเรื่องของยัยนั่นให้รกหัวสมองด้วยเล่า (><)...............
____________________________________________________________________________________________________
        วกวนมากมาย กำกวมด้วย >0<
        .......บรรยายเยอะเนอะ จะน่าเบื่อมั้ยนี่ >///< ((แอบกลัว))
       
        ปลงแล้ว.....ยังไงยางามิ ไลท์ ก็ต้องรับกรรมเข้าซักวันอยู่ดี -0-
        .........แต่ยังไงความมืดก็ยังคงเป็นสิ่งสวยงาม!!!!!!!.......
   
        ก่อนอื่น..คือว่า เนื้อหาในตอนนี้ เราไม่ได้คิดเองทั้งหมดอะค่ะ แต่ว่าอ้างอิงมาจากที่ไหนซักที่ที่เคยอ่าน(จำเวปไม่ได้T0T)
        อ้ะๆ ไม่ได้ก๊อปมาทั้งดุ้นนา...อย่าเข้าใจผิดๆ
        เอาเป็นว่า ถ้าใครเห็นว่าช่วงไหนคุ้นๆเหมือนเคยเห็นมาก่อน แล้วพอจำเวปได้ ก็ช่วยบอกเราด้วยน้า><
        ขอบคุณมากๆเลยจ้า (>/\\<)
_____________________________________________________________________________________________________
        “คุณยังไม่ตอบคำถามของผมเลยนะครับ ว่ายังไงล่ะ! ...ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงล่ะก็ ผมจะยอมมาสวดมนต์ที่นี่ทุกสัปดาห์เลยก็ได้!! ”
        หลังจากที่ฮิโรตะโกนออกมาอย่างท้าทาย คุณพ่อก็ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้เขา...อีกครั้ง
        “เธอเองก็ยังไม่แน่ใจใช่มั้ยล่ะ ว่าฉันจะทำได้รึปล่าว............ถ้าเธอมั่นใจว่าฉันจะทำไม่ได้ ก็คงพูดว่า \'จะยอมมาสวดมนต์ที่นี่ทุกวัน\' แล้วล่ะ” .................ฮิโรเริ่มรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา บาทหลวงคนนี้ ภายนอกดูใสๆ แต่จริงๆแล้วกวนประสาทใช่เล่น
        “ก็ได้! ผมจะยอมมาที่นี่ทุกวัน ถ้าคุณทำให้ผมเชื่อได้นะ”
        “อา...” คุณพ่อนั่งลงบนเก้าอี้สวดมนต์ซึ่งเป็นแถวยาว แล้วกวักมือเรียกฮิโรให้มานั่งข้างๆ............เขาเดินไปนั่งลงอย่างเงียบๆ โดยเว้นระยะห่างจากบาทหลวงผู้นั้นเล็กน้อย
        “ฉันชื่อคุณพ่อซาวาระ ยูอิจิ อายุ28 แล้วเธอล่ะ”
        “โฮชิโนะ ฮิโร อยู่ปี1ครับ” ฮิโรตอบเรียบๆ.........บาทหลวงคนนี้ช่างเริ่มต้นบทสนทนาได้ธรรมดาสามัญเสียจริง.........
        “ชื่อเพราะดีนะ โฮชิโนะคุง...........เอาล่ะ เรื่องของหลักฐานน่ะ  เธอเองก็รู้ใช่ไหมว่ามีคนมากมาย พยายามหาหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ เพื่อพิสูจน์ให้ผู้อื่นได้เห็น .............แล้วก็มีคนอีกมากมายพยายามหาหลักฐานมาเพื่อต่อต้านในสิ่งที่ตนเองไม่เชื่อ หรือไม่กล้าที่จะลองเชื่อ เพราะกลัวจะถูกมองเป็นคนโง่ งมงาย”
        “หลักฐานว่าพระเจ้ามีตัวตนอยู่จริงน่ะ  ถ้าพ่อบอกเธอว่าพ่อเคยเจอผี เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ หลักฐาน? ต้องมีรูปถ่าย ร่องรอยในที่เกิดเหตุ หรือว่าความน่าเชื่อถือยังงั้นหรอ ..........ถ้ามีคนบอกว่าบนดวงอังคารเป็นยังงั้นยังงี้นะ เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันเป็นยังไง หลักฐาน? ...................ณ เวลาที่เธอยังไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้แปลว่าบนดาวอังคารจะไม่ได้เป็นอย่างที่นักดาราศาสตร์บอกนี่นา  และถึงเขาเอาภาพถ่ายมาให้เธอดู เธอก็แค่มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเฉยๆ เธอก็ยังแค่อยู่ในระดับที่เรียกว่า\'ความเชื่อ\' อยู่ดี”
        “พระเจ้า....เมื่อพระเจ้ามีจริง เธอคิดว่าจะมีอะไรหรือใครสามารถบันทึกพระเจ้าได้เหรอ ................หลักฐานจะมีกับคนที่ได้เจอเท่านั้น เชื่อไม่เชื่อก็เป็นสิทธิของเธอ ..............แต่การที่พระเจ้ามีจริงนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะพระเจ้าไม่ได้มีจริงก็ต่อเมื่อเธอเชื่อ โลกกลมอยู่แล้วโดยไม่ต้องรอให้เธอเชื่อว่าโลกกลม ...........................อ้อ แต่ว่าผู้ที่จะได้สัมผัสกับพระเจ้าน่ะ มีแต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ตายตัว”
        “สรุปแล้วคุณก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี”
        “โฮชิโนะคุง มนุษย์น่ะทำได้ทุกอย่างเพราะ ความเชื่อ และศรัทธา .............มันก็เหมือนกับการที่คนป่วยเกือบตาย กลับหายป่วยได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำของคนที่เขารักนั่นแหละ เรื่องของจิตใจ เราไม่สามารถพิสูจน์พระเจ้าด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ต้องรู้จักตีความมันให้ถูกวิธี” ..................เอาล่ะ เขายอมรับ ก็ได้ ว่าที่บาทหลวงนี่พูดมาก็มีเหตุมีผลอยู่เหมือนกัน
        “มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในสมัยที่พระเยซูลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์..........มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นโรคร้าย เลือดไหลไม่หยุด เธอไม่สามารถแตะต้องสิ่งใดได้เลย นานถึง12ปี เพราะถูกสิ่งที่เธอแตะ จะมีมลทิน...เลือดน่ะ”
        “.......อยู่มาวันถึง พระเยซูได้ทรงเสด็จมาเทศนาในที่แถวนั้น เมื่อพระองค์เทศนาเสร็จและกำลังจะจากไป เธอก็เอื้อมมือไปจับที่ชายเสื้อของพระองค์ และทันใดนั้น เลือดของเธอก็หยุดไหล ..................หญิงสาวคนนั้นเป็นคนเดียว ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง.............แล้วบุตรของพระเจ้าก็หันมากล่าวกับเธอว่า \'จงวางใจเถิด ความเชื่อทำให้เจ้าสมบูรณ์แล้ว\' ”
        “ปัจจุบันนี้ ผู้คนมากมายมาสวดมนต์ ขอพรที่โบสถ์ แล้วก็ได้รับความเชื่อมั่น ความไว้วางใจกลับไป ไม่ใช่เพียงศาสนาคริสต์เท่านั้นนะ............. ทุกๆศาสนานั่นแหละที่สอนให้มนุษย์ที่ความเชื่อและความศรัทธา  ที่สำคัญ ศาสนาไม่ได้ทำให้เราแย่ลง....แต่ศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี และรักเพื่อนร่วมโลก สอนให้รู้จักแบ่งปันความรัก และเผื่อแผ่ความปรารถนาดีๆให้กัน ........ เธอคงเคยได้ยินมาบ้างล่ะ เรื่องของคนที่สิ้นหวังในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่ถูกตัดสินแล้วว่าไม่มีสามารถหายได้ หรือถูกทอดทิ้งให้อยู่เดียวดาย คนเหล่านั้นมาสวดมนต์ที่โบสถ์ สัญญากับพระเจ้าว่าจะทำความดีและเชื่อมั่นในพระองค์ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ”
        “พ่อเดาว่าเธอคงชอบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์  แต่ว่า ศาสนาน่ะมีความพิเศษ เพราะว่าศาสนาเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ สองสิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพียงแต่ศาสนามีความยิ่งใหญ่กว่า....ก็เท่านั้น”
        “ตอนนี้เธออาจจะยังไม่เชื่อพ่อหรอกนะ แต่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า เวลานั้นจะมาถึงสำหรับทุกคน เมื่อเธอต้องการมากกว่าวิทยาศาตร์ในการพิสูจน์ความจริง เมื่อเธอต้องการเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง ที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ  นั่นแหละคือสิ่งที่ศาสนามอบให้กับเรา............ปาฏิหาริย์ยังไงล่ะ”
        ................ถึงแม้ฮิโรจะไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่คุณพ่อพูดมาทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างละนะ...........
        ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกผิด ที่ไปทำท่าลบหลู่ท้าทายแบบนั้น  เขาไม่ใช่คนก้าวร้าว นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงของเขาซักหน่อย
       
          “เอี๊ยด...” เสียงประตูโบสถ์ถูกเปิดขึ้นช้าๆ ฮิโรและคุณพ่อยูอิจิหันไปมองด้านหลัง แล้วก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไว้ผมสั้น ใส่แว่นตา และเสื้อยืดสีฟ้า เธอเดินเข้ามาช้าๆ ฮิโรจำได้ทันทีว่าเธอคนนั้นอยู่ห้องเดียวกันกับเขา และมีชื่อว่า อายูมิ ...............
        เธอมีท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าบุคคลที่นั่งคุยอยู่กับคุณพ่อคือใคร เด็กสาวหรี่ตาลงเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน
        “สวัสดีค่ะคุณพ่อ........” อายูมิกล่าวทักทายคุณพ่อ แล้วหันมาแสดงสีหน้าประหลาดใจใส่ฮิโรอย่างที่ไม่คิดจะปิดบัง “นาย....โฮชิโนะ....นายเองก็มาที่นี่เหมือนกันหรอ” เธอพูดอย่างไม่อยากเชื่อ...........ฮิโรจึงส่งสีหน้าเย็นชากลับไป.......คราวนี้มาคนเดียวแฮะ ไม่ยักตัวติดกับเพื่อนเหมือนทุกที
        “สวัสดีจ๊ะ อายูมิจัง^^.........วันนี้ชินยะคุงไม่ได้มาหรอกนะ.........” คุณพ่อทักทายเด็กหญิง ประโยคหลังทำให้เธอก้มหน้าลง ใบหน้าซับสีเลือดเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินชื่อของ ชินยะ
        “เอ่อ..เปล่าหรอกค่ะ คือว่าหนูอยากจะมาสวดมนต์นิดหน่อย”
        ................เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของเด็กหญิงก็กลับมาซีดขาวเหมือนเดิม.............
        “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณพ่อ..........แล้วก็ ผมจะมาที่นี่ทุกวัน เริ่มจากพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หลังจากที่ฮิโรพูดจบ ผู้เป็นบาทหลวงก็ทำหน้าประหลาดใจ
        “อ้าว เธอยังไม่เชื่อไม่ใช่หรอ ไม่จำเป็นต้องมาโดยไม่เต็มใจหรอกน่า”
        หมอนี่ เขาอุตส่าห์ยอมมาแล้วยังกวนประสาทไม่เลิกอีก.......“ถึงผมจะยังไม่ได้เชื่อซะทีเดียว แต่คุณก็เปลี่ยนความคิดของผมได้...............นึดนึงน่ะ”  ฮิโรตอบพลางยักไหล่ ทำให้คุณพ่อเผยรอยยิ้มออกมา
        “อย่างนี้นี่เอง^^ เอาเป็นว่า ถ้ามาทุกวันล่ะก็ คงไม่มีเวลาไปทำการบ้านพอดี เอาเถอะ แวะมาทุกวันอาทิตย์ก็แล้วกัน แบบนี้คงโอเคใช่มั้ย”
        “เข้าใจแล้วครับ งั้นผมไปนะ สวัสดีครับ” เด็กชายหันไปกล่าวลาคุณพ่อซึ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มพิมใจเหมือนเดิม ตอนนี้บาทหลวงเริ่มหยิบไม้กวาดและที่โกยผงมาปัดกวาดพื้นอีกครั้ง  ..............ฮิโรเหลือบมองเด็กสาวเล็กน้อย เธอกำลังงุนงงกับบทสนทนาของทั้งคู่เมื่อซักครู่นี้..........หน้าตาเหรอหราตลกดี
_____________________________________________________________________________________________________
        ฮิโรยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูหลังจากเดินออกมาจากโบสถ์แห่งนั้น............... 16.00 นี่เขาใช้เวลาคุยกับบาทหลวงนั่นนานถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเชียวเหรอเนี่ย ป่านนี่เจ้ามินยูคงกำลังหาเขาให้ควั่กอยู่แน่ๆ..........
        ว่าแต่ว่า ยัยนั่น มีคนที่ชอบอยู่งั้นหรอ ............ชินยะ ผู้โชคร้ายคนนั้นจะหน้าตาเป็นยังไง......ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้นะ
        ..............ถ้าฟังจากคำพูดของคุณพ่อแล้ว ยัยนั่นก็ร้ายไม่ใช่เล่น เห็นหน้าตาท่าทางเป็นด็กเรียนเรียบร้อย แต่กลับใช้โบสถ์เป็นสถานที่พบรักงั้นเหรอ......... บาปยิ่งกว่าเขาซะอีก
        ...................แล้วทำไมเราต้องมานั่งคิดเรื่องของยัยนั่นให้รกหัวสมองด้วยเล่า (><)...............
____________________________________________________________________________________________________
        วกวนมากมาย กำกวมด้วย >0<
        .......บรรยายเยอะเนอะ จะน่าเบื่อมั้ยนี่ >///< ((แอบกลัว))
       
        ปลงแล้ว.....ยังไงยางามิ ไลท์ ก็ต้องรับกรรมเข้าซักวันอยู่ดี -0-
        .........แต่ยังไงความมืดก็ยังคงเป็นสิ่งสวยงาม!!!!!!!.......
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น