ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    PROMISE OF LOVE

    ลำดับตอนที่ #4 : Part 4

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ย. 51


     

    *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
    PROMISE OF LOVE
       
    JIN - ME
    *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
      
      
      part 4
         

      
                    วันต่อมา
                    เจ้าชายคาซึยะก็ทรงทำหน้าที่ดูแลพระราชินีอายะตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเจ้าชายจิน  แต่ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้สัญญาไว้  พระองค์ก็ต้องดูแลและอยู่เป็นเพื่อนพระราชินีทุกวันอยู่แล้ว  โดยมีจุนโนะทหารคนสนิทของพระองค์อยู่ด้วยเสมอ  แต่วันนี้หาได้เหมือนเช่นทุกวันไม่

    เนื่องจากในขณะที่เจ้าชายทรงพูดคุยเรื่องบ้านเมืองประชาชนกับพระราชินีอยู่ที่ห้องหนังสือนั้น จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู ดังขึ้น  และเมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้  ทหารนายหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้ามาแล้วนั่งลงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
    ก่อนที่จะกราบทูลความ
                    "พระราชินีพะยะค่ะ คือ ...เอ่อ..."  ทหารนายนั้นได้แต่อ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นพักใหญ่  จึงได้ตัดสินใจที่จะกราบทูลอีกครั้ง  ท่ามกลางความรู้สึกของทั้งสองพระองค์ที่กำลังทำพระทัยเย็นรอฟังอยู่

                    "พระราชินีพะย่ะค่ะ คือ  เรื่องที่เจ้าชายจินทรงนำทหารไปปราบปรามน่ะพะย่ะค่ะ  ม้าเร็วได้ส่งข่าวมาแล้วว่า เอ้อ ..."  แต่ก็ยังไม่วายพูดติดขัดอีก  จนพระราชินีอายะทรงตรัสถามขึ้นเองอย่างร้อนใจ  เพราะพระนางทรงรู้สึกพระทัยไม่ดีตั้งแต่เมื่ออรุณรุ่งแล้ว
                    "คือ ม้าเร็วส่งข่าวมาว่า เอ่อ เจ้าชายจินและคนอื่นไม่ทรงกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ"  นายทหารนายนั้นกราบทูลพลางก้มหน้ามองพื้นเบื้องหน้า
                    "เจ้า... เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน  ที่ว่าจินและคนอื่นจะไม่กลับมาแล้วน่ะ จุน"  พระราชินีทรงตรัสถาม มัตสึโมโตะ  จุน ด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือ พร้อมกลับทรงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้  เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
    พระนางก็ทรงรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่พระนางทรงกลัวและหวาดหวั่นมาตลอดได้เกิดขึ้นจริงเสียแล้ว  จินลูกแม่
    และทันใดนั้นพระวรกายของพระนางก็ทรุดลง
                    ทำให้เจ้าชายคาซึยะและจุนโนะที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเข้ามาประคองพระราชินีให้ค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม
    จากนั้นเจ้าชายก็ทรงรับเอายาดมจากจุนโนะมาให้พระราชินีดมทันที
                    ถึงแม้ว่าในขณะนี้พระองค์เองก็รู้สึกไม่แตกต่างจากพระราชินีก็ตาม พระวรกายเสมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำการใดใดได้เลย  แต่พระองค์ก็ต้องอดทนพยายามทำพระทัยให้เข้มแข็งเพื่อที่จะต้องเป็นหลักให้กับพระราชินี
                    หลังจากที่จุนโนะพูดคุยถามไถ่เรื่องราวจากมัตสึจุนจนได้เรื่องแล้ว  ก็ถึงกับอาการหัวใจวูบทันที  เพราะรู้มาว่าไม่มีใครเหลือเลย ทั้งโคคิ หัวหน้านายกอง , ยูอิจิ  แม่ทัพใหญ่แห่งอาคานิชิ และที่สำคัญคือ อุเอดะ เขาพยายามทำใจให้เข้มแข็ง  ปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด แล้วก็บอกให้อีกฝ่ายออกไปก่อน  เพราะเขาต้องช่วยเจ้าชายคาซึยะพาพระราชินีไปพักผ่อนในห้องบรรทมเสียก่อน  และเมื่อพระราชินีทรงเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะฤทธิ์ยาแล้ว  คนทั้งคู่จึงเดินออกมาจากห้องบรรทมของพระราชินี โดยที่เจ้าชายคาซึยะทรงเอาแต่เงียบ ไม่แม้แต่จะทรงตรัสอะไรออกมาเลยสักคำ จนจุนโนะเป็นห่วงขึ้นมา เพราะแววพระเนตรของเจ้าชายน้อยของเขานั้น  เลื่อนลอยปราศจากประกายวาววับเช่นที่เคยเป็น
                    "จุนโนะ  คาซึยะจะกลับห้องนะ อยากพักผ่อน"  จู่ๆ  เจ้าชายคาซึยะก็ทรงตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งแล้ง ดังคนที่ขาดน้ำมาหลายวัน  พระองค์อยากพักผ่อนจริงๆ  ทำไมรู้สึกเหนื่อยจัง  เหนื่อยแม้แต่จะหายใจต่อไปด้วยซ้ำ
    พระทัยมันหนักอึ้งเหมือนจะขาดเสียให้ได้  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ  ความรู้สึกแปลกประหลาดที่พระองค์เคยสัมผัสนั้น
    มันชัดเจนขึ้นมามาก  แต่พระองค์ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าพระองค์เป็นอันใดกันแน่
                    "ครับ"  จุนโนะตอบรับ  เพราะเขาเอง  จากที่เห็นแล้ว  คาซึยะจังตอนนี้เขาก็อยากที่จะให้พักผ่อนเสียเหลือเกินเช่นกัน

     

     *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~ *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

     

    เจ้าชายคาซึยะยังทรงนั่งอยู่ริมหน้าต่างพระราชวังและเหม่อมองออกไป  หาได้มีทีท่าจะสนใจผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆไม่  ยังคงเฝ้าคิดถึงแต่ผู้ที่จากไปอยู่เช่นนั้น  แม้แต่ผู้ที่อยู่ข้างๆก็มีอาการไม่ต่างกันแม้แต่น้อย  มีเพียงความเงียบที่ยังคงบรรเลงเพลงเศร้าคอยกรีดแทงหัวใจของคนทั้งคู่ให้ปวดแปลบ  วันเวลาดูคล้ายจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า  ไม่มีสิ่งใดไหวติง  สายลมดูเหมือนจะหยุดพัด นกน้อยดูเหมือนว่าจะหยุดร้องเพลงขับขาน  สายน้ำก็ดูคล้ายจะหยุดรินไหล  แต่แล้วจุนโนะก็เลือกที่จะทำลายความเงียบอันทารุณนี้เสีย  โดยการถามเจ้าชายน้อย

                    คาซึยะจังรักเจ้าชายจินใช่ไหมครับ  จุนโนะเอ่ยถามคำถามที่เขาเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว  โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากฟากฟ้า  เอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย

                    รักสิ  รักมากที่สุด  ก็คาซึยะกับท่านพี่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก  เป็นเพื่อนกันมาตลอด  เจ้าชายน้อยทรงตอบตามความรู้สึก(อันไร้เดียงสา)

                    ไม่  ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่  รักในที่นี้นั้น  รักเช่นที่หญิงผู้หนึ่งจะรักชายผู้หนึ่งได้ต่างหากล่ะครับร่างสูงละสายตาจากฟ้าครามแล้วหันมากล่าวกับเจ้าชายคาซึยะ

                    คาซึยะก็หารู้ไม่  คาซึยะไม่เข้าใจตัวเองเลย  รู้แต่ว่าความรู้สึกนี้มันแปลกใหม่เหลือเกิน  ซึ่งตัวคาซึยะเองนั้นไม่เคยสัมผัสมาก่อน  ทุกคราที่อยู่ใกล้ท่านพี่  และเมื่อรู้ข่าวท่านพี่วันนี้แล้ว...  คาซึยะรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ  คิดว่าจากนี้จะไม่มีท่านพี่อยู่กับคาซึยะอีก  คาซึยะก็ไม่อยากทนอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว  เจ้าชายทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เหงาเศร้าสร้อยจนคนฟังรู้สึกใจหาย  หากแต่อีกฝ่ายก็คงรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน

                    คาซึยะจังรู้ตัวหรือไม่ว่า  คาซึยะจังน่ะ  รักเจ้าชายจิน  ถึงได้รู้สึกเช่นนั้น  จุนโนะกล่าวบอกเจ้าชาย  เพราะตอนนี้เขาก็เพิ่งรู้สึกถึงหัวใจตัวเองว่า  รักและต้องการร่างบางหน้าสวย  ทหารคนสนิทของเจ้าชายจินเพียงใด   มารู้ตัวรู้ใจตัวเองเอาวันที่มันสายไปแล้ว  เขาผิดเองที่รู้ตัวช้าไป  จนทำให้ร่างบางต้องเจ็บช้ำ  และตัวเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอื้อนเอ่ยคำๆนั้นออกไปให้ร่างบางได้ยินอีก  ไม่มีอีกแล้วจริงๆ

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าชายคาซึยะก็ทรงละสายตาจากท้องฟ้าสีครามสดใส  ซึ่งตรงกันข้ามกับพระทัยพระองค์ในขณะนี้เสียเหลือเกิน  หันไปสบตากับทหารคนสนิทด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ายังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ร่างสูงโปร่งพูด  แล้วจึงละสายตากจากร่างโปร่งกลับไปมองฟ้าอีกครั้ง  พลางทำหน้าครุ่นคิด  สักพักจึงกล่าวออกมา

                    ความรู้สึกนี้เรียกกันว่า  ความรัก ... เช่นนั้นหรือ  คาซึยะเพิ่งเข้าใจในครานี้เอง  ความรู้สึกที่แปลกใหม่ต่างๆที่เกิดขึ้น  รวมไปถึงการที่ไม่อยากให้ท่านพี่ทรงหมั้นหมายด้วยเช่นกัน  หากแต่ท่านพี่ล่ะ  จะทรงคิดเช่นที่คาซึยะคิดหรือไม่นะ  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกเล่า  หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก เจ้าชายก็ ทรงตรัสขึ้นอย่างแผ่วเบา ในประโยคสุดท้ายนั้นเบาจนเหมือนเสียงกระซิบกับองค์เองเสียมากกว่า  พระสุรเสียงนั้นสั่นเครือเจือไปด้วยความรู้สึกทั้งหมด

     

    *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

     

    กุบกับ! กุบกับ! ร่างชายหนุ่มอันแข็งแรงบึกบึนหากแต่ร่างนั้นถูกพันด้วยผ้าจนเกือบมิดทั้งตัวทำให้รู้ว่ามีบาดแผลมากมายภายใต้ผ้าพันแผลนั่น  ชายผู้นั้นขี่ม้าเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายด้วยจิตใจอันแน่วแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลถึงใครบางคนที่จากมา  จุดหมายนั้นคือ  หมู่บ้านในหัวเมืองตอนเหนือของแคว้นอาคานิชิ  หมู่บ้านยามาชิตะ สองข้างทางเป็นป่ารกที่ให้ความชุ่มชื้นสลับกับทุ่งโล่งกว้างที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง  มีสัตว์น้อยใหญ่หากินในบริเวณนั้นมากมาย  แต่ชายผู้นี้ก็หาได้สนใจสิ่งต่างๆรอบกายไม่  ยังคงมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือต่อไป

    หลังจากการเดินทางโดยไม่หยุดพักเลยทำให้มาถึงหมู่บ้านยามาชิตะในตอนพลบค่ำของวันที่ 15 จากวันที่ออกเดินทาง  เมื่อมาถึงหัวเมืองอันเป็นจุดมุ่งหมายแล้ว  แต่จุดหมายปลายทางหลักคือบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านนี้กลับไม่แน่ชัด  เพราะเขาไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง  ที่เขามาที่นี่เพราะต้องการพบใครคนหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนคนนั้น

    เขาจึงเริ่มต้นค้นหาคนคนนั้นโดยการเคาะประตูถามบ้านทีละหลัง  จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดชายป่า  แยกห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆเล็กน้อย

     

    ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

     

    ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ  เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาหลังจากประตูบ้านถูกเปิดออก  เผยให้ผู้มาเยือนที่ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเสียงหวานนั้น

    เอ่อ  คือ  ข้ามาหาแม่หญิงโทโมะ  ไม่ทราบว่าแม่หญิงโทโมะอยู่ที่นี่หรือไม่  ข้าทานากะ  โคคิ  เป็นเพื่อนของนากามารุ  ยูอิจิ  ร่างบึกบึนที่เต็มไปด้วยบาดแผลของโคคิแจ้งจุดประสงค์  ก่อนที่จะแนะนำตัวกับแม่หญิงตรงหน้า

    ข้านี่แหละ  โทโมะ  ท่านมาหาข้าด้วยเหตุใดหรือ  ร่างบางเอ่ยตอบก่อนถามถึงเหตุผลจากผู้ที่อยู่ตรงหน้า ร่างบางรู้สึกใจเต้นแปลกๆ  เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่างมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายผู้นี้  และคิดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว  จึงรีบเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อน

    คือ  เอ่อ  ข้ามาเพื่อบอกข่าวของยูอิจิ  แม่หญิงคงรับรู้แล้วเรื่องที่เจ้าชายทรงนำทหารไปปราบปรามคุซาโนะที่เทโงชิ  โคคิเอ่ยนำก่อนที่จะเข้าเนื้อหาของเรื่องที่เขาต้องมาพบแม่หญิงโทโมะ

    ค่ะ  ทราบค่ะ  เอ่อ  แล้ว...  แม่หญิงโทโมะตอบรับก่อนที่จะถามออกไป  ด้วยหัวใจที่เป็นกังวล

    คือ  ยูอิจิ  เอ่อ  ได้รับบาดเจ็บสาหัส  จากการปราบปรามคุซาโนะ  ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ  โคคิที่พอจะรู้ว่าร่างบางของผู้ที่อยู่ตรงหน้าต้องการที่จะถามเรื่องอันใด  จึงกล่าวบอกโดยไม่อ้อมค้อม

    ...............  ไม่มีคำตอบจากร่างบาง  มีเพียงความเงียบงันเท่านั้น  อะไรนะ  ที่ชายผู้นี้พูดมา  หมายความเช่นใดกัน  ยูอิจิน่ะหรือ  แล้ว...   แล้ว...  ร่างบางได้แค่คิดเพราะพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่

    โทโมะ  ใครมาหรือจ๊ะ  แม่ของแม่หญิงโทโมะถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดเข้ามาถึงในครัว  ร่างบางตื่นจากภวังค์ทันที  พลางเอ่ยตอบแม่กลับไป

    นายทหารเขามาบอกข่าวเกี่ยวกับยูอิจิที่ตามเจ้าชายจินไปปราบปรามคุซาโนะน่ะจ่ะ  ร่างบางกล่าวกับแม่เสียงเรียบ  ราวกับไม่รู้สึกใดใดทั้งสิ้น  หากแต่ในใจนั้นแสนที่จะร้อนรนไปด้วยความเป็นห่วง

    หืม  แล้วเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ  หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากในครัวเข้ามาในห้องที่ร่างบางกับโคคินั่งคุยกันอยู่  ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

    คือ  ยูอิจิได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปราบปรามคุซาโนะครับ  โคคิตอบทวนให้แม่ของแม่หญิงโทโมะฟังอีกครั้ง

    ตายจริง  แล้วตอนนี้อาการพ่อยูอิจิเป็นเช่นใดบ้างจ๊ะ  คุณแม่ยังสาวของโทโมะเอ่ยถามโคคิด้วยความเป็นห่วงและตกใจ  เมื่อได้รับรู้ข่าวคราวพ่อทหารคนโปรดของลูกชายตน  ที่นางเป็นห่วงพ่อทหารจมูกเป็นเอกลักษณ์มากมายเพียงนี้เป็นเพราะนางรักและเอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนเป็นลูกชายของนางจริงๆ

    ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ  นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว  ข้าจึงเกรงว่าอาจจะ...  ไปทั้งอย่างนั้นน่ะครับ  โคคิบอกอาการให้คุณแม่ยังสาวได้รับรู้  ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นห่วงเพื่อนมากเพียงใด

    แม่จ๋า  โทโมะขอตัวไปนอนก่อนนะจ๊ะ  ร่างบางก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องที่โคคิเดาได้ว่าน่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าตัว  โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากแม่แม้แต่น้อย

    อ้าว  โทโมะ!  โทโมะ!  เฮ้อ  เป็นอะไรไปนะเด็กคนนี้นี่  เอ่อ  ต้องขอโทษพ่อโคคิด้วยนะจ๊ะที่ลูกแม่เสียมารยาท  คุณแม่บ่นโทโมะก่อนที่จะหันมาขอโทษร่างบึกบึนที่นั่งอยู่ตรงนั้น  อย่างเกรงอกเกรงใจ

    เอ่อ  ไม่เป็นไรครับ  โคคิตอบอย่างเกรงใจ  เพราะแค่นี้เขาก็รบกวนจะแย่แล้ว

    ว่าแต่เดินทางมาถึงนี่  เพื่อต้องการบอกแค่นี้เท่านั้นหรือจ๊ะ  คุณแม่เอ่ยถามโคคิอย่างรู้ทันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นหาได้มีเท่านี้ไม่

    คือ  ยูอิจิเล่าให้ข้าฟังบ่อยๆเรื่องแม่หญิงโทโมะน่ะครับ  เอ่อ  ข้าเลยคิดว่า...

    ยูอิจิมีใจให้โทโมะ.. .เจ้าจะว่าเช่นนั้นรึ  คุณแม่กล่าวขึ้นก่อนที่โคคิจะทันได้พูดจบด้วยน้ำเสียงเรียบ  ทำเอาโคคินั่งไม่ติด  จะโดนตำหนิเอาหรือไม่นะ  แม่ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นหน้าตาท่าทางของพ่อทหารโคคิตรงหน้า  ที่ทำหน้าซีดจ๋อย  จึงกล่าวต่อไป

    เจ้าจึงอยากจะขอให้โทโมะไปเยี่ยมดูใจพ่อยูอิจิ?  คุณแม่กล่าวเชิงถามโคคิ  เจ้าตัวได้แต่อึกอัก  ในที่สุดก็พยักหน้ารับ  เมื่อคิดว่า  เอาก็เอา  บอกก็บอก  จะได้รู้กันว่าได้หรือไม่

    อืมมมม  เรื่องนี้แม่ก็ไม่สามารถให้คำตอบแทนเจ้าตัวได้หรอกนะ  ไว้แม่จะถามโทโมะให้นะจ๊ะ  ว่าแต่นี่ก็ดึกมากแล้ว  แถมยังเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้  คงจะยังไม่มีที่พักใช่ไหมจ๊ะ  งั้นคืนนี้พ่อโคคิก็พักเสียที่นี่ก่อนแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้จะเอาอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที  คุณแม่เอ่ยชวนโคคิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ราวกับกล่าวกับลูกชายอีกคนของนาง

    ครับ  ขอบคุณมากครับ  โคคิตอบอย่างเกรงใจ  เพราะถ้าไม่พักที่นี่เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปพักที่ใดเช่นกัน

    บ้านนี้เล็กไปหน่อยต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ  พ่อโคคินอนข้างนอกนี่ได้ไหมจ๊ะ  แม่จะได้เอาเครื่องนอนออกมาให้  แม่ถามโคคิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    อ๋อ  ครับ  ได้ครับไม่มีปัญหาครับ  ขอบคุณมากครับ  โคคิกล่าวขอบคุณอีกครั้ง  อย่างเกรงใจเต็มที

    จากนั้นคุณแม่ยังสาวก็เข้าไปเอาผ้าห่มและหมอนไม้แข็งๆซึ่งเคยเป็นของสามีในห้องของตัวเองออกมาให้โคคิซึ่งรออยู่ข้างนอก  พอเสร็จธุระแม่ก็ขอตัวเข้านอน  ส่วนโคคิก็ล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไปในทันทีเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลและบาดแผลที่ยังไม่หายดี

     

     

    *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

     

    ที่นี่เป็นที่ใดกันนะ  ร่างบางตาโตคิดพลางมองไปรอบๆบริเวณนั้นซึ่งเป็นทุ่งโล่งกว้างมีหญ้าสีเขียวขจีขึ้นปกคลุมพื้นดินไปจนสุดลูกหูลูกตา  ไม่มีต้นไม้เลยสักต้น  ทุกอย่างว่างเปล่าเวิ้งว้างไม่มีอะไรเลย  มีเพียงหมอกควันขาวที่ลอยอยู่รอบๆตัว  เบื้องบนนั้นคือท้องฟ้าสีครามสดใสซึ่งขัดกับบรรยากาศเบื้องล่างยิ่งนัก  หลังจากเหลียวมองไปรอบตัว  แต่ก็ไม่พบสิ่งใด  หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวนางเอง  พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง  เพ่งสายตาไปยังสิ่งนั้น  เหมือนมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จนร่างบางสามารถมองเห็นได้ถนัดมากขึ้น   ...มนุษย์...   ใครสักคนกำลังเดินตรงมาทางนางนี่นา  ไม่นานร่างนั้นก็เดินมาถึงร่างบางและกำลังที่จะเดินผ่านไป  ไม่ต้องเสียเวลาเพ่งมองอีกต่อไป  นางก็รู้ได้ทันทีว่าใคร  เอ่ยเรียกรั้งไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินผ่านไป

    พ่อจ๋า...  ทำไมพ่อไม่หันมามองนางล่ะ  หรือว่าจะไม่ได้ยินเสียงนางนะ  เรียกอีก  ผลก็คงเดิม  พ่อของร่างบางค่อยๆเดินห่างออกไป  ร่างบางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แล้วนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  คิดได้เพียงแค่นั้น เพราะร่างบางรู้สึกได้ว่ามีบางคนเดินมาจากข้างหลังของนาง  ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  หยุดยืนข้างๆร่างบาง  แล้วหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน   ...ยูอิจิ...   ร่างบางเผลอยิ้มตอบรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้  เพียงไม่นานยูอิจิก็เริ่มเดินห่างออกไป  เดินไปในทิศทางเดียวกันกับพ่อของร่างบาง

    ยูอิจิ!!  ยูอิจิ!!”   ได้แต่ร้องเรียกตามหลังร่างสูงที่เดินจากไปอย่างช้าๆ  เหตุใดจึงรู้สึกใจหายเช่นนี้นะ  ไวกว่าความคิดคือน้ำตา  บัดนี้น้ำตามากมายเอ่อล้นและไหลรินจากดวงตากลมสวยนั้นเสียแล้ว  เพิ่งประจักษ์แก่ใจตนเองในครานี้เองว่า...

    ยูอิจิ!!  ยูอิจิ!!  ข้ารักท่าน  ได้โปรดอย่าจากข้าไป  ได้... โปรด...  ร่างบางตัดสินใจตะโกนออกไปอีกเพื่อรั้งร่างสูง  พูดความในใจที่ตัวนางไม่เคยได้ล่วงรู้มาก่อนออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้  ร่างบางตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงปานจะขาดใจ  นางไม่ต้องการที่จะสูญเสียยูอิจิไปเช่นเดียวกับการที่ต้องสูญเสียพ่อไปอีกแล้ว  ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว  ไม่ต้องการ  ร่างบางทรุดลงนั่งบนพื้นหญ้าสีเขียว  ไม่มีแรงแม้จะยืนแล้ว  เมื่อเห็นว่ายูอิจิยังคงเดินต่อไป  จึงรวบรวมแรงกำลังทั้งหมดเพื่อร้องเรียกร่างสูงอีกครั้ง

    ยูอิจิ!!  ยูอิจิ!!”  เสียงติดสะอื้นนั่นยังคงร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

    โทโมะ  โทโมะจ๊ะ  ทันใดนั้น  มีเสียงๆหนึ่งร้องเรียกร่างบาง  เสียงนั้นดูคล้ายดังมาจากทุกด้านรอบตัว ฉับพลันร่างบางก็สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา  และเอ่ยชื่อบุคคลที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมา

    แม่!...   เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเรียกชื่อออกไปพร้อมๆกับน้ำตาที่รื้นขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้  ตามด้วยเสียงสะอื้นจนผู้เป็นแม่ต้องดึงบุตรีขึ้นมากอดแนบอก  พลางลูบผมนุ่มปลอบใจ  นึกสงสารบุตรสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดตน  เมื่อครู่นางกำลังล้มตัวลงนอน  แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องของลูกสาวดังขึ้นมา  จึงรีบรุดไปดูด้วยความเป็นห่วง  พอเข้ามาก็พบว่าเจ้าของเสียงกำลังร้องเรียกชื่อพ่อยูอิจิอยู่  สองมือถูกยื่นออกไปสะเปะสะปะคล้ายคนต้องการที่จะไขว่คว้าอะไรบางอย่างหรือใครสักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย  ดวงตาที่ปิดสนิทมีน้ำใสๆไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนแก้มป่องทั้งข้าง  ร้องเรียกลูกหลายครั้งกว่าจะตื่นขึ้นมา  ถ้าจะให้บอกว่าเก็บเอาเรื่องราวที่พ่อโคคินำมาบอกแล้วเก็บไปฝันก็หาใช่ไม่  เพราะนี่ไม่ใช่คราแรกที่โทโมะฝันร้ายและตะโกนเรียกชื่อพ่อยูอิจิ  ท่าทางเช่นนี้คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก  โทโมะลูกสาวเขารักพ่อทหารยูอิจิเข้าเสียแล้วสินะ  แม่คิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่  กอดลูกสาวอยู่พักใหญ่  ร่างบางจึงค่อยสงบลง  แม่จึงดันตัวลูกสาวออกอย่างอ่อนโยนพลางสบตาลูกสาว  ลูบผมนุ่มยาวระเอวให้เรียบร้อย

    ลูกอยากไปเยี่ยมพ่อยูอิจิหรือไม่  ถ้าแม่จะบอกว่าแม่อนุญาตให้ลูกไปล่ะจ๊ะ  หืม  สบตาลูกสาวสักพักจึงกล่าวถามออกไป  ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงที่ลูกสาวต้องเดินทางไปไกลถึงเพียงนั้น  แต่ก็ยังดีกว่าให้นางเห็นลูกสาวฝันร้ายอยู่อย่างนี้ต่อไป

    แต่...  ลูกเป็นห่วงทางนี้นี่จ๊ะ...  แล้วหนทางที่ไปไม่ใช่ใกล้ๆ  กว่าจะไปถึงและกว่าจะกลับมาถึงอีก  คงกินเวลานานนัก  โทโมะกล่าว  ไม่ได้ตั้งใจจะหาข้ออ้างเพื่อที่จะหลอกความรู้สึกตัวเองแต่อย่างใด  หากแต่นางเป็นห่วงชาวบ้านที่นี่จริงๆ  สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจเลย  ทุกวันนี้นางต้องทำหน้าที่แทนพ่อทุกอย่าง  นั่นก็รวมไปถึงการที่ต้องดูแลชาวบ้านที่นี่ด้วยเช่นกัน  ถ้านางไป  แล้วใครเล่าจะเป็นเสาหลักให้กับชาวบ้านที่พ่อรัก  แม่หรือ...  หาได้ไม่  เหตุเพราะแม่ร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ส่วนโฉะองน้องชายนางก็เพิ่ง 8 ขวบเท่านั้น  ถึงแม้นางจะเป็นห่วงยูอิจิมากเพียงใด  แต่นางไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้

    โทโมะจ๊ะ  หนูไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะจ๊ะ  หนูลืมไปแล้วหรือไรว่าหนูมีผู้ช่วยที่เก่งกาจและไว้ใจได้เพียงใดอย่างพ่อเคะน่ะ  หืม  ฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ  ผู้เป็นมารดากล่าวขัดความคิดของบุตรสาวขึ้น  เพราะนางรู้ว่าร่างบางกำลังคิดเช่นใดอยู่

    แต่...  ไม่ว่าอย่างไร  นางก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

    ไม่มีแต่จ่ะ  แม่รู้ว่าลูกรู้สึกเช่นไร  แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นกังวลเรื่องพ่อยูอิจิอีก  ไปดูไปเยี่ยมให้เห็นกับตาว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก  พอสบายใจแล้วก็ค่อยกลับมาก็ได้นี่จ๊ะ  เอ  หรือลูกจะปฏิเสธว่าไม่ได้ห่วงพ่อยูอิจิ  มารดาขัดขึ้นอีกครั้ง  พลางบอกเหตุผลที่อยากให้ไป  ต่อท้ายด้วยประโยคคล้ายกับจะแกล้งแหย่บุตรสาวไปในตัว

    ก็... ไม่ได้...

    แต่เอ  แล้วหลายคืนที่ผ่านมาใครกันนะ  ที่ฝันร้ายแล้วร้องเรียกพ่อยูอิจิ  หืม  คุณแม่ยังสาวเอ่ยขัดก่อนที่ร่างบางจะปฏิเสธออกไป  พลางส่งสายล้อลูกสาวในที  และยิ่งเมื่อเห็นว่าร่างบางนั่งก้มหน้าซะจนคางแทบจะติดกับหน้าอกอยู่แล้ว  จึงแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

    อืมมม  งั้นหรือจ๊ะ  โทโมะไม่ไปเยี่ยมพ่อยูอิจิแล้วสินะ  อ่ะ  จ่ะแม่เข้าใจแล้ว  เดี๋ยวจะไปบอกพ่อโคคิให้เค้าเตรียมตัวกลับเลยแล้วกัน  คุณแม่กล่าวออกมาพร้อมกับลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปจากห้อง  แต่ก็ถูกมือเล็กรั้งปลายเสื้อผู้เป็นแม่ไว้ก่อน

     

     

     

    …………………………..

    …………………..

    ……………..

    …………

    …….

    ……

    ….

    ..

    .

     

    To be con ….PART  5

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×