คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Part 4
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
PROMISE OF LOVE
JIN - ME
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
part 4
วันต่อมา
เจ้าชายคาซึยะก็ทรงทำหน้าที่ดูแลพระราชินีอายะตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับเจ้าชายจิน แต่ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ได้สัญญาไว้ พระองค์ก็ต้องดูแลและอยู่เป็นเพื่อนพระราชินีทุกวันอยู่แล้ว โดยมีจุนโนะทหารคนสนิทของพระองค์อยู่ด้วยเสมอ แต่วันนี้หาได้เหมือนเช่นทุกวันไม่
เนื่องจากในขณะที่เจ้าชายทรงพูดคุยเรื่องบ้านเมืองประชาชนกับพระราชินีอยู่ที่ห้องหนังสือนั้น จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู ดังขึ้น และเมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ ทหารนายหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้ามาแล้วนั่งลงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
ก่อนที่จะกราบทูลความ
"พระราชินีพะยะค่ะ คือ ...เอ่อ..." ทหารนายนั้นได้แต่อ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นพักใหญ่ จึงได้ตัดสินใจที่จะกราบทูลอีกครั้ง ท่ามกลางความรู้สึกของทั้งสองพระองค์ที่กำลังทำพระทัยเย็นรอฟังอยู่
"พระราชินีพะย่ะค่ะ คือ เรื่องที่เจ้าชายจินทรงนำทหารไปปราบปรามน่ะพะย่ะค่ะ ม้าเร็วได้ส่งข่าวมาแล้วว่า เอ้อ ..." แต่ก็ยังไม่วายพูดติดขัดอีก จนพระราชินีอายะทรงตรัสถามขึ้นเองอย่างร้อนใจ เพราะพระนางทรงรู้สึกพระทัยไม่ดีตั้งแต่เมื่ออรุณรุ่งแล้ว
"คือ ม้าเร็วส่งข่าวมาว่า เอ่อ เจ้าชายจินและคนอื่นไม่ทรงกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ" นายทหารนายนั้นกราบทูลพลางก้มหน้ามองพื้นเบื้องหน้า
"เจ้า... เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน ที่ว่าจินและคนอื่นจะไม่กลับมาแล้วน่ะ จุน" พระราชินีทรงตรัสถาม มัตสึโมโตะ จุน ด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือ พร้อมกลับทรงผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย
พระนางก็ทรงรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่พระนางทรงกลัวและหวาดหวั่นมาตลอดได้เกิดขึ้นจริงเสียแล้ว จินลูกแม่
และทันใดนั้นพระวรกายของพระนางก็ทรุดลง
ทำให้เจ้าชายคาซึยะและจุนโนะที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเข้ามาประคองพระราชินีให้ค่อยๆนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม
จากนั้นเจ้าชายก็ทรงรับเอายาดมจากจุนโนะมาให้พระราชินีดมทันที
ถึงแม้ว่าในขณะนี้พระองค์เองก็รู้สึกไม่แตกต่างจากพระราชินีก็ตาม พระวรกายเสมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำการใดใดได้เลย แต่พระองค์ก็ต้องอดทนพยายามทำพระทัยให้เข้มแข็งเพื่อที่จะต้องเป็นหลักให้กับพระราชินี
หลังจากที่จุนโนะพูดคุยถามไถ่เรื่องราวจากมัตสึจุนจนได้เรื่องแล้ว ก็ถึงกับอาการหัวใจวูบทันที เพราะรู้มาว่าไม่มีใครเหลือเลย ทั้งโคคิ หัวหน้านายกอง , ยูอิจิ แม่ทัพใหญ่แห่งอาคานิชิ และที่สำคัญคือ อุเอดะ เขาพยายามทำใจให้เข้มแข็ง ปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด แล้วก็บอกให้อีกฝ่ายออกไปก่อน เพราะเขาต้องช่วยเจ้าชายคาซึยะพาพระราชินีไปพักผ่อนในห้องบรรทมเสียก่อน และเมื่อพระราชินีทรงเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะฤทธิ์ยาแล้ว คนทั้งคู่จึงเดินออกมาจากห้องบรรทมของพระราชินี โดยที่เจ้าชายคาซึยะทรงเอาแต่เงียบ ไม่แม้แต่จะทรงตรัสอะไรออกมาเลยสักคำ จนจุนโนะเป็นห่วงขึ้นมา เพราะแววพระเนตรของเจ้าชายน้อยของเขานั้น เลื่อนลอยปราศจากประกายวาววับเช่นที่เคยเป็น
"จุนโนะ คาซึยะจะกลับห้องนะ อยากพักผ่อน" จู่ๆ เจ้าชายคาซึยะก็ทรงตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงที่แห้งแล้ง ดังคนที่ขาดน้ำมาหลายวัน พระองค์อยากพักผ่อนจริงๆ ทำไมรู้สึกเหนื่อยจัง เหนื่อยแม้แต่จะหายใจต่อไปด้วยซ้ำ
พระทัยมันหนักอึ้งเหมือนจะขาดเสียให้ได้ และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่พระองค์เคยสัมผัสนั้น
มันชัดเจนขึ้นมามาก แต่พระองค์ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าพระองค์เป็นอันใดกันแน่
"ครับ" จุนโนะตอบรับ เพราะเขาเอง จากที่เห็นแล้ว คาซึยะจังตอนนี้เขาก็อยากที่จะให้พักผ่อนเสียเหลือเกินเช่นกัน
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~ *~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
เจ้าชายคาซึยะยังทรงนั่งอยู่ริมหน้าต่างพระราชวังและเหม่อมองออกไป หาได้มีทีท่าจะสนใจผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ ยังคงเฝ้าคิดถึงแต่ผู้ที่จากไปอยู่เช่นนั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ข้างๆก็มีอาการไม่ต่างกันแม้แต่น้อย มีเพียงความเงียบที่ยังคงบรรเลงเพลงเศร้าคอยกรีดแทงหัวใจของคนทั้งคู่ให้ปวดแปลบ วันเวลาดูคล้ายจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีสิ่งใดไหวติง สายลมดูเหมือนจะหยุดพัด นกน้อยดูเหมือนว่าจะหยุดร้องเพลงขับขาน สายน้ำก็ดูคล้ายจะหยุดรินไหล แต่แล้วจุนโนะก็เลือกที่จะทำลายความเงียบอันทารุณนี้เสีย โดยการถามเจ้าชายน้อย
“คาซึยะจังรักเจ้าชายจินใช่ไหมครับ” จุนโนะเอ่ยถามคำถามที่เขาเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากฟากฟ้า เอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย
“รักสิ รักมากที่สุด ก็คาซึยะกับท่านพี่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนกันมาตลอด” เจ้าชายน้อยทรงตอบตามความรู้สึก(อันไร้เดียงสา)
“ไม่ ข้าหาได้หมายความเช่นนั้นไม่ รักในที่นี้นั้น รักเช่นที่หญิงผู้หนึ่งจะรักชายผู้หนึ่งได้ต่างหากล่ะครับ”ร่างสูงละสายตาจากฟ้าครามแล้วหันมากล่าวกับเจ้าชายคาซึยะ
“คาซึยะก็หารู้ไม่ คาซึยะไม่เข้าใจตัวเองเลย รู้แต่ว่าความรู้สึกนี้มันแปลกใหม่เหลือเกิน ซึ่งตัวคาซึยะเองนั้นไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทุกคราที่อยู่ใกล้ท่านพี่ และเมื่อรู้ข่าวท่านพี่วันนี้แล้ว... คาซึยะรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ คิดว่าจากนี้จะไม่มีท่านพี่อยู่กับคาซึยะอีก คาซึยะก็ไม่อยากทนอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว” เจ้าชายทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่เหงาเศร้าสร้อยจนคนฟังรู้สึกใจหาย หากแต่อีกฝ่ายก็คงรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน
“คาซึยะจังรู้ตัวหรือไม่ว่า คาซึยะจังน่ะ รักเจ้าชายจิน ถึงได้รู้สึกเช่นนั้น” จุนโนะกล่าวบอกเจ้าชาย เพราะตอนนี้เขาก็เพิ่งรู้สึกถึงหัวใจตัวเองว่า รักและต้องการร่างบางหน้าสวย ทหารคนสนิทของเจ้าชายจินเพียงใด มารู้ตัวรู้ใจตัวเองเอาวันที่มันสายไปแล้ว เขาผิดเองที่รู้ตัวช้าไป จนทำให้ร่างบางต้องเจ็บช้ำ และตัวเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอื้อนเอ่ยคำๆนั้นออกไปให้ร่างบางได้ยินอีก ไม่มีอีกแล้วจริงๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าชายคาซึยะก็ทรงละสายตาจากท้องฟ้าสีครามสดใส ซึ่งตรงกันข้ามกับพระทัยพระองค์ในขณะนี้เสียเหลือเกิน หันไปสบตากับทหารคนสนิทด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ายังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ร่างสูงโปร่งพูด แล้วจึงละสายตากจากร่างโปร่งกลับไปมองฟ้าอีกครั้ง พลางทำหน้าครุ่นคิด สักพักจึงกล่าวออกมา
“ความรู้สึกนี้เรียกกันว่า ความรัก ... เช่นนั้นหรือ คาซึยะเพิ่งเข้าใจในครานี้เอง ความรู้สึกที่แปลกใหม่ต่างๆที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการที่ไม่อยากให้ท่านพี่ทรงหมั้นหมายด้วยเช่นกัน หากแต่ท่านพี่ล่ะ จะทรงคิดเช่นที่คาซึยะคิดหรือไม่นะ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกเล่า” หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก เจ้าชายก็ ทรงตรัสขึ้นอย่างแผ่วเบา ในประโยคสุดท้ายนั้นเบาจนเหมือนเสียงกระซิบกับองค์เองเสียมากกว่า พระสุรเสียงนั้นสั่นเครือเจือไปด้วยความรู้สึกทั้งหมด
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
กุบกับ! กุบกับ! ร่างชายหนุ่มอันแข็งแรงบึกบึนหากแต่ร่างนั้นถูกพันด้วยผ้าจนเกือบมิดทั้งตัวทำให้รู้ว่ามีบาดแผลมากมายภายใต้ผ้าพันแผลนั่น ชายผู้นั้นขี่ม้าเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายด้วยจิตใจอันแน่วแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลถึงใครบางคนที่จากมา จุดหมายนั้นคือ หมู่บ้านในหัวเมืองตอนเหนือของแคว้นอาคานิชิ “หมู่บ้านยามาชิตะ” สองข้างทางเป็นป่ารกที่ให้ความชุ่มชื้นสลับกับทุ่งโล่งกว้างที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง มีสัตว์น้อยใหญ่หากินในบริเวณนั้นมากมาย แต่ชายผู้นี้ก็หาได้สนใจสิ่งต่างๆรอบกายไม่ ยังคงมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือต่อไป
หลังจากการเดินทางโดยไม่หยุดพักเลยทำให้มาถึงหมู่บ้านยามาชิตะในตอนพลบค่ำของวันที่ 15 จากวันที่ออกเดินทาง เมื่อมาถึงหัวเมืองอันเป็นจุดมุ่งหมายแล้ว แต่จุดหมายปลายทางหลักคือบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านนี้กลับไม่แน่ชัด เพราะเขาไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง ที่เขามาที่นี่เพราะต้องการพบใครคนหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนคนนั้น
เขาจึงเริ่มต้นค้นหาคนคนนั้นโดยการเคาะประตูถามบ้านทีละหลัง จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดชายป่า แยกห่างออกมาจากบ้านหลังอื่นๆเล็กน้อย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ” เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาหลังจากประตูบ้านถูกเปิดออก เผยให้ผู้มาเยือนที่ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเสียงหวานนั้น
“เอ่อ คือ ข้ามาหาแม่หญิงโทโมะ ไม่ทราบว่าแม่หญิงโทโมะอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าทานากะ โคคิ เป็นเพื่อนของนากามารุ ยูอิจิ” ร่างบึกบึนที่เต็มไปด้วยบาดแผลของโคคิแจ้งจุดประสงค์ ก่อนที่จะแนะนำตัวกับแม่หญิงตรงหน้า
“ข้านี่แหละ โทโมะ ท่านมาหาข้าด้วยเหตุใดหรือ” ร่างบางเอ่ยตอบก่อนถามถึงเหตุผลจากผู้ที่อยู่ตรงหน้า ร่างบางรู้สึกใจเต้นแปลกๆ เหมือนมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่างมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายผู้นี้ และคิดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว จึงรีบเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อน
“คือ เอ่อ ข้ามาเพื่อบอกข่าวของยูอิจิ แม่หญิงคงรับรู้แล้วเรื่องที่เจ้าชายทรงนำทหารไปปราบปรามคุซาโนะที่เทโงชิ” โคคิเอ่ยนำก่อนที่จะเข้าเนื้อหาของเรื่องที่เขาต้องมาพบแม่หญิงโทโมะ
“ค่ะ ทราบค่ะ เอ่อ แล้ว...” แม่หญิงโทโมะตอบรับก่อนที่จะถามออกไป ด้วยหัวใจที่เป็นกังวล
“คือ ยูอิจิ เอ่อ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการปราบปรามคุซาโนะ ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ” โคคิที่พอจะรู้ว่าร่างบางของผู้ที่อยู่ตรงหน้าต้องการที่จะถามเรื่องอันใด จึงกล่าวบอกโดยไม่อ้อมค้อม
“...............” ไม่มีคำตอบจากร่างบาง มีเพียงความเงียบงันเท่านั้น อะไรนะ ที่ชายผู้นี้พูดมา หมายความเช่นใดกัน ยูอิจิน่ะหรือ แล้ว... แล้ว... ร่างบางได้แค่คิดเพราะพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่
“โทโมะ ใครมาหรือจ๊ะ” แม่ของแม่หญิงโทโมะถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังลอดเข้ามาถึงในครัว ร่างบางตื่นจากภวังค์ทันที พลางเอ่ยตอบแม่กลับไป
“นายทหารเขามาบอกข่าวเกี่ยวกับยูอิจิที่ตามเจ้าชายจินไปปราบปรามคุซาโนะน่ะจ่ะ” ร่างบางกล่าวกับแม่เสียงเรียบ ราวกับไม่รู้สึกใดใดทั้งสิ้น หากแต่ในใจนั้นแสนที่จะร้อนรนไปด้วยความเป็นห่วง
“หืม แล้วเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากในครัวเข้ามาในห้องที่ร่างบางกับโคคินั่งคุยกันอยู่ ถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“คือ ยูอิจิได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปราบปรามคุซาโนะครับ” โคคิตอบทวนให้แม่ของแม่หญิงโทโมะฟังอีกครั้ง
“ตายจริง แล้วตอนนี้อาการพ่อยูอิจิเป็นเช่นใดบ้างจ๊ะ” คุณแม่ยังสาวของโทโมะเอ่ยถามโคคิด้วยความเป็นห่วงและตกใจ เมื่อได้รับรู้ข่าวคราวพ่อทหารคนโปรดของลูกชายตน ที่นางเป็นห่วงพ่อทหารจมูกเป็นเอกลักษณ์มากมายเพียงนี้เป็นเพราะนางรักและเอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนเป็นลูกชายของนางจริงๆ
“ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ข้าจึงเกรงว่าอาจจะ... ไปทั้งอย่างนั้นน่ะครับ” โคคิบอกอาการให้คุณแม่ยังสาวได้รับรู้ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นห่วงเพื่อนมากเพียงใด
“แม่จ๋า โทโมะขอตัวไปนอนก่อนนะจ๊ะ” ร่างบางก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องที่โคคิเดาได้ว่าน่าจะเป็นห้องนอนของเจ้าตัว โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากแม่แม้แต่น้อย
“อ้าว โทโมะ! โทโมะ! เฮ้อ เป็นอะไรไปนะเด็กคนนี้นี่ เอ่อ ต้องขอโทษพ่อโคคิด้วยนะจ๊ะที่ลูกแม่เสียมารยาท” คุณแม่บ่นโทโมะก่อนที่จะหันมาขอโทษร่างบึกบึนที่นั่งอยู่ตรงนั้น อย่างเกรงอกเกรงใจ
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” โคคิตอบอย่างเกรงใจ เพราะแค่นี้เขาก็รบกวนจะแย่แล้ว
“ว่าแต่เดินทางมาถึงนี่ เพื่อต้องการบอกแค่นี้เท่านั้นหรือจ๊ะ” คุณแม่เอ่ยถามโคคิอย่างรู้ทันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นหาได้มีเท่านี้ไม่
“คือ ยูอิจิเล่าให้ข้าฟังบ่อยๆเรื่องแม่หญิงโทโมะน่ะครับ เอ่อ ข้าเลยคิดว่า...”
“ยูอิจิมีใจให้โทโมะ.. .เจ้าจะว่าเช่นนั้นรึ” คุณแม่กล่าวขึ้นก่อนที่โคคิจะทันได้พูดจบด้วยน้ำเสียงเรียบ ทำเอาโคคินั่งไม่ติด จะโดนตำหนิเอาหรือไม่นะ แม่ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นหน้าตาท่าทางของพ่อทหารโคคิตรงหน้า ที่ทำหน้าซีดจ๋อย จึงกล่าวต่อไป
“เจ้าจึงอยากจะขอให้โทโมะไปเยี่ยมดูใจพ่อยูอิจิ?” คุณแม่กล่าวเชิงถามโคคิ เจ้าตัวได้แต่อึกอัก ในที่สุดก็พยักหน้ารับ เมื่อคิดว่า เอาก็เอา บอกก็บอก จะได้รู้กันว่าได้หรือไม่
“อืมมมม เรื่องนี้แม่ก็ไม่สามารถให้คำตอบแทนเจ้าตัวได้หรอกนะ ไว้แม่จะถามโทโมะให้นะจ๊ะ ว่าแต่นี่ก็ดึกมากแล้ว แถมยังเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ คงจะยังไม่มีที่พักใช่ไหมจ๊ะ งั้นคืนนี้พ่อโคคิก็พักเสียที่นี่ก่อนแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้จะเอาอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที” คุณแม่เอ่ยชวนโคคิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับกล่าวกับลูกชายอีกคนของนาง
“ครับ ขอบคุณมากครับ” โคคิตอบอย่างเกรงใจ เพราะถ้าไม่พักที่นี่เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปพักที่ใดเช่นกัน
“บ้านนี้เล็กไปหน่อยต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ พ่อโคคินอนข้างนอกนี่ได้ไหมจ๊ะ แม่จะได้เอาเครื่องนอนออกมาให้” แม่ถามโคคิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อ๋อ ครับ ได้ครับไม่มีปัญหาครับ ขอบคุณมากครับ” โคคิกล่าวขอบคุณอีกครั้ง อย่างเกรงใจเต็มที
จากนั้นคุณแม่ยังสาวก็เข้าไปเอาผ้าห่มและหมอนไม้แข็งๆซึ่งเคยเป็นของสามีในห้องของตัวเองออกมาให้โคคิซึ่งรออยู่ข้างนอก พอเสร็จธุระแม่ก็ขอตัวเข้านอน ส่วนโคคิก็ล้มตัวลงนอนและผล็อยหลับไปในทันทีเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทางไกลและบาดแผลที่ยังไม่หายดี
*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*
ที่นี่เป็นที่ใดกันนะ ร่างบางตาโตคิดพลางมองไปรอบๆบริเวณนั้นซึ่งเป็นทุ่งโล่งกว้างมีหญ้าสีเขียวขจีขึ้นปกคลุมพื้นดินไปจนสุดลูกหูลูกตา ไม่มีต้นไม้เลยสักต้น ทุกอย่างว่างเปล่าเวิ้งว้างไม่มีอะไรเลย มีเพียงหมอกควันขาวที่ลอยอยู่รอบๆตัว เบื้องบนนั้นคือท้องฟ้าสีครามสดใสซึ่งขัดกับบรรยากาศเบื้องล่างยิ่งนัก หลังจากเหลียวมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งใด หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวนางเอง พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง เพ่งสายตาไปยังสิ่งนั้น เหมือนมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จนร่างบางสามารถมองเห็นได้ถนัดมากขึ้น ...มนุษย์... ใครสักคนกำลังเดินตรงมาทางนางนี่นา ไม่นานร่างนั้นก็เดินมาถึงร่างบางและกำลังที่จะเดินผ่านไป ไม่ต้องเสียเวลาเพ่งมองอีกต่อไป นางก็รู้ได้ทันทีว่าใคร เอ่ยเรียกรั้งไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะเดินผ่านไป
“พ่อจ๋า...” ทำไมพ่อไม่หันมามองนางล่ะ หรือว่าจะไม่ได้ยินเสียงนางนะ เรียกอีก ผลก็คงเดิม พ่อของร่างบางค่อยๆเดินห่างออกไป ร่างบางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วนางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คิดได้เพียงแค่นั้น เพราะร่างบางรู้สึกได้ว่ามีบางคนเดินมาจากข้างหลังของนาง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หยุดยืนข้างๆร่างบาง แล้วหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ...ยูอิจิ... ร่างบางเผลอยิ้มตอบรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้ เพียงไม่นานยูอิจิก็เริ่มเดินห่างออกไป เดินไปในทิศทางเดียวกันกับพ่อของร่างบาง
“ยูอิจิ!! ยูอิจิ!!” ได้แต่ร้องเรียกตามหลังร่างสูงที่เดินจากไปอย่างช้าๆ เหตุใดจึงรู้สึกใจหายเช่นนี้นะ ไวกว่าความคิดคือน้ำตา บัดนี้น้ำตามากมายเอ่อล้นและไหลรินจากดวงตากลมสวยนั้นเสียแล้ว เพิ่งประจักษ์แก่ใจตนเองในครานี้เองว่า...
“ยูอิจิ!! ยูอิจิ!! ข้ารักท่าน ได้โปรดอย่าจากข้าไป ได้... โปรด...” ร่างบางตัดสินใจตะโกนออกไปอีกเพื่อรั้งร่างสูง พูดความในใจที่ตัวนางไม่เคยได้ล่วงรู้มาก่อนออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ร่างบางตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงปานจะขาดใจ นางไม่ต้องการที่จะสูญเสียยูอิจิไปเช่นเดียวกับการที่ต้องสูญเสียพ่อไปอีกแล้ว ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องการ ร่างบางทรุดลงนั่งบนพื้นหญ้าสีเขียว ไม่มีแรงแม้จะยืนแล้ว เมื่อเห็นว่ายูอิจิยังคงเดินต่อไป จึงรวบรวมแรงกำลังทั้งหมดเพื่อร้องเรียกร่างสูงอีกครั้ง
“ยูอิจิ!! ยูอิจิ!!” เสียงติดสะอื้นนั่นยังคงร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
“โทโมะ โทโมะจ๊ะ” ทันใดนั้น มีเสียงๆหนึ่งร้องเรียกร่างบาง เสียงนั้นดูคล้ายดังมาจากทุกด้านรอบตัว ฉับพลันร่างบางก็สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา และเอ่ยชื่อบุคคลที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมา
“แม่!...” เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงเรียกชื่อออกไปพร้อมๆกับน้ำตาที่รื้นขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ตามด้วยเสียงสะอื้นจนผู้เป็นแม่ต้องดึงบุตรีขึ้นมากอดแนบอก พลางลูบผมนุ่มปลอบใจ นึกสงสารบุตรสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดตน เมื่อครู่นางกำลังล้มตัวลงนอน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องของลูกสาวดังขึ้นมา จึงรีบรุดไปดูด้วยความเป็นห่วง พอเข้ามาก็พบว่าเจ้าของเสียงกำลังร้องเรียกชื่อพ่อยูอิจิอยู่ สองมือถูกยื่นออกไปสะเปะสะปะคล้ายคนต้องการที่จะไขว่คว้าอะไรบางอย่างหรือใครสักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาที่ปิดสนิทมีน้ำใสๆไหลรินออกมาเปรอะเปื้อนแก้มป่องทั้งข้าง ร้องเรียกลูกหลายครั้งกว่าจะตื่นขึ้นมา ถ้าจะให้บอกว่าเก็บเอาเรื่องราวที่พ่อโคคินำมาบอกแล้วเก็บไปฝันก็หาใช่ไม่ เพราะนี่ไม่ใช่คราแรกที่โทโมะฝันร้ายและตะโกนเรียกชื่อพ่อยูอิจิ ท่าทางเช่นนี้คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจาก โทโมะลูกสาวเขารักพ่อทหารยูอิจิเข้าเสียแล้วสินะ แม่คิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ กอดลูกสาวอยู่พักใหญ่ ร่างบางจึงค่อยสงบลง แม่จึงดันตัวลูกสาวออกอย่างอ่อนโยนพลางสบตาลูกสาว ลูบผมนุ่มยาวระเอวให้เรียบร้อย
“ลูกอยากไปเยี่ยมพ่อยูอิจิหรือไม่ ถ้าแม่จะบอกว่าแม่อนุญาตให้ลูกไปล่ะจ๊ะ หืม” สบตาลูกสาวสักพักจึงกล่าวถามออกไป ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงที่ลูกสาวต้องเดินทางไปไกลถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังดีกว่าให้นางเห็นลูกสาวฝันร้ายอยู่อย่างนี้ต่อไป
“แต่... ลูกเป็นห่วงทางนี้นี่จ๊ะ... แล้วหนทางที่ไปไม่ใช่ใกล้ๆ กว่าจะไปถึงและกว่าจะกลับมาถึงอีก คงกินเวลานานนัก” โทโมะกล่าว ไม่ได้ตั้งใจจะหาข้ออ้างเพื่อที่จะหลอกความรู้สึกตัวเองแต่อย่างใด หากแต่นางเป็นห่วงชาวบ้านที่นี่จริงๆ สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจเลย ทุกวันนี้นางต้องทำหน้าที่แทนพ่อทุกอย่าง นั่นก็รวมไปถึงการที่ต้องดูแลชาวบ้านที่นี่ด้วยเช่นกัน ถ้านางไป แล้วใครเล่าจะเป็นเสาหลักให้กับชาวบ้านที่พ่อรัก แม่หรือ... หาได้ไม่ เหตุเพราะแม่ร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนโฉะองน้องชายนางก็เพิ่ง 8 ขวบเท่านั้น ถึงแม้นางจะเป็นห่วงยูอิจิมากเพียงใด แต่นางไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้
“โทโมะจ๊ะ หนูไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะจ๊ะ หนูลืมไปแล้วหรือไรว่าหนูมีผู้ช่วยที่เก่งกาจและไว้ใจได้เพียงใดอย่างพ่อเคะน่ะ หืม ฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ” ผู้เป็นมารดากล่าวขัดความคิดของบุตรสาวขึ้น เพราะนางรู้ว่าร่างบางกำลังคิดเช่นใดอยู่
“แต่...” ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
“ไม่มีแต่จ่ะ แม่รู้ว่าลูกรู้สึกเช่นไร แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นกังวลเรื่องพ่อยูอิจิอีก ไปดูไปเยี่ยมให้เห็นกับตาว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก พอสบายใจแล้วก็ค่อยกลับมาก็ได้นี่จ๊ะ เอ หรือลูกจะปฏิเสธว่าไม่ได้ห่วงพ่อยูอิจิ” มารดาขัดขึ้นอีกครั้ง พลางบอกเหตุผลที่อยากให้ไป ต่อท้ายด้วยประโยคคล้ายกับจะแกล้งแหย่บุตรสาวไปในตัว
“ก็... ไม่ได้...”
“แต่เอ แล้วหลายคืนที่ผ่านมาใครกันนะ ที่ฝันร้ายแล้วร้องเรียกพ่อยูอิจิ หืม” คุณแม่ยังสาวเอ่ยขัดก่อนที่ร่างบางจะปฏิเสธออกไป พลางส่งสายล้อลูกสาวในที และยิ่งเมื่อเห็นว่าร่างบางนั่งก้มหน้าซะจนคางแทบจะติดกับหน้าอกอยู่แล้ว จึงแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว
“อืมมม งั้นหรือจ๊ะ โทโมะไม่ไปเยี่ยมพ่อยูอิจิแล้วสินะ อ่ะ จ่ะแม่เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปบอกพ่อโคคิให้เค้าเตรียมตัวกลับเลยแล้วกัน” คุณแม่กล่าวออกมาพร้อมกับลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ถูกมือเล็กรั้งปลายเสื้อผู้เป็นแม่ไว้ก่อน
..
..
..
.
.
..
.
To be con
.PART 5
ความคิดเห็น