คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Soul Hunter มัจจุราชแห่งรัตติกาล 1
Soul Hunter มัจจุราชแห่งรัตติกาล 1
บทนำ
ยามดึกบนถนนสายหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินทางกลับที่พักหลังจากไปซื้อข้าวของในซุปเปอร์มาเก็ตมา แสงไฟข้างทางส่องให้เห็นทางเดินข้างหน้าราง ๆ ถัดไปอีกหน่อยเป็นส่วนสาธารณะ และถัดจากนั้นไปอีกก็คือที่พักของเขาซึ่งเป็นหอพักที่ตั้งอยู่ภายในโรงเรียน นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ยังมีคนเดินประปราย
~ คนนะคนโทอิอินะ เทะคิตาระอิอินะ อันนะยูเมะคนนะยูเมะ อิปไปอารุเคะโด ~
เสียงริงโทนโทรศัพท์เพลงโดราเอมอนดังขึ้น พอเห็นว่าใครโทรมาเขาก็กรอกเสียงลงไปตามสาย
“ ฮัลโล ว่าไงไอ้แมน ”
“ อยู่ไหนวะไอ้จิ ให้ไปซื้อสีน้ำมันแค่นี้ทำไมไปนานจังวะ ”
“ ก็คนมันต่อคิวที่เคาน์เตอร์เยอะนี่หว่า ฉันมาถึงสวนสาธารณะแล้วเดี๋ยวก็ถึงหอแล้วเนี่ย ”
“ รีบ ๆ กลับมาเลยนะ บอลกับชัยมันก็รอแกอยู่นี่ ให้ตาย งานต้องส่งพรุ่งนี้แล้ว ทำไมสีต้องมาหมดเอาตอนนี้ด้วยวะ ”
“ เออน่า เพิ่งจะกี่ทุ่มเอง ลงสีผ้าใบเฟรมเดียวแค่นี้แป๊บเดียวก็เสร็จ ”
“ เสร็จนะเสร็จหรอก แต่จะแห้งทันหรือเปล่านะซิ ”
จิหัวเราะ เขาเดินคุยสายกับเพื่อนไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน ผ่านสระน้ำข้างหน้านี่ไปก็จะเข้าเขตโรงเรียนแล้ว หารู้ไม่ว่าที่มุมหนึ่งในสวนสาธารณะมีชายคนหนึ่งจอดรถจักรยานซุ่มอยู่ ชายคนนั้นแต่งชุดด้วยชุดหนังสือดำตั้งแต่หัวจรดเท้า สวมถุงมือสีดำเข้าชุดกัน พอเห็นจิเดินเข้ามาใกล้ ชายคนนั้นก็รีบสวมกันน็อคและรีบดัดป้ายทะเบียนรถขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วสตาร์ตรถเร่งความเร็วเครื่องเต็มที่พุ่งชนเขาอย่างจัง ร่างของชายหนุ่มลอยละลิ่วตามแรงปะทะ กระเด็นตกน้ำไปท่ามกลางเสียงหวีดร้องของคนแถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์ ชายชุดดำขี่จักรยานยนต์หนีไปอย่างรวดเร็ว โทรศัพท์มือถือของจิกระเด็นตกไปข้างสระ เสียงปลายสายยังดังตามมา
“ เมื่อกี้เสียงอะไรวะจิ มีอะไรหรือเปล่า ”
“ ................”
“ จิ.....ไอ้จิ เฮ้ย! ตอบสิ แกเป็นอะไรหรือเปล่า ไอ้จิ! ” ไร้เสียงตอบกลับมา เพราะเจ้าของโทรศัพท์ตอนนี้จมหายไปในสายน้ำเสียแล้ว
บทที่ 1
ชีวิตหลังความตาย
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่รู้จัก ทิวทัศน์รอบด้านเป็นสีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา บนพื้นที่เต็มไปด้วยหมอกควันบดบังจนแทบมองไม่เห็นขาตัวเอง และท่ามกลางหมอกเหล่านั้นมีทางเดินสีขาวสลับดำทอดยาวไปสู่ทางเบื้องหน้า
ที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย จิคิดสงสัย รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมาจากทางสายนั้น
มีใครอยู่ทางนั้นบ้างนะ
เขาก้าวขึ้นไปบนทางเดินถึงได้ทราบว่ามันทำมาจากหินอ่อนอย่างดีท่าทางมีราคา ตั้งใจว่าจะลองเดินไปยังปลายที่น่าจะไกลพอดู แต่แค่คิดพื้นก็ขยับเองราวกับมีชีวิตจนเขาตกใจ ภาพรอบด้านผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็มีแต่สีขาว สีขาวและสีขาวเท่านั้น เพียงไม่กี่นาทีสิ่งก่อสร้างอย่างแรกก็ปรากฏให้เห็น มันเป็นประตูขนาดใหญ่สามบานต่างสีกัน ตั้งเรียงเป็นแถวหน้ากระดาน
ประตูบานแรกมีสีดำสลักลวดลายโครงกระดูกดูน่ากลัว
ประตูบานที่สองเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ประดับด้วยอัญมณีแวววาว
ประตูบานที่สามเป็นสีทองที่ไม่ได้สลักลวดลายอะไรเลย ดูราบเรียบแต่แฝงความสง่างามไว้ในที
และเมื่อเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ถึงเห็นชัดว่าประตูแต่ละบานนั้น มีขนาดใหญ่เท่าตึกสองสามชั้น
ที่ด้านหน้าของประตูทั้งสามบานมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่สีน้ำตาลตั้งอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองกระดาษมากมายจนล้น และมีคนนับร้อยยืนต่อแถวกันหน้าโต๊ะตัวนั้น รอบ ๆ ยังมีคนใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำอีกห้าหกคนยืนกระจัดกระจาย
พื้นหินอ่อนหยุดเคลื่อนที่ลงเมื่อจิยืนต่อท้ายแถวพอดี.....เสียงหนึ่งดังมาจากหลังโต๊ะไม้สีน้ำตาล เสียแต่มันไกลเกินไป แถมยังมีภูเขากองกระดาษบัง จิจึงมองไม่เห็นตัว คนที่อยู่ด้านหน้าสุดของแถวออกไปตามเสียงเรียก เป็นชายอายุประมาณห้าสิบปี
“ ประตูดำ! ” เสียงนั้นเอ่ยอีกครั้ง แล้วคนในชุดผ้าคลุมสีดำคนหนึ่งก็มาลากชายสูงวัยออกไปทางประตูบานแรก เขาเงื้อเคียวเล่มใหญ่ในมือกระแทกบานประตูสองสามครั้งมันก็เปิดออก แล้วผลักชายสูงอายุเข้าไปภายในทันที
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นในพริบตาที่ประตูปิดลงจนจิอดขนลุกไม่ได้
บางทีที่นี่อาจจะเป็นปากประตู่สู่นรก ทุกคนมาเพื่อรอรับการพิพาทษาว่าจะได้ไปสวรรค์หรือนรก ใช่แล้ว เขาถูกรถจักรยนต์พุ่งชนจนตกลงไปในน้ำ พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ตายไปแล้วนะสิ
จิคิดในใจพลางนึกลำดับเรื่องทั้งหมด เขาเป็นคนที่ยอมรับสภาพรอบตัวได้ง่ายเสมอ แม้จะเป็นเหตุการณ์แบบนี้ก็ตาม อายุแค่สิบเจ็ดก็ต้องมาที่นี่ซะแล้ว ขอโทษนะครับคุณปู่ที่ผมล่วงหน้ามาหาพ่อกับแม่ก่อน อย่าลืมทำบุญมาให้ผมนะครับ แล้วก็ช่วยจับไอ้คนที่มันขี่รถชนผมให้ด้วย
พลางคิดไปถึงบรรดาเพื่อน ๆ ที่รออยู่หอพัก ทุกคนล้วนเป็นเพื่อที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน
โทษทีวะไอ้แมน ฉันคงเอาสีน้ำมันไปให้แกไม่ได้แล้ว ไปซื้อเอาเองแล้วกันนะ อย่าลืมมางานศพฉันล่ะเพื่อน พาบอลกับชัยมาด้วย ชัยมันขี้แยแกช่วยปลอบมันหน่อยแล้วกัน อย่าให้มันเป่าปี่มากนัก เป็นลูกผู้ชายร้องไห้มาก ๆ อายเขา ส่วนได้บอลมันเงียบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แกช่วยต่อยหน้ามันทีเผื่อมันจะร้องไห้น้ำตาเล็ดให้ฉันบ้าง ขอโทษที่ฉันต้องล่วงหน้ามาก่อนพวกแกนะ
แถวหดสั้นลงเรื่อย ๆ จนถึงคิวของชายหนุ่ม
“ จิรัฐติกาล อรัญวรานนท์ ” เสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้น พร้อมกับจิที่มายืนหน้าโต๊ะไม้พอดี จากตรงนี้จึงพอมองเห็นเจ้าของเสียงได้
ตรงหน้าคือเด็กชายวัยไม่เกินสิบสองถึงสิบสามปี ผมดำยาวมัดไปข้างหลังเป็นหางม้า สวมชุดเครื่องแบบสีดำทับด้วยผ้าคลุมสีม่วงเข้ม นัยน์ตาสีเดียวกับผ้าคลุมหนากวาดอ่านเอกสารในมือที่คงบันทึกประวัติของเขาเอาไว้เพราะเด็กชายกำลังร่ายประวัติของเขายาวเหยียด ไม่รู้ว่าไปสืบมาตอนไหน
“ อายุตอนปลายคือสิบแปดปี สาเหตุเพราะไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนแล้วเป็นตระคริวจมน้ำตายใช่ไหม ”
เป็นสาเหตุการตายที่ทุเรศที่สุดในชีวิตสำหรับคนที่ว่ายน้ำเก่งระดับแชมป์จังหวัดอย่างผม แต่ผมถูกรถชนกระเด็นตกน้ำตายต่างหากเล่า แถมตอนนี้ผมเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเองด้วย
เด็กชายตาโตเมื่ออ่านไปถึงบรรทัดหนึ่ง
“ ตายวันที่ 13 เมษายน 2553 เวลา 13.13 นาฬิกา อะไรกันนี่! นิรันดร์นายพาวิญญาณที่ยังไม่ถึงฆาตลงมาอีกแล้วหรือ ทำไมทำงานสะเพร่าแบบนี้! ”
เลขเวลาตายเป็นมงคลมาก แต่เมื่อกี้ว่าไงนะ ยังไม่ถึงฆาตอย่างนั้นหรือ
คนชุดดำหนึ่งในหลายคนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่แถวนั้นเดินเข้ามา เขาเลิกผ้าคลุมออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาระดับพระเอกยังชิดซ้าย ผิวขาวซีดตัดกับเส้นผมสีแดงสดพลิ้วไหว นัยน์ตาเป็นสีแดงสดรับกับสีผม เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำเช่นเดียวกับเด็กชาย อายุประมาณสิบแปดปี เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วพูด
“ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แต่พอไปถึงวิญญาณเจ้านี่ก็ออกจากร่างจนเลยกำหนดเวลากลับเข้าร่าง ฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยต้องเอากลับมาด้วย ”
“ นายปล่อยทิ้งไว้ให้พวกโซลเมตมาเก็บไปก็ได้นี่นา ไม่รู้หรือไงว่าฉันทำการพิพากษาไม่ได้หากดวงวิญญาณยังไม่หมดอายุขัยอย่างแท้จริง ”
เด็กชายต่อว่าอย่างฉุนเฉียว แต่คนที่ชื่อนิรันทร์ยังไม่ยอมแพ้
“ เก็บไปก็กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์อยู่ดีแหละ ดีไม่ดีกลายเป็นวิญญาณอาฆาตด้วยซ้ำ ที่นี่ก็ออกกว้างขวาง ให้มันอยู่ด้วยคนแล้วกัน ”
“ นั่นแหละปัญหา นิรันดร์ นี่มันดวงที่เท่าไหร่แล้วที่นายทำแบบนี้ วิญญาณกี่ดวง ๆ ที่นายพามามีสักครึ่งมั้ยที่หมดอายุขัยจริง ๆ ระวังเถอะ ฉันจะรายงานความประพฤตินายส่งเบื้องบน ”
“ เหอะ กี่ครั้งแล้วที่นายรายงานเรื่องฉัน ไม่เห็นพวกนั้นจะทำอะไรเลยนี่หว่า ” นิรันดร์พูดด้วยท่าทีเป็นต่อ
“ ยมทูตเบี้ยน้อยหอยน้อยก็เท่านั้น แถมยังมีกันอยู่แค่นิดเดียวดันต้องทำงานหนักแทบไม่มีเวลาพักเบื้องบนหรือยังจะกล้าลงโทษอีก ”
“ มียมทูตนั่งเทียนทำงานอย่างนาย สู้ไม่มีมันจะดีกว่า ” เด็กชายขบฟันกรอด
“ ยมทูตนั่งโต๊ะนะหุบปากไปเลย ” นิรันดร์สวน
“ จะทะเลาะกันไปถึงไหน ไม่ตลกเลยนะ คุณจะให้ผมอยู่ที่นี่ทั้งที่ผมมีสิทธิ์อยู่บนโลกต่ออีกหนึ่งปีงั้นเหรอ ”
“ ก็ใช่นะซิ/ไม่ใช่ ” ยมทูตสองตนว่า ก่อนชะงักค้างพร้อมกัน เจ้าวิญญาณพูดแทรกตอนนี้ยืนเท้าสะเอวฟังประโยคโต้กันไปมาถึงเขาจะเป็นคนที่ยอมรับเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่ายก็เถอะ แต่การตายก่อนเวลาตั้งปีนี่มันเหลือรับจริง ๆ จิคิดอย่างหงุดหงิด
“ เมื่อกี้...เจ้าเป็นคนพูดอย่างงั้นเหรอ ” เด็กชายถาม
“ ก็ผมน่ะสิ พวกคุณจะเป็นยมทูตหรืออะไรไม่รู้ล่ะ แต่ถ้าผมยังไม่ถึงที่ตาย คุณจะพาผมมาแบบนี้ไม่ได้ ” จิพูดออกไป แต่ยมทูตทั้งสองอยู่ในอาการตกตะลึง เขาจึงได้หันไปมองรอบตัว
นอกจากคนชุดดำแถวนั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นยมทูตเหมือนกันแล้ว พวกที่เข้าแถวแต่ละคนล้วนมีสีหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึกกันทั้งสิ้น มิน่าละ ทั้งสองถึงตกใจเมื่อเขาโพลงออกมา
“ พาผมกับไปเดี๋ยวนี้นะ ” ยมทูตผมแดงเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ ถึงจะครองสติได้ทั้งที่อยู่ที่นี่ก็อย่าห้าวไอ้หนู แล้วอีกอย่าง ถึงจะกลับไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อย่างที่บอก วิญญาณของนายออกจากร่างกายจนเลยกำหนดเวลากลับเข้าร่วงแล้ว กายหยาบบนโลกของนายตอนนี้เป็นแค่ซากศพเท่านั้น ”
เรียกว่าได้ไอ้หนู อายุก็ดูพอกันแท้ ๆ
“ ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างน้อยถ้าวิญญาณของผมยังอยู่บนโลกมนุษย์ต่อ คงมีสักวิธีที่จะกลับเข้าร่างได้ แต่คุณกลับพาผมมาแบบนี้ ”
เด็กชายหันไปมองยมทูตผมแดงเป็นเชิงว่า ‘ มันก็น่ารับผิดชอบจริง ๆ ’ แต่เขากลับพูดไปอีกอย่าง
“ เมื่อกลายเป็นวิญญาณแล้วก็ถือว่าตัดขาดกับกายหยาบ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ”
“ ผมจะไม่ตายถ้าพวกคุณไม่พาผมมา ส่งผมกลับเดี๋ยวนี้นะ ” จิย้ำ แต่ยมทูตทั้งสองยังคงนิ่งเฉย
“ ก็ได้ งั้นผมจะหาทางกลับไปเอง ” ชายหนุ่มว่าแล้วหันหลังกลับทันที ในเมื่อเขามาจากเส้นทางหินอ่อนสีขาวสลับดำ หากเดินกลับไปคงเจอทางออกได้ไม่ยาก เขาพยายามคิดให้เส้นทางหินอ่อนนั้นเคลื่อนที่กลับไป แต่มันไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังมีวิญญาณจำนวนมากต่อแถวเข้ามาเรื่อยๆ อีก
บ้าชะมัด วันเวย์เหรอนี่ งั้นเดินเอาเองก็ได้วะ
“ ต่อให้เดินจนหมดช่วงอายุขัยของนาย เจ้าก็หาทางออกไม่เจอหรอก ” เด็กชายพูดดักคอเมื่อเห็นจิตั้งท่าจะเดินกลับไป
“ หมายความยังไง ” เด็กชายอธิบาย
“ เส้นทางที่เจ้ามาเรียกว่าทางสายปรโลก มีไว้สำหรับนำทางวิญญาณสู่ปรโลกเท่านั้น ดังนั้นมันจึงมีแต่ทางเข้า ไม่มีทางออก วิญญาณทุกดวงที่เข้ามาที่นี่ต้องรอรับคำพิพากษาจากฉันก่อนจึงจะออกไปได้ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะได้ไปไหน สวรรค์หรือนรก ”
“ แต่เมื่อกี้บอกว่าวิญญาณที่ไม่ถึงฆาตจะพิพากษาไม่ได้ยังไงล่ะ ”
“ ถึงบอกให้อยู่ที่นี่สักปีไง ” นิรันดร์เสริมขึ้นมา
สวรรค์ นรก หรือจะหมายถึงประตูสามบานด้านหลังนั่น ถ้างั้นบานที่สามล่ะไปไหน ประตูดำคงเป็นนรก งั้นก็เหลือแต่ประตูขาวกับประตูทอง
เด็กชายมองสายตาของจิออก
“ ใช่แล้ว ถ้าคิดจะออกไปจากที่นี่ ทางออกก็มีแค่ประตูสามบานด้านหลังของฉันนี้ ประตูดำคือประตูนรก ประตูขาวคือประตูสวรรค์ ประตูทองคือประตูพิสุทธิ์ซึ่งเป็นทางเดียวที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ แต่ผู้ที่จะเปิดมันได้ก็มีแต่ยมทูตเท่านั้น ”
“ งั้นก็เปิดสิ ” จิบอก
นิรันดร์ถอนหายใจเฮือก
“ พูดไปพูดมาก็วนมาเรื่องเดิม วิญญาณทุกดวงต้องรอรับการพิพากษาก่อนจึงจะได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูหนึ่งในสามบานได้ นายยังไม่มีสิทธิ์แม่แต้จะรอรับการพิพากษา จะให้เปิดได้อย่างไร ” เด็กชายหันไปมองยมทูตผมแดงเป็นเชิง ‘ อย่างนี้ทำมาเป็นเคร่งกฎ ’ แต่ก็เห็นด้วย
จิเดินไปยังประตูสีทองบานใหญ่ ประตูเป็นแบบสองบานพับติดกันต้องใช้วิธีผลักมันออก เขาลองผลักมันโดยแรง พวกยมทูตที่อยู่แถวนั้นพากันหัวเราะร่วน
“ ไม่มีประโยชน์หรอกน่า บอกแล้วว่ามีแต่ยมทูตถึงจะเปิดมันได้ ” เด็กชายร้องบอก แต่ชั่วครู่ก็ต้องตกตะลึงเป็นคำรบสองเมื่อบานประตูใหญ่แง้มเปิดเล็กน้อยจนเห็นแสงสีทองเล็ดลอดออกมา เสียงหัวเราะเงียบหายไปทันที แต่จิไม่สนใจ เขาพยายามผลักบานประตูอยู่อย่างนั้น ยิ่งเห็นมันเปิดออกมาเล็กน้อยก็ยิ่งมีแรงใจเพิ่มขึ้น
ไหนว่ามีแต่ยมทูตที่เปิดได้ไงล่ะ โกหกชัด ๆ
แต่แล้วเขาก็ต้องเซล้มก้นกระแทกเมื่อถูกใครคนหนึ่งกระชากแขนออกมา มันเป็นกลุ่มควันสีม่วงเข้มอมดำรูปร่างคล้ายมนุษย์หลายตนยืนค้ำหัวเขาอยู่ และกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยฝีมือของยมทูตเด็กน้อย
เด็กชายจัดการสั่งให้ควันสีม่วงอมดำปิดประตูลงเหมือนเดิม แล้วลากตัวจิกลับมา
“ ปล่อยนะ ! ” จิดิ้นรนต่อสู้แรงเจ้าควันประหลาดไม่ไหว ด้วยความหงุดหงิดมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงตะโกนลั่น
“ บอกให้ปล่อยไงเล่า หายไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ” สิ้นเสียงตะโกน กลุ่มควันสีม่วงอมดำทั้งหมดก็มลายหายไปทันที เด็กชายกรอกตาเล็กน้อย
“ นายเก็บตัวปัญหามาแล้วสิ นิรันดร์ ” ยมทูตผมแดงไม่ตอบแต่พึมพำอะไรบางอย่าง เกิดแสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้ากลายเป็นเคียวสีแดงเข้มเล่มใหญ่ เขากระชับเคียวในมือมั่น พุ่งตัวด้วยความเร็ว พริบตาก็ไปอยู่ตรงหน้าตัวปัญหา คมเคียวเหวี่ยงวูบเฉี่ยวเส้นผมของชายหนุ่มไปหวุดหวิด เคราะห์ดีที่จิหลบทัน
“ ทำบ้าอะไรน่ะ แค่นี้จะฆ่าจะแกงกันเลยเรอะ! ”
“ นายก็ตายอยู่แล้วนี่ ” นิรันดร์ว่า
“ ใครกันล่ะที่ทำให้เป็นแบบนี้! ” จิวิ่งหนีเจ้าของเคียวสีแดงที่ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจ้าเคียวเล่มยักษ์ที่น่าจะหนักแต่คนถือกลับใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนกับมันไร้น้ำหนักอย่างนั้น
“ อย่ามาทำลายที่ทำงานของฉันนะ นิรันดร์ นายพามันไปที่อื่นโน่นไป๊ ” เด็กชายร้องตะโกนเมื่อเห็นผลงานของยมทูตผมแดง โต๊ะไม้สีน้ำตาลตัวใหญ่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนหลังจากจิมุดเข้าไปหลบแล้วนิรันดร์ฟาดเคียวตามมา เอกสารรายชื่อดวงวิญญาณปลิวกระจุยกระจาย บรรดาวิญญาณที่เข้าแถวแตกฮือโดยสัญชาตญาณเมื่อเห็นเคียวเล่มยักษ์นั่น ยามเจ้าของเคียวพุ่งเข้าไปที่ใด เหล่าวิญญาณก็พากันกระเจิงไปเป็นทาง ร้อนถึงบรรดายมทูตที่เหลือต้องช่วยกันควบคุมสถานการณ์
“ อยู่เฉย ๆ สิแค่ตัดขาข้างสองข้างไม่เจ็บปวดอะไรหรอกน่า ” นิรันดร์ว่า “ แล้วก็รออยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลา ”
เวลาอะไร เวลาหมดอายุขัยน่ะหรือ ไม่มีทาง
จิรีบหาทางหนีอย่างรวดเร็ว ทางออกมีทางเดียวเท่านั้นคือประตูสีทอง เขาพยามเปิดมันออกอีกครั้ง
“ ฉันไม่ยอมให้นายทำได้ดีหรอดน่า ” นิรันดร์เหวี่ยงคมเคียวเข้าใส่อย่างรุนแรง มันแง้มออกเล็กน้อย เขากระแทกออกไปมันก็เริ่มเปิดออกมากขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอจะพาตัวผ่านเข้าไปได้อยู่ดี
“ เล่นสนุกมากพอแล้วไอ้หนู ” เสียงยมทูตผมแดงเริ่มเข้มขึ้นเมื่อสถานการณ์ดูชักไม่เข้าที
นิรันดร์เงื้ออาวุธคู่กายขึ้นอีกครั้งแล้วตวัดลงมาอย่างรวดเร็วหมายกำจัดดวงวิญญาณที่ก่อความวุ่นวายแก่ปรโลก
จิตกใจ ยกมือขึ้นรับอย่างจัง
ชายหนุ่มไม่คิดมาก่อนว่าวิญญาณจะมีเลือดมีเนื้อกับเขา แต่ตอนนี้เลือด
อ่านต่อในเล่มค่ะ
คัดลอกมาจาก www.jamsai.com
ความคิดเห็น