ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บารามอส(บาราเฮ เอดินตี้ เฟรี่ เฟริน)

    ลำดับตอนที่ #14 : คำสาปฝันร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 58


    “โรเวน ดูเหมือนความสามารถของนายจะยังไม่พอที่จะทำหน้าที่นี้นะ”

     

            อาเธอร์ จ้องมองเสนาธิการฝ่ายซ้ายของป้อมอัศวินด้วยนัยน์ตาสีดำคมกริบที่ฉายแววดูถูก ก่อนจะมองสำหรวจห้องและคนอื่นในห้องเหมือนประเมิณราคาสินค้าคุณภาพต่ำ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มอย่างหน้าขนลุก พอหันกลับไปหาโรเวนอีกทีก็พบว่าคนๆนั้นยืนอยู่ตรงหน้านี้ จ้องมองอาเธอร์ด้วยดวงตาสีน้ำเงินสวยเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เหมือนดวงตาคู่นั้นกำลังยิ้มให้ ใบหน้าเนียนนั้นโน้มเข้าหาและกระซิบด้วยเสียงพร่าที่ชวนให้ลมหายใจติดขัด ใบหน้าของคนฟังขึ้นสีแดงระเรื่อไปถึงหู กัดฟันแน่น มองคนที่เข้ามากระซิบด้วยความโกรธ

     

              อาเธอร์หันกลับมามองผู้หญิงคนเดียวในห้องอย่างเธอ ก่อนจะตรงเข้ามากระชากแขน ลากให้เธอเข้าไปยืนข้างเตียงของเฟรินด้วยกันกับเขา เมื่อเธอเข้าใกล้สัญลักษณ์มงกุฏสีทองเล็กๆก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากเฟรินและเรืองแสงสีแดงออกมา

     

    “เจ้านี้เป็นอะไร ทำพันธะสัญญากับมงกุฏนั้นใช่ไหม”

     

    “เปล่าคะ เจ้าวายร้ายนั้นคงจะถูกชะตากับเขา หลังจากที่มงกุฏแห่งใจอาละวาท ฉันก็เจอแค่คนๆนี้ล่ะค่ะที่โดนคำสาปฝันร้าย

     

    “คำสาปนั้นมันทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบด้วยไม่ใช่เหรอ ถ้าได้บาดแผลจากในฝันแผลนั้นก็จะปรากฏที่ร่างกายของเขาด้วย" 


    "หรือถ้าตายในนั้น เขาก็ตายจริง" เธอเติมคำพูดของโรต่อ


    "ถ้าจะพูดอย่างนี้ก็เงียบๆไปดีกว่า!" คิลตะคอกใส่


    "ฉันก็แค่อธิบายต่อให้คุณรู้ตามความจริง คุณเฟรินน่ะเก่งนะคะ อย่าเป็นห่วงเลย"

     

    พอพูดจบ ร่างคนที่นอนหลับอยู่ก็กระตุก มือหยาบคว้าเข้าที่ข้อมือของเธอ สติที่มีดับวูบแล้วร่างทั้งร่างก็ทรุดลงไปนอนข้างๆเฟริน คลื่นพลังงานขนาดใหญ่แผ่ออกมาจากสองคนที่นอนอยู่แล้วผลักทั้งคนทั้งสิ่งของในห้องให้ออกห่าง

     

    คิลที่ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งไปทางเฟรินชนเข้ากับเขตอาคมจนล้มไปอีกรอบ

     

    “มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย!” อาเธอร์สบถอย่างหัวเสีย มองร่างสองร่างที่นอนกุมมือกันนิ่ง

     

    ที่ข้างนอกหน้าต่าง พายุที่ก่อตัวขึ้นทำให้ความกังวลของคนในห้องยิ่งมากขึ้น ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     

              บรรยากาศมืดหม่นขมุกขมัว เสียงฟ้าร้องและแสงของสายฟ้าที่เข้ามาในห้องอย่างถี่ๆทำให้ความรู้สึกของการอยู่ในห้องและมองสองคนที่นอนนิ่งนั้น เหมือนการอยู่ในนวนิยายที่พวกเข้าได้เข้ามาในอาณาเขตหวงห้าม กำลังเฝ้ามองปีศาจร้ายที่กำลังจะลืมตาตื่นขึ้นมาทำลายล้างทุกสิ่ง

     

    “เหมียว~~

     

              เสียงเล็กๆเรียกสายตาทั้งหมดหันไปหาที่เจ้าแมวตัวกลมสีขาวที่เดินออกมาจากใต้โต๊ะ ไม่มีใครรู้ว่ามันเข้ามาเมื่อไหร่และเข้ามาในเขตเเดนที่ลูคัสกางเอาไว้โดยที่ลูคัสไม่รู้ตัวได้ยังไง นัยน์ตาสีฟ้าครามมองสบกับคาโลแล้วเดินเข้าไปคลอเคลียที่ขา ร่างสูงก้มลงมาลูบหัว ฟันซี่น้อยๆนั้นกัดเข้าที่นิ้วของเขาแล้วมันก็วิ่งหนี ผ่านเขตอาคม เจ้าตัวเล็กกระโดดขึ้นเตียง ตรงเข้าไปหาเฟรินมองหน้าเด็กหนุ่มนิ่งๆก่อนจะก้มลงไปเลียที่หน้าผากของเขา เลือดสีแดงเข้มปิดทับรอยมงกุฏ ตาสีฟ้าแปลเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งทับทิมน้ำงาม เขี้ยวน้อยๆของมันยาวขึ้น เขี้ยวคมนั้นฝังเข้าไปที่ลำคอแล้วดูดเลือดสักพักมันก็ถอยออกมา กลุ่มหมอกควันสีดำก่อตัวขึ้นเหนือเฟรินรวมกลุ่มกันและสลายออกให้เห็นกริซทองคำขาวที่ทั้งใบมืดและด้ามทำจากทองคำขาว ด้ามจับถูกพันด้วยผ้าสีน้ำเงินที่ส่วนปลายของด้ามประดับด้วยเม็ดทับทิม

     

    เรื่องน่ากลัวสำหรับกลุ่มผู้เห็นเหตุการณ์ในห้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้ากริซนั้นพุ่งลงมาเสียบเข้าที่หัวใจของร่างข้างใต้เลือดสีแดงไหลออกจากปากของเฟริน กริซที่เห็นนั้นเริ่มเบลอเหมือนภาพมายาไร้ตัวต้นที่ค่อยๆจางหายไปและหายไปไม่มีทั้งกริซนั้นหรือบาดแผลที่กริซนั้นทำให้ได้เห็น

     

              เฟรินสะดุ้งลุกขึ้นนั่งเบิกตาโต เหงื่ออาบทั่วตัว หายใจหอบถี่ เลือดที่คอไหลลงมาไม่หยุด อาการเวียนหัวก็จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก สะบัดหัวสองทีก่อนจะล้มตัวลงไปนอนหันหน้าไปสบตากับหญิงสาวข้างๆที่นอนมองเขา

     

    “ไม่เป็นไรแล้วนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอทำให้เขาสงบลงบ้าง

     

    ความอ่อนเพลียเข้าเล่นงานทันที  เขายิ้มบางๆให้เธอก่อนที่หนังตาจะค่อยๆปิดลงและจมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็วพร้อมกับหวังให้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่เขาจะต้องเจอในชีวิต ถ้ามันมีอะไรที่เลวร้ายได้กว่านี้อีกเขาคงอายุสั้นลงหลายปีแน่

     

    “รู้ไหมเฟลิโอน่า ฉันเริ่มคิดแล้วล่ะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเป็นฝีมือของเธอ ไม่ใช่เจ้ามงกุฏแห่งใจนั้น”

     

              ตาโตๆของเธอหันไปสบกับเจ้าชายอาเธอร์ แล้วยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

     

    “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน  ไม่ว่ารุ่นพี่จะเชื่ออย่างไหน อีกไม่นานความจริงก็จะปรากฏค่ะ”

     

              สิ่งที่ทุกคนในห้องได้เห็นจากเธอคนนี้ในตอนนี้ มีเพียงความมั่นใจที่ฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นและรอยยิ้มอ่อนหวาน และไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถสรุปได้ในตอนนี้





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×