คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ★ Vagrant ★ 03 Chapter 3 - หล่อ แต่จน พร้อมพาทุกคนมาลำบาก
Part 1 ★ Vagrant ★
Part 1 ★ Vagrant ★
-03- Chapter 3
หล่อ แต่จน พร้อมพาทุกคนมาลำบาก
(นี่คุณ ทำไมคุณยังไม่บอกลูก!@#$%^&*&^%$) แด๊ดเอาโทรศัพท์ออกห่างเหมือนจะหันไปคุยกับแม่ บ้าจริง ฉันได้ยินไม่ชัดเลยน่ะ
“อะไรคะแด๊ด! เรื่องอะไรคะ!!”
(สัญญานะว่าถ้าฟังแล้วจะใจเย็น)
“เรื่องอะไรแด๊ด!!”
(คือ...ตอนนี้บริษัทของเราเข้าขั้นล้มละลายเพราะโดนยักยอกเงินออกจากบริษัทหลายล้าน หุ้นของบริษัทที่พ่อลงทุนก็ล้มละลาย)
“...!!!”
(อีกอย่างบริษัทเราก็มีหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ เจ้าหนี้ตามทวงถึงบ้าน ตอนนี้ข้าวของในบ้านกระจุยกระจายไม่เป็นท่าหมดแล้ว ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่ที่ประเทศจีน)
“ดะ...แด๊ด-”
(อีกอย่างพวกเราไม่ได้ทิ้งลูกนะลูกรัก ในเมื่อลูกโตแล้ว ควรจะดูแลตัวเองได้โดยไม่มีพวกเรา ถือเป็นบทเรียนชีวิตนะลูก)
“…!!!”
(แม่กับพ่อรักลูกนะจ๊ะ โชคดีจ้ะ กู๊ดลัค) และนั่นคือเสียงทิ้งท้ายของแม่ เป็นคำทิ้งท้ายที่ฉันไม่อยากได้ยินมันที่สุดในชีวิต
ตู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...
เรียกว่าชีวิตฉันบัดซบเลยเถอะตอนนี้! นี่มันขาลงของชีวิตรึไงวะเนี่ย!!! อย่าบอกนะว่าเจ้าหนี้ตามพังบ้านซะเละเหมือนในหนังน่ะ แล้วกางเกงในตัวละพันสองทั้งหลายทั้งแหล่เป็นคอกของฉันล่ะ ทำไมพวกเขาถึงทำกับน้องๆ หนูๆ ลูกๆ ได้ลงคอ ไอ้คนใจหยาบ!
วินาทีถัดมาฉันก็ทรุดลงที่ฟุตบาททันที ให้ตายเถอะ โชคชะตาเล่นตลกเกินไปแล้วนะ!! หรือว่าจะเป็นปีชง? แต่นี่มันเพิ่งเดือนมกราคมนะเฟ้ย TT..TT โอยยยถ้าให้ฉันชงทั้งปี หรืออีกสิบเอ็ดเดือนฉันขอลาตายดีกว่า ไม่ไหวนะ ไม่ไหวจริงๆ
“เฮ้ สบายดีอยู่มั้ยเนี่ย” นายโรคจิตที่เดินไปแล้ววกกลับมาถามใหม่เมื่อเห็นฉันทรุดลงแบบฉับพลัน อ้อจริงสิ ใช่เลย เพราะนายโรคจิตนี่แท้ๆ ชีวิตฉันถึงหายนะ! ใช่แล้วว!! ใช่เลยย!
“เพราะนายนั่นแหละ ชีวิตฉันถึงเป็นแบบนี้ ตัวซวยชัดๆ!” ว่าแล้วฉันก็รีบลุกพรึบขึ้นอย่างไม่รีรอก่อนจะเดินเชิดไปที่รถตัวเก่งเพื่อนรักฉัน อย่างน้อยฉันก็เหลือแกเป็นที่เพิ่งสุดท้ายนะ T T
ไม่นานนักก็กลับมาถึงบ้าน นี่มันเจ็ดโมงครึ่งแล้วหรอเนี่ย ไวจริงๆ เออจริงสิ แปดโมงครึ่งก็ต้องออกไปที่ศาลอีก แล้วแน่นอนว่าต้องเจอกับไอ้ตัวซวยนั่นซ้ำอีกครั้ง กรี๊ดดด ไม่เอานะพอแล้ววว ฉันไม่อยากเจอ ไม่อยากพบกับหมอนั่นที่สุดในสามโลก แต่ฉันว่าฉันอย่าเพิ่งห่วงเรื่องหมอนั่นดีกว่า เพราะสิ่งที่ควรต้องห่วงที่สุดในตอนนี้คือบ้าน! บ้านฉันตอนนี้ภายนอกค่อนข้างจะเหมือนเดิมแต่ภายในนี่สิ โอ้พระเจ้า! ไม่ต้องคิดภาพเลย เพราะขนาดแค่ประตูไม้สักบานใหญ่ทางเข้าบ้านยังโดนกรีดซะเละขนาดนี้ ภายในบ้านคงไม่ต้องพูดถึง
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มแรงเพื่อทำใจ ก่อนจะผลักประตูทั้งสองข้างออกพร้อมกัน ผ่างงง! สวยงาม =__= บ้านฉัน...ไม่ค่อยจะต่างอะไรจากซากปรักหักพัง
หลังจากอึ้งกิมกี่สามวิเสร็จฉันก็เดินข้ามซากต่างๆ ในบ้านอย่างนึกเสียดาย โอ้ นี่มันโคมไฟคริสตอลที่แขวนอยู่ห้องโถงกลางบ้านนี่ พวกทวงหนี้มันปีนขึ้นไปตัดสายเลยรึไงนะ ลงทุนจริงเชียว -*- ตกลงมาแตกซะละเอียด ไหนจะแจกันประมูล ภาพวาดประมูลนั่นอีก
โธ่ๆ...พ่อแม่ฉันไปยืมเงินมาเฟียที่ไหนมาฟะเนี่ย ซาตานในร่างคนชัดๆ อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาและความคิด ไอคิวต่ำหรอลูกเพ่ แทนที่จะเอาของราคาแพงพวกนี้ไปขาย กลับมาทำพังซะงั้น สงสัยจะเป็นความชอบ ซาดิสต์ไม่เบาเลย ว่าแต่ฉันจะมาบ่นทำไมเนี่ย ของก็ของของฉัน อย่าไปเผลอแนะนำพวกมันเชียว แต่ช่างเถอะ ฉันต้องขึ้นไปเอากางเกงในก่อน
พรึ่บบบ!
ยังบ่นในใจไม่ทันเสร็จ จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งโผล่เข้ามาล็อกจากด้านหลังพลางใช้อะไรสักอย่างจ่อหัวฉัน สากกะเบือหรือเปล่า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามตามสเต็ปหนังไทยว่า
“ส่งเครื่องเพชรและของมีค่าทั้งหมดมา”
“คะคะ...คุณเป็นใครเนี่ย” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ดูจากสภาพบ้านก็น่าจะรู้แล้วนี่”
“…” โอ้ ให้ตายเถอะ จะตามจองล้างจองพลาญกันไปถึงไหน
“บอกให้ส่งมา!!”
“กรี๊ดดด! เอาไปเลยค่ะ เอาไปเลยค่ะ” ฉันว่าพลางถอดเพชรเม็ดงามราคาแพงออกจากร่างกายอย่างลุกลี้ลุกลนกลัวตาย แม้ในใจจะนึกเสียดาย แต่ต้องห่วงชีวิตไว้ก่อน
“กระเป๋านั่นด้วย!”
“ค่ะ เอาไปเลยค่ะ นี่ๆ” ฉันว่าพลางยื่นให้อย่างยอมจำนน
แต่ทว่าจู่ๆ ก็คิดอะไรออกขึ้นมาทันควัน ก่อนกระเป๋าจะถึงมือเจ้าหนี้ (พ่อแม่) ฉันก็ใช้กระเป๋าในมือนี่แหละตวัดขึ้นกระแทกคางจนมันหน้าหงายทันที ก่อนจะใช้มันตบซ้ำที่แก้มทั้งสองข้างอีกสองครั้ง ปิดท้ายด้วยการถีบน้องชาย เพื่อบอกลา แหม่...กระเป๋าหนังใบนี้ตบดีจริง
“โอยยย...ซี๊ดดด...” ร่างกำยำนั้นนอนจับน้องชายอยู่ที่พื้นอย่างเจ็บปวด โดยดูได้จากเสียงที่ครางออกมา
“เล่นกับใครไม่เล่น ฝากไว้ก่อนเถอะ แบร่!”
ว่าแล้วก็วิ่งออกมาอย่างรักตัวกลัวตาย กางเกงในช่างหัวมันก่อนละกัน เหยดเข้! เวรกรรมซ้ำเวรกรรมซ้อนจริงๆ หนีเสือปะจระเข้ หนีจากไอ้โรคจิตมาเจอคนทวงหนี้ ฉันว่ามันปีชงมหาชงแล้วจริงๆ ล่ะ
ไม่นานก็มาถึงรถ ฉันรีบเปิดรถก่อนจะใช้กุญแจเสียบเข้าไปเพื่อสตาร์ทอย่างเร็วรี่ ทันทีที่เครื่องติดฉันก็เหยียบคันเร่งออกรถทันที แต่ทว่าขับไปได้แค่ร้อยเมตรเท่านั้น ยางก็ค่อยๆ แฟบลง อย่าบอกนะว่า...
“หึ...คิดว่าจะหนีพวกเรารอดหรอ”
ชิบหาย! ไอ้เจ้าหนี้นรกอีกคนมาแล้ว! มันโผล่ขึ้นมาจากเบาะหลังก่อนจะทำท่าหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากในเสื้อสูท ไม่เอาปืนนะ ไม่เอามีด เอาอะไรก็ได้ที่ตายไม่เจ็บ TTwTT
จริงสิ แล้วเราจะมารอตายทำไม วิ่งสิคะ วิ่งงง!
“อยากได้กระเป๋าใช่มั้ย? ได้ๆๆๆ เอาไปเลย ของในกระเป๋านั่นมีแต่ของแพงนะ นี่ถ้าฉันไม่ยอมฉันไม่ให้นะ จริงๆๆนะ จริงๆ ด้วย”
ดูเหมือนจะเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง -_- แต่ช่างมัน ฉันรีบเปิดประตูรถออกมาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วรีบวิ่งสุดแรงม้าเพื่อหนีไปจากที่นี้ ดูเหมือนโชคจะช่วยครั้งแรกในรอบหลายวัน รถเมล์ฟรี เพื่อประชาชนขับผ่านพอดี ฉันกระโดดโบกมันราวกับคนบ้า แต่เจ้ารถเมล์ฟรีหนีประชาชนก็ไม่มีท่าทีจะหยุด ท้ายสุดฉันจึงต้องยอมถอดรองเท้าสุดที่รักข้างหนึ่งฉันขึ้นปาใส่กระจกรถเพื่อให้รถหยุด แต่เหมือนจะไม่เป็นผล ฉันรีบปาอีกข้างไปติดๆ กัน ในที่สุดรถก็จอด แต่ยังไม่สนิทหรอก แน่นอนว่าฉันกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสั่งให้ขับต่อไป
“ไปต่อค่ะ! ไปต่อ เร็วๆ เลย!”
ทั้งกระเป๋ารถเมล์และคนขับมองหน้าฉันอย่างงงๆ แต่เวลานี้ฉันไม่มีสติพอจะมาเรียบเรียงประโยคและอธิบายหรอกนะเว้ย
“บอกให้ขับต่อไปก็ขับต่อไปสิวะ!”
ในที่สุดรถก็เคลื่อนตัวต่อไป เออ พูดดีๆ ไม่ชอบรึไงนะ คนสมัยนี้
ท้ายสุดฉันก็รอด...ได้พักหายใจสักที
แต่ทว่าทันทีที่หันหลังกลับไปเพื่อหาที่นั่ง ก็พบกับสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันอย่างเอือมระอา ลืมคิดไปเลยว่าสภาพตอนนี้ฉันเป็นยังไง ฆ่ากันเลยดีกว่าแบบนี้
8.43 A.M.
ทันทีที่ลงจากรถเมล์ฟรีหนีประชาชนด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเพราะได้โหนรถแล้ว ยังต้องเดินตากแดดเอาอีกราวๆ ห้ากิโลเมตร เหตุเพราะรถเมล์ไม่ขับผ่าน กว่าจะถึงที่นี่ได้ต้องใช้ความพยายามมากมายกว่าการปีนขึ้นยอดเขาหน้าผาสูงชันด้วยซ้ำ และทันทีที่มาถึงฉันก็รีบเปิดประตูเข้ามาในศาลแห่งนี้โดยทันที ทุกคนควรจะชื่นชมฉันนะ *^*
ผ่างงงงงงงงงง!
“ขอโทษนะคะ ขอโทษด้วย!! มาช้าไปสิบสามนาที พอดีมีเหตุขัดข้องนิดหน่อยน่ะค่ะ ความจริงก็ไม่นิดเท่าไหร่ ฉันมีปัญหามากเลยล่ะค่ะ แหะๆ ฉันมีคำแก้ตัวนะคะ จะฟังมั้ยคะ?”
ปังๆๆ!!
ผู้พิพากษาใช้ค้อนทุบปึงปังๆ ก่อนจะเริ่มกล่าว
“เชิญนั่งครับ...” เขาว่าพลางผายมือไปทางที่นั่ง ถือว่าคำตอบคือไม่ต้องการฟัง -_-
เดี๋ยวนะ แล้วทำไมต้องเป็นที่ข้างๆ ไอ้โรคจิตด้วยฟะ ตายจริง ให้ฉันนั่งกับหมอนั่นอีกแล้วนี่นะ ทั้งๆ ที่ฉันสวดมนต์อ้อนวอนแก่พระเจ้าว่าไม่ให้เข้าใกล้ไอ้บ้านั่นแล้วแท้ๆ
จากนั้นฉันเดินตรงไปข้างหน้าช้าๆ โดยมีคนอื่นๆ นั่งขนาบข้างอยู่ทั้งสองข้าง บรรยากาศเหมือนในโบสถ์เด๊ะ อย่างกับเข้าพิธีแต่งงาน แต่มันไม่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ตรงที่ว่าทุกคนมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ฉันรู้สึกว่าหน้าฉันชาขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วล่ะตอนนี้
“ทุกคนอยู่กันครบ ดังนั้นผมจะเปิดคดีฉบับนี้ขึ้นอ่านให้ทุกคนได้ยินพร้อมๆ กันนะครับ แต่ก่อนอื่นต้องพูดถึงกฎของการอยู่ในศาลซะก่อน ข้อแรก...”
“นี่เธอไปตกถังที่ไหนมาเนี่ย” นายโรคจิตข้างๆ กระซิบถามฉัน ฉันเลิกฟังผู้พิพากษา ก่อนจะหันไปค้อนตาใส่เขา
“ฉันบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว นายไม่ฟังเอง แล้วอย่ามาถามมากได้ไหม ฉันขี้เกียจตอบ รำคาญ!” ว่าแล้วก็เชิดหน้า
“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากรู้หรอกนะว่าเธอมีปัญหาอะไร แต่ที่ฉันถามไปก็ตามมารยาทเท่านั้นแหละ เพราะจริงๆ แล้วฉันจะบอกก็คือว่าเธอน่ะ ไม่ได้ต่างอะไรไปจากฉันเลยตอนนี้ ฮ่ะๆ เธอเหมือนคนบ้าเลยล่ะ”
“กรี๊ดดด! นายพูดอะไรน่ะ! บังอาจเอาฉันไปเปรียบเทียบกับคนพวกนั้นเรอะ!! นายกล้าพูดมากนะคำนั้นน่ะ! ฉันไม่เหมือนเลยสักนิด ต่างกันราวดอกฟ้ากับหมาวัด!”
“โธ่ๆ...ศาลนี้น่าจะมีกระจกนะ เธอจะได้เห็นสภาพตัวเอง ผมก็ยุ่งๆ อย่างกับเข้าป่าแล้วเจอหมูป่าเลยวิ่งหนีออกมาตกเขา ส่วนชุดก็ยับๆ น่าจะตกเขาจากการวิ่งหนีหมูป่าเมื่อกี้นั่นแหละ ดูซิ รองเท้าก็ไม่ใส่ สงสัยส้นจะหัก หรือไม่ก็ถอดออกปาใส่หมูป่า เอ๊ะ หรือจะถอดออกเพราะวิ่งไม่ถนัด”
“นี่ไอ้โรคจิต! อย่ามาพูดอะไรไร้สาระนะ!”
“ฉันพูดความจริงก็ผิดหรือเนี่ย”
“นายยย!!!” ยังไม่ทันได้ชี้หน้า ฉันก็รีบเก็บมือลงและหันกลับไปทางผู้พิพากษาดังเดิม เมื่อได้ยินเสียงค้อนทุบดังปึงปังๆ -*-
ปึงงงๆๆ!!
“ผมว่าผมย้ำแล้วย้ำอีกนะครับ ในศาลห้ามคุยหรือเถียงกันขณะที่คนอื่นกำลังพูดอยู่ ความจริงไม่ต้องอยู่ในกฎของศาลก็ได้นะอันที่จริง เพราะเรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องเบสิคที่คนทั่วไปควรจะมี ‘มารยาท’ น่ะ” อื้อหือ เป็นคำด่าที่นุ่มนวล เจ็บถึงทรวงอีกแล้วค่ะ -_-
“…”
“...”
และแล้วพวกเราก็สงบศึกอีกครั้ง เพื่อเงียบฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างตั้งใจ เรื่องราวภายในคดีมีสองกรณีคือ กรณีที่หนึ่งจงใจฆ่า กรณีที่สองไม่ได้จงใจ ซึ่งฝ่ายไมเคิลก็ต้องบอกว่าตัวเองเป็นกรณีสองอยู่แล้ว แต่ทว่าคู่กรณีก็บอกในสิ่งตรงข้าม บอกว่าในกรณีไมเคิลนี่ถือว่าตั้งใจ ไม่งั้นแจกันจะฟาดลงเต็มตัวให้ตายได้ยังไง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน แน่นอนล่ะ ถ้าไมเคิลจงใจจริงๆ ก็ทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งยังได้จ่ายค่าเสียขวัญ มีหรือคนแบบเขาจะยอมง่ายๆ เหตุการณ์ภายในศาลยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งคู่เถียงกันไปมาไม่จบไม่สิ้น ฉันเองก็ได้แต่มองอย่าเบื่อหน่าย
“ผู้เห็นเหตุการณ์คนแรกว่ายังไงบ้างครับ” ผู้พิพากษาหันมาถามฉันขณะที่หนังตากำลังจะปิดพอดี ฉันรีบลุกผึงขึ้นก่อนจะเช็ดน้ำลายที่มุมปากเล็กน้อยก่อนตอบ
“เอ่อคือ...ฉันคิดว่ากรณีนี้เป็น…” ยังไม่ทันได้ตอบก็ต้องเจอกับสายตาอาฆาตแค้นจากทั้งสองฝ่าย ประมาณว่า ‘ถ้าแกตอบของฝ่ายนั้น แกตายแน่’ มันช่างเป็นอะไรที่น่าลำบากใจจริงๆ นอกจากจะเจอไอ้โรคจิต และเจ้าหนี้ตามทวงแล้ว ยังต้องมาเจอคู่กรณีในศาลอีก โอ๊ยชีวิต “ฉันเอ่อ...ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าจะเคลียร์กันเอง และจ่ายค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้ตายไป ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้อ่ะค่ะ แหะๆ”
“-___-” และนี่คือสายตาที่ฉันได้รับจากประชาชี
ปึงงงๆ!!
“ผู้เห็นเหตุการณ์คนต่อไปครับ” ไอ้โรคจิตนั่นเอง -*-
“จะว่าอะไรไหมถ้าผมบอกว่าความจริงแล้วผมไม่ได้เห็นเหตุการณ์เลย ถึงแม้ผมจะอยู่ในนั้นก็เถอะ นี่ผมพูดจริงๆ นะครับคุณ ^^ เพราะตอนแรกผมคิดว่าคู่ผัว- เอ้ย สามีภรรยาทะเลาะกันธรรมดา ไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าคนตาย”
“-___-” ได้รับสายตาไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
ปึงงงๆ!!
“ผู้เห็นเหตุการณ์คนต่อไปครับ”
จากนั้นก็ถามผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไปเรื่อยๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านทั้งหมด ต่างคนต่างตอบคนละกรณีกันไป บ้างก็ว่ากรณีหนึ่ง บ้างก็ว่ากรณีสอง บ้างก็เข้าข้างไมเคิล บ้างก็เข้าข้างผู้ตาย คละกันไป ฉันเองก็ได้แต่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบเซ็งๆ เผลอเดี๋ยวเดียวก็เที่ยงแล้วหรอเนี่ย
ปังงงๆๆๆ!!
“ตอนนี้เราได้ผลสรุปของวันนี้แล้วนะครับ” ผู้พิพากษาว่าพลางใช้ค้อนน้อยๆ ทุบเสียงดัง “ผลสรุปของวันนึ้คือ...”
“…”
“เสมอ นะครับ! ยังไม่มีอะไรที่แน่ชัดพอ เราจะให้เวลาคุณอีกสองวันในการหาทนายความ และมาตัดสินใหม่อีกครั้งในสองวันข้างหน้าเวลาเดิม ซึ่งก็คือแปดโมงครึ่ง ที่นี้ หวังว่าจะปิดคดีได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด วันนี้ขอบคุณมากนะครับ หมดธุระของคุณแล้ว อีกสองวันข้างหน้าไม่จำเป็นต้องมา”
“เฮ!!” และแล้วเสียงเฮก็ดังลั่นทั่วศาล เช่นเดียวกับฉัน โอ๊ย อยากเต้นชะชาช่า ในที่สุดก็เป็นอิสระแล้วเว้ยย
“ยกเว้น!! คู่กรณีทั้งคู่ และคู่หมั่นของคุณไมเคิลครับ รบกวนมาเป็นพยานให้อีกวันด้วยครับ ปิดศาลวันนี้”
ปังงงๆๆ!
ขอบพระคุณค่ะ -_- ทุกคนไม่ต้องมากันหมด ยกเว้นฉัน! นี่ฉันควรดีใจที่เป็นคู่หมั้นเขามั้ยเนี่ย ไม่ได้การล่ะ ฉันต้องรีบไปถอนหมั้นออก ฉันไม่อยากมีสามีเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม TT^TT แต่เดี๋ยวนะ! ตอนนี้ยังไม่ได้! ฉันต้องพึ่งเขา เพราะตอนนี้ฉันไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วจริงๆ
“เฮ้ไมเคิลลล” ฉันว่าพลางเดินไปทางเขาด้วยสายตาออดอ้อน แต่ทว่าผลที่ได้รับกลับมา…
“หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ยัยตัวซวย อย่าแม้แต่คิดจะก้าวเข้ามาใกล้ผมอีก”
“นี่มันอะ-”
“ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ ก็รวมถึงชีวิตผมด้วย เลิกยุ่งกับชีวิตของผม ต่อจากนี้เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ตัดขาดความสัมพันธ์เพียงเท่านี้ ลาก่อน”
“ไมเคิล! ไม่ได้นะ ไมเคิลลล!!” ฉันตะโกนเสียงโหยหวนไล่หลังราวกับละครหลังข่าวนางร้ายโดนบอกเลิก นี่มันไม่จริงใช่ไหม? ฉันโดนบอกเลิกหรอเนี่ยยย! โอ้พระเจ้า ชีวิตบัดซบ! บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ! โทรศัพท์ก็ไม่มีโทร เงินก็ไม่มีใช้ บัตรเครดิตก็ไม่มีรูด บ้านก็ไม่มีให้อยู่ พ่อแม่ก็หนีไปจีน
“โธ่ๆ...ชีวิตนางเอกผู้น่าสงสาร โดนคู่หมั้นบอกเลิก” ทว่าเศร้าได้ไม่นานก็มีเสียงยียวนกวนประสาทของไอ้โรคจิตนั่นดังตามมาติดๆ
“กรี๊ดดดดดดด! ไร้มารยาท! นี่แอบฟังคนอื่นเขาคุยกันได้ไง! อะอะอะ...ไอ้พ่อแม่ไม่สั่งสอน!”
“ความจริงก็สอนนะ แต่ฉันไม่จำเองแหละ J”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด! หุบปากนะ! หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก!” ฉันโพล่งซ้ำคำเดิมอยู่หลายรอบพลางเอามือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเป็นเชิงไม่รับฟัง
“สงสาร...หรือสมน้ำหน้าดีล่ะ? -3-”
“ไม่ต้องทั้งคู่นั้นแหละ! เวลานี้นายควรจะสำนึกผิดได้แล้วนะ! ทั้งหมดก็เป็นเพราะนาย ถ้านายไม่เข้ามาในชีวิตฉัน ฉันก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องซวยๆ พรรคนี้หรอก ให้ตายเหอะ”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าใครสอนให้เธอเป็นคนชอบโยนความผิดให้คนอื่นแบบเนี้ย”
“ฉันไม่ได้โยน! และไม่มีใครสอนฉันทั้งนั้นแหละ!”
“อ้อเหรอ -3-”
“เพราะฉะนั้นเป็นการไถ่โทษที่นายทำชีวิตฉันพัง นายต้องให้ฉันไปอยู่บ้านนาย คืน-นี้!”
แท่นแท้นนนนนนน
เขียนจบแล้ว //จุดพลุฉลอง รอรีไรท์อีกสักพักในมุมมองนักอ่าน
รับประกันความมันส์ครบทุกรสชาติจริงๆ
ฮาน้ำตาเล็ด หวานเลี่ยนมดกัด ปมปริศนาวกไปวนมา ไปจนถึงดราม่าซึ้งน้ำตาซึม ?
(ที่กล่าวมาไรเตอร์มโนเอง วรั้ยย 5555)
ขอบคุณทุกการติตดามนะคะ
รักและรักมาก ♥
:) Shalunla
ความคิดเห็น