ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD][YURI] If I Ain’t Got You [JeTi]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 58


    Chapter 1

     

    โซล ,2014         

     

        
    ในเมืองหลวงที่เป็นจุดศูนย์กลางทางวัฒนธรรมทั้งหลายล้วนแต่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน วัตถุสิ่งของ รวมถึงความเจริญทางเทคโนโลยี ตึกน้อยใหญ่ที่ถูกสรรสร้างให้สวยงามนั้นตั้งตระหง่านอวดความมั่นคงทางเศรษฐกิจของผู้เป็นเจ้าของกันเต็มพื้นที่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ถนนจะเพียงพอกับจำนวนรถและคนที่เพิ่มขึ้นทุกๆวันโดยยังไม่รวมกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าๆออกๆอยู่อย่างไม่ขาดสายด้วยซ้ำ เสียงบ่นก่นด่าพร้อมทั้งเสียงบีบแตรที่ดังขึ้นเป็นระยะตลอดเส้นทางขับกล่อมเหล่าคนขับรถที่ยังนั่งเท้าคางหน้ามุ่ยอยู่อย่างเช่นทุกวัน

     


    ในช่วงที่แดดร้อนเปรี้ยงบวกกับควันรถยนต์และเสียงไม่พึงประสงค์ คงจะมีเพียงหญิงสาวผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ในรถยนต์ราคาเหยียบล้านคนนี้ที่เอาแต่เหม่อลอยและถอนหายใจเป็นพักๆมานานนับชั่วโมง โดยนิ้วเรียวสวยยังคงลูบจี้เล็กๆที่ประดับอยู่เหนือเนินอกขาวไม่ขาดสาย

     

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนทอดมองท้องฟ้าไร้เมฆอย่างเหม่อลอย แผงขนตายาวงอนรับกับดวงตาสวยอย่างน่าประทับใจ จมูกโด่งปลายงุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวช่างดูเข้ากันกับริมฝีปากรูปบางจนดูน่าหมั่นเขี้ยวและน่าอิจฉาสำหรับผู้หญิงด้วยกัน

     

    เดิมทีเธอดูเป็นสาวเอเชียมากกว่านี้ เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆที่ต้องไปพำนักอาศัยและเล่าเรียนอยู่ในอเมริกา.. ประเทศที่เต็มไปด้วยอิสรเสรี แสงสีเสียง ความหลากหลายทางบุคคลและวัฒนธรรม

     

     

    แต่กระนั้นมันก็ไม่อาจลบความโดดเดี่ยวในใจของเด็กหญิงไปได้ และมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าใจเมื่อนับวันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ และตลอดเวลานั้นก็เห็นจะมีเพียงคุณท่าน ที่รับเธอเป็นบุตรบุญธรรม และยังคอยมาหาเธอเสมอ

     

    เวลาผ่านไปหลายปีจนเธอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แม่บุญธรรมของเธอที่กำลังขยายธุรกิจไปในหลายๆประเทศก็ทำงานอย่างหนักและยุ่งเกินกว่าจะมาหาเธอบ่อยๆได้เช่นเดิม ฉะนั้นบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงความเงียบเหงา เด็กสาว และพ่อบ้านแม่บ้านเพียงไม่กี่คนก็ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้างยิ่งกว่าเดิม เธอกลายเป็นเด็กติดเพื่อน และรอดจากการถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้อย่างหวุดหวิดเต็มที

     

     

    และที่หนักที่สุดคือเด็กสาวผมดำตั้งใจก่อกบฏกับแม่บุญธรรมโดยการแอบไปย้อมผมให้เป็นสีบลอนด์ทองทั้งศีรษะ และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อยที่ผมสีนี้ดูจะเข้ากับของเธอมากกว่าสีเดิมเป็นไหนๆ หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นสาวฝรั่งเปรี้ยวจี๊ดและเป็นที่สนใจสำหรับทุกคน

     

     

    และสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจมากที่สุดคือเมื่อแม่ของเธอมาเยี่ยมอีกครั้ง หญิงวัยกลางคนก็เอาแต่ชมหญิงสาวไม่ขาดปากโดยไม่ว่าอะไรเธอแม้แต่คำเดียว มีเพียงแต่คำขอโทษที่ไม่มีเวลาให้เธอเท่านั้น ทำให้แผนการก่อกบฏบ้าบอกับแม่ของเธอถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เธอเลือกที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเองซะใหม่ ตั้งใจเรียนจนได้ข้ามชั้น ทำตัวดี เพื่อแม่บุญธรรมที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต

     

     

    จนถึงตอนนี้ เธอที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้อย่างสวยงามและกำลังรอรับปริญญากลับโดนคำสั่งให้เรียกให้กลับมาที่เมืองไทยอย่างกะทันหันโดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมลงเรียนปริญญาโทอย่างที่ตั้งใจไว้ และนั่นเองทำให้หญิงสาวหงุดหงิดใจไม่น้อย อีกทั้งการเรียกเธอกลับบ้านเกิดคราวนี้ยังไม่มีเหตุผลอะไรแนบบอกเธอเอาไว้ มีเพียงตั๋วเครื่องบินสองใบสำหรับเธอและชายสูงอายุ พ่อบ้านคนเก่งของครอบครัวเท่านั้น

     


    "คุณหนู  ใกล้จะถึงแล้วนะครับ"เสียงของคนที่เป็นเหมือนพ่อของเธอตลอดระยะเวลาเกินครึ่งชีวิตที่ต้องอยู่ไกลบ้านเกิดบอกเสียงเบา
           

                                                             
    "สิก้ายังไม่ได้เก็บของที่นู้นเลยสักชิ้น"เสียงพร่าหวานจากการนิ่งเงียบบนเครื่องบินมาเป็นวันๆเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาจากอีกคนมีเพียงการส่ายหน้าเบาๆและรอยยิ้มเอ็นดูเธอเหมือนทุกครั้งที่เขาเลือกจะปิดปากเงียบ จะมีก็แต่ครั้งนี้ที่สายตาเขาออกจะดูเศร้ากว่าที่เคย หญิงสาวผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับทำแก้มป่องใส่กระจกมองหลังอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเริ่มป้อนข้อมูลใหม่


    "สิก้าไม่ได้เจอคุณท่านมาหลายปีแล้ว คุณลุงว่าคุณท่านจะคิดถึงสิก้าไหมคะ?"แม้เสียงหวานที่กำลังออดอ้อนผู้อาวุโสจะฟังดูฉะฉาน แต่สำเนียงก็ออกจะแปล่งๆไปเล็กน้อยด้วยความไม่ชินปากของเธอ เพราะตั้งแต่ที่เธออยู่ที่นู้น ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เธอจะใช้ภาษาบ้านเกิดสนทนาด้วย


    "คุณนายจะต้องคิดถึงคุณหนูมากอย่างแน่นอนครับ.. และถ้าตอนนี้คุณนายได้ยิน คุณนายคงน้อยใจน่าดูที่คุณไม่ยอมเรียกท่านว่าคุณแม่สักที"


    "ไอต้องน้อยใจคุณท่านต่างหากที่ไม่ได้มาหาไอหลายปีแล้ว"คำแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้คนที่กำลังขับรถต้องส่ายหน้าอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อย


    "ทุกคนมีเหตุผลของการกระทำที่ตัวเองทำทั้งนั้นครับ"คำตอบนุ่มๆของเขาทำให้คุณหนูต้องทำแก้มป่องอีกครั้ง 

     


    "..แต่คุณหนูก็ยังได้รับจดหมายจากทางนี้ทุกอาทิตย์ไม่ใช่หรือ?"และประโยคนี้นี่เองที่ทำให้หญิงสาวท่าทางเอาแต่ใจคนนี้ยิ้มออกมาอย่างนึกขึ้นได้


    "ใช่ค่ะ สิก้ารักคุณท่านที่สุดในโลกเลยล่ะ"หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง ก่อนเธอจะหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนาน ทิ้งให้ชายคนเดิมได้แต่มองเส้นทางข้างหน้าอย่างเหม่อลอยและหนักใจ แต่ไม่ใช่เพราะรถนับร้อยคันที่ต้องการไปถึงจุดปลายทางทางเช่นเดียวกลับเขา หากเป็นเรื่องของหญิงสาวที่คงกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความฝันลึกนี้ต่างหาก


    จะให้เขาบอกกับคุณหนู คนที่เขารักราวกับลูกสาวคนหนึ่งยังไงว่าคุณท่านหรือคุณแม่ของเธอนั้นจากไปนานหลายปีแล้ว..

     


    จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาหาหญิงสาวได้อีกเลย!

     

     

     

     

     

     

    “คุณหนู ถึงบ้านแล้วครับ”ชายสูงวัยเรียกหญิงสาวที่งีบหลับอย่างอ่อนโยน เสียงที่คุ้นเคยทำให้เธอลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า อาการ Jet Lag คงกำลังเล่นงานเธอแล้ว หญิงสาวสะบัดหน้าเบาๆเพื่อเรียกสติก่อนกระพริบตาถี่ๆ และจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดีและเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

     

     

    “สิก้าดูใช้ได้หรือยังคะ”เธอเอ่ยอย่างเป็นกังวลกับพ่อบ้านคนเก่งที่เปิดประตูรถให้ ก่อนจะลงมาหมุนซ้ายหมุนขวาให้ชายกระโปรงจากเดรสสีอ่อนที่โผล่พ้นโอเวอร์โค้ทพลิ้วตามแรงเคลื่อนไหว

     

     

    “ยิ่งกว่าใช้ได้ครับคุณหนู”ชายสูงวัยค้อมตัวลงเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน หญิงสาวบีบมือที่เริ่มชื้นขึ้นน้อยๆของตัวเองอย่างไม่มั่นใจและขยับตัวก้าวลงมาจากรถ เธอขยับสาบเสื้อโค้ทน้อยๆอย่างเรียกความมั่นใจ

     

     

     

     

    หญิงสาวพบว่าตัวเองไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นบ้านหลังนี้ ซึ่งเธอเดาได้ไม่ยากว่าคนอื่นๆคงรู้สึกต่างออกไป เธอมองไปรอบๆที่ที่ยืนอยู่อย่างประทับใจ เธอรู้ดี ถึงแม้ในประเทศนี้ใครต่อใครจะเรียกแม่บุญธรรมของเธอว่าเศรษฐี แต่หญิงวัยกลางคนกลับเป็นคนสบายๆและใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีคฤหาสน์สีขาวหรือเสาโรมันสี่ต้นอย่างในนิยายแต่อย่างใด ที่นี่เป็นเพียงบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ดูไม่ใหญ่จนให้ความรู้สึกว้าเหว่ โดยรอบถูกล้อมด้วยสนามหญ้าสีเขียวชุ่มชื่นจนไม่ว่าใครก็ดูรู้ว่าที่นี่ต้องได้รับความเอาใจใส่มากอย่างแน่นอน

     

     

    ร่างบางยิ้มน้อยๆให้กับภาพที่เห็น ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะใหญ่กว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้านหรือสนามหญ้าโดยรอบของที่นี่ก็เหมือนกันกับบ้านที่อยู่อีกซักโลกหนึ่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หญิงสาวที่อยากเดินดูดอกไม้หลากชนิดที่เธอไม่เคยเห็นทำได้เพียงอดใจไว้ก่อน หลังจากนั้นไม่นานหญิงร่างอวบท่าทางใจดีก็ก้าวถี่ตรงมายังเธอ

     

     

    “คุณหนู เชิญทางนี้ค่ะ”หญิงสาวพยักหน้าก่อนเดินตามหญิงสูงวัยเข้าไปในตัวบ้าน และแน่นอนว่าภายในก็ถูกตกแต่งเป็นแบบ Contemporary เช่นเดียวกันกับที่ที่เธอมา แต่ที่ทำให้เธอชอบมากๆก็คือเพดานสูงโปร่ง บวกกับผนังกระจกที่ทำให้ตัวบ้านดูสว่างและสดใส ซึ่งแตกต่างกับบ้านที่อเมริกาซึ่งเน้นให้ความอบอุ่นซะมากกว่า ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าตอนกลางคืนเธอจะมองเห็นดาวจากในตัวบ้านได้ไหม

     

     

    ทันทีที่หญิงสาวเดินมาถึงบริเวณที่จะเข้าไปสู่อีกห้อง แม่บ้านร่างอวบก็เอ่ยขอตัวและล่าถอยออกไป ทิ้งให้ร่างบางยืนนิ่งหน้าห้องอย่างประหม่า เธอหลับตาและหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจ นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน เธอคิดถึงคุณแม่ของเธอเหลือเกิน..


    หญิงสาวก้าวขาสั่นๆเข้าไปในห้องกว้าง ห้องสีขาวที่ดูสบายตาไม่ได้ช่วยให้เธอหายตื่นเต้นได้เลย เธอกวาดสายตาไปรอบบริเวณห้องอย่างสำรวจ ห้องนี้ออกแนวทันสมัยกว่าส่วนอื่นในบ้าน ถึงแม้โซฟายาวจะตั้งอยู่กลางห้องแต่ก็ดูไม่ขัดหูขัดตาอะไร ชั้นวางของและตู้หนังสือมีกรอบรูปหลายขนาดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เปียโนหลังใหญ่สีขาวสะอาดตั้งอยู่บริเวณมุมห้อง และของทุกอย่างในห้องนี้เองก็ไม่มีไรฝุ่นเคลือบอยู่แม้แต่น้อย บ่งบอกถึงการได้รับความดูแลอย่างดีเยี่ยม มองเผินๆเหมือนกับเธอหลุดเข้ามาในบ้านตัวอย่างอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    แต่ถึงกระนั้นในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ดึงดูดสายตาเธอได้คือเงาที่ทอดจางบนพื้นไม้เงาวับเพราะแสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านเข้ามา และทันทีที่เธอเห็นปลายเท้าเจ้าของเงากำลังหันกลับมายังเธอ หญิงสาวก็ก้มหน้าลงทันที


    "สิก้ามาแล้วค่ะ คุณแม่"หลังพูดจบหญิงสาวก็ย่อตัวลง คำนับลงกับพื้นตามหลักประเพณีของประเทศบ้านเกิดอย่างนอบน้อม โดยเธอใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงตั้งแต่รู้ว่าต้องกลับมาเกาหลีฝึกเรียนวัฒนธรรมจากเว็บไซต์ต่างๆ จนแล้วจนเล่าเธอก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร พ่อบ้านคนเก่งที่เห็นคงอ่อนใจ จึงเรียกแม่บ้านสูงวัยมาสอนด้วยหลักสูตรเร่งด่วน เธอหวังเหลือเกินว่าแม่ของเธอจะประทับใจและไม่ผิดหวังในตัวเธอ


     

    แต่สิ่งที่เธอได้ในตอนนี้ กลับเป็นความเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา


    หญิงสาวผมสีแดงไวน์ตัดกับผิวขาวเนียนที่อยู่ในชุดสูทดำสนิททิ้งมือที่กอดอกออก คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ ตาหวานยังคงจับจ้องมองผู้หญิงผมบลอนด์ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา เธอก้าวเท้าอย่างเงียบกริบเข้าไปยังร่างบางที่ยังคงก้มหน้าอยู่ เธอย่อตัวลง และกระซิบเบาๆด้วยเสียงที่แหบพร่า


    "จอง..ซูยอน"ลมร้อนบางเบาที่เป่ารดอยู่ข้างหูทำให้เธอต้องสะดุ้งสุดตัว เสียงแหบพร่าที่เซ็กซี่อย่างร้ายกาจแบบนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงแม่ของเธอ และอาจเป็นเพราะอาการสะดุ้งอย่างตกใจ ทำให้ ใครคนนั้นล่าถอยออกไปจากเธอ

    เจสสิก้าลุกขึ้นช้าๆอย่างรักษามารยาท ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนตรงหน้า

    หญิงสาวในชุดทำงานเรียบร้อยกำลังจ้องมองมายังเธอ คิ้วสวยช่วยขับดวงตาคู่งามให้โดดเด่น แต่ถึงจะงามขนาดไหน ในตอนนี้มันกลับทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด
    
    
    
    
    
    "คุณคือใครคะ?"เสียงใสที่ดูแข็งกร้าวถามให้เธอต้องเลิกคิ้ว
    
    
    
    
    
    "ทิฟฟานี่.. ฮวัง มิยอง"
    
    
     
     
    
    "ทิฟฟานี่ ฮา-หวัง.."เจสสิก้าขมวดคิ้วเล็กน้อย และถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดไป เธอก็คิดว่าตัวเองเห็นรอยยิ้มบางๆของอีกคน แต่เพียงเสี้ยววิฯที่เธอกระพริบตา รอยยิ้มนั้นก็หายวับไปทันที
    
    
    
    
    
    "ถ้าเรียกยากจะเรียกฟานี่ก็ได้.. แค่ฟานี่" 
    
    
    
    
    
    "ฟานี่?"เจสสิก้าขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่แล้วเธอก็ละความสนใจทิ้งไป เพราะนึกขึ้นได้ว่ามันคงไม่แปลกนักถ้าเธอจะเคยได้ยินชื่อนี้จากตอนที่อาศัยอยู่เมริกา เจ้าบ้านยืนมองสีหน้าครุ่นคิดของคนตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนเหลือบมองนาฬิกา 
    
    
    
    
    
    "เอาละ เดี๋ยวค่อยคุยกัน ได้เวลาแล้ว มาเถอะ"ทิฟฟานี่เอื้อมไปจะคว้าข้อมือขาวของร่างบาง แต่เธอกลับชักแขนหลบตามสัญชาตญาณให้มือขาวที่ยื่นออกไปค้างนิ่ง
    
    
    
    
    
    "ขอโทษค่ะ"เจสสิก้าพึมพำเบาๆ ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใครเธอจะให้เขามาลากไปไหนต่อไหนได้ยังไง
     
     
    ไม่มีเสียงตอบรับจากทิฟฟานี่ หญิงสาวเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชาและแววตาเจ็บปวดที่หญิงสาวที่กำลังก้มหน้าอยู่ตรงนี้คงไม่มีวันได้เห็นมัน 
    
    
    
    
     
     
     
     
    
    เจสสิก้ามองสองคนตรงหน้าสลับไปมา คนหนึ่งคือทิฟฟานี่ที่ก้าวฉับๆไม่รอเธอออกมาจากห้องนั้น และอีกคนคือชายสูงวัยในชุดสูท หน้าตาใจดีและพอมีรอยยิ้มให้เธอคลายความอึดอัดใจได้บ้าง
    
    
    
    
    
    "เริ่มเถอะค่ะคุณอา"เสียงแหบพร่าที่เอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนในที่นั้นยืดตัวตรงขึ้นอย่างตั้งใจฟังทันที
    
    
    
    
    
    "ครับ คุณหนู"ชายในชุดสูทตอบรับ ก่อนจะหยิบซองใส่เอกสารสีน้ำตาล เขาเปิดมันและดึงกระดาษแผ่นบางออกมาและส่งให้ทิฟฟานี่ และทิฟฟานี่ก็ส่งต่อให้เจสสิก้าที่นั่งถัดมา เท่านั้นเองหญิงสาวก็เผลอยกมือขึ้นปิดปาก ปล่อยให้กระดาษแผ่นบางร่วงลง โชคดีที่ทิฟฟานี่รับมันได้ทันและส่งให้คุณทนายได้ทันท่วงที

     

     

    “ขอบคุณครับ ผมจะเริ่มแล้วนะครับ จากพินัยกรรมที่เจ้าของสมบัติเขียนฉบับนี้ มีผมเป็นผู้รับมอบพินัยกรรม โดยมีพยานสองคน ซึ่งระบุไว้ตามนี้... และเนื้อความเป็นดังนี้ครับ

     

    เงินฝากในบัญชีครึ่งหนึ่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบให้มูลนิธิต่างๆของข้าพเจ้า ทั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อคนยากไร้ และมูลนิธิกองทุนการศึกษาต่างๆ.. อีกครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของฮวังมิยอง อีกส่วนหนึ่งเป็นของจองซูยอน

     

    ที่ดินทั้งหมดรวมทั้งเคหสถานของข้าพเจ้า ในซานฟรานซิสโกข้าขอมอบให้จองซูยอน นอกเหนือจากนั้นเป็นของฮวัง มิยองแต่เพียงผู้เดียว

     

    และสุดท้าย ธุรกิจโรงแรมทั้งหมดข้าพเจ้าขอมอบให้ฮวังมิยอง และขอมอบตำแหน่งรองประธานให้คุณจองซูยอน ทรัพย์สินอื่นใดนอกเหนือจากที่ระบุไว้ตามรายการข้างต้นที่ข้าพเจ้าได้กรรมสิทธิ์มาภายหลังจากวันที่ทำพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าขอยกให้แก่ฮวังมิยองทั้งหมด..

     

     

    และในกรณีนี้ที่จองซูยอนยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะให้ผู้แทนโดยชอบธรรมคือฮวังมิยองเป็นผู้ดูแล รับผิดชอบ และมีสิทธิ์ตัดสินใจทั้งหมด จบพินัยกรรมแต่เพียงเท่านี้ครับ”

     

     

    “ขอบคุณมากนะคะคุณอา เรื่องนอกเหนือจากนี้ฟานี่จะติดต่อไปเอง”

     

     

    “ครับคุณหนู”ชายอาวุโสรับคำ ก่อนจะขอตัวออกมาให้ทั้งห้องเงียบไปอย่างน่าอึดอัด ทิฟฟานี่จึงเอ่ยทำลายความเงียบอีกครั้ง

     

     

    “ห้องของซูยอนอยู่ถัดไปสองห้องจากทางซ้ายมือ กระเป๋าของซูยอนเองก็ถูกยกขึ้นไปให้แล้ว...”

     

     

    “อย่ามาเรียกไอแบบนั้น”เจสสิก้าลุกขึ้นตวาดใส่หญิงสาวที่ยังคงนั่งนิ่งอย่างใจเย็น

     

     

    “คุณแม่ตายเกือบครึ่งปี ครึ่งปีแล้วแต่ก็ไม่มีใครบอกไอ แล้วยูก็ยังถือวิสาสะอ่านจดหมายของไอ ตอบจดหมายแทนแม่ คนโกหก!”และก่อนที่เธอจะเดินกระทืบเท้าออกจากห้องไป แขนขวาก็ยื่นมาคว้าข้อมือเธอไว้

     

     

    “ซูยอน.. คุณแม่ฝากนี่ไว้ให้เธอ”ทิฟฟานี่หยิบซองจดหมายที่เธอคุ้นเคยออกมาจากเสื้อสูท หญิงสาวจับข้อมือบางให้รับจดหมายของเธอไว้ก่อนจะเดินออกไป และทันทีที่เสียงฝีเท้าเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เจสสิก้าก็เปิดซองจดหมายอ่านทันที ลายมือเป็นระเบียบแบบนี้ ถึงเธอจะไม่ได้เห็นมานาน แต่เธอก็จำได้ดี

     

     

    เนื้อความแสดงถึงความเสียใจที่ไม่อาจไปหาเธอได้เนื่องจากอาการเจ็บป่วยจนไม่สารถเดินทางเป็นระยะเวลานานๆได้ และขอโทษที่ต้องปิดบังเรื่องอาการไม่สบายไม่ให้เธอรู้ โดยตัวเองเป็นคนสั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบไว้จนกว่าเธอจะสอบเสร็จ  และยังบอกอีกว่าหลังจากเสียชีวิตไป ตัวเองได้ฝากให้พี่สาวของเธอเป็นคนดูแลเธอแต่เพียงผู้เดียว ท้ายจดหมายลงไว้ว่ารักเธอเสมอ

     

     

    เจสสิก้ายกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้ น้ำตารื้นออกมาไม่ขาดสาย ร่างบางทรุดลงไปกับโซฟาตัวเดิม ไหล่บางสั่นไหวรุนแรงอย่างน่าสงสาร เธอรู้ดีว่าถึงเธอจะเป็นเพียงลูกบุญธรรม แต่คุณท่านก็ยังเธอไม่ต่างจากลูกแท้ๆ มีแต่เธอที่ไม่ได้กล่าวแม้แต่คำลา เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะเรียกคุณท่านว่า แม่

     

     

    หญิงสาวผมสีแดงไวน์ที่อยู่ในห้องถัดไปได้แต่ยืนมองนิ่ง ถึงมันจะสิบกว่าปีมาแล้วที่ได้เห็นเด็กน้อยคนนี้ร้องไห้ แต่วันเวลามันก็ไม่ได้ทำให้หัวใจเจ็บปวดน้อยลงเลย

     

    เป็นเธอที่รู้คนแรกว่าแม่ของเธอรับเจสสิก้ามาเป็นลูกบุญธรรม และในฐานะที่เธอเป็นลูกคนเดียวและไม่ได้คัดค้านอะไรทั้งสิ้นทำให้ญาติๆทั้งหลายที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือเกินต้านทานความต้องการของแม่เธอไม่ได้

     

    ตลอดเวลาที่แม่ของเธอส่งเจสสิก้าไปที่อื่นเพื่อเจือจางความเจ็บปวดใดๆก็ตามสำหรับเรื่องราวในอดีต เธอเองก็เห็นการเติบโตของเจสสิก้าในทุกช่วงวัย ทั้งจากรูปถ่ายและจดหมาย และเธอก็เฝ้ารอ จนมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอต้องเสียแม่ไปและ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็กลับมาในที่สุด แล้วเหมือนว่าจากเพื่อเจือจางกลับกลายเป็นลบเลือน..

     

    ทิฟฟานี่ได้แต่ส่ายหน้าไล่ความรู้สึกปวดหนึบที่เกาะกุมหัวใจ ก่อนจะสั่งให้แม่บ้านร่างท้วมคนเดิมให้เข้ามาหา

     

     

    “ป้าชินยอง ฟานี่รบกวนให้ป้าพาคุณหนูเจสสิก้าขึ้นไปพักผ่อนหน่อยได้ไหมคะ ถ้าเธอขาดเหลืออะไรก็จัดหาให้เธอ.. ดูแลเธอให้ดีด้วย”

     

     

    “ได้ค่ะคุณหนู”ชินยองรับคำ ก่อนจะเดินเข้าห้องที่ร่างบางไป ทิฟฟานี่มองแม่บ้านแตะไหล่เล็กอย่างแผ่วเบาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินไปยังรถที่ถูกเตรียมเอาไว้

     

     

     

     

     

    แม้จะเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่เพราะแสงสลัวก็ทำให้มองอะไรได้ค่อนข้างชัด เสียงส้นสลิปเปอร์แผ่นบางดังกระทบพื้นเงาวับขณะหญิงสาวก้าวขึ้นบันไดเป็นจังหวะอย่างแผ่วเบา แสงไฟอ่อนๆบริเวณทางเดินทำให้หญิงสาวในชุดทำงานเดินไปยังห้องที่ต้องการได้ถูกต้อง

     

     

    แกร็ก

     

     

    ทิฟฟานี่ค่อยๆดันประตูให้เปิดและปิดอย่างเงียบเชียบ แม้ในห้องจะมืดสนิทแต่เธอก็ไม่แปลกใจที่เห็นร่างบางตื่นอยู่และยืนเท้าแขนเข้ากับราวระเบียงอย่างเหม่อลอย ผมบลอนด์ยาวสลวยปลิวเบาๆตามแรงลม เครื่องหน้าทั้งหมดที่ดูเข้ากันราวกับรูปสลักทำให้เธอแทบละสายตาไม่ได้และอยากจะหยุดเวลานี้ไปนานๆ..  แต่เรื่องจริงกลับเป็นแบบนั้นไม่ได้ ทั้งเธอและหญิงสาวร่างบางมีธุระต้องทำ เธอถอดเสื้อสูทออกพาดเข้ากับแขนขาวก่อนเดินไปแตะไหล่บางเบาๆ

     

     

    “ซูยอน”เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้เจสสิก้าต้องสะดุ้งสุดตัว และทันทีที่เห็นว่าเป็นใครเธอก็ปัดมือขาวนั่นออกทันที

     

     

    “นี่ยู!

     

     

    “ฟานี่”หญิงสาวพูดอย่างใจเย็น

     

     

    “พูดอะไรของยู”เสียงหวานสูงแหลมขึ้นเรื่อยๆอย่างหงุดหงิด

     

     

    “ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้ถ้าซูยอนไม่ต้องการ แต่ต้องเรียกว่าฟานี่”

     

     

    “ถ้าไอไม่..”

     

     

    “ไม่มีคำว่า ไม่ซูยอน ถึงเธอจะเรียนจบแล้วแต่เธอก็อายุแค่ 17 ยังไงซะพี่ก็เป็นผู้ปกครองของซูยอนในตอนนี้ แล้วก็เลิกพูด ยูๆ ไอๆ สักที คิดว่ามันดูชิคมากหรือไงฮึ”

     

     

    “ยู!

     

     

    “แล้วก็เลิกทำเสียงเป็นโลมาแบบนี้ด้วย มันน่ารำคาญ”เท่านั้นเองเจสสิก้าก็ได้แต่อ้าปากพะงาบพะงาบโดยไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียวให้ทิฟฟานี่ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจ

     

     

    “ต่อหน้าคนอื่นซูยอนคือเจสสิก้า จอง รองประธาน รับหน้าที่ดูแลโรงแรมและรีสอร์ทในเครือฮวังกรุ๊ปทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ ส่วนพี่คือทิฟฟานี่ ฮวัง และเมื่อไหร่ที่เราอยู่ด้วยกันซูยอนคือซูยอน พี่คือมิ... พี่คือฟานี่ เข้าใจแล้วใช่ไหม”และทิฟฟานี่ก็ถือว่าการทำปากเหมือนปลาทองนั้นคือการตอบรับ เธอคว้าข้อมือเล็กทันที

     

     

    “นี่ยูจะพาไอไปไหน”เจสสิก้าตั้งท่าจะทำเสียงโลมาอีกครั้งให้เธอได้ยกมือห้าม ทำมือชี้หู วนๆแล้วเบ้ปาก

     

     

    พี่ฟานี่ จะพา ซูยอนไปไหนคะ”ทิฟฟานี่ทวนคำให้ใหม่

     

     

    “ฟานี่จะพาซูยอนไปไหน”เสียงห้วนนั่นทำให้เธอต้องส่ายหน้า แต่ก็ยอมพูดแต่โดยดี

     

     

    “ยังปรับเวลาไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”ร่างบางขมวดคิ้วให้กับประโยคที่ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจใดๆซ้ำยังโดนลากลงไปโดยไม่ทันได้ให้ความเห็นใดๆ ครั้นจะกรี๊ดก็กลัวตัวเองจะโดนเหน็บให้เจ็บๆคันๆอีก

     

     

     

     

    ร่างบางสำรวจรอบเจ้ารถคันเล็กสีชมพูหวานอย่างสนใจ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบและไม่มีไรฝุ่นแม้แต่น้อย เบาะหนังที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนข้างๆรักรถขนาดไหนมันทำให้เธอไม่กล้าขยับตัวจนอีกฝ่ายที่เห็นท่าทางกระสับกระส่ายก็ตีความไปอีกอย่าง

     

     

    “พี่ไม่พาซูยอนไปม่านรูดหรอกน่า”

     

     

    “ฉัน...ซูยอนรู้หรอกน่าว่าคนระดับมิสฮวังคงไม่พาใครเข้าม่านรูด”ซูยอนเปลี่ยนคำได้ทันควันเมื่อทิฟฟานี่กระแอมเป็นคำเตือน

     

     

    “ดีมาก พี่จะพาซูยอนมาม่านรูดทำไมเสียเวลา สู้ปล้ำ ที่บ้านเลยก็จบ จริงไหมคะ?”คนขับหันหน้ามายิ้มให้เจสสิก้าซึ่งเธอมองว่ามันดูกวนอารมณ์และเจ้าเล่ห์ซะเหลือเกิน ทำให้เธอได้แต่ทำท่าไม่พอใจและตอบกลับไป

     

     

    “ฟานี่ไม่ทำอย่างนั้นหรอก”

     

     

    “ทำไม รู้จักพี่แล้วหรอ”

     

     

    “จำได้แล้ว คุณแม่พูดถึงยู..หมายถึงฟานี่บ่อยๆว่าเป็นคนดี ในจดหมายนั่น จนกระทั่งจดหมายลายมือแม่กลายเป็นแบบพิมพ์..”

     

     

    “ก็แน่สิคะ พี่เป็นคนส่งคงปลอมลายมือแม่ไม่ไหวแล้วอีกอย่างพี่จะเขียนเรื่องตัวเองทำไม อ่อ..เมื่อเดือนก่อนที่ซูยอนเพิ่งเลิกกับจัสตินไป เป็นไงบ้างละ”เจสสิก้าหันควับหาคนที่กำลังขับรถอยู่ทันที

     

     

    “ถึงแม่จะสั่งให้ยูเขียนกลับมาแต่ยูก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเรื่องส่วนตัวของไอ คนโกหก!

     

     

    “เลิกเรียกพี่แบบนั้นซูยอน”เสียงที่เคยเรียบนิ่งกลับดูดุดันขึ้นให้เธอได้เงียบไปอย่างขัดใจ ทิฟฟานี่แอบมองร่างบางที่นั่งกอดอกเล็กน้อย ไม่นานรถสีชมพูก็หยุดกึก คงเพราะว่านี่มันเกือบจะตีหนึ่งแล้ว ถนนว่างขนาดเหยียบคันเร่งแปบเดียวถึงมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่เธอต้องแปลกใจคือหน้าร้านขนาดใหญ่โตดูหรูหราที่ยังเปิดไฟสว่างไสวอยู่ข้างหน้าเธอนี่ต่างหาก

     

     

    “เอาละถึงแล้ว พี่ต้องลงไปเปิดประตูให้ไหมคะซูยอน”ทิฟฟานี่พูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเจสสิก้านิ่งไป และสิ่งที่เธอได้รับคืออาการจิกตาใส่เป็นคำตอบ หญิงสาวเปิดประตูปึงปังลงจากรถไปให้คนที่ยังนั่งอยู่เลิกคิ้วน้อยๆก่อนดับเครื่อง

     

     

     

    ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้นเสียงวีดว้ายก็ดังขึ้นกลบทันที

     

     

    “คุณน้องฟานี่! ลมอะไรหอบมาจ้ะ วันนี้จะทำอะไรดี ตัดผมทำสี หรืออยากได้สูทใหม่ค้าาาา”ชายร่างอ้อนแอ้นวิ่งมาหาเธอทั้งที่นิ้วยังเกี่ยวกรรไกรสีเงินวาวไว้

     

     

    “ทำทุกอย่างเลยค่ะพี่ แต่ไม่ใช่ฟานี่นะคะ”ทิฟฟานี่ยิ้มหวานก่อนเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้ร่างบางในชุดเดรสสีอ่อนที่อยู่ข้างหลังปรากฏขึ้นให้คนเดียวได้โจควอนร้องขึ้นอีกพร้อมทั้งเดินเข้ามาหมุนตัวร่างบางไปมาให้เธอได้มึนไปหมด

     

     

    “อุ้ยตาย นี่ใครคะเนี่ย อย่างกับบาร์บี้ หุ่นดี๊ดี ถึงจะตัวบางร่างเล็กแต่ก็มีครบทุกอย่างเลยนะคะ”โจควอนมองอย่างชื่นชม

     

     

    “น้องสาวของฟานี่ค่ะ เจสสิก้า”และประโยคนั้นก็ทำเอาโจควอนเผลอทำกรรไกรในมือหล่น ถึงอยากจะรู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางเพียงใดแต่เขาก็ยังไม่ถามอะไรออกไป แน่ละ ก็การรักษามารยาทที่ดีมันถึงทำให้ที่นี่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ร้านของเขาเป็นศูนย์ความงามครบวงจร มีสี่ชั้นแต่ละชั้นแบ่งออกสัดส่วนตามความต้องการอย่างชัดเจน อีกทั้งยังตกแต่งอย่างหรูหราทำให้ลูกค้าระดับไฮโซเข้าร้านของเขาไม่ขาดสาย และที่ยิ่งกว่านั้นคือการเปิด 24 ชั่วโมงทำให้ดึงเขาสามารถดึงลูกค้ามาได้อย่างหลากหลาย

     

     

    “ส๊วยสวยไม่แพ้พี่สาวเลยนะคะ ว่าแต่จะให้พี่ทำอะไรเอ่ย”

     

     

    “พี่ช่วยจัดการทรงผมของเธอได้ไหมคะ แล้วก็พาเธอไปตัดชุดทำงาน เอาของฟานี่เป็นแบบเลย อ่อ แต่ถ้าเธออยากเพิ่มลดอะไรแค่ นิดหน่อยก็ทำให้เธอด้วยนะคะ”

     

     

    “ได้คะได้ รับรองว่าสวยเลิศ ฝีมือพี่ควอนนี่ซะอย่าง”ทิฟฟานี่หัวเราะ

     

     

    “ฟานี่รู้ค่ะ”และทันทีที่โจควอนทันไปสั่งงานลูกน้องเจสสิก้าก็หันมาเอาความกับเธอทันที

     

     

    “นี่ยู..”

     

     

    “เรียกฟานี่สิคะ”เสียงแหบหวานส่งสัญญาณเตือนในน้ำเสียงให้อีกคนได้กัดฟันตอบ

     

     

    “ฟานี่ไม่ถามความเห็นเจสหน่อยหรอคะ”

     

     

    “เราตกลงกันแล้วนี่คะ หรือน้องเจสอยากกลับบ้าน...คะ?”ทิฟฟานี่เอียงคอยิ้มหวานให้เธอต้องส่งสายตาเอาเรื่องไปให้ ต่อหน้าคนอื่นละยิ้มพร่ำเพรื่อซะจริง

     

     

    “ทำก็ได้คะ พี่-ฟา-นี่!”เจสสิก้ากระทืบลงบนเท้าขาวๆในคำสุดท้ายให้ทิฟฟานี่ได้แต่สะดุ้งและอ้าปากพะงาบอย่างไม่มีเสียง ร่างบางโปรยยิ้มให้เธอก่อนจะเดินตามโจควอนที่ไม่ได้สนใจพวกเธออยู่ไป

     

     

    “ยิ้มตอนนี้ได้ยิ้มไปเถอะ.. แม่ตัวน้อย”แปลกที่ทิฟฟานี่ไม่ได้ถือสาเพียงสักนิด หญิงสาวพึมพำพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

     

     

     





    --------------------------------------------------------------------------------------------------

    ฝากด้วยนะคะ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×