ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #1 : the everlasting sunset

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 663
      3
      7 ส.ค. 58

    1

     

     

    just like the old, dusty tale you tell the children at night; there is a town, small and peaceful in all it's glory, where the dusk seems to go on forever.

    เฉกเช่นในนิทานปรัมปราที่คุณมักจะเล่าให้เด็กๆฟังก่อนนอน มีเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง สงบสุขเสียยิ่งกว่าอะไร และมีช่วงเวลายามตะวันตกดินที่ยาวนานจนราวกับว่าคงอยู่จะตลอดไป

     

     

    "จริงหรือเปล่า?"



    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วยามเมื่อคำถามห้วนสั้นแหวกว่ายเข้าสู่โสตประสาท ดวงตาคมเหลือบมองเจ้าของเสียงจากหางตาแทนคำถามที่ส่งไปในความเงียบงัน และมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเครื่องยนต์ดังก้องภายในยานพาหนะขนาดย่อม

     

    "สถานที่ที่มียามพลบค่ำอันแสนยาวนาน นานพอที่จะดึงเอาทุกๆความอ่อนแอของผู้คนที่นั่นออกมาในช่วงเวลานั้น จนกลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำและความโศกเศร้า"
     

    "บอกผมซิว่าพี่ไม่ได้อ่านนิทานสำหรับเด็กอยู่?"

     

    เด็กหนุ่มผู้มีดวงตาคมกริบถามด้วยน้ำเสียงขึ้นสูงหวังเหน็บแนม ชายหนุ่มผู้ที่ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้หนังสือเล่มบางๆก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ สุ้มเสียงทุ้มต่ำสะท้อนกังวาลไปทั่วตู้โดยสารของรถคาราวานที่ข้างในดูกว้างขวางและอบอุ่นผิดจากภายนอกที่เป็นเพียงยานพาหนะเหล็กเย็นชืด ดวงตาคู่สวยจับจ้องหนังสือในมืออยู่ซักพักก็ขว้างออกไปอย่างที่ไม่แม้แต่จะหันไปมอง แต่สันของหนังสือก็ตรงเข้าปะทะกับหลังศรีษะของเด็กหนุ่มอีกคนอย่างแม่นยำ

     

    "โอ๊ย—" ผู้ถูกประทุษร้ายร้องขึ้นแล้วยกมือขึ้นคลำกระหม่อมตัวเองป้อยๆ คิ้วขมวดมองหนังสือที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆแล้วก็ต้องกระพริบตาสองสามที "ประวัติศาสตร์?"

     

    "ก่อนจะไปทำภารกิจนอกสถานที่ นายไม่เคยศึกษาภูมิศาสตร์หรือประวัติของที่นั้นๆเลยหรือไง พลโท?"

     

    "ผมก็เพิ่งเคยเห็นพลเอกนัมอูฮยอนอ่านหนังสือเป็นครั้งแรกนั่นแหละครับ"

     

    "ชิ"

     

     

    ชายหนุ่มผู้มีนามว่าอูฮยอนส่ายหน้าเบาๆแล้วนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหารุ่นน้องพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงใต้คาง ซ่อนร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนจนได้สัดส่วนในเสื้อกล้ามสีดำใต้ผ้านวมนุ่ม ป้องกันไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ

     

    "ข้างนอกเริ่มหนาวแล้ว ปรับเป็นฮีตเตอร์ได้แล้วมั้ง?"
     

    "จะนอนแล้วเหรอพี่?"
     

    "อือ เดี๋ยวนายต้องเปลี่ยนเวรกับโฮวอนในอีกสองชั่วโมง แล้วพรุ่งนี้เราต้องผลัดกันขับทั้งวันถ้าจะให้ถึงที่หมายภายในกำหนด"
     

    "รับทราบ"
     

    "คิมมยองซู จำไว้ว่านี่ไม่ใช่เครื่องบินไอพ่น ถ้าฉันตื่นกลางดึกเพราะฝีมือการขับรถของนาย ฉันเล่นนายแน่" อูฮยอนยื่นมือออกมาจากใต้ผ้าห่มเป็นการกำชับคำเตือน ซึ่งมยองซูก็ยกมือขึ้นตะเบ๊ะแทนการยืนยันโดยไม่ลืมกระตุกยิ้มให้อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างคาดโทษ เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใสแล้วกดรีโมทปิดไฟภายในตู้โดยสาร เว้นแต่ไฟเหนือโต๊ะเตี้ยที่อยู่ตรงกลาง

     

    มยองซูหยิบหนังสือที่อีกฝ่ายโยนมาเมื่อครู่ขึ้นมาพินิจวิเคราะห์แล้วจึงเปิดมันออก ศึกษาภูมิศาสตร์และความเป็นมาของจุดมุ่งหมายอย่างที่อูฮยอนทำอยู่ก่อนหน้านี้ แต่มยองซูก็อดสงสัยในการกระทำของอูฮยอนไม่ได้ ทำไมถึงจะต้องเรียนรู้? ทำไมถึงจะต้องค้นคว้าและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เหล่านี้ด้วย?

     

    สภาพอากาศเป็นอย่างไร? มีประชากรเท่าไหร่? ผู้คนในพื้นที่ประกอบอาชีพอะไร? ในเมื่อหน้าที่ของมืออาชีพอย่างพวกเขาก็แค่การลาดตระเวณ หาเบาะแสของการก่อกบฏ และถ้าเกิดมีอะไรตุกติกเพียงนิด ที่แห่งนั้นก็คงจะต้องหายไป พังราบเป็นหน้ากลอง ก็เท่านั้น

     

    มยองซูนั่งอ่านคำบอกเล่าของเมืองที่ถูกขนานนามไว้ว่า 'The Town with Everlasting Sunset' และเขาก็คิดว่าดีแล้วที่มันเป็นเพียงความเป็นมาที่ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่ามีอยู่จริง

    เพราะเขาก็คงเสียดายเหมือนกันถ้าหากสถานที่สวยๆนี้จะต้องกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า

     

     

     

    The dusk; it is when the sky will bear frenzied colors of blue, purple, orange with a tint of bright yellow. Flickering sunlight will cast itself across the vast sky by the horizon in golden shimmers. Time will stop right there; it stays for so long as if approaching eternity.

    ช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าจะทอประกายหลากหลายเฉดสี ฟ้า ม่วง ส้ม เหลือง แสงตะวันจะส่องแสงสีทองสะท้อนที่ขอบฟ้ากลับขึ้นไปบนผืนผ้าใบอันกว้างใหญ่ไพศาล และในตอนนั้นเองที่เวลาจะหยุดชะงักยาวนานจนเกือบจะเป็นกาลปาวสาน


     

     

    อูฮยอนกัดริมฝีปากที่แห้งผากในขณะที่มือทั้งสองยังคงกำพวงมาลัยแน่น ดวงตาทั้งคู่แข็งกร้าวยามมองไกลออกไปยังท้องถนนอันแสนจะเคว้งคว้างราวกับมันทอดยาวไปจนหาจุดจบไม่เจอ สภาพอากาศรอบข้างแห้งแล้งดูราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่เลย

     

    นี่ก็ล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ๆแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้ที่หมายเลยแม้แต่น้อย จริงอยู่ที่พวกเขาออกมาไกลกว่าครั้งไหนๆ แต่เขาไม่เคยทำงานพลาด ไหวพริบและเซ้นส์ที่แม่นยำของนัมอูฮยอนไม่เคยพลาด พื้นที่ที่เขาได้รับข้อมูลมาก็น่าจะอยู่ห่างไปอีกไม่กี่สิบนาที แต่ถ้ารอบข้างเขามันว่างเปล่าขนาดนี้ จะมีอะไรต้องทำอีกเล่า?

     

    "พลเอกพลเอกพลเอก"

     

    "อะไร?"

     

    "ข้างหน้านั่น!"

     

    โฮวอนที่นั่งคำนวนพิกัดอยู่ข้างๆตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอู้อี้เนื่องจากมีโดนัทอยู่เต็มปาก มือที่ถือของหวานที่เหลืออีกครึ่งก็ยื่นออกไปจนเกือบจะโดนกระจก ชายหนุ่มพยายามหรี่ตามองผ่านฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายไปแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะเขาเห็นแล้ว

    เป็นเส้นแบ่งเขตที่แสนจะอัศจรรย์ พื้นดินแห้งแล้งบนฟากของเขาเลือนเจือจางไปและค่อยๆเชื่อมต่อกับทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอย่างแนบเนียน อูฮยอนกลืนน้ำลายแล้วกระพริบตาถี่ๆยามที่ภาพตรงหน้ามันตรงเข้ามาใกล้ทุกที

     

     

    "มยองซู! เก็บเอกสาร แผนการ ชุดฟอร์ม อาวุธ ทุกอย่าง! อย่าให้เหลืออะไรเกี่ยวกับพวกเราแม้แต่ชิ้นเดียว!" อูฮยอนกรอกเสียงเข้าไปในไมค์ไร้สายที่ต่อไปถึงในตู้โดยสาร โฮวอนยัดโดนัทที่เหลือเข้าปากแล้วรีบรุดผ่านประตูเหล็กหนาเพื่อที่จะไปช่วยคนอายุน้อยกว่า

     

     

    อูฮยอนรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อรถคาราวานของเขาแล่นเข้ามาภายในพื้นที่ มันเหมือนกับว่าเขาหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งเลยทีเดียว ที่แห่งนี้มาอยู่ในภูมิศาสตร์อันโหดร้ายแบบนี้ได้ยังไงกัน? ถนนดินที่วิ่งอยู่อาจจะแคบไปหน่อยสำหรับยานพาหนะคันนี้หากแต่วิ่งง่าย เรียบสนิทและนุ่มนวล ทั้งสองข้างเป็นทุ่งหญ้ากว้างขนาบไปตลอดเส้นทาง เขาผ่านบ้านคนมาบ้างเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจหยุดรถภายในเวิ้งโล่งเตียนเมื่อมาถึงทางเท้าที่จะโยงไปยังใจกลางของเมือง ร่างสมส่วนกระโดดลงมาจากที่นั่งคนขับแล้วหายใจเข้าลึกเมื่อเท้าแตะลงบนพื้นหินบล็อกสีเทา ดวงตากลมโตมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาระคนประหลาดใจ มยองซูกับโฮวอนตามลงมาในอีกไม่นานด้วยเสื้อผ้าสบายๆหลังจากเก็บทุกๆหลักฐานของกองทัพเอาไว้อย่างแน่นหนาในตู้นิรภัยเรียบร้อยแล้ว


     

    "พิกัดที่เราศึกษามามันไม่มีที่นี่..." โฮวอนเอ่ยขึ้นมาลอยๆแล้วเกาท้ายทอยด้วยความงุนงง อูฮยอนฮัมรับอยู่ในลำคอก่อนจะยืดแขนขึ้นสูงยืดเส้นยืดสาย
     

    "ไหนๆแล้ว... ผจญภัยกันซักหน่อยดีไหม? เราไม่รีบอยู่แล้วนี่" อูฮยอนหันกลับมามองรุ่นน้องร่วมทีมทั้งสองแล้วฉีกยิ้มให้ มยองซูจำต้องถอนหายใจไปกับนิสัย 'my pace' ของอูฮยอน ก่อนจะเบนความสนใจไปเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา และ—


      

    "ว๊ากกกก—!"

     

     

    ผลั่ก!

     

     

    สิ้นเสียงกรีดร้องเสียดหู ร่างของใครบางคนก็ปะทะเข้ากับอูฮยอนอย่างจังจนเขาเสียหลักล้มลงไปข้างหน้า หัวเข่ากระแทกกับพื้นส่งเสียงดังตุ้บ อูฮยอนครางเสียงต่ำไปกับความปวดหนึบที่กลางศรีษะหลังจากถูกอะไรซักอย่างกระแทกเข้าไม่เบานัก เจ็บยังกับวิ่งชนเสาไฟฟ้า ใบหน้าคมแยกเขี้ยวใส่มยองซูที่กำลังกลั้นหัวเราะเต็มที่ราวกับจะเยาะเย้ยเขาที่โดนแบบเดียวกับตัวเองเมื่อคืน แถมยังขยับปากบอกด้วยว่า สมน้ำหน้า

     

    "ซองยอล! พี่บอกแล้วว่าให้ระวัง!" อีกหนึ่งเสียงดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่วิ่งเข้ามาหาคนที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ร่างโปร่งหยุดฝีเท้าลงแล้วเท้ามือทั้งสองข้างกับหัวเข่า หอบหายใจหนักอย่างคนที่ออกวิ่งมาสุดตัวทั้งๆที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งนวดข้อศอกตัวเองเบาๆแล้วยันตัวขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มชืดให้กับผู้ที่วิ่งตามมา

     

    "แหะ ขอโทษฮะ" ทันทีที่เด็กหนุ่มที่ชื่อซองยอลพูดขึ้น ร่างโปร่งเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลก็เงยหน้าฉับพร้อมกับยกมือขึ้นแนบแก้มเจ้าเนื้อให้หันไปยังผู้เสียหาย
     

    "มาขอโทษอะไรพี่เล่า? นู่น ขอโทษฝ่ายนู้นเร็ว"
     

    ซองยอลกระพริบตาปริบๆมองคนสามคนตรงหน้าแล้วค้อมตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขอโทษอย่างเต็มปากเต็มคำ มยองซูกับโฮวอนยิ้มรับคนตัวสูงแล้วโบกมือหยอยๆเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรแทนผู้เสียหาย หากแต่มยองซูรู้สึกถึงความเงียบผิดปกติจากคนที่ถูกประทุษร้ายเมื่อครู่นี้ เมื่อหันไปมองก็พบนัมอูฮยอนยืนแน่นิ่งยังกับตอไม้ ตามองไปข้างหน้าค้างไม่กระพริบ

     

    "เฮ้ย อูฮยอน…" โฮวอนศอกต้นแขนสีแทนของหัวหน้าหน่วยเบาๆแต่ก็ยังไร้ปฏิกริยา มยองซูกระตุกยิ้มเมื่อพบว่าสายตาของอีกฝ่ายไปจบอยู่ที่ตรงไหน จะประเจิดประเจ้อไปมากกว่านี้ได้อีกไหม นัมอูฮยอน? เขากระแอมเบาๆหวังจะเรียกสติของอูฮยอน แต่กลับเป็นชายหนุ่มอีกคนที่ได้ยินซะเอง


     

    "ฉันขอโทษแทนซองยอลด้วยนะ เป็นอะไรรึเปล่า?" ร่างโปร่งที่โผล่หน้าออกมาหลังร่างสูงๆของซองยอลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ดวงตาคู่เรียวเล็กสลับมองคนแปลกหน้าทั้งสามไปมา และมยองซูก็จำต้องหยิกเข้าที่สีข้างของเจ้าต้นไม้แรงๆเข้าซักที


    "โอ๊ย เจ็บ!" อูฮยอนหลุดเสียงร้องโอดโอยแผ่วเบาแล้วตะปบลงกับเนื้อที่เต้นตุบๆ ใบหน้าคมคายชักสีหน้าใส่รุ่นน้องที่เสทำเป็นมองนกมองไม้อย่างน่าหมั่นไส้ ก็เขากำลังมองคนคนนั้นเพลินๆ—

     

    "เอ๊ะ… เอ่อ เจ็บมากไหม?"
     

    เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนที่ถูกเปล่งออกมาอย่างละล่ำละลักเนื่องจากสังเกตุปฏิกริยาของคนเหม่อลอยมาได้ซักพักแล้ว อูฮยอนเงยหน้าฉับแล้วก็ต้องเม้มปากแน่น ดวงตากระพริบถี่ยามสบตาเข้ากับเจ้าของใบหน้าขาวกระจ่าง เขาส่ายหน้าเบาๆให้เป็นคำตอบ ดึงเอารอยยิ้มหวานที่แฝงไปด้วยความโล่งใจออกมาจากคนตรงหน้าได้ และยิ่งมองริมฝีปากสีสดคู่นั้น อูฮยอนก็เผลอแตะปลายลิ้นเข้ากับมุมปากตัวเอง
     

    มยองซูหันไปแลกสายตากับโฮวอนแล้วถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์กับรุ่นพี่ตัวเองที่เก็บอาการไม่อยู่อย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมกริบเหลือบขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วก็ต้องนึกสงสัยไปกับท่าทางประหม่าของเจ้าของคำถามที่ยังคงยืนหลบอยู่หลังคนตัวสูงอยู่อย่างนั้น
     

    "ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกครับ" โฮวอนตัดสินใจตอบแทน "เอ่อ ว่าแต่—"
     

    โฮวอนถูกตัดฉับค้างกลางอากาศเมื่อชายหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาลจัดการฉุดลากแขนซองยอลให้เดินตามกลับเข้าไป ทำเอามยองซูยิ่งขมวดคิ้วที่เห็นอีกฝ่ายจงใจที่จะออกห่างและดูไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ขอบคุณพระเจ้าที่ความดื้อดึงของอูฮยอนมามีประโยชน์เอาก็ตอนนี้

     

    "เดี๋ยวสิ!" เสียงทุ้มนุ่มเปล่งออกมา ทำให้อีกฝ่ายหยุดกึก "คือเราผ่านมาโดยบังเอิญ"
     

    ชายหนุ่มยอมหันกลับมาอีกครั้ง โดยที่ยังคงมีความไม่แน่ใจอยู่บนใบหน้า อูฮยอนยกยิ้มแล้วยัดมือทั้งสองเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของชุดผ้าเต็มตัวที่ปลดท่อนบนลงมาผูกไว้ที่เอว รอยยิ้มยิ่งกว้างเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีปฏิกริยาบ่งบอกว่าจะหนี

     

    "เราคิดว่าที่นี่มันสวยมาก อากาศก็ดี ก็เลยคิดอยากจะพักผ่อนซักหน่อยหลังจากเดินทางมานานน่ะ" 

     

    อื้อหือ ลื่นไหลยังกับงู มยองซูชักสีหน้าไปกับการพูดหว่านล้อมและถ้อยคำหวานหูที่เป็นความสามารถประจำตัวของพลเอกสุดป็อปปูล่าคนนี้ ก็ไม่น่าแปลก ในเมื่อนัมอูฮยอนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าโดยเฉพาะ


     

    "ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป" อูฮยอนพูดเบาลงเมื่อเขาหยุดยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มร่างโปร่ง ดวงตานิ่งมองใบหน้าขาวจัดด้วยประกายบางอย่างเฉพาะในเวลาที่เขาสนใจอะไรมากๆ "คุณช่วยแนะนำที่นี่ให้พวกเราหน่อยได้หรือเปล่า... ครับ?"

     

    พระเจ้าช่วย นัมอูฮยอนพูดครับอย่างงั้นเหรอ? โฮวอนอ้าปากค้าง ตากระพริบถี่หลังจากนิ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหน้าตายๆมาตลอด โฮวอนกับอูฮยอนก็สนิทพอที่จะรู้ใส้รู้พุงของกันและกัน และท่าทีของชายหนุ่มที่มียศสูงกว่ามันทำให้โฮวอนขนลุก อะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ไม่อยากจะคิด

     

    "คนตัวสูงนี่ชื่อซองยอลใช่มั้ย? ฉันอูฮยอน" อูฮยอนหันไปมองเจ้าของชื่อแล้วแตะต้นแขนอีกฝ่ายสองสามทีอย่างเป็นมิตรก่อนจะกลับมายิ้มให้กับเจ้าของดวงตาเรียวเล็ก "แล้วคุณชื่ออะไร?"

     

    ไม่ต้องใช้ทริก(ที่อูฮยอนก็มีเยอะเป็นบ้า) ไม่ต้องใช้ตัวแสดงแทน แสดงเจตนารมณ์ของตัวเอง ถามดื้อๆนี่แหละคือวิธีของนัมอูฮยอน

     

    คนที่ถูกถามผ่อนลมหายใจยาวอย่างที่มองออกทะลุปรุโปร่งว่าอูฮยอนกำลังเล่นอะไร
     

    "ซองกยู" ดวงตาคู่สวยเหลือบมองอูฮยอนที่ฉีกยิ้มกว้างจนดูเหมือนคนบ้าแล้วก็ต้องหลบตา "คิมซองกยู"
     

    "ชื่อเพราะๆ—"

     

    "เอาล่ะ พอแค่นั้น" โฮวอนรีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่อูฮยอนจะมีสิทธิ์พ่นอะไรชวนเลี่ยนออกมามากกว่านี้ เขาก้าวไปข้างหน้าจนมายืนข้างอูฮยอน "ผมโฮวอน แล้วนี่ก็มยองซู เราไม่ได้อยากทำให้คุณเสียเวลา ต้องขอโทษแทนเจ้าหมอนี่ด้วย"


    อูฮยอนหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนเมื่อได้ยินคำเรียกตัวเองอย่างไร้ความเคารพ มยองซูพยักหน้ารับเป็นลูกคู่พลางบีบหัวไหล่ตัวต้นเหตุแรงๆ ซองกยูเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยแล้วเอียงศรีษะเป็นสัญญาณให้ตามมา เรียวขายาวออกเดินโดยมีซองยอลก้าวกระโดดโหยงเหยงตามไปติดๆ

     

     

     

     

     

     

    "นี่มันสุดยอดไปเลย..."

     

    "เก็บอาการหน่อย คิมมยองซู"

     

    "โถ่ พี่ ตั้งแต่เกิดมาผมเจอแต่เครื่องจักรเครื่องกล เทคโนโลยีรอบตัว— โห นี่มันเจ๋งชะมัด!"

     

    มยองซูพยายามแสดงความตื่นเต้นออกมาให้เบาที่สุดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกอย่างตื่นตาตื่นใจ สภาพสิ่งก่อสร้างและบรรยากาศโดยรวมเหมือนกับหลุดออกมาจากในยุคปีสองพัน ซึ่งถ้านับกับวันเวลาในตอนนี้แล้ว ที่นี่เหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้เมื่อสหัสวรรษก่อน สภาพอากาศก็สดชื่นผิดแผกไปจากหลายๆเมืองเล็กๆที่กระจัดกระจายไปทั่วภูมิประเทศที่มักจะแห้งแล้งโหดร้ายและมีสภาพไม่น่าพิศมัย ถึงแม้อากาศในแคปิตอลจะสะอาด แต่ก็เป็นอากาศสังเคราะห์มาจากการกลั่นกรองทั้งนั้น
     

    น่าแปลกที่เมืองนี้หลุดรอดจากสายตาผู้คนในแคปิตอลมาตลอด
     

    หลังจากที่ซองกยูไล่ซองยอลกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย เขาก็พาผู้มาเยือนทั้งสามมายังที่พักโฮสเทลขนาดย่อมดูอบอุ่น ซึ่งต้องผ่านการลัดเลาะเข้าซอกเข้าซอยจนน่าเวียนหัว ตัวตึกเป็นอิฐแดงดูคลาสสิกจนมยองซูจำต้องเดินเข้าไปลูบๆคลำๆตามประสาคนไม่เคยเห็น โฮวอนหัวเราะเบาๆแล้วลากแขนคนอายุน้อยกว่าให้เข้าไปข้างใน
     

    "สวัสดีครับ! อ้า พี่ซองกยู!" เสียงต้อนรับอันร่าเริงสดใสดังก้องห้องสี่เหลี่ยมที่มีโทนสีแดงเข้มตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน เด็กหนุ่มหน้าหวานดีดตัวขึ้นมาจากข้างหลังเคาท์เตอร์และฉีกยิ้มกว้าง
     

    "ขอซักห้องนึงให้พวกเขาหน่อยนะ ซองจง ฉันรู้ว่าไม่มีแขกมาซักพักแล้ว คงไม่เป็นการรบกวนมากไปหรอกใช่ไหม?" ซองกยูพยักเพยิดไปยังชายหนุ่มทั้งสามที่พินิจพิจารณาสภาพรอบๆตัวด้วยความรู้สึกหลากหลาย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำอย่างกระตือรือร้น ดูมีความสุขที่ได้ทำงานอีกครั้ง
     

    "แต่ว่านะ พี่ซองกยูยอมเดินเข้ามาถึงนี่ แทนที่จะพาไปที่แมนชั่นของซองยอลที่จตุรัส" ซองจงพูดด้วยข้อเท็จจริงพลางกอดอก หรี่ตามองผู้มีอายุมากกว่าด้วยรอยยิ้มที่แฝงนัยยะ อูฮยอนเอียงคอมองทั้งสองคนคุยกันด้วยความระคนสงสัย ซองกยูแค่ยิ้มตอบแล้วปรายตามองแขกทั้งสาม

     

    "ก็ใครบางคนบอกว่าอยากพักผ่อน แล้วก็บอกว่าที่นี่สวย..." สายตาของซองกยูกับอูฮยอนสบกันเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้กับเจ้าของบ้าน "ที่ของนายที่อยู่ลึกเข้ามาบนเนินเขาวิวดีที่สุดแล้ว"

     

    "เอาล่ะครับ ได้เวลาทำงานแล้ว" ซองจงยิ้มร่าแล้วหยิบกุญแจออกมาจากในตู้ไม้ ร่างโปร่งบางเดินออกมาจากหลังเคาท์เตอร์ก่อนจะคว้าเอาแขนของซองกยูมาคล้องไว้กับตัวเอง "เดี๋ยวผมกับพี่ซองกยูจะเตรียมห้องให้พวกคุณ ระหว่างนี้ก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลาเถอะครับ"

     

    อูฮยอนกำลังจะอ้าปากค้านเนื่องจากเขารู้ตัวเองดีว่าเขาอยากรู้เรื่องของที่นี่มากกว่านี้(หรือถ้าให้พูดตรงๆก็คืออยากรู้จักใครบางคนมากกว่านี้) แต่มยองซูกับโฮวอนก็จัดการลากแขนชายหนุ่มคนละข้างออกไปท่ามกลางถ้อยคำผรุสวาทที่หลุดออกมาจากปาก ซองจงกระพริบตาปริบๆมองทริโอที่หายไปหลังประตูไม้ด้วยความขบขัน ดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มเหลือบมองสีหน้าของผู้เป็นพี่แล้วก็ต้องแอบอมยิ้ม
     

    ซองจงชอบเวลาที่ซองกยูยิ้มที่สุด
     

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มร่างสมส่วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนขอบน้ำพุทรงกลมที่อยู่ใจกลางเมือง ในขณะที่กำลังรอลูกน้องทั้งสองไปสรรหาอะไรมากินเพื่อประทังความหิวหลังจากไม่มี อะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า อูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เปิดสว่างยามบ่ายแก่ๆ ดวงตาไล่มองกลุ่มเมฆทีละกลุ่มอย่างตาลอย ไอแดดที่กระทบลงกับผิวหน้าและหัวไหล่ไม่ได้สะกิดอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย บางทีอูฮยอนก็ลืมไปแล้วว่าการพักผ่อนน่ะเป็นยังไง วันๆในเมืองหลวงของเขาก็มีแต่ทำงาน ฝึกซ้อม จัดเตรียมแผนการออกลาดตระเวณ หรือไม่ก็ออกปฏิบัติการจริง เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาอย่างดีในสายงานนี้ ได้แต่กลิ่นดินปืนหรือตะกั่ว หูเขาก็คุ้นชินกับเสียงระเบิดและเสียงปืนลั่น สายตามักจะเห็นแต่แสงไฟที่สว่างวาบแล้วก็ตามด้วยภาพที่แดงฉาน
     

    เขานึกไม่ออกว่าเขาทำอะไรเป็นนอกจากการทำลายหรือคร่าชีวิต

      

    "อูฮยอน! วาฟเฟิลสตรอเบอรรี่!"


    "ห๊ะ สตรอเบอรรี่?"
     

    ใบหน้าคมหันขวับไปตามเสียงร้องเรียกทันทีที่ได้ยินชื่อของผลไม้สุดโปรดปราน โฮวอนก้าวเร็วๆเข้ามาหาพร้อมกับวาฟเฟิลหอมฉุยในมือ อูฮยอนฉีกยิ้มกว้างแล้วยืดแขนออก สองมือกำแบเร็วๆจนดูเหมือนเป็นเด็กน้อยกำลังเรียกร้องหาของชอบ มยองซูนั่งลงข้างๆและเริ่มร่ายยาวถึงความน่าประทับใจของร้านขนมที่แวะเข้าไปเมื่อกี้ คนฟังก็เคี้ยวของกินแก้มตุ่ยพลางพยักหน้ารับเป็นระยะ
     

    เมื่อทั้งสามจัดการสวาปามทุกๆอย่างที่ซื้อมาลงท้องเรียบร้อยแล้ว อูฮยอนก็ขอแยกไปคนเดียว ซึ่งมยองซูกับโฮวอนก็ไม่คิดจะขัด พวกเขาเข้าใจดีกว่าใครว่าอูฮยอนต้องการเวลาแบบนี้มากขนาดไหน ทั้งยศและตำแหน่งที่ชายหนุ่มได้มาต้องแลกอะไรไปมากเท่าไหร่ อูฮยอนผ่านสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาเยอะกว่าพวกเขามาก โอกาสที่จะได้เป็นอิสระมาเดินตามท้องถนน พบปะผู้คนแบบธรรมดาที่ไม่ใช่การเล็งกระบอกปืนเข้าใส่น่ะไม่มีเยอะนักหรอก

      

    "จะใช่หรือเปล่านะ?" อูฮยอนพึมพำเบาๆกับตัวเองในขณะที่ลากเท้าลึกเข้าไปในตรอกซอกซอยจนหลุดออกมาจากใจกลางของเมือง เขาย้อนนึกกลับไปถึงสิ่งที่เขาอ่านมาเกี่ยวกับพื้นที่แถวๆนี้ ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย 
     

    "เวลาก่อนตะวันตกดินที่ยาวนานงั้นเหรอ?"
     

    รองเท้าบู๊ทคอมแบทสีดำย่ำลงบนพื้นหญ้าเป็นเสียงกรอบแกรบ ร่างโปร่งเบ้ปากเมื่อสังเกตุเห็นสภาพอันย่ำแย่ของมัน อูฮยอนหยุดยืนนิ่งเมื่อเดินมาถึงเนินสูงโดยมองเห็นทุ่งหญ้าและดอกไม้นานาชนิดทอดยาวลงไปจนสุดขอบฟ้า เขาหายใจเข้าลึกแล้วทิ้งตัวลงนอนราบไปกับผืนหญ้าที่มีสัมผัสชื้นแฉะเล็กน้อยจากสายฝนที่คงตกเมื่อช่วงเช้า แขนทั้งสองพับรองศรีษะจนรู้สึกสบายพอแล้วจึงหลับตาลง

    แต่ผ่านไปเพียงไม่นาน เขายังไม่ทันจะได้งีบหลับไป หูก็ได้ยินเสียงเหมือนผืนผ้าที่โบกสะบัดอยู่ในสายลมแรง อูฮยอนกระพริบตาช้าๆแล้วยันตัวขึ้นด้วยข้อศอก หันศรีษะไปยังทางที่เขาได้ยินเสียงนั้นด้วยระบบโสตประสาทที่ดีกว่าคนทั่วไป และภาพที่เห็นก็ทำเอาต้องหยุดสายตาไว้ตรงนั้น ถึงแม้ดวงตาสีช็อคโกแลตอีกคู่จะสังเกตุเห็นเขาแล้วก็ตาม
     

    ซองกยูกอดผ้านวมหนาไว้ในอ้อมแขนและผงะถอยเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่นอนอยู่บนเนินไม่ไกลจากบ้านของเขา ดวงตาเรียวเล็กกระพริบถี่ๆราวกับจะพยายามเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไป ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นก่อนจะคลี่ยิ้มให้บางๆแล้วกลับไปสนใจกับผ้าที่ตากไว้ต่อ


    นัมอูฮยอน นายก็แค่บังเอิญเดินมาถึงนี่ ไม่ได้รู้ซักนิดว่าบ้านของอีกฝ่ายอยู่แค่ตรงนี้เอง ไม่ได้ตามเหมือนสตอร์คเกอร์เสียหน่อย ถึงจะคิดแบบนั้น อูฮยอนก็ยังคงนั่งมองซองกยูอยู่อย่างนั้น ดวงตาจับจ้องมองตามคนที่ทำในสิ่งที่กำลังทำอย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนว่าอูฮยอนจะเจองานอดิเรกใหม่ซะแล้ว แค่ได้มองผู้ที่มีเรือนผมสีคาราเมลที่ปลิวไหวไปตามสายลมก็รู้สึกเพลินอย่างไม่น่าเชื่อ เส้นผมสีอ่อนดูนุ่มนวลอย่างที่เขาอยากจะสางมือพิสูจน์ ในเวลาที่อีกฝ่ายเริ่มรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ยามที่สายตาสบกันเข้าซองกยูก็จะกัดริมฝีปากแล้วหลบตาไป เห็นแบบนั้นเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


    อูฮยอนละสายตาออกมาเมื่ออีกฝ่ายหายเข้าไปในบ้านของตัวเองแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองไปไกลพลางนึกสงสัยว่าการที่เขามานั่งนิ่งๆโดยไม่ทำอะไรนั้นมันเป็นความคิดที่ดีรึเปล่า? แต่ละวันของพวกเขาก็มีแต่ความวุ่นวายยุ่งเหยิง แทบจะไม่มีเวลานอนพักด้วยซ้ำไป ถ้ากลับมาจากภารกิจด้วยอาการเหนื่อยล้า ก็ต้องพึ่งตัวยาที่ฉีดตรงเข้ากระแสเลือดเพื่อกระตุ้นการทำงานของร่างกาย

    ต้องมีกำลัง สมอง และไหวพริบ สำหรับการปฏิบัติการณ์ที่ไม่พลาดพลั้ง ความรู้สึกและความนึกคิดส่วนตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเป็นตัวหลักๆที่จะไปขัดขวางการทำงาน กองทัพก็คือปีศาจเลือดเย็น เอาไว้รับใช้แคปิตอลอย่างไร้ข้อกังขา นี่เป็นวิถีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่อูฮยอนรู้จัก

     

     

    "เอ้า..."
     

    แก้วเซรามิกถูกยื่นมาตรงหน้าหลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างกันแล้วยื่นเครื่องดื่มให้โดยไม่คิดจะมองหน้า อูฮยอนค่อยๆประคองแก้วอย่างระมัดระวังแล้วกระซิบคำขอบคุณสำหรับโกโก้ร้อนๆ
     

    ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างกายพลางยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปาก ในเมื่ออยู่ใกล้กันแค่นี้เขาก็ห้ามสายตาตัวเองไม่ได้ ผิวขาวกระจ่างดูนุ่มนวลในแสงแดดที่เจือสีส้มอ่อนๆในยามเย็น(ถ้าเพียงแต่เขาสามารถยื่นมือออกไปแตะเพื่อความแน่ใจว่ามันจะเนียนนุ่มอย่างที่เห็น) แพขนตาสีดำสนิทยาวระไปกับพวงแก้มทุกทีที่อีกฝ่ายกระพริบตา สันจมูกโด่ง และ ริมฝีปากสีสดคู่นั้น...

     

     

    "มองพอหรือยัง?"


    อูฮยอนกระตุกยิ้ม แต่ก็ยังไม่ละสายตา
     

    "อ่า ขอโทษ..."
     

    ซองกยูชายตามองเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังมองอยู่ ไม่ใช่แค่มอง แต่มีรอยยิ้มบ้าๆอีกต่างหาก

     

    "ไม่เคยเห็นใครน่ามองขนาดนี้มาก่อน"

     

    คนถูกพาดพิงถึงเม้มปากแน่นแล้วหันกลับไปสนใจภาพข้างหน้า ทำเอาอูฮยอนได้แต่ยิ้มเก้อไปกับปฏิกริยาของอีกฝ่ายที่เขาเริ่มจะชิน เวลารู้สึกว่าไม่อยากจะเสวนากับใครหรือ(ถ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองซักหน่อยก็น่าจะ)เขิน ซองกยูก็คงจะหลบตาแบบนี้เสมอ ที่เขากล้าคิดแบบนี้ก็เพราะเห็นใบหูเล็กที่เริ่มขึ้นสีเลือดฝาดอย่างน่าดู

     

    "ไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรน่าขนลุกแบบนี้เหมือนกัน"
     

    "ก็แค่นิสัยเสียเล็กๆน้อยๆน่ะ"
     

    "งั้นนายก็พูดแบบนี้กับทุกคนล่ะสิ ใช่ไหม?" ซองกยูหรี่ตามองจากหางตา อูฮยอนยกมือทั้งสองขึ้นข้างศรีษะเป็นเชิงป้องกันตัวเอง
     

    "ไม่ ก็แค่คนที่น่าสนใจมากพอ"

     

    ซองกยูมองชายหนุ่มตรงหน้านิ่งพลางประมวลผลสิ่งที่ได้ยินและคิดถึงการตอบโต้ แต่เขาก็ทำได้เพียงยกมุมปากขึ้นหัวเราะออกมาเบาๆ ใช่ เขาก็ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน น่าสนใจ
     

    "นาย ประหลาดนะ"
     

    "ไม่ใช่คำชมที่แปลกหูเท่าไหร่ ได้ยินบ่อยจนเบื่อ" อูฮยอนวางแก้วเปล่าลงข้างตัวอย่างระมัดระวัง เขายกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่าซองกยูมีสีหน้าแปลกๆ "ฉันไม่เหมือนคนอื่น จริงๆเราสามคนก็มีปมกันทั้งนั้น"


    "ก็คนเหมือนกันไม่ใช่รึไง?"

     

    คนงั้นเหรอ? ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองยังจะถูกเรียกว่าคนได้อยู่หรือเปล่า อูฮยอนคิดแล้วยิ้มชืดกับตัวเอง แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของคนช่างสังเกตุไปได้

     

    "นายมาจากที่ไหน?"

    "อยากเดาไหมล่ะ?"
     

    ซองกยูขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายที่กางแขนออกอย่างท้าทาย นอกจากสภาพร่างกายภายนอกที่ดูเป็นคนสุขภาพดีและกระฉับกระเฉงแล้ว ก็เดาได้ไม่ยากว่าจะต้องมาจากที่ที่มีสภาพการเป็นอยู่ที่ดีไม่น้อย เว้นแต่รอยบาดแผลเจือจางจำนวนมากที่อยู่บนต้นแขน แต่รอยแผลเป็นค่อนข้างยาวที่พาดไปตามความยาวของคอทำให้ซองกยูยู่หน้า

     

    "นาย... เป็นพวกจับอาวุธใช่ไหม?" ทันทีที่คำถามหลุดออกมาจากปาก ซองกยูก็แทบอยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วอุดปากตัวเองไว้ซะ เพราะมันทำให้อูฮยอนหันมามองด้วยรอยยิ้มที่ยกมุมปากขึ้นสูงจนเห็นแนวฟันขาว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูมีประกายอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเลย เพราะท่าทีในคราวแรกแท้ๆที่ทำให้ซองกยูเผลอลดเกราะป้องกันตัวเองไปเสียสนิท ยิ่งอยู่ในระยะเผาขนแบบนี้ด้วยแล้ว อีกฝ่ายอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏที่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศก็ได้ใครจะไปรู้

    "น่าประทับใจ" อูฮยอนตอบด้วยน้ำเสียงเจือความพึงพอใจ นิ้วชี้ก็ยกขึ้นลูบที่รอยแผลบนต้นคอเบาๆ "แต่เขาว่าไว้ว่า... it takes one to know one"

     

    ผีเห็นผี ซองกยูทวนสำนวนที่ได้ยินอยู่ในใจ เมื่อตระหนักได้ดวงตาเรียวสวยก็ฉายแววไม่พอใจทันทีก่อนจะพูดลอดไรฟัน "ขอโทษที แต่ฉันเป็นคนช่างสังเกตุ ไม่ใช่คนชอบความรุนแรง"

     

    "นั่นก็ไม่มีปัญหา ฉันแค่ล้อเล่น ก็บอกแล้วว่าคุณน่ามอง แต่เพราะอะไรคุณก็ลองเดาเอาก็แล้วกัน"

     

    ซองกยูหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาวเมื่อเขาจนตรอกที่จะพูดโต้ตอบอะไรต่อ อูฮยอนเป็นคนลึกลับ เขาคิดอย่างนั้น ไม่มีทางจะเดาทิศทางของความคิดอีกฝ่ายออกได้เลย เพียงแค่คุยกันไม่กี่ประโยคก็ได้รับรู้ปมมากมายที่เรียกร้องอยากให้เขาก้าวเข้าไปแก้ แต่มันก็หมายถึงการเข้าไปเสี่ยงอันตราย ความอันตรายที่มาในรูปแบบของผู้ชายที่ชื่ออูฮยอน
     

    ทั้งคู่จึงตัดสินใจเหมือนกันที่จะเงียบ ตาก็มองภาพวิวทิวทัศน์ตรงหน้าไปเรื่อย นั่งฟังเสียงใบหญ้าและใบไม้ที่เสียดสีในสายลม เสียงนกร้องที่ดังแผ่วๆมาจากไกลๆ และลมหายใจของกันและกัน สัมผัสถึงตัวตนของอีกฝ่ายชัดเจนจนรู้สึกหายใจติดขัด แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนยอมที่จะล่าถอยไป

     

    "ซองกยู ฉันเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว"
     

    เป็นแขกผู้มาเยือนที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ซองกยูพยักหน้ารับเป็นเชิงว่ากำลังฟัง ในขณะที่ท้าวคางไว้กับหน้าแขนที่พักไว้บนหัวเข่าของตัวเองอีกที
     

    "ส้ม ม่วง ฟ้า เหลือง... ทอง" อูฮยอนเอ่ยชื่อสีแต่ละสีขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ซองกยูได้ยินแล้วก็ต้องลอบยิ้มไปกับลำดับสีที่มั่วไปหมด "ช่วงเวลาก่อนตะวันตกดินที่ดำเนินไปยาวนาน—"
     

    "นายกำลังนั่งมองมันอยู่นี่ไงล่ะ"

     

    อูฮยอนละสายตาจากคนข้างกายไปยังท้องฟ้าที่เปิดกว้างถูกแต่งแต้มไปด้วยกลุ่มเมฆที่นิ่งสนิท ผืนผ้าใบกว้างขวางไล่โทนสีส้มแซมเหลือง เจือด้วยสีฟ้าสดใสและม่วงครามที่ยังคงหลงเหลือจากช่วงก่อน ตะวันหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบฟ้า ทอแสงผ่านขอบเมฆจนเป็นประกายสีทองอย่างที่ถูกเขียนเอาไว้ เขากระพริบตาช้าๆผิดกับหัวใจที่เต้นรัวเร็ว อูฮยอนไม่แน่ใจว่าท้องฟ้ายามสนธยาที่สวยนั้นเป็นยังไง หรือแสงสว่างแบบไหนที่ถึงจะเรียกว่าดี เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมคู่รักถึงชอบที่จะนั่งมองพระอาทิตย์ตกด้วยกันนัก—

     

    "นายคิดว่าท้องฟ้าจะคงอยู่แบบนี้นานแค่ไหน?" ซองกยูถามขึ้นลอยๆ ริมฝีปากยกยิ้มเป็นรอยยิ้มบางที่ดูอิ่มเอมและมีความสุข
     

    "...ตลอดไป?" อูฮยอนตอบอย่างที่อ่านมาแล้วยักไหล่น้อยๆ


    "นายจะบ้ารึเปล่า?" ซองกยูร้องขัดขึ้นเสียงสูงกลั้วหัวเราะ "ชีวิตคนเราต้องดำเนินต่อไปนะ"
     

    "แล้วทำไม..."

     

    ซองกยูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วหลับตาลง เพียงชั่ววินาทีเดียว รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียน เป็นรอยยิ้มแรกที่อูฮยอนได้เห็น(เพราะรอยยิ้มนั้นจริงใจไปถึงดวงตาน้อยๆที่โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว) และเขารู้สึกเหมือนกับต้องมนตร์

     

    "ท้องฟ้าจะสว่างเป็นเฉดสีนี้นานพอสมควรเลย ไม่มีใครอยากให้สิ่งสวยงามอย่างนี้หายไปหรอก ถ้าจะให้คิดในแง่ของนามธรรม ดวงตะวันก็คงไม่อยากจากโลกไปเหมือนกัน ทุกๆสรรพสิ่งบนโลกสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่อยังสว่าง ต้นไม้ใบหญ้าต้องอาศัยแสงสว่างเพื่อการสังเคราะห์แสงและคงอยู่ทำประโยชน์ให้กับโลก คนเราก็อยู่ได้ด้วยออกซิเจนจากพืชทั้งนั้น ทุกอย่างมันลงล็อคพอดี เห็นไหม? เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ เขาเลยไม่อยากจะจากไป"


    อูฮยอนนิ่งมองคนข้างกายที่จับแก้วเซรามิกเอาไว้มั่น ถ้าเพียงแต่ซองกยูจะปล่อยแก้วใบนั้นไปซะ เขาก็คงกล้าที่จะเอื้อมมือออกไปคว้ามือสวยๆเข้ามากอบกุม
     

    "การจากลาเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอ ถึงแม้ตะวันอยากที่จะเฉิดฉายโดดเด่นอยู่บนฟ้า แต่มันก็คงจะไม่แฟร์กับพระจันทร์ที่อยากจะช่วยให้ทุกๆอย่างดำเนินช้าลงบ้าง เพราะการรีบเร่งจนขาดความรอบคอบก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี เวลาค่ำก็ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการใช้ชีวิตตอนสว่าง มันต้องมีสองอย่างเพื่อความสมดุลเสมอ แสงสว่างและความมืด หยินและหยาง

    ทุกคนต่างก็อยากให้แสงสว่างคงอยู่ตลอดไปทั้งนั้น และสำหรับยามย่ำสนธยาที่ยาวนานจนเกือบจะเป็นกาลปาวสาน มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก อูฮยอน ทุกสิ่งอย่างน่ะเกิดขึ้นมาจากคน อย่างประสาทการรับรู้ทางด้านเวลา มันก็เป็นเพราะความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งนั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวนะ นึกอยากจะให้อะไรเป็นไปอย่างที่ตัวเองอยากก็จะทำให้ได้ ไม่เคยย้อนนึกถึงความหวังดีของอะไรเล็กๆน้อยๆรอบตัวเลย"

     


    อูฮยอนไม่เข้าใจ


    ซองกยูกำลังพูดถึงสิ่งเหล่านี้ราวกับว่ามันเป็นของมีค่าที่สุดที่เจ้าตัวมี รู้ดีราวกับว่าเป็นหลังมือของตัวเอง เขาไม่เข้าใจ แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างโมเลกุลในอากาศ หน้าที่การงานของใบหญ้าที่น่าสงสาร และดวงอาทิตย์ที่น่าจะเป็นอะไรที่ธรรมดาอย่างที่สุด ซองกยูให้ความสำคัญกับทุกอย่าง ชื่นชมทุกๆลายละเอียดปลีกย่อยของงานชิ้นโบว์แดงที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติหรือพระเจ้าหรืออะไรก็ตามในความเชื่อของคน แม้กระทั่งการกระทำอันเล็กน้อยอย่างการนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินเพียงคนเดียว

     

    "ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ทุกเย็น..."

     

    ซองกยูยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าจนสุดแขน ฝ่ามือกางออกกว้าง อูฮยอนเฝ้ารอเวลาที่อีกฝ่ายจะกำมือที่ดูเหมือนจะไขว่คว้าอะไรเข้ามา แต่ซองกยูไม่ทำ และอูฮยอนก็ไม่รู้ว่าเขาเผลอกลั้นหายใจตั้งแต่เมื่อไหร่ ปล่อยให้คำถามผุดขึ้นมาในห้วงความคิดด้วยความระมัดระวัง ทำไมคนถึงคิดว่าช่วงเวลาแบบนี้มันวิเศษนักนะ?

    "เพื่อบอกลาดวงตะวัน" ซองกยูหันมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีช็อคโกแลตทั้งสองคู่สบกันนิ่ง "ทำไมเราถึงไม่ปล่อยเขาไปพักด้วยรอยยิ้มล่ะ? เวลาตะวันตกดินมันสวยมากไม่ใช่เหรอ?"

    เขาลากสายตาจากดวงตาที่โค้งขึ้นเป็นพระจันทร์เสี้ยวน่ามองเลยไปยังโครงหน้าที่นุ่มนวลเป็นประกายในแสงอาทิตย์สีส้มอันอบอุ่น เส้นผมละเอียดสีคาราเมลน่าสัมผัสพริ้วไหวอยู่ในสายลม จนถึงเส้นโค้งหยักของริมฝีปากคู่สวยที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสดใสเทียบเคียงดวงตะวันที่พาดผ่านใบหน้าขาวจัด และอูฮยอนก็คิดว่าเขาเข้าใจแล้ว


     

    "ใช่... สวยมากจริงๆ"

     

     

    to be continued or not to be.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×