คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : four | "playlist"
4th memory |
"playlist"
there are times when you feel too much;
it threatens to break free
your pain, your pride, your heart; swallow them all
because letting go may be the best way to love someone
"เพลงนี้ฟังดูเหมือนไม่ใช่อูฮยอน"
ซองกยูลืมตาขึ้นเมื่อเสียงจากวิทยุเงียบลงยามเพลงจบ ดวงตาเรียวสวยกระพริบช้าๆ เหลือบมองโฮวอนที่ยังมองตรงไปยังท้องถนนเบื้องหน้า คนอายุมากกว่าเม้มปากแล้วนิ่งคิดย้อนไปถึงเพลงที่เพิ่งจบลงไป
"ถ้าบทเพลงมักจะบอกอะไรเกี่ยวกับคนแต่ง พี่ไม่คิดเหรอว่ามันคือความรู้สึกของอูฮยอน?"
"นายคิดงั้นเหรอ?"
งั้นเด็กนั่นกำลังเจ็บปวดกับอะไรอยู่รึเปล่านะ? เพลงบัลลาดความหมายดีที่ร้องโดยวงบอยแบนด์หน้าใหม่ แต่งโดยนัมอูฮยอนด้วยทำนองนุ่มนวลของเปียโนและวงออเคสตร้าที่โหมโรงขึ้นมาในท่อนท้าย ส่งผลให้เพลงนี้สะเทือนจิตใจด้วยความเจ็บปวดที่ต้องกล้ำกลืนสอดแทรกอยู่ในทุกๆตัวโน๊ต มันเพราะแต่ถ้าให้มานั่งวิเคราะห์ถึงแรงบันดาลใจของเพลง มันน่าก็ตั้งคำถามอยู่เหมือนกัน
"ที่ผ่านมาอูฮยอนแต่งเพลงรักเพราะๆทั้งนั้น แต่ผมไม่เคยเห็นเขามีความรักจริงจังกับใครมาก่อนเลย"
"อูฮยอนฉลาดเอาประสบการณ์มาดัดแปลงมากกว่า" ซองกยูเปรยออกมาแล้วก็ลอบยิ้มเมื่อนึกถึงคนที่ถูกทาบทามให้ลองฝีมือในวงการจริงๆทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ "หลายปัจจัยของการแต่งเพลงก็มาจากประสบการณ์นี่นะ"
อารมณ์ความรู้สึกอย่างความสุขหรือความเจ็บปวดเกิดขึ้นได้จากความรัก และความรักก็มาในหลายรูปแบบ อูฮยอนเคยพูดอย่างนั้น เป็นคำตอบให้กับคำถามที่ซองกยูนึกสงสัย อูฮยอนกลายเป็นคนของประชาชนกลายๆ ได้รับทั้งความชื่นชมและอาจจะถูกมองในทางลบบ้าง เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายรับมือกับมันยังไง ซองกยูชอบที่จะเรียนรู้ชีวิตของอูฮยอนด้วยการตั้งคำถามเยอะๆ และคนอายุน้อยกว่าก็ไม่เคยอิดออดที่จะตอบคำถามเหล่านั้น
จากที่เขารู้มาตั้งแต่เด็ก อูฮยอนเป็นมนุษย์สังคมและขี้เหงา โหยหาความอบอุ่นจากคนรอบข้างเสมอ แต่ความเปลี่ยนแปลงในระบบความคิดของเด็กคนนี้มันดำเนินไปทีละนิดจนแทบรู้สึกไม่ได้ ใช้เวลานานไม่น้อยกว่าซองกยูจะสังเกตุได้ว่าจิตใจของอูฮยอนนิ่งขึ้นและมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิมมาก และมันก็ทำให้มีเรื่องที่ซองกยูไม่เคยกล้าถาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายไปมากกว่านี้หรือเป็นเพราะเขากลัวปฏิกริยาตัวเองกันแน่ ซองกยูเคี้ยวกระพุ้งแก้มตัวเองเบาๆไปกับคำถามที่ว่า ถ้าหากว่ามีเวลาไหนที่นายไม่วิ่งมาหาฉัน... นายจะวิ่งไปหาใคร?
"พี่ซองกยู"
ซองกยูเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงเรียก เขากระพริบตาให้โฮวอนสองสามทีสลับกับฝ่ามือที่ยื่นมาข้างหน้า รอให้เขาวางมือตัวเองลง แต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนที่นิยมการถูกเอาอกเอาใจซักเท่าไหร่ ซองกยูยกนิ้วชี้ขึ้นมาโบกตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
"ทำแบบนั้นอีกที ฉันขับรถกลับแน่ๆ"
โฮวอนยิ้มเก้อยามที่ซองกยูเดินจ้ำนำออกไป แต่เมื่อเขาตามไปทันและคว้ามือของคนอายุมากกว่าเข้ามาจับ ปลายนิ้วของมือทั้งสองก็สอดประสานกันอย่างอัตโนมัติ ซองกยูได้แต่ลอบยิ้ม เขาชอบมือของโฮวอน มันอบอุ่นและแข็งแรง อาจจะกระด้างเล็กน้อยตามประสาคนชอบออกกำลังกาย แต่เขาก็ยังชอบสัมผัสของมันยามที่ฝ่ามือหนากอบกุมมือของเขาได้พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ
โฮวอนเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้แล้วแนบริมฝีปากเข้ากับซองกยูก่อนจะผละออกภายในเสี้ยววินาที – แค่ริมฝีปากแตะกับริมฝีปาก รวดเร็วและไม่มีเจตจำนงใดแอบแฝง – ดวงตาเรียวเล็กกระพริบอย่างเชื่องช้าก่อนจะโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวยามเมื่อเจ้าของหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ โฮวอนยิ้มมุมปากแล้วกระตุกมือให้คนอายุมากกว่าออกเดินตาม มุ่งเข้าไปในคลับ
ทำนองหนักๆที่รวมเสียงกีต้าร์ เบส และกลองไว้ด้วยกันนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซองกยูอมยิ้มแล้วถองสีข้างของโฮวอนเบาๆอย่างรู้ทัน
"ผมอยากฟังพี่ร้องเพลงจัง"
"แล้วนายก็จะเป็นแดนเซอร์ให้ฉัน?"
โฮวอนหัวเราะร่าแล้วดึงซองกยูลึกเข้าไปในกลุ่มคนจนมองเห็นเวทีชัดเจน เมื่อนักร้องนำก้าวขึ้นมาพร้อมกับร้องเพลงเปิดไลฟ์ในค่ำคืนนี้ ทุกๆตารางนิ้วก็เต็มไปด้วยผู้คนปล่อยตัวเองไปกับเสียงเพลงและจังหวะกลอง ซึมซับเอาทุกๆคำร้องที่ถ่ายทอดออกมาจากเสียงอันมีเอกลักษณ์ของนักร้องนำ
ซองกยูหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาว เขาคิดถึงวันเวลาเก่าๆสมัยมัธยมที่เขามองลงมาจากเวทีเห็นคนดูมากมาย ยังจำสัมผัสเมื่อสองมือกำขาตั้งไมค์แน่นโดยมีสายตาและความสนใจมุ่งตรงมาที่เขา ยังไม่มีโฮวอนอยู่ในภาพนั้น มีเพียงอูฮยอนที่มักจะยืนกอดอกพิงผนังด้านหนึ่งของโรงยิม มองขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเสมอ
เพลงร็อคและบรรยากาศแบบนี้ ที่เขาจำได้ขึ้นใจก็คือยามที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน เป็นการสื่อสารผ่านเสียงเพลงและความเข้าใจ
~
บทเพลงคือทุกสิ่งทุกอย่างของอูฮยอน
ซองกยูรู้ดีกว่าใคร เพราะเขาคือคนคนนั้นที่นั่งฟังอูฮยอนร่ายยาวถึงความรักที่ตนมีให้กับดนตรี ในวันที่หัวข้อของนาคตถูกเปิดประเด็นขึ้นมา เทียบกันกับเขาที่เอียงไปทางด้านวิชาการ ความฝันของอูฮยอนถึงได้มีสีสันและน่าตื่นเต้น
เขาก็ชอบดนตรี กีต้าร์โปร่งตัวโปรดที่เก็บเงินซื้อมันมาเองก็ยังคงเป็นเพื่อนที่คอยขับกล่อมเขาไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขามีปัญหา เขาชอบความรู้สึกเวลาที่ได้นั่งหลับตาฟังเพลงเพราะๆเพื่อผ่อนคลาย หรืออย่างบรรยากาศในคอนเสิร์ตที่สนุกสนาน ซองกยูก็สามารถสัมผัสได้ถึงความหมายของดนตรีในอีกมุมมอง ใครๆก็อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าคนที่ดูสำรวมและหัวโบราณอย่างซองกยูจริงๆแล้วชอบเพลงร็อคเป็นทุนเดิม ในจุดหนึ่งเขาก็เป็นนักร้องนำวงดนตรีในโรงเรียน เคยอยากที่จะเดินไปตามเส้นทางของนักดนตรีตามประสาอดรีนาลีนของวัยรุ่น แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจฝากความฝันของเขาเอาไว้กับอูฮยอน เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายทำได้ดีกว่าและเขาก็คอยผลักดันสนับสนุนคนเด็กกว่ามาตลอด
"อ่ะแฮ่ม"
คนถูกเรียกเงยขึ้นมาจากโทรทัศน์แล้วเอียงคอมองคนอายุน้อยกว่าที่แง้มประตูเข้ามา อูฮยอนก้าวยาวๆเข้ามาใกล้โดยที่แอบอะไรเอาไว้ข้างหลังตัวเอง เมื่อถูกบอกให้หลับตาลงก่อน เขาก็ทำตามอย่างไม่ได้คิดอะไร จนเมื่ออีกฝ่ายอนุญาตให้ลืมตา เขาก็พบตัวเองกระพริบตาถี่ๆมองไอพอดคลาสสิกสีขาวที่ตรงเข้ามาบดบังสายตาเสียมิด
"ผมให้"
"นี่มันของนาย–"
"ในนี้มีเพลงเดโมทั้งหมดที่ผมเคยแต่ง" อูฮยอนตัดฉับ ทำเอาคนอายุมากกว่าหน้ามุ่ย เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วแนะให้ดู ซองกยูชโงกหน้าเข้าไปในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหมุนวงล้อสัมผัสไปที่เมนูเพลย์ลิส
"เดโมแบบที่นายร้องเองเพื่อเป็นไกด์น่ะเหรอ?"
"ใช่ ผมรวบรวมเพลงที่ผมแต่ง แบ่งเป็นเพลย์ลิสตามแนวเพลงแบบนี้ เห็นไหม?"
"ป็อป บัลลาด อคูสติก อาร์แอนด์บี แล้วก็ที่มีแต่ทำนอง..." ซองกยูรับมันมาไว้ในมือและเอ่ยแนวเพลงขึ้นมาทีละอย่างก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ "นายไม่เคยแต่งเพลงร็อคนี่เนอะ"
"มันไม่ใช่แนวที่ผมถนัดเท่าไหร่ พี่มีเซ้นส์ทางด้านเพลงร็อคมากกว่าผม" เมื่อเห็นอูฮยอนเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ซองกยูก็ส่ายหน้ายิ้มๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร
"แนวไม่สำคัญหรอก สิ่งที่ใส่ลงไปต่างหากที่สำคัญ"
อูฮยอนไม่เคยหยุดทำในสิ่งที่ตัวเองรัก พรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ทำนองและคำร้องของเอซประจำคณะนั้นน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยนิสัยที่เป็นผู้ยึดความสมบูรณ์เหมือนกันกับซองกยู คนอายุน้อยกว่าจะรอบคอบมากในการเรียบเรียงทุกๆบทเพลงของตัวเองก่อนที่จะเอาไปเสนอ โดยที่ยังสามารถสอดแทรกความรู้สึกในทีแรกที่เป็นตัวจุดประกายเพลงเหล่านั้นได้อย่างครบถ้วน เพลงที่แต่งโดยนัมอูฮยอนถึงมีความสามารถเข้าถึงจิตใจคนฟังได้เป็นอย่างดี
และมันพิเศษแค่ไหนที่ซองกยูมักจะเป็นคนแรกที่ได้อ่านเนื้อ หรือได้ยินทำนองคร่าวๆเมื่ออีกฝ่ายคิดอะไรขึ้นมาได้ แถมยังครอบครองคอลเล็กชั่นของเพลงที่คนแต่งร้องเองทั้งหมด ซองกยูรู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญ
~
เสียงประตูของอพาร์ทเม้นต์ถูกเปิดออกเป็นเสียงคลิ๊กเบาๆ เรียกความสนใจจากคนที่นั่งอ่านหนังสือกอดหมอนอิงใบนุ่มอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ไม่กี่อึดใจหน้าแป้นๆของคนคุ้นเคยก็โผล่เข้ามา อูฮยอนตรงเข้ามานั่งลงกับพื้นตรงหน้าโซฟาพร้อมกับแลปท็อป พิงศรีษะเข้ากับข้อเข่าของคนอายุมากกว่าด้วยความเคยชิน
"มีอะไรหืม?" ซองกยูเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มบางๆระหว่างที่อีกฝ่ายก็วุ่นวายกับอะไรก็ตามที่อยู่บนหน้าจอ อูฮยอนหันมากระตุกยิ้มให้ก่อนที่เสียงเปียโนกังวาลใสจะดังออกมาจากลำโพง ตามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังก้องไปรอบห้องสี่เหลี่ยม
it's amazing how you do what you do
whenever our eyes meet, i've never seen something so beautiful
whenever you smile, i can no longer feel the ground
whenever you reach for me, i can't breathe no more
"it's just amazing; whatever you do."
อูฮยอนร้องคลอตามไปในท่อนสุดท้ายก่อนที่เพลงจะจบ และทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนกลับเป็นความเงียบดังเดิม แต่ท่วงทำนองของบทเพลงเสียงหวานประโลมใจยังเหมือนจะยังก้องอยู่ในหู สุ้มเสียงของคนเด็กกว่าดังทุ้มนุ่มนวลเฉกเช่นทุกครั้ง
"ผมแต่งไปได้แค่นาทีกว่าๆ ต้องลองดูว่าจะแต่งต่อดีไหม"
"นายมีเพลงที่แต่งไม่จบอยู่ไม่น้อยเลยนะ" ซองกยูพูดด้วยข้อเท็จจริงที่อยู่ในไอพอดของเขา
"อ้อ พวกนั้น... มันก็มีเหตุผลของมันน่ะ" ใบหน้าคมคายหันมาฉีกยิ้มให้แล้วกลับไปสนใจหน้าจอ
ซองกยูฮัมรับในลำคอแล้วจู่ๆก็ลุกขึ้นส่งผลให้อูฮยอนที่เอียงพิงขาอีกฝ่ายไว้เกิดเสียหลักเล็กน้อย แขนขวาปัดป่ายยันฝ่ามือไว้กับพื้นกันล้ม อูฮยอนร้องโอดโอยและถีบขาไปมาอย่างขัดใจราวกับเด็กเล็ก ร่างโปร่งหัวเราะหึหึไปกับนิสัยเด็กๆของอีกฝ่ายที่มักจะปรากฏตัวเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ซองกยูวุ่นวายอยู่ในครัวซักพักเพื่อชงโกโก้ร้อนสองแก้ว ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเพลงดังขึ้นจากในห้องนั่งเล่น อูฮยอนไม่เคยสามารถอยู่ในความเงียบได้นานๆโดยขาดดนตรีเลย
ค่ำคืนที่สงบสุขดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีเสียงเพลงคลอเบาๆในขณะที่ซองกยูเชิญตัวเองลงมานั่งอยู่บนพื้นข้างๆอูฮยอนที่กำลังเรียบเรียงเพลงที่เป็นโปรเจ็คส่งอาจารย์ ตามด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในวงการบันเทิงสมัยนี้ ส่วนมากแล้วก็จะเป็นอูฮยอนที่เล่าเรื่องเบื้องหลังให้ฟัง เกิลล์กรุ๊ปที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆหลายวง รวมถึงรุ่นพี่บางคนในคณะที่กำลังจะเป็นศิลปิน จนถึงการแอบเม้าท์เดือนคณะนิเทศคนสนิท ('หมอนั่นชอบตีหน้าตายตลอด ฟอร์มจัด ใครๆก็นึกว่าเป็นคนหยิ่งเย็นชา จริงๆแล้วมันเพี้ยนแล้วก็เส้นตื้นจะตาย' อูฮยอนอธิบายเอาไว้อย่างนี้)
"แล้วพี่รู้มั้ย มยองซูบ่นจะตายว่าซองยอลชอบไปหาเรื่อง แค่เพราะอยากเจอรูมเมทของเจ้านั่นก็แค่นั้น" เด็กหนุ่มพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ
อูฮยอนพับหน้าจอแลปท็อปลงแล้ววางเอาไว้ข้างตัว ก่อนจะไถลจากโซฟาลงมาบนฟูกที่ช่วยกันลากออกมาแผ่เอาไว้กลางห้อง มือกระชับเอาผ้านวมผืนนุ่มขึ้นมาแนบอก ตาหลับลงช้าๆโดยที่ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า ซองกยูนอนตะแคงข้างมองคนเด็กกว่าด้วยรอยยิ้ม นิ้วมือก็เขี่ยมุมของปลอกหมอนเล่นพลางชั่งใจถึงคำถามไร้สาระมากมายที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด แต่เขาก็เลือกที่จะพูดถึงเรื่องนี้แทน
"นี่" เสียงที่พูดขึ้นเบาบางราวกับเสียงกระซิบ คนถูกเรียกก็ฮัมรับอยู่ในลำคอ "เพลงพวกนั้นน่ะ..."
ถึงตอนนี้อูฮยอนก็ลืมตาขึ้นทีละข้าง หันหน้าไปเพื่อมองคนอายุมากกว่า ริมฝีปากหยักยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าง่วงงุนและดวงตาเรียวเล็กที่เกือบปิดอยู่แล้ว
"ครับ?"
"ไม่เสียดายบ้างเหรอ? นายน่าจะเอามันมามาสเตอร์ริ่งใหม่แล้วรวมเป็นอัลบั้ม คนต้องชอบมากแน่ๆ"
"..."
"อูฮยอน?"
บางทีมันก็ยากที่จะไม่รู้สึกอะไร อูฮยอนคลายมือตัวเองที่เผลอกำแน่นอยู่หลังศรีษะแล้วผ่อนลมหายใจยาว
"ถ้าพี่อยากให้..."
"อยากสิ! มันเพราะมากเลยนะ คิดดูสิ... เป็นอัลบั้มของนายเอง"
"ของผม...?"
ซองกยูพยักหน้าพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้า ปลายนิ้วแตะลงบนปลายจมูกของคนเด็กกว่าแผ่วเบา รอยยิ้มง่วงงุนปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวจัด
"ใช่ ด้วยเสียงของนาย"
อูฮยอนกระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นดวงตาที่โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวเขาก็จำต้องยิ้มตามไปด้วย ถึงแม้จะรู้สึกหายใจลำบากเมื่อเขารู้ดีว่า 'เพลงพวกนั้น' ของอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
เพลย์ลิสที่ชื่อว่า incomplete เต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของบทเพลงที่ไม่สมบูรณ์ ทำนองหยาบ เนื้อเพลงที่ยังคงดิบไม่ได้รับการขัดเกลา หรือแม้กระทั่งบทกลอนสั้นๆ เป็นผลงานที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแรกเริ่มของคนแต่งเพียงอย่างเดียว น่าเสียดาย เพราะอูฮยอนเคยทำการตั้งปนิธานเอาไว้ว่าจะไม่มีใครอื่นมีโอกาสได้ยินมันนอกจากคนเพียงคนเดียว คนคนเดียวเท่านั้น
"ซักวันนะ อูฮยอน?"
"...ครับ ซักวัน"
~
i'm balancing on a tightrope
you don't have a clue
you call out to me and i'm out in the air
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ อูฮยอนนวดขมับตัวเองเบาๆก่อนจะทิ้งศรีษะลงพักบนโต๊ะไม้ ดวงตาเหม่อลอย เห็นเพียงภาพเลือนลางของจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างไสวในห้องที่เปิดไฟเอาไว้เพียงสลัว ในห้องเก็บเสียงของสตูดิโอนั้นเงียบกริบ อย่างที่เจ้าตัวอยากให้มันเป็น ผ่านไปพักใหญ่ปลายนิ้วก็คืบคลานเข้าไปกดปุ่มบนคีย์บอร์ด ลำโพงส่งเสียงครืดคราดพร้อมจะทำงานแล้วจึงเปล่งเสียงออกมาครอบคลุมไปทั่วพื้นที่
you have that look in your eyes
everything is going to be alright, you try
but nothing's right, i know
"ไม่ได้..."
อูฮยอนกระซิบเสียงเบากับตัวเองแล้วหลับตาลง หายใจออกยาวทั้งๆที่ไม่รู้ตัวว่ากลั้นหายใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ยามที่บทเพลงสั้นๆนั้นตัดจบลงอย่างทื่อๆ
"ไม่ได้หรอก... จะให้แต่งจนจบได้ยังไง?"
ก๊อกก๊อกก๊อก
ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่งพิงกับเก้าอี้แล้วจดจ้องประตูไม้นิ่ง คิ้วขมวดเมื่อเห็นไรผมสีอ่อนที่โผล่พ้นขึ้นมาจากกระจกเล็กๆบนประตู บานประตูแง้มออกเล็กน้อยเผยให้เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งมองเข้ามาอย่างเลิกลั่ก
"ว่าไงเรา?"
"มีคนมาหาครับ"
อูฮยอนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจระคนสงสัย เป็นเพราะรอยยิ้มรู้ทันที่อีกฝ่ายมีนั้นด้วย แต่เมื่อประตูถูกผลักออกกว้าง อูฮยอนก็เผลอทิ้งให้ปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น ดวงตาเบิกกว้างที่เห็นอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง คนที่ทักทายเขาด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นแนวฟันขาวแบบนั้นเสมอ
"เดลิเวอร์รี่" ซองกยูพูดราวกับร้องเพลงแล้ววางแก้วใสของกาแฟเย็นลงบนโต๊ะ และเชิญตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวโดยถือวิสาสะ อูฮยอนมองตามทุกๆการกระทำด้วยสมองที่เกิดลัดวงจรไปเมื่อครู่ เอ้อ... นึกอยากจะเจอก็เจอ
"ทำไม...?"
"ทำไมถึงไม่กลับบ้าน?"
อูฮยอนหัวเราะเบาๆแล้วหมุนเก้าอี้กลับไปหันหน้าเข้ากับจอคอมพิวเตอร์ ในเมื่อซองกยูถ่อมาถึงนี่ ก็คงจะไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งแกร่วทำงานด้วยสมองโล่งๆแบบนี้ต่อไป เขาปิดโปรแกรมลงทีละอัน
"มีนกกระจิบคาบข่าวมาบอก..."
มือของคนฟังชะงักกึก ใบหน้าคมหันมาน้อยๆแล้วเลิกคิ้วไปกับสิ่งที่ได้ยิน ซองกยูถอนหายใจแล้วยักไหล่
"ว่า 'พักนี้เอซบ้างาน ไม่แม้แต่จะก้าวออกจากห้องอัดเสียง มาถึงก็ขลุกอยู่ในนี้ทั้งวันจนถึงดึก แทบจะอยู่รอปิดมหาวิยาลัยแทนลุงรปภ.' ...เขาว่ามางั้นน่ะ"
"มยองซู?" อูฮยอนเผลอหลุดขึ้นเสียงสูงและนึกถ้อยคำอันสวยงามก่นด่าเพื่อนอยู่ในใจ ถึงจะรู้อยู่ว่าเป็นเรื่องจริงก็ตาม
"บ้านช่องไม่กลับมาหลายวันแล้วนะเรา... โทรหาก็ติดสายตลอด แน่ะ นายคุยกับใครอยู่หรือไง?" ซองกยูแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อในทีแรกก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง แซวเล่นขึ้นมาตามความเคยชิน แต่ไม่ใช่คราวนี้ อูฮยอนขำไปกับสิ่งที่ได้ยินไม่ออก
อย่ารีบผลักไสกันได้ไหม?
"ก็... มีคนมาเสนอโปรเจ็คใหม่เหมือนกัน ผมก็กำลังคิดอยู่"
"อ้า งั้นนายก็คงยุ่งจริงๆน่ะสิ" ซองกยูเงียบเสียงลงเมื่อเห็นอุปกรณ์ทั้งหมดถูกปิดลงแล้ว "ไม่ต้องทิ้งงานเพราะฉันก็ได้นะ"
"ไม่เป็นไรหรอก ผมนั่งหลังแข็งมาตั้งแต่เช้ามืดแล้วเหมือนกัน"
อย่าคิดแบบนั้น
"ตั้งใจก็ดีแล้ว แต่อย่าให้ถึงกับอดนอนไม่ยอมกินข้าวล่ะ" คนอายุมากกว่ายื่นมือออกไปแตะเรือนผมสีเข้มเบาๆสองสามทีแล้วยิ้มให้ "ฉันกลับบ้านดีกว่า นี่ ดูสิ ตาคล้ำหมดเลย พักด้วยนะ"
อูฮยอนกระพริบตาเชื่องช้า นิ่งฟังทุกๆคำที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างชัดเจน ทั้งกำชับให้พักผ่อน ให้กินของมีประโยชน์และอะไรอีกมากมาย แต่เขาเข้าใจเพียงอย่างเดียวว่าซองกยูกำลังจะไป
อย่าทิ้งผมไป
"อูฮยอน?" ซองกยูหันกลับมาด้วยดวงตาที่โตขึ้นหลังจากที่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยแรงจับที่ข้อมือ อีกฝ่ายก้มหน้าลงน้อยๆทำให้เดาไม่ออกว่ากำลังมีสีหน้ายังไง ซองกยูค้อมตัวลงแล้วกระตุกข้อมือตัวเองเบาๆ
"เอ่อ ก็พี่อุตส่าห์มา ออกไปหาอะไรกินไหม?" อูฮยอนพูดขึ้นหลังจากการหายใจเข้าลึก ค่อยๆปล่อยมืออย่างอ้อยอิ่ง
ซองกยูกระพริบตาปริบๆพลางนึกสงสัยกับปฏิกริยาคลุมเครือของอีกฝ่าย มันน่าแปลกใจไม่น้อย อย่างซองกยูจะดูไม่ออกเลยเชียวหรือว่ากำลังมีอะไรรบกวนจิตใจอูฮยอนอยู่แน่ แต่เขาก็รู้ดีกว่าที่จะไม่ซักไซร้แล้วรอให้อีกคนพูดออกมาเอง
"อื้อ ไปสิ แถวนี้มีร้านอร่อยนี่นา"
ซองกยูว่าแล้วก็ฉีกยิ้ม ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป อูฮยอนลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายแล้วตามออกไปโดยไม่ลืมหยิบแก้วกาแฟเย็นที่น้ำแข็งละลายจนจืดชืด
ขอรั้งเอาไว้ก่อน เพราะเวลาอาจจะมีน้อยลงทุกที
ขอเก็บเกี่ยวทุกอย่างเอาไว้ ก่อนที่วันหนึ่งเขาอาจจะต้องทำใจเข้าจริงๆ
end "playlist"
tbc→
มาลองเข้าใจความคิดซองกยูกันบ้างฮะ~ (・ω・)づ
รู้สึกว่าจะเริ่มบิ้วท์เข้าใกล้ไคลแมกซ์เข้าทุกทีแล้ว แฮ่
ความคิดเห็น