ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [infinite|woogyu] Everlasting Sunset

    ลำดับตอนที่ #6 : in feeble dreams

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 58






    แรงดึงรั้งของผ้าก็อชรอบช่วงตัวกระชากเสียงร้องโอดโอยออกมาผ่านริมฝีปากที่แตกช้ำ อูฮยอนพยายามกอบอากาศเข้าปอดอย่างยากลำบาก เสียงลมหายใจเข้าออกนั้นคมกริบในทุกๆจังหวะจนคนฟังยังรู้สึกทรมาณแทน เขาย่นจมูกให้กับกลิ่นคาวของเลือดที่เปรอะเปื้อนผิวกายและเสื้อผ้าจนแดงฉาน ยงกุกไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากซองกยูมาช้ากว่านี้แม้เพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็คงถูกยัดเยียดตั๋วเข้าสู่เขตแดนระหว่างความเป็นกับความตายไปแล้ว

    “แน่นเกินไปไหม?” สุ้มเสียงของซองกยูเบาบางจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ฝ่ามือแตะลงเบาๆบนผ้าพันแผลที่ถูกมัดปมเรียบร้อย

    อูฮยอนขบริมฝีปากที่ปวดแสบ อดกลั้นไม่ให้เผลอปล่อยคำถามมากมายพรั่งพรูออกมาและทำลายบรรยากาศแสนสงบนี้ ดวงตาสีนิลหม่นหมองเมื่อปรายมองร่างของซองกยูที่ลุกขึ้นพร้อมกับเศษผ้าที่เคยเป็นเสื้อของเขา แรงเคลื่อนตัวของรถคาราวานผ่านพื้นดินขรุขระก่อนหน้านี้กระทบกระเทือนบาดแผลภายในจนจุกไปหมด อีกทั้งการถูกกระชากลากถูจนกว่าจะมาถึงห้องนี้ได้ทำให้บาดแผลเปิดจำนวนไม่น้อย ทุกข้อต่อฝืดเคืองและประท้วงคำสั่งจากสมองราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา ในส่วนที่ยังมีสติก็พยายามหลีกหนีความจริง ลบล้างเหตุการณ์ทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นออกจากความทรงจำ

    ถ้าหากเขาปล่อยให้ตัวเองไถลลงนอนกับพื้นแข็งๆนี่และหลับตาลง เขาจะตื่นขึ้นมาบนเตียงนุ่มหลังนั้นที่หอมกลิ่นไอแดดจางๆไหม?


    “ฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้” ซองกยูแง้มซี่ของมู่ลี่ มองลอดผ่านกระจกออกไปเห็นความอุดมสมบูรณ์ของยูโทเปีย ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าอูฮยอนกำลังพยายามยกยิ้ม “ไม่ตลกเลยนะ อูฮยอน”

    เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับแค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น กำปั้นหนักๆเหวี่ยงเข้ากับกระจกบานหนาระบายโทสะที่เดือดปุด ซองกยูเม้มปากแน่นข่มความปวดร้าวบนข้อนิ้ว ปลายนิ้วเรียวเคาะพื้นผิวกระจกด้วยความร้อนรนอย่างปกปิดไม่มิด เขาเองก็อยากจะให้เป้าหมายของกำปั้นเมื่อครู่เป็นอูฮยอนอยู่เหมือนกัน แต่ให้ทำร้ายอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ เขาเองก็ทำไม่ลง

    “ทั้งที่นายไม่เคยไว้ใจใคร... ทำไมถึงตัดสินใจเป็นไอ้อ่อนเอาเวลาแบบนี้ด้วย?”

    “ทำไมนะ? ไม่รู้สิ คิดแค่ว่าอยากช่วยนาย”

    ขอบตาของซองกยูร้อนผ่าวขึ้นทุกที ยิ่งได้ยินเสียงแหบพร่าอย่างที่อูฮยอนพยายามเค้นออกมา แม้จะต้องสำลักเพราะความจุกที่บาดแผล

    “ยังไงก็ขอโทษแทนยงกุกด้วยแล้วกัน เจ้านั่นมันออมแรงไม่ค่อยเป็น”

    “พวกนายกำลังจะทำอะไร?”

    ซองกยูปล่อยให้มือตกลงข้างตัวก่อนจะถอนหายใจออกมายาว เขาหันหลังกลับมามองคนที่ยังดึงดันจะขยับแข้งขยับขาโดยไม่เจียมตัวเอง อูฮยอนเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ขึ้นรูปเป็นเพียงเงาดำเพราะลำแสงของตะวันยามเย็นที่สาดส่องย้อนเข้ามา แม้ใบหน้าจะอยู่ภายในเงา แต่เขาก็บอกได้ว่าซองกยูกำลังยิ้ม... แต่ว่ามันเป็นรอยยิ้มแบบไหนก็เกินจะคาดเดา


    “เราจะมาช่วยเหลือโลกกัน นายคงไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหม?”


    ช่วยเหลือโลกในความหมายของซองกยูคืออะไร อูฮยอนก็คิดไม่ออก แต่มันคงไม่แย่นักหรอก ถ้าหากมันจะทำให้ซองกยูนั่งอยู่ข้างๆเขา ความอบอุ่นกอบกุมมือขวาของเขาเอาไว้หลวมๆ ริมฝีปากขยับพูดเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวของผู้คนในเมืองให้ฟัง ว่าฮยอนนี่สบายดีและรู้ทิศรู้ทางแล้ว เดินเล่นด้วยตัวของมันเองได้ ซองยอลแยกตัวจากกิจการครอบครัวออกมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ รสชาติเยี่ยมในราคาไม่แพง ซองจงยังอยู่ที่เดิมแต่ก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างไม่ขัดสน ตัวของซองกยูเองก็ยังเฝ้ามองท้องฟ้า เพื่อรอเวลาส่งตะวันไปพักผ่อนเช่นเคย

    อูฮยอนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้ไปเยี่ยมเยียนความฝันนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือเขาอาจจะไม่เคยมีความฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในวัยเด็กของเขานั้นการนอนหลับกลับเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัว เพราะมันจะทำการเร่งเวลาให้ถึงวันพรุ่งนี้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรุนแรงของการฝึนฝน จนกระทั่งเขายอมที่จะไม่ข่มตาหลับเพื่อให้เวลาดำเนินไปอย่างช้าที่สุด

    คิมซองกยูอาจจะเป็นแค่ความฝันก็ได้และเขาเองก็ไม่อยากตื่น


    "พวกเราเป็นรุ่นแรกของโปรเจ็กอาวุธมนุษย์ที่ล้มเหลว ฉันกับยงกุกและ... ดูจุนเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่ม เด็กที่สุดมีอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้นเอง" ซองกยูพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ แต่ก็อดชะงักไปไม่ได้เมื่อต้องพูดชื่อของเพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

    พวกเขาทั้งสามคนเป็นหนูทดลองให้กับแผนการฝึกฝนมนุษย์ให้ไร้เทียมทานราวกับว่าทั้งร่างกายเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง ด้วยความที่มันยังเป็นโครงการที่ใหม่เหลือเกิน คาบเรียนและการฝึกฝนจึงเทียบเท่าทหารทั่วไป ทว่าที่เพิ่มเติมเข้ามาคือการใช้เคมีช่วยในการบิดแปลงพันธุกรรม จุดประสงค์แรกคือการผลักดันสมรรถภาพทางกายของมนุษย์ให้ถึงขีดสุด

    มันถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดอย่างที่ทหารจำนวนมากในกองทัพเองก็ยังไม่รู้ถึงการทดลองนี้ เนื่องจากการดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์ถือว่าเป็นการกระทำต้องห้ามและจะก่อให้เกิดการวิภาควิจารณ์อย่างหนักหน่วงถ้าหากเรื่องราวหลุดลอดออกไปถึงหูผู้คน พวกเขาเคยเป็นกลุ่มคนที่มุ่งมั่นอยากแข็งแกร่งขึ้นและต่อสู้เพื่อบ้านหลังนี้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทางกองทัพตัดสินใจใช้ตัวยาต่างๆกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นยาสามัญอย่างการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระตุ้นการซ่อมแซมของเซลล์

    แต่ไม่มีอะไรที่ร้ายกาจเท่า'ตัวอ่อนปีศาจ'หลอดนั้น... ไวรัสที่ถูกพัฒนาขึ้นมาควบคุมทุกๆอณูในร่างกายมนุษย์ ยกระดับการทำงานของร่างกายให้สูงขึ้นตามจำนวนของสิ่งแปลกปลอมนั้นที่อยู่ในกระแสเลือด แน่นอนว่ามันมีข้อจำกัด มีผลข้างเคียงซึ่งก็คือความตาย ร่างกายของเด็กอายุเพียงเท่านี้จะรับการเปลี่ยนแปลงไหวได้ยังไง?

    ความจริงแล้วมันไม่ใช่เครื่องมือช่วยเหลือให้แข็งแกร่งขึ้นเลย แต่เป็นการคัดเด็กที่อ่อนแอกว่าพื้นฐานที่กำหนดออกไปต่างหาก คล้อยหลังการทดลองไม่กี่ครั้ง จากสิบห้าคนก็เหลือเพียงแปด... และพวกเขาก็เริ่มระดมสมองกันหาทางหนี กองทัพทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ไม่ได้ขโมยมันสมองของพวกเขาไปเป็นอย่างแรก

    "เด็กที่หลบหนีออกไปในตอนนั้นมีแค่เจ็ดคน นายพอจะเดาได้ไหมว่าหนึ่งคนที่เหลือคือใคร?" ซองกยูเอ่ยถามพร้อมกับหันหน้าไปมองคนข้างกาย อูฮยอนที่ก้มหน้านิ่งมาตลอดจำต้องเหลือบตาขึ้นมองด้วยริมฝีปากที่อ้าค้างน้อยๆ

    "บังยงกุกถอยออกจากกลุ่มและพรางตัวเป็นหนึ่งในทหารที่ควรจะตามจับตัวพวกเรากลับมา เป็นหมาป่าห่มหนังแกะซึ่งไร้ที่ติ..."

    อูฮยอนรู้ดีว่ากลุ่มเด็กที่เคยทำให้ยูโทเปียเกิดความวุ่นวายและความเสียหายเหลือคณานับในคราวนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความคิดนั้นยังถือว่าอูฮยอนดูถูกพวกเขาเกินไปเลยด้วยซ้ำ

    "ทุกอย่างมันเพื่อเวลานี้ไง อูฮยอน" รอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของซองกยูเหมือนกำลังพยายามปั้นความภาคภูมิใจที่สามารถคิดแผนการนี้ขึ้นมาได้ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไร้ชีวิตชีวา "แต่... เหตุการณ์นั้นกลับไม่ดีต่อพวกนายเลยใช่ไหม?"

    มือของซองกยูที่วางทาบทับเริ่มสั่นพร้อมกับน้ำเสียง ริมฝีปากแค่นยิ้มเมื่อรู้สึกถึงรสชาติข่มปร่าที่ปลายลิ้น พวกนายคือความสำเร็จของกองทัพ

    เสียงลมหายใจของอูฮยอนดังชัดในห้องที่เงียบสงัดก่อนที่อูฮยอนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

    "เรื่องบ้าๆพวกนั้น ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย"

    โกหก... ซองกยูส่ายหน้ายิ้มๆ เขาประคองศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเบามือให้ซบลงบนไหล่ ช่วงเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาคงหนักหนาสาหัสต่ออูฮยอนไม่น้อย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นทหารซึ่งมีความอดทนต่อแรงกดดันสูงก็ตามที สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือการอยู่ข้างๆเพื่อปลอบโยนและเฝ้าดูระดับจิตใจอย่างใกล้ชิด เขาเชื่อว่ามันจะมีทางออกให้กับทุกอย่างและทุกคนจะได้เห็นโลกใบใหม่ด้วยกัน



    "เป็นเรื่องจริงสินะ เรื่องของนายกับนัมอูฮยอน"

    ซองกยูเลิกคิ้วสูงหลังจากถูกเปลี่ยนเรื่อง เสียงเครื่องยนต์ของรถคาราวานดังแทรกบทสนทนาที่พวกเขากำลังถกกันอยู่เมื่อครู่ เขาจ้องมองดวงตาเทียมของยงกุกและก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดีว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้

    "อยู่ๆวันนึงก็มีคนแบบนั้นโผล่มา เวลาของฉันอาจเหลือน้อยแล้วก็ได้คิดประมาณนี้น่ะ"

    "ฟังดูเหมือนป้าแก่ๆหลอกตกเด็กหนุ่ม..." ยงกุกเอ่ยเสียงเนือยพร้อมกับหันมาเพ่งเล็งด้วยดวงตาข้างเดียว เฮ้! ซองกยูโวยขึ้นก่อนจะเดาะลิ้นขัดใจ

    "แต่ยังไงนัมอูฮยอนเป็นมากกว่านั้น..." ซองกยูหลุบตาลง ม้วนกระดาษในมือแล้วเคาะที่คางเบาๆอย่างใช้ความคิด

    อูฮยอนเป็นนักรบที่เก่งกาจด้วยความมุทะลุและนิสัยขวานผ่าซากตามแบบฉบับที่แคปิตอลสั่งสอนมา โปรแกรมการฝึกฝนของกองทัพทำให้คนจำนวนมากสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป—ไม่ต้องคิด ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีความเมตตา และในสายตาของซองกยู คนเหล่านี้เป็นคนที่น่าสงสาร ความปรารถณาตลอดกาลของเขาคือการช่วยพวกเขาให้พ้นจากพันธนาการที่รังแต่จะจบสิ้นด้วยความพินาศวอดวาย แต่เอาเข้าจริงแล้วซองกยูก็ไม่มีความมั่นใจหรือกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับมัน การที่เขาหลบหนีมาก็เท่ากับว่าเขามีคำว่าอ่อนแอสักลงบนผิวเนื้อ โดยมีแค่ตัวเองเท่านั้นที่มองเห็นมันเป็นการประจานตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนกระทั่งได้พบกับอูฮยอนในวันนั้น...

    ซองกยูมองเห็นว่าอูฮยอนไม่เหมือนกับคนอื่น ถึงแม้เจ้าตัวจะฆ่ามานับไม่ถ้วน เยือกเย็นและไม่ลังเลที่จะเหนี่ยวไกยามที่มีปืนคู่ใจอยู่ในมือ แต่อูฮยอนยังนั่งมองสีของท้องฟ้ากับเขา ในตอนนั้นเองที่ซองกยูพบช่องโหว่อยู่บนเกราะกำบังเหล็กกล้าที่ทหารทุกนายพึงมี ราวกับว่าเขาได้มองเห็นอนาคตที่ฝันถึงมาตลอด

    เขากำลังจะสามารถเปลี่ยนแปลงทหารคนนี้ให้กลับกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง อีกแค่นิดเดียวมันก็จะสำเร็จแล้ว แต่ทว่าโลกของพวกเขาไม่ได้มีกันแค่สองคนและโลกที่ชื่อว่าแคปิตอลจะไม่ยอมปล่อยให้คนทรยศได้มีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องถูกตามล่าไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดลมหายใจไปในที่สุด


    "ซองกยู นัมอูฮยอนไม่ควรจะติดร่างแหไปด้วย"

    ปึกกระดาษถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนคนเยือกเย็นอย่างยงกุกยังต้องสะดุ้งเล็กน้อย ซองกยูหันขวับไปมองเพื่อนด้วยดวงตาที่หรี่ลงจนดูเหมือนกำลังจ้องเขม่นจากความโกรธ แต่ในสายตาของเพื่อนสนิท ซองกยูแค่กำลังพยายามที่จะกักกั้นไม่ให้น้ำตาแม้แต่หยดเดียวได้หลั่งริน

    "ฉันรู้! ฉันรู้..." ลมหายใจถูกผ่อนยาวและเขาก็รู้สึกว่ากำลังจะหมดลมเข้าจริงๆ ความบิดเบี้ยวและช่องโหว่ของแผนการทำให้เขาเหนื่อยอ่อน เร่งคิดหาทางออกฉุกเฉินและอุดรอยรั่วราวกับหนูติดจั่น ซองกยูทิ้งตัวลงนั่งพร้อมพิงใบหน้าเข้ากับต้นแขนขวา อีกมือเคลื่อนไปยังสิ่งที่ห้อยอยู่ตรงกลางหน้าอกและกำมันไว้แน่น

    "บ้าไหมล่ะ หมอนั่นน่ะ... ทำอะไรบ้าบิ่น ไม่มีการยั้งคิด หรือฉลาดเกินไปจนเข้าขั้นบ้ "

    หึๆ

    แม้จะต่ำและเบาจนแทบละลายไปในอากาศ แต่นั่นคือเสียงหัวเราะของยงกุก ซองกยูจ้องมองกระดาษที่กระโดดไปตามแรงของรถด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง นานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะเล่นกันโดยไร้ซึ่งความกังวลใดๆ

    "ตลกดีแฮะ ทำให้นายร้อนรนถึงขนาดนี้ มันต้องเป็นบทลงโทษแน่ๆ ว่าไหม?"

    สิ้นประโยคของยงกุก ซองกยูที่ยังห้อยศรีษะลงก็จำต้องหัวเราะตามขึ้นมา คงเป็นอย่างที่ว่า มันอาจจะเป็นบทลงโทษให้กับตัวเขาผู้อ่อนแอที่ทรยศที่แห่งนั้น หลีกหนีจากการถูกกักขัง แต่กลับพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่เรียกว่าความรักด้วยความเต็มใจ

    ซองกยูตบแก้มตัวเองเบาๆสองสามครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้าง

    "มันก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ"

    แต่ถ้าเป็นนาย ก็คงเรียกมันว่า โชคชะตา ใช่ไหม? ดูจุน...



    "ซองกยู ความฝันที่ดีที่สุดของนายคืออะไร?"

    ซองกยูหยุดนิ้วที่เขี่ยหลังมือของอีกฝ่ายเล่นเพลินๆเมื่ออูฮยอนถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "เรื่องอย่างนั้นตอบไม่ได้หรอก ใครจะไปจำได้?"

    "งั้นหรอ... คำถามยากไปสินะ" อูฮยอนพูดเสียงเอื่อย ดวงตาของเขาแสบร้อนจากความอ่อนล้า เปลือกตาจะปิดอยู่รอมร่อแต่เขาไม่อยากหลับเลยสักวินาที เขากระพริบตาถี่รัวเมื่อซองกยูค้อมตัวลงและเอียงคอมองด้วยคิ้วขมวด อุ้งมืออุ่นกอบใบหน้าของเขาให้เงยขึ้น และก็ช่วยไม่ได้เลยที่เขาอยากจะตามสัมผัสนั้นไปเมื่อซองกยูดึงมือกลับ

    "หลังจากนี้ พวกของยงกุกจะพานายไปห้องพักฟื้น อ๊ะๆ ห้ามปฏิเสธ นายจะเสียใจถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง"

    นิ้วชี้ที่โบกซ้ายขวาตรงหน้าทำให้อูฮยอนมุ่ยหน้าใส่ ซองกยูได้แต่ถอนหายใจ ดื้อยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น เขาบีบมืออูฮยอนแน่นๆอีกครั้งหลังจากเหลือบมองผ้าพันแผลบนช่วงตัวของอีกฝ่าย

    "นายควรพักผ่อน" ซองกยูกระซิบและริมฝีปากก็ขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ สองขาคงอยากขัดขืนกลายๆแต่คงต้องลุกสักที มันคงถึงเวลาแล้ว...


    "อย่า"


    สุ้มเสียงสั่นเครือดังขึ้นก้องในความเงียบจนจังหวะหัวใจของเขากระตุกวูบ พอๆกับมือที่ถูกคว้าเอาไว้ด้วยแรงจับที่ไม่ได้สั่นไหวเหมือนเสียงเลยแม้แต่น้อย ซองกยูหายใจเข้าลึก เขาควรจะมองตรงและไม่หันกลับไปอีก ท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้นและมีสัญญาณของความโกลาหลอยู่ไม่ไกล รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขามีเวลาไม่พอ

    แต่เมื่อชื่อของเขาถูกเปร่งออกมาด้วยเสียงแบบนั้น มันก็โหวงไปทั้งหน้าอก ความโหยหาที่เขาพยายามซ่อนไว้ต่างแย่งกันแหวกว่ายขึ้นมาจนเต็มตื้น หลุดออกมาจากกำแพงที่สกัดมันไว้ในความมืดสุดก้นบึ้ง ซองกยูหลับตาลงก่อนจะหายใจเข้าลึก ขอแค่ได้มีนายอยู่ปลายสายตาอีกครั้งก็คงไม่เป็นอะไร เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็สบเข้ากับดวงตาสีนิลคู่เดิมที่มองเข้ามาอย่างเว้าวอน แต่ที่ทำให้หัวเข่าแทบทรุดลงตรงนั้นคือประกายที่เคลือบแก้วตาของอูฮยอนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน


    "อยู่... ตรงนี้ก่อนนะ"


    ราวกับรู้ว่าถ้าหากปล่อยมือไป พวกเขาอาจไม่เหลือโอกาสได้มานั่งอยู่ข้างๆกันแบบนี้อีกแล้ว ผู้ชายที่แค่จะคุกเข่าขึ้นมาเพื่อเอื้อมให้ถึงเขาก็ยังลำบาก เจ้าของดวงตาวาวใสอย่างไม่มีม่านหมอกทึบบดบังในเวลานี้เป็นเพียงนัมอูฮยอน คนที่กล้าทำตามหัวใจตัวเองดูสักครั้ง ไม่ใช่ทหารที่พร้อมจะคร่าชีวิตตามคำสั่งหรือปลิดชีวิตใครก็ตามที่ไร้ประโยชน์

    หยาดน้ำที่เอ่อคลอดวงตาไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งอ่อนแอ แต่มันทำให้เขาเป็นคนต่างหาก


    "บ้าเอ๊ย ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย..." ซองกยูแทบสำลักลมหายใจเมื่อเค้นเสียงออกมาอย่างสุดกลั้น เขาทิ้งตัวคุกเข่าพร้อมกับโยนทั้งสองแขนเข้าไปโอบลาดไหล่ของคนตรงหน้า "นายไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้"

    แค่หายใจเข้าก็ปวดร้าวไปทั้งหน้าอก แต่อูฮยอนก็พยายามยกแขนขึ้นโอบรอบแผ่นหลังของซองกยูให้แนบชิด จมูกฝังลงบนเนื้อผ้าหยาบๆของเสื้อคลุมยาวที่อีกฝ่ายใส่อยู่ เฟ้นหากลิ่นของดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ทุ่งดอกแดฟโฟดิล สดชื่นและเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาของการเริ่มต้นที่ดี กลิ่นดินและหญ้าชุ่มหยาดน้ำค้าง ชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกๆอณูของทุกสิ่งบนโลก อย่างที่ซองกยูสอนให้เขาได้รู้จัก

    ความหวังที่จะได้ใช้ชีวิตโดยไร้เสียงสั่นไกและเขม่าของดินปืน ภาพของผู้คนที่มีแต่รอยยิ้ม ไม่ใช่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวยามถูกกระสุนเจาะทะลุร่างกาย เสียงหัวเราะกับดวงตาพระจันทร์เสี้ยวที่พาให้เขาต้องยิ้มตามไปทุกครา ความอบอุ่นเมื่อซองกยูแตะตัวเขาเติมเต็มช่องว่างในหน้าอกที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน

    ช่วงเวลาเหล่านั้น... ถ้ามันเป็นอนาคตของเขาต่อจากนี้ก็คงจะดี


    ในขณะที่ซองกยูขบริมฝีปากและปาดหยดน้ำที่กลิ้งผ่านแก้มของเขา อูฮยอนกลับคลี่ยิ้ม


    "ซองกยู"

    "หืม?"

    "ยามอาทิตย์อัศดง... ยังยาวนานอยู่ไหม?"


    แสงสีส้มยามเย็นที่ลอดผ่านมู่ลี่แยงตาจนวิสัยทัศน์สว่างจ้า ซองกยูคลายกลอนประตูเล็กน้อยเพื่อที่จะหันไปมองหน้าต่าง แม้จะไม่เห็นดวงตาของอูฮยอน เขาก็มั่นใจว่ามันคงสะท้อนสีสันของอาทิตย์ยามเย็นงดงาม ยิ่งเวลานี้ที่พวกเขากำลังยืนมองภาพเดียวกันอยู่ แค่คิดดวงตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว


    "ฮะๆ นายสนใจเรื่องอาทิตย์ตกตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?"




    to be continued


    สวัสดีฮะ ผ่านไปอีกตอนของฟิคที่มีอายุมากที่สุดของเรา ฮา

    ขอบคุณคุณคนอ่านที่ยังติดตามอยู่ เราเองก็อยากจะเห็นตอนจบของเรื่องนี้เหมือนกัน

    ไม่อยากจะพูดว่ามันใกล้แล้วนะ เพราะเหมือนจะใกล้มาหลายตอนแล้ว lol

    คำใบ้ก็คือความหมายของดอกแดฟโฟดิล

    แล้วพบกันใหม่ฮะ ^^



    Sleeping soundly, I have a dream
    Of your profile
    Without noticing the overflowing tears
    That are running down my cheeks

    I've hidden the heartrending
    Throbs that are in this chest

    Last night, Good night
    Last night, Good night
    This night, I'll hold your
    Hand tight and go to sleep
    Good night

    It'd be wonderful if I could
    Spend morning with you once more
    I just wish even such a small
    Hope can be made a miracle

    As it is, I can't convey anything
    So I can't say goodbye

    Last night, Good night
    Last night, Good night
    Even if this voice dies
    The melody won't fade

    Last night, Good night
    Last night, Good night
    When I think that the end
    Will arrive someday
    That's when I hope that the
    Night sky will keep your smile

    Good night

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×